ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1930
ตอนที่ ๑๙๓๐
สนทนาธรรม ระหว่างเดินทางไปนมัสการสังเวชนียสถาน ประเทศอินเดีย
วันที่ ๑๕ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๗
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ถ้าจะให้เข้าใจจริงๆ ๓ คำนี้ต่อไปนี้ไม่ผิด พูดเมื่อไหร่เข้าใจถูกเมื่อนั้นแต่ว่าต้องฟัง และไตร่ตรองก่อน
อนิจจังคืออะไร
ผู้ฟัง ไม่เที่ยง
ท่านอาจารย์ ไม่เที่ยงคืออนิจจัง แล้วทุกขัง
ผู้ฟัง เจ็บไข้ได้ป่วยก็เป็นทุกข์ นั่งเมื่อยเป็นทุกข์
ท่านอาจารย์ เป็นทุกข์ แล้วเห็นเป็นทุกข์ไหม
ผู้ฟัง เห็นก็เป็นทุกข์
ท่านอาจารย์ เห็น เป็นทุกข์อย่าไร เห็นนี่แหละ เพราะฉะนั้น ถ้าจะให้เข้าใจจริงๆ ๓ คำใดต่อไปนี้ไม่ผิด เปลี่ยนไม่ได้
จะเปลี่ยนเห็นให้เป็นชอบไม่ชอบไม่ได้ เพราะฉะนั้น เห็นเป็นทุกข์ไหม
ผู้ฟัง ทุกอย่างที่เข้ามาเป็นทุกข์
ท่านอาจารย์ นี่คือผู้ที่ยังไม่ได้ฟังคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าชัดเจนเลยใช่ไหม
ต่อให้ได้ยินคำว่าทุกข์ๆ เกิดมาเป็นทุกข์ แก่เป็นทุกข์ เจ็บเป็นทุกข์ ตายเป็นทุกข์ ป่วยไข้เป็นทุกข์ พลัดพรากจากสิ่งที่รักเป็นทุกข์ประจวบกับสิ่งที่ไม่รักเป็นทุกข์ก็พูดไปได้หมด
แต่ว่าเป็นผู้ที่ยังไม่ได้ฟังคำสอนเพราะป่วยมีใครบ้างที่ไม่รู้ว่าเป็นทุกข์ พลัดพรากจากสิ่งที่พอใจมีใครบ้างที่ไม่รู้เป็นทุกข์ แต่นั่นยังไม่ได้ฟังคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เพราะฉะนั้น ทุกข์ที่จะเป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะเราฟังคำสอนเราไม่คิดเอง ใครจะคิดเองก็คิดไป แต่เขาก็ไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใครจะไปเชื่อคำใครก็ตามแต่ แต่คนนั้นก็ไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ต่อเมื่อได้ฟังคำนั้น จะรู้ว่านี่เป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อเข้าใจถูก เพราะฉะนั้น ตอนนี้มาถึงคำว่าทุกข์ เมื่อสักครู่นี้ อนิจจังกับอนัตตาแล้วใช่ไหม แต่มี ๓ คำ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
ทุกขังคืออะไร
ผู้ฟัง ท่านอาจารย์สอนเลย
ท่านอาจารย์ สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เกิดแล้วดับไปเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ เกิดมาทำไม เกิดแล้วดับ ไม่เกิดดีกว่า เพราะฉะนั้น สภาพธรรมที่เกิดแล้วดับนั่นแหละเป็นทุกข์
ทุกข์ที่นี่หมายความว่าเป็นสภาพที่ไม่ควรยินดี ไม่ควรติดข้อง ไม่ควรพอใจ เพราะว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่เราชอบเพราะเราคิดว่าสิ่งนั้นเที่ยงอยู่นานเป็นของเรา เพราะฉะนั้น ถ้ามีความเข้าใจจริงๆ ว่าไม่ใช่เรา และไม่ใช่ของเราด้วย
วันนี้มองเห็น พรุ่งนี้ตาบอดก็ได้ ไม่ต้องคอยถึงพรุ่งนี้ก็ป่วยไข้ได้ แขนขาดขาขาดได้ ไม่มีอะไรที่เป็นของเราเลยเพราะว่าสิ่งนั้นเป็นธรรมซึ่งมีปัจจัยเกิดแล้วดับ อาการที่เกิดและดับนี่ควรยินดีหรือ
หลงยินดี เพราะไม่รู้การเกิด และดับ ต่อเมื่อไหร่ประจักษ์ลักษณะที่เกิด บังคับบัญชาไม่ได้ เกิดแล้วก็ดับไปอนิจจัง ทุกขังอนัตตา
ก็จะรู้ว่าทุกอย่างหมดเลย ตั้งแต่ชาติก่อนกี่ชาติมาแล้วก็ไม่เหลือ ตั้งแต่เด็กมาจนถึงเดี๋ยวนี้ก็ไม่เหลือ เมื่อวานนี้ที่ไปพระวิหารเชตวันวันนี้ก็ไม่เหลือ และตามความเป็นจริงขณะนี้ทุกอย่างไม่เหลือ
ได้ยินเมื่อครู่นี้หมดแล้ว คิดเมื่อครู่นี้หมดแล้ว เพราะฉะนั้น ถ้าสามารถเข้าใจละเอียดขึ้น ลึกซึ้งขึ้นก็รู้ว่ากว่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าจะได้ตรัสรู้อย่างนี้ทรงบำเพ็ญบารมีเป็นผู้ที่ยิ่งด้วยปัญญา ๔ อสงไขยแสนกัป
เพราะฉะนั้น แต่ละคำไม่ใช่คำที่เราประมาทหรือคิดว่าไม่ต้องฟังก็ได้รู้ได้ หรือฟังคนอื่นก็ได้นั่นคือเข้าใจผิด เพราะฉะนั้น แต่ละคำต้องตรงแล้วก็เป็นจริง เพราะฉะนั้น ทุกข์ที่นี่ไม่ได้หมายความป่วยไข้ได้เจ็บ ใช่ไหม
แต่ว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามเกิดแล้วดับเร็วมาก ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา สิ่งนั้นแหละไม่ควรยินดี เป็นทุกข์ในความหมายนั้น เพราะฉะนั้น มีอะไรเป็นสุขบ้างไหมตั้งแต่เกิดมา
ผู้ฟัง ไม่มี
ท่านอาจารย์ ทุกอย่างเกิดและดับไป อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
ความรู้สึกเป็นสุขมีไหม
ผู้ฟัง ความรู้สึกมีแล้วก็ดับไป
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น แม้ความรู้สึกก็อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาแล้วจะเปลี่ยนไหม คำนี้
ผู้ฟัง เปลี่ยน
ท่านอาจารย์ เปลี่ยนได้หรือ
ผู้ฟัง เปลี่ยนความเข้าใจผิดของตัวเอง
ท่านอาจารย์ ความจริงเปลี่ยนไม่ได้ ความจริงถึงที่สุด เพราะฉะนั้น ก็จะรู้ได้เลยว่าถึงที่สุดซึ่งใครก็ไม่สามารถเปลี่ยนได้
นั่นคือสิ่งที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ ตอนนี้เริ่มรู้จักพระสัมมาสัมพทธเจ้าแล้วใช่ไหม ตรัสรู้สิ่งที่คนอื่นรู้ไม่ได้ ขณะนี้ทุกอย่างเป็นธรรมซึ่งเกิดดับ แต่สืบต่อจนไม่ปรากฏว่าอะไรดับไป
เพราะทันทีที่ธาตุรู้เกิดขึ้นรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใดแล้วดับ ต่อไปนี้เราจะขอเรียกธาตุรู้ว่าจิตดีไหม เพราะได้ยินคำนี้คุ้นเคย แต่ก็ยังไม่รู้ว่าจิตจริงๆ คืออะไร ทั้งที่ๆ กำลังมีจิต
แต่ให้ทราบว่าสิ่งที่มีจริงๆ มีลักษณะที่ต่างกันเป็น ๒ อย่าง ใหญ่ๆ ไม่เกินกว่านั้นคือลักษณะหนึ่งมีจริง เกิดจริง ดับจริงแต่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลยจะมองเห็นหรือมองไม่เห็นไม่ต้องเป็นเรื่องที่ต้องไปคิดเลย
ขอให้เป็นสิ่งที่มีจริงแต่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้ สิ่งนั้นเป็นรูปธรรม เป็นธรรมในประเภทของรูปธรรมคือไม่สามารถจะรู้อะไรได้แต่ถ้าไม่มีธาตุอีกชนิดหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นเมื่อไหร่ต้องรู้ จะไม่รู้ไม่ได้เลยธาตุรู้นั้นใช้คำว่านามธรรม
นี่เป็นความหมายตอนต้นๆ ของคำว่านามหมายความถึงสิ่งที่เป็นธาตุชนิดหนึ่งซึ่งเมื่อเกิดขึ้นแล้วต้องรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะฉะนั้น ขณะนี้บอกว่ามีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นใช่ไหม
ผู้ฟัง ใช่
ท่านอาจารย์ ต้องมีธาตุรู้คือเห็น ถ้าไม่มีการเห็นสิ่งที่ปรากฏทางตาปรากฏไม่ได้ เพราะตาบอด คนอื่นเขาก็เห็น แต่ว่าคนที่ตาบอดไม่มีจักขุปสาท
ถ้าไม่มีธาตุรู้หรือจิตรู้เกิดขึ้นเห็น สิ่งที่จะปรากฏกับสภาพเห็นก็มีไม่ได้ ถ้ามีแต่เสียงปรากฏโดยไม่มีสภาพที่ได้ยินเสียงได้ไหม ไม่มีได้ยิน แต่ให้มีเสียงปรากฏได้ไหม ไม่ได้
เพราะฉะนั้น เสียงไม่รู้อะไร ใครจะได้ยินหรือไม่ได้ยิน เสียงไม่สำคัญอะไรเลยเพราะไม่รู้ แต่ขณะใดก็ตามที่เสียงปรากฏต้องมีธาตุรู้เกิดขึ้นได้ยิน ไม่ใช่เรา
ถึงจะค่อยๆ เข้าใจในความเป็นอนัตตาไม่ใช่เราแต่ได้ยินมีจริงๆ ได้ยินเกิดขึ้นได้ยินแล้วก็ดับไป
ผู้ฟัง ผมเป็นผู้ที่เริ่มต้นศึกษาพระธรรม เมื่อสักครู่อาจารย์พูดถึงเรื่องธาตุเป็นสิ่งที่ผมไม่เข้าใจ คือธาตุมี ๑๘ ใช่ไหม
ท่านอาจารย์ สิ่งที่มีจริงภาษาบาลีใช้คำว่าธรรมเข้าใจแล้วใช่ไหม ธา-ตุ หมายความถึงสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่ง มีลักษณะเฉพาะของสิ่งนั้นซึ่งเปลี่ยนแปลงไม่ได้ เติมคำเพื่อที่จะให้เข้าใจความหมายของสิ่งที่มีจริงว่า แม้มีจริงแต่ใครก็เปลี่ยนลักษณะของสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่งนั้นไม่ได้ จึงใช้คำว่าธาตุ หรือ ธา- ตุด้วย
เพราะฉะนั้น เห็นมีจริงๆ ใช่ไหมเป็นธรรม ถูกต้องไหม แล้วก็เป็นจักขุวิญญาณธาตุในภาษาบาลีหมายความว่าเป็นธาตุที่เกิดขึ้นเห็น ไม่ใช่ธาตุที่เกิดขึ้นได้ยิน
เพราะฉะนั้น แม้ว่าเป็นสิ่งที่มีจริงแต่หลากหลายมาก แต่ว่าถึงจะหลากหลายอย่างไรก็เปลี่ยนลักษณะที่มีจริงนั้นไม่ได้เลย
เช่นเห็นเปลี่ยนให้เป็นอย่างอื่นไม่ได้ เพราะฉะนั้น เห็นเป็นธาตุชนิดหนึ่ง และเราจะรู้ว่าเป็นธาตุอะไร เราก็บอกว่าเป็นธาตุรู้ที่ต้องอาศัยตาจึงเกิดได้ จึงเห็นได้
ถ้าไม่มีตาเห็นก็เกิดไม่ได้ เพราะฉะนั้น จากธรรมซึ่งเป็นสิ่งที่มีจริงก็แสดงธรรมแต่ละหนึ่งโดยความเป็นธาตุแต่ละหนึ่ง ซึ่ง เปลี่ยนแปลงไม่ได้เลย
โสตวิญญาณธาตุ ธาตุที่เกิดขึ้นได้ยินเสียงโดยอาศัยหู ถ้าไม่มีโสตปสาทรูปได้ยินเกิดไม่ได้ ใช่ไหม เพราะฉะนั้น เสียงมีจริงๆ เป็นธาตุหรือเปล่า
ผู้ฟัง เป็น
ท่านอาจารย์ เป็นธรรมด้วย แต่ถ้ากล่าวให้ละเอียดเป็นแต่ละหนึ่งก็แยกเป็นแต่ละธาตุ เพราะฉะนั้น โสตปสาทรูปที่สามารถกระทบเสียงได้ เป็นธรรมหรือเปล่า
ผู้ฟัง เป็น
ท่านอาจารย์ เป็นธาตุหรือเปล่า
ผู้ฟัง เป็น
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น เสียงเป็นโสตปสาทหรือเปล่า เสียงเป็นธาตุหรือเปล่า
ผู้ฟัง เสียงก็เป็นธาตุ
ท่านอาจารย์ ทั้งสองอย่างเป็นธรรมใช่ไหม แต่เสียงเป็นธาตุชนิดหนึ่ง ได้ยินเป็นธาตุอีกชนิดหนึ่ง แต่ทั้งสองเป็นธรรมสิ่งที่มีจริง
เพราะฉะนั้น ถ้าเข้าใจเรื่องธรรมสิ่งที่มีจริง ก็ขยายความไปว่าสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่งเป็นธาตุแต่ละอย่าง
ยกตัวอย่างเช่นเห็นกับสิ่งที่ปรากฏให้เห็น ทั้งสองอย่างเป็นธรรมมีจริงๆ แต่สองอย่างนั่นไม่ใช่ธาตุอย่างเดียวกัน ธาตุอย่างหนึ่งไม่รู้อะไรเลย อีกธาตุหนึ่งเกิดขึ้นต้องรู้
เพราะฉะนั้น โดยย่อ มีนามธาตุกับรูปธาตุ และนามธาตุก็หลากหลายมากเป็นแต่ละหนึ่ง รูปธาตุก็หลากหลายมากแต่ละหนึ่ง
เพราะฉะนั้น กล่าวว่าโกรธเป็นธาตุได้ไหม
ผู้ฟัง โกรธเป็นโทสะ
ท่านอาจารย์ โทสะเป็นธาตุได้ไหม
ผู้ฟัง โทสะเป็น เจตสิก
ท่านอาจารย์ ไม่ต้องไปคิดถึงชื่อก่อน มีจริงๆ ใช่ไหม เป็นธรรมแน่นอน แล้วป็นธาตุหรือเปล่า
ผู้ฟัง ก็ต้องเป็น
ท่านอาจารย์ ต้องเป็น เพราะใครเปลี่ยนลักษณะของโกรธให้เป็นอย่างอื่นไม่ได้
เพราะฉะนั้น ธรรมมีเท่าไหร่ก็มีธาตุเท่านั้น แต่มันมากเสียจนไม่รู้ว่าจะประมวลอย่างไร ก็แสดงโดยหลายนัยธาตุ ๖ ก็มี ธาตุ ๔ ก็มีธาตุ ๑๘ ก็มีไม่ต้องกังวล ทั้งหมดเป็นธาตุแต่ว่าจะแสดงโดยนัยของธาตุอะไรบ้างเท่านั้นเอง
ผู้ฟัง แล้วเราไม่ต้องคิดถึงว่ามีแค่ ๑๘ ใช่ไหม
ท่านอาจารย์ แน่นอนทั้งหมดเป็นธาตุหมดเลยแต่จำแนกตามประเภท
ผู้ฟัง เข้าใจตรง ๑๕ ธาตุแรกแต่พอถึงมโนธาตุ มโนวิญญาณธาตุนี้ไม่เข้าใจเลย
ท่านอาจารย์ อันนั้นเข้าใจชื่อ เพราะฉะนั้น ก่อนที่จะเป็นชื่อต่างๆ ให้เข้าใจธาตุเสียก่อน ทุกอย่างเป็นธรรม เพราะฉะนั้น ทุกอย่างต้องเป็นธาตุทั้งหมด ไม่มีอะไรที่ไม่ใช่ธาตุเลย
เพราะว่าความหมายของธรรมคือสิ่งที่มีจริง ความหมายของธาตุคือสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่งเปลี่ยนไม่ได้ โทสะธาตุ โลภะธาตุ ผัสสะธาตุก็ได้ ทุกอย่างที่มีจริงที่เป็นธรรมใช้คำว่าธาตุได้หมดเลย
แต่ที่จำแนกเป็นประเภทก็คือประมวลว่าธาตุซึ่งไม่สามารถจะรู้อะไรได้เป็นรูปธรรมหรือรูปธาตุก็ได้ แต่ต่อไปความละเอียดของคำว่ารูปธาตุจะบ่งชัดไปอีกนัยหนึ่งก็ได้
แต่ว่าตอนต้นๆ กว้างขวางทั่วไปไม่เปลี่ยนก็คือว่า สิ่งที่มีจริงซึ่งไม่สามารถจะรู้อะไรได้แต่เกิดขึ้นเป็นอย่างนั้นเช่นแข็ง เป็นธาตุอะไร แข็งเป็นธาตุอะไร
ปฐวีธาตุเป็นภาษาบาลี ดิน น้ำ ไฟลม ปฐวี เตโช อาโป วาโย
ปฐวีคือแข็ง เขาไม่มีคำว่าแข็งในภาษานั้น เขาใช้คำว่าปฐวี เตโชร้อน วาโยไหว เคร่งตึง อาโปคือธาตุที่เกาะกุมธาตุทั้ง ๓ แยกจากกันไม่ได้เลย ซึมซาบอยู่
นี่คือการศึกษาธรรม สำคัญที่เข้าใจ แต่ถ้าเราเอาชื่อมาก่อนไม่เข้าใจ จำแล้วก็สงสัย อย่างเช่นไปจำธาตุ ๑๘ พอถึง ๑๕ ธาตุง่ายมาก
จักขุธาตุใช่ไหม รูปธาตุ จักขุวิญญาณธาตุ ๓ แล้วใช่ไหม
จักขุหมายความถึงจักขุปสาท จักขุธาตุ ธาตุซึ่งไม่เหมือนธาตุอื่นเลยเกิดเป็นรูปก็จริงแต่เป็นรูปซึ่งสามารถที่จะกระทบกับสิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ กระทบอื่นไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น จักขุปสาทเป็นจักขุธาตุ
แล้วก็สิ่งที่ปรากฏให้เห็นเวลานี้ก็เป็นวัณธาตุหรือเป็นรูปธาตุ ใช้คำว่ารูปก็ได้ แล้วก็จิตเห็นไม่ใช่ทั้ง ๒ อย่าง ไม่ใช่จักขุปสาท ไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏ แต่เป็นธาตุที่เกิดขึ้นเห็นสิ่งที่กำลังปรากฏก็เป็นจักขุวิญญาณธาตุ
ทางตา ๓ หู ๓ จมูก ๓ ลิ้น ๓ กาย ๓ รวมเป็น ๑๕ ง่ายใช่ไหม
ผู้ฟัง ไม่ง่าย
ท่านอาจารย์ เพราะเราไปจำชื่อ แต่ถ้าบอกว่าโกรธเป็นธาตุอะไร ใช่ไหม โลภธาตุไม่ใช่ธาตุ ๑๕ นั้น และก็ไม่ใช่จิต เพราะฉะนั้น ก็เป็นธรรมธาตุ (ธัมมธาตุ)
คือประมวลธาตุอื่นๆ ที่เหลือทั้งหมดที่ไม่ใช่จิต เพราะจิตใช้คำว่ามโน หรือวิญญาณ วิญญาณธาตุ แต่ว่าสภาพอื่นที่ไม่ใช่จิตเช่นเจตสิกและรูปอื่นๆ ทั้งหมดก็เป็นธรรมธาตุ (ธัมมธาตุ)
คือการศึกษาธรรมถ้าไปเอาคำเอาชื่อมาไม่มีทางเข้าใจ แต่ถ้าเรามีความเข้าใจ เราจะรู้ว่านัยที่เป็นโวหารเทศนาละเอียดมาก ลึกซึ้งมากแล้วแต่ว่าขณะนั้นจะกล่าวถึงโดยประมวลจำนวนเท่าไหร่ แต่ว่าถ้าแยกก็ทั้งหมดเป็นธาตุ
เจตสิกทั้งหมดเป็นธาตุแต่ละหนึ่งใช่ไหม ผัสสธาตุ เวทนาธาตุได้หมดเลย แต่พอประมวลแล้วก็แล้วแต่ว่าจัดในประเภทของ ๖ หรือว่าในประเภทของ ๑๘
เมื่อวันก่อนก็มีคนที่ถามเรื่องธาตุ ๖ เห็นไหม เราก็มานั่งสงสัย ก็เราไม่ได้ศึกษา แล้วเราจะมาคิดเองหรือ แต่ถ้าศึกษาธาตุ ๖ หมายความถึงอะไรในสูตรไหน ทรงแสดงไว้เพื่ออะไร เพราะอะไร
ธาตุ ๖ หมายความถึงธาตุดิน ๑ น้ำ ๑ ไฟ ๑ ลม ๑ ดินน้ำไฟลม ๔ ธาตุ อากาศธาตุอีก ๑ มีไหม แทรกอยู่ทุกกลุ่มที่ละเอียดยิบทุกกลาป แล้วก็วิญญาณธาตุก็โดยย่อ คือว่าถ้ามีความเข้าใจแล้วอ่านสูตรไหน ตอนไหนในพระไตรปิฏกเข้าใจ
เพราะเข้าใจที่ไม่เปลี่ยนแต่ว่ารู้ว่าโดยเทศนาทรงเทศนาโดยนัยต่างๆ เพื่อให้ผู้ฟังเข้าใจไม่เปลี่ยน ไม่ใช่ตกใจว่านี่มาจากไหนนั่นคือไม่เข้าใจใช่ไหม แต่เข้าใจแล้วไม่ว่าจะแสดงโดยนัยใดผู้นั้นก็สามารถที่จะเข้าใจได้ ยังสงสัยไหม
ธาตุใดก็ตามที่ไม่ใช่รูปธาตุ ๕ และจักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ จิตที่รู้อีก ๕ ทางร่วมเป็น ๑๐ ก็เป็นมโนธาตุกับมโนวิญญาณธาตุ ๒
๕ ทางเมื่อสักครู่นี่จำแม่นเลยว่า ๑๕ ใช่ไหม เพราะฉะนั้น ทางใจก็มีมโนธาตุ มโนวิญญาณธาตุอีก ๒ เป็นเท่าไหร่ เมื่อสักครู่ ๑๕
ผู้ฟัง ๑๕ ก็เป็น ๑๗
ท่านอาจารย์ ๑๗ เพราะฉะนั้น ที่เหลืออื่นๆ ทั้งหมดเป็นธรรมธาตุ (ธัมมธาตุ) ก็เข้าใจหมดเลย แต่ต้องเข้าใจก่อน
ถ้าถามว่าโลภะเป็นธาตุอะไรใน ๑๘
ผู้ฟัง ๑๘ ก็เป็น เป็นธรรมธาตุ (ธัมมธาตุ)
ท่านอาจารย์ เป็นธรรมธาตุ (ธัมมธาตุ) ผัสสะเป็นธาตุอะไรใน ๑๘
ผู้ฟัง ก็ต้องเป็นธรรมธาตุ (ธัมมธาตุ)
ท่านอาจารย์ สุขเวทนาเป็นธาตุอะไรใน ๑๘
ผู้ฟัง ก็ต้องเป็นธรรมธาตุ (ธัมมธาตุ)
ท่านอาจารย์ ไม่เห็นยากเลย เมื่อสักครู่นี้ที่รู้สึกว่ายากแล้วสงสัยใช่ไหม
ผู้ฟัง ผมจัดกลุ่มไม่ได้
ท่านอาจารย์ นั่นแหละผม แต่ว่าถ้าเข้าใจแล้วไม่มีทางเลยที่เราจะไปจัดเอง แต่สามารถที่จะเข้าใจได้ และโดยนัยนี้แสดงเท่าไหร่อย่างไร สำคัญที่เข้าใจ มีอะไรที่ไม่ใช่ธาตุบ้าง ไม่มี
นิพพานเป็นธาตุหรือเปล่า
ผู้ฟัง น่าจะเป็นธาตุ
ท่านอาจารย์ และที่กล่าวว่าน่าจะไม่ต้องใช้คำว่าน่าจะเลย ถ้าไม่ใช่ทั้งหมด ๑๗ นั้นก็ต้องเป็นธรรมธาตุ (ธัมมธาตุ) รวมเท่านั้นเอง
แต่นิพพานก็ไม่ใช่โลภะ ไม่ใช่โทสะ ถึงแม้ว่าเป็นธรรมธาตุ (ธัมมธาตุ) จริงแต่ก็ไม่ใช่ธาตุที่เกิด ในเมื่อธรรมธาตุ (ธัมมธาตุ) อื่นเกิด แต่นิพพานไม่เกิด แต่นิพพานไม่เกิด แต่เพราะเหตุว่าไม่ใช่ที่กล่าวแล้วก็เป็นธรรมธาตุ (ธัมมธาตุ) เท่านั้นเอง
เพราะฉะนั้น ธรรมธาตุ (ธัมมธาตุ) ก็มีทั้งที่เกิด และไม่เกิด นิพพานไม่เกิด แต่ธาตุอื่นๆ ที่เกิดเป็นธรรมธาตุ (ธัมมธาตุ) มีทั้งรูปธาตุและนามธาตุรวมหมดเลย คือแยก ๑๗ นั้นออกไป ที่เหลือก็เป็นธรรมธาตุ (ธัมมธาตุ) ทั้งหมด
แต่ ๑๗ ตอนนี้ไม่มีชื่อใช่ไหม มีแต่ตัวเลข ใช่ไหม แต่ถ้าศึกษาแล้วไม่ใช่ทิ้งไว้ให้เป็นตัวเลข พูดอะไรต้องเข้าใจคำที่พูด ถ้าเข้าใจจริงๆ จะถามว่า ๑๗ นั่นอะไร เว้นเสีย ๑๕
๒ นั่นคืออะไรใช่ไหม ก็ต้องมีความเข้าใจด้วย ไม่เช่นนั้นเราจะเป็นคนที่ไม่รู้ ไม่เข้าใจจริงๆ เผินๆ เพียงแค่อยากจะจำจำนวนเท่านั้นเอง อันนั้นไม่ถูกต้อง
ไม่ต้องจำจำนวน แต่เข้าใจจำนวนบวกลบคูณหารเองได้ใช่ไหม
ผู้ฟัง เมื่อสักครู่ที่อาจารย์พูดถึงอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ผมไม่เข้าใจตรงทุกขัง
ท่านอาจารย์ บางคนอาจจะเคยได้ยินคำว่าไตรลักษณ์ลักษณะทั้ง ๓ ต้องรู้ว่าลักษณะทั้ง ๓ ของทุกอย่างที่เกิด เมื่อเกิดแล้วไม่เที่ยงดับไปเป็นอนิจจัง
แล้วสภาพธรรมที่ดับไปไม่กลับมาอีกเลยควรยินดีหรือ หลงชอบแต่หาอีกไม่ได้เลยสังสารวัฏฏ์ หมดแล้วไม่กลับไปอีก
ไม่ใช่เป็นสิ่งที่ควรยินดีจึงเป็นทุกข์ ลักษณะที่ไม่เที่ยงที่จะใช้คำว่าเบียดเบียนหรืออะไรก็ตามแต่หมายความว่าไม่ สามารถที่จะตั้งมั่นคงได้ ลักษณะนั้นเองเกิดแล้วต้องดับ
แล้วก็เป็นอนัตตาหมายความว่าไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร และไม่ใช่ใคร
เพราะฉะนั้น ลักษณะทั้ง ๓ ใช้คำว่าไตรลักษณะ หรือไตร หรือติ ลักขณะในภาษาบาลี หมายความถึง ๓ ลักษณะนี้ไม่แยกจากกันเลย เป็นลักษณะของสภาพธรรมใดๆ ที่เกิดต้องดับทั้งหมดเป็นลักขณะ ๓ อย่างนี้จะไม่ขาดสักลักษณะเดียว
สิ่งใดที่เกิดสิ่งนั้นดับเป็นทุกข์ และก็ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา เพราะฉะนั้น นิพพานมีอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาไหม เป็นหรือเปล่า
ผู้ฟัง นิพพานไม่มี
ท่านอาจารย์ หมายความว่า ยังไม่มั่นคง ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตาไม่เว้นรวมนิพพานด้วย เพราะฉะนั้น จะมีคำว่าสัพเพ สังขารา อนิจจา สัพเพสังขารา ทุกขา สัพเพธัมมา อนัตตา ธรรมทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นสังขารธรรมหรือไม่ใช่ก็เป็นอนัตตา
ต้องละเอียดมากๆ เพื่อความเข้าใจที่มั่นคง ถ้าไม่มั่นคงเดี๋ยวนี้กำลังเป็นอย่างนี้ ก็ไม่สามารถที่จะเข้าใจได้เพราะไม่มั่นคง
ผู้ฟัง ธาตุมีความต่างในสภาวะและลักษณะ คราวนี้นี้มีประโยคที่ว่า ความต่างแห่งธาตุ ความต่างแห่งผัสสะ ขอเรียนถามท่านอาจารย์
ท่านอาจารย์ ขณะนี้ที่เห็นมีผัสสะไหม
ผู้ฟัง มี
ท่านอาจารย์ ผัสสะเป็นอะไร
ผู้ฟัง เป็นเจตสิก
ท่านอาจารย์ เจตสิกชนิดไหน
ผู้ฟัง สัพพจิตสาธารณเจตสิก
ท่านอาจารย์ ภาษาไทย
ภาษาไทยกับภาษาบาลีไม่ได้ต่างกันเลย แต่คนไทยพอเรียนธรรมและไม่พูดภาษาไทยแล้วพูดภาษาบาลี แต่ไม่ต้องพูดภาษาบาลีจะได้ไม่ลืมว่าความหมายคืออะไร
ผู้ฟัง เป็นเจตสิกที่เกิดกับจิตทุกดวง
ท่านอาจารย์ ไม่เปลี่ยนใช่ไหม
ผู้ฟัง ไม่เปลี่ยน
ท่านอาจารย์ ผัสสเจตสิกเกิดกับจิตทุกขณะเพราะเหตุว่า ผัสสะคืออะไร
ผู้ฟัง เป็นธรรมที่รับกระทบแล้วก็เกิดกับจิตทุกดวง
ท่านอาจารย์ เป็นสภาพเจตสิกที่กระทบสิ่งที่จิตรู้ใช่ไหม เมื่อมีธาตุรู้คือจิต เราก็จะมีอีกคำหนึ่งสำหรับสิ่งที่จิตรู้คืออารัมมณะหรืออาลัมพณะหมายความถึงสิ่งที่จิตรู้ จะมีสภาพรู้เกิดขึ้นโดยไม่มีสิ่งที่ถูกรู้ไม่ได้
เพราะฉะนั้น เมื่อไหร่มีจิตเกิดขึ้นรู้ ต้องมีสิ่งที่จิตนั้นขณะนั้นกำลังรู้ใช้คำว่าอารมณ์ของจิตหมายความถึงสิ่งที่ถูกจิตรู้ เพราะฉะนั้น จิตเกิดขึ้นหนึ่งขณะ จะต้องประกอบด้วยเจตสิกสภาพนามธรรมซึ่งเกิดกับจิต แต่ไม่ใช่จิต จึงใช้คำว่าเจตสิก
จิตหนึ่งขณะเกิดขึ้นต้องมีเจตสิกเกิดร่วมด้วยอย่างน้อยที่สุด ๗ เพราะฉะนั้น ที่คุณพรทิพย์บอกว่าผัสสะเจตสิกเกิดกับจิตทุกขณะ ภาษาบาลีว่าสัพพจิตตสาธารณเจตสิต
ยาว แต่คนไทยก็เข้าใจได้สัพพจิตตสาธารณเจตสิก ภาษาบาลีแปลจากข้างหลังมาข้างหน้าก็เป็นสัพพจิตตสาธารณ
เจตสิกที่สาธารณะกับจิตทุกประเภท ต้องเกิดกับจิตทุกขณะคือผัสสเจตสิก เพราะฉะนั้น ขณะที่กำลังเห็นเป็นอะไร ขณะเห็น กำลังเห็นเป็นคุณพรทิพย์หรือว่าเป็นธรรม หรือเป็นธาตุ หรือเป็นอะไร
ผู้ฟัง เป็นธาตุ
ท่านอาจารย์ เป็นธาตุ ไม่ใช่คุณพรทิพย์เป็นธรรม เพราะฉะนั้น เดี๋ยวนี้เห็นเป็นธรรมประเภทไหน
ผู้ฟัง เป็นธรรมที่เป็นผลของกรรม
ท่านอาจารย์ ยังไม่พูดถึงผลของกรรม เป็นธรรมประเภทไหน
ผู้ฟัง เป็นนามธรรม
ท่านอาจารย์ นามธรรมประเภทไหน
ผู้ฟัง ประเภทจิต
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ถึงแม้ว่าจะเป็นนามธรรมน ก็มี ๒ อย่างคือนามธรรมที่เป็นจิตหนึ่ง และนามธรรมที่เป็นเจตสิกหนึ่ง
ธรรมเพื่อเข้าใจ ต้องศึกษาให้เข้าใจจริงๆ จิตเป็นธาตุที่เป็นใหญ่ในการรู้แจ้งสิ่งที่กำลังปรากฏ ไม่รัก ไม่ชัง ไม่จำ ไม่อะไรเลยมีหน้าที่อย่างเดียวคือเห็น ได้ยิน ได้กลิ่นลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสเป็นต้น
ส่วนจิตเกิดขึ้นขณะใด ต้องมีเจตสิกเป็นปัจจัยอาศัยกันและกันปรุงแต่งให้สภาพนั้นเกิดขึ้น แม้แต่จิตเห็นจะเกิดโดยไม่มีเจตสิกไม่ได้ เจตสิกเกิดโดยไม่มีจิตเกิดก็ไม่ได้ใช่ไหม
เพราะฉะนั้น ผัสสะเป็นธรรมประเภทไหน
ผู้ฟัง เป็นนามธรรม
ท่านอาจารย์ เป็นนามธรรมประเภทไหน
ผู้ฟัง ประเภทเจตสิก
ท่านอาจารย์ เป็นเจตสิก ถ้าพูดถึงธรรม ก็เป็นรูปธรรมกับนามธรรม ธรรมที่เกิด เพราะฉะนั้น นามธรรมที่เกิดต้องมี ๒ อย่างคือจิต และเจตสิก แต่เจตสิกมีถึง ๕๒ ประเภท และจิตหนึ่งขณะจะเกิดต้องมีเจตสิกเกิดร่วมด้วยอย่างน้อย ๗ ประเภท ใน ๗ ประเภทนั้นมีผัสสเจตสิกอยู่ด้วยใช่ไหม แล้วเดี๋ยวนี้อะไรปรากฏ
ผู้ฟัง สิ่งที่ปรากฏทางตา
ท่านอาจารย์ เท่านั้นใช่ไหมทั้งๆ ที่จิตเห็นก็กำลังเห็นก็ไม่รู้ และเจตสิกที่เกิดกับจิตเท่าไหร่ก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้น คำถามของคุณพรทิพย์คือ
ผู้ฟัง คือที่สงสัยเพราะว่าแต่ละหนึ่งต่างกัน
ท่านอาจารย์ ถูกต้อง
ผู้ฟัง ต่างกันเพราะผัสสะ
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น จิตเห็นไม่ใช่จิตได้ยินเพราะอะไร
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1921
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1922
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1923
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1924
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1925
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1926
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1927
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1928
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1929
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1930
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1931
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1932
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1933
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1934
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1935
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1936
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1937
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1938
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1939
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1940
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1941
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1942
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1943
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1944
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1945
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1946
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1947
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1948
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1949
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1950
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1951
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1952
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1953
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1954
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1955
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1956
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1957
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1958
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1959
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1960
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1961
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1962
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1963
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1964
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1965
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1966
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1967
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1968
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1969
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1970
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1971
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1972
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1973
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1974
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1975
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1976
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1977
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1978
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1979
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1980
