ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1935


    ตอนที่ ๑๙๓๕

    สนทนาธรรม ระหว่างเดินทางไปนมัสการสังเวชนียสถาน ประเทศอินเดีย

    วันที่ ๑๕ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๗


    ท่านอาจารย์ คำถามทั้งหมดนั้นก็มาจากความไม่รู้ อีกสักครู่ได้อุทิศส่วนกุศลให้พระเจ้าอโศกดีไหมคุณพรทิพย์

    หลังจากที่ฟังแล้วพระเจ้าอโศกท่านก็ยังไม่ปรินิพพานแน่นอน แต่ว่าเราได้มาถึงเมืองซึ่งในอดีตกาลหลังจากที่ปรินิพพานไปแล้วไม่นานเลย ๒๐๐ กว่าปีเท่านั้นเอง ก็ได้มีการสังคายนาพระธรรมเป็นครั้งที่ ๓ ที่ทำให้มีการจารึกเป็นตัวอักษร

    แล้วพระเจ้าอโศกท่านก็มีคุณต่อพระศาสนามากมาย ส่งพระภิกษุไปเผยแพร่ตามทิศต่างๆ ซึ่งแม้แต่โอรสของท่านคือพระมหินทเถระ และพระนางสังฆมิตตาเถรี ก็ได้ไปเผยแพร่ที่ประเทศศรีลังกา สำหรับสุวรรณภูมินั้นก็มี นี่ก็เป็นเรื่องของประวัติศาสตร์ในอดีตแต่ได้เห็นคุณ

    เพราะฉะนั้น การศึกษาธรรมในขณะเพื่อให้เห็นพระปัญญาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า เราเคยมีทุกอย่างแต่ความจริงๆ หรือ แล้วก็มีหรือ แล้วก็เป็นเราจริงหรือ

    ทั้งหมดนี้ต้องเข้าใจเป็นพื้นฐานตั้งแต่ต้นไม่อย่างนั้นไม่มีทางที่จะเข้าใจธรรมคือสิ่งที่กำลังมีจริงๆ ในขณะนี้

    เพราะฉะนั้น ตอนนี้มีผู้ที่คิดถึงพระเจ้าอโศกแล้วเราก็ฟังธรรมวันนี้จะอุทิศส่วนกุศลให้พระเจ้าอโศกไหม แต่ว่าท่านจะอนุโมทนาหรือไม่ ก็ไม่รู้ใช่ไหม แต่กุศลใดๆ ที่ได้ทำแล้วก็สามารถที่จะอุทิศให้บุคคลที่เราเคารพนับถือได้

    เพราะฉะนั้น เกิดมาต้องมีคนที่มีคุณความดีต่อเรา ตั้งแต่เกิดนี่แน่นอนใช่ไหม เมื่อมีเราก็ต้องมีผู้ที่มีคุณที่ทำให้เราเกิด แล้วก็ยังเลี้ยงดูเรามาโดยตลอดด้วย แต่ทั้งหมดเป็นธรรม แม้แต่ที่ว่าเราเกิดหรือท่านผู้ที่ให้กำเนิดเรา ก็คือธรรมทั้งหมด

    ถ้าไม่มีสิ่งที่มีจริงคือธาตุรู้เดี๋ยวนี้เองกำลังเห็น กำลังได้ยินทั้งหมด ถ้าไม่มีการเกิดเลย จะมีเห็น จะมีได้ยินไหม ก็ไม่มี เพราะฉะนั้น ต้องรู้ตั้งแต่ต้นว่าตามความเป็นจริงแล้ว โลกยังไม่มีอะไรเลย ได้ไหม

    ตามความเป็นจริง ย้อนไปตั้งแต่ยุคไหนก็ตาม ซึ่งว่างเปล่า แล้วก็มีโลกยังไม่มีมนุษย์แต่ว่ามีอุตุ มีธาตุเย็น ร้อน อ่อน แข็งมีอะไรต่างๆ มีพืชพันธุ์ธัญญาหาร

    ขณะใดที่ยังไม่มีอะไรเลย ไม่มีโลกแน่ แต่ว่าเมื่อมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้นนั่นแหละ "โลก" แต่ว่าโลกวันนี้ มีสิ่งซึ่งมีปัจจัยเกิดขึ้นมากมายรวดเร็ว สืบต่อแน่นหนา จนกระทั่งปิดบังไม่ให้รู้ว่าแท้ที่จริงแล้วก็คือว่า สิ่งที่มีจริงที่กล่าวว่าเป็นธรรม ต่างหากที่มีจริงๆ แล้วเกิดขึ้น ซึ่งถ้าไม่มีธรรมที่มีจริงๆ เกิดขึ้น อะไรๆ ก็ไม่มีเลย

    แต่ว่าธรรมนี้ก็มี ๒ อย่าง สิ่งที่มีจริงอย่างหนึ่งเกิดขึ้นเป็นอย่างนั้น แต่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย การฟังธรรมที่ต้องฟังตั้งแต่ต้นจริงๆ แล้วก็จะตอบปัญหา แม้แต่ว่าเรามารดาบิดาของเรา วงศาคณาญาติของเรา หรือบุคคลในครั้งอดีตจนถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และต่อไปก็ต้องเป็นธรรมทั้งหมด

    เพราะฉะนั้น สิ่งที่มีจริงเริ่มแล้ว เริ่มอีก เมื่อวานนี้พูดแล้ว ก็พูดอีก แต่การฟังธรรมก็คือว่าเพื่อให้เข้าไปถึงในใจ เพื่อที่จะสะสมไว้ แล้วผลก็คือว่าสิ่งที่เราได้ยินได้ฟัง แม้น้อย แล้วก็มีสิ่งอื่นที่คุ้นเคยมากกว่าที่ทำให้เราคิดถึงมากกว่า แม้มากก็จริง แต่ไม่ประมาทการสะสมความเข้าใจแม้เพียงทีละเล็กทีละน้อย วันหนึ่งต้องมาก เหมือนสิ่งที่มีมากแล้วทำให้เราคิดถึงบ่อยๆ ธรรมที่ค่อยๆ สะสมไป ก็จะทำให้เราไม่ลืม แล้วก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้น แต่ต้องเป็นผู้ที่ตรงที่จะรู้ว่าเข้าใจแค่ไหน เข้าใจจริงๆ หรือเปล่า ถ้าเข้าใจจริงๆ เริ่มตั้งแต่ไม่สงสัยในคำว่าธรรม ซึ่งไม่ใช่เป็นคำที่ไม่มีความหมายแต่หมายความถึงสิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้ และทุกๆ ขณะเมื่อมีปัจจัยจึงเกิดขึ้นให้รู้ว่าสิ่งนั้นมีจริง

    เพราะฉะนั้น สิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้กำลังถูกเห็น เพราะมีเห็นใช่ไหม เห็นก็มีจริงๆ สิ่งที่ปรากฏให้เห็นก็มีจริง ปฏิเสธไม่ได้เลย ไม่ต้องเรียกชื่ออะไรทั้งสิ้น แค่หลับตาสิ่งที่ปรากฏเมื่อครู่นี้ที่ลืมตาก็ไม่มี เพราะฉะนั้น ๒ อย่างนี้ ต้องต่างกันแล้วใช่ไหม สิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ กับสิ่งที่ไม่ได้ปรากฏให้เห็น เพราะฉนั้น เห็นมีจริง แต่ไม่ได้ปรากฏให้เห็น ไม่มีรูปร่าง ไม่มีสัณฐานเลย แต่เป็นธาตุรู้ เพราะฉะนั้น สิ่งที่มีจริงซึ่งใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ไม่ให้เกิดก็ไม่ได้ ใครจะไปบังคับธรรม ซึ่งเป็นอย่างนั้นจริงๆ คือ เกิดขึ้นแล้วไม่รู้อะไร

    พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ความจริงนี้แล้ว ก็ทรงบัญญัติเรียกสภาพธรรมทั้งหมดซึ่งไม่สามารถจะรู้อะไรเลยว่า รูปธรรม แต่ถ้าไม่มีธาตุหรือธรรมอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งเกิดแล้วต้องรู้ทันที แต่ว่าไม่มีรูปใดๆ เจือปนเลยทั้งสิ้น แล้วใครจะไม่ให้ธาตุนี้มี ก็ไม่ได้ ในเมื่อรูปธาตุเกิดมีได้ ธาตุรู้ก็ต้องเกิดมีได้ แต่ก็ต่างกัน ธาตุรู้เกิดขึ้นต้องรู้ ส่วนสภาพที่เป็นรูปธรรมเกิดจริงแต่ไม่รู้อะไร ๒ อย่างนี้ เป็นธรรมเหมือนกัน

    เหมือนกันคือเป็นธรรม คือสิ่งที่มีจริง แต่แตกต่างหลากหลายมาก ธาตุที่รู้จะกลับกลายเป็นไม่รู้ไม่ได้ และธาตุที่ไม่รู้จะกลับกลายเป็นธาตุรู้ก็ไม่ได้ เกิดขึ้นนิดเดียวแล้วก็หมดไป นี่คือสภาพธรรมที่มีจริง แต่ไม่รู้อะไรเป็นรูปธรรม ใช้คำว่า "รูปธรรม" แยกให้รู้ว่าธรรมมีจริง แต่เป็นความจริง ๒ อย่าง คืออย่างหนึ่งเป็นรูปธรรม และอีกอย่างหนึ่งซึ่งเป็นธาตุรู้ ในเบื้องต้นขอให้เข้าใจตั้งแต่ต้นว่าหมายความถึงนามธรรม

    เพราะฉะนั้น ถ้าศึกษาธรรม ภาษาอื่นจะใช้คำนี้ในความหมายอื่น เราก็รู้ว่านั่นไม่ใช่ความหมายตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงความจริงของธรรม เพราะว่าประเทศไทยคนไทยชอบเอาภาษาบาลีมาใช้มากเลย แต่ไม่ได้เอาความหมายที่ถูกต้องมาด้วย แม้แต่คำว่ารูปธรรม คำว่านามธรรมนี่ก็แสดงให้เห็นว่าการศึกษาธรรมต้องไม่คิดเอง เริ่มใหม่จริงๆ ลืมเก่าหมดที่เคยคิดเองทั้งหมดแล้วก็ฟังแต่ละคำ แต่ละคำจริงๆ กว่าจะถึงคำตอบของคุณอรวรรณ

    เรื่องพ่อแม่มีจริงไหมใช่ไหม ทบทวนคำถามอีกทีได้ไหม ช้าๆ สั้นๆ เป็นตอนๆ ด้วย

    ผู้ฟัง อย่างสืบเนื่องจากคำถามคุณอรวรรณ ก็บอกว่าศึกษาธรรมแล้วสิ่งที่มีจริงก็คือเห็นได้ยิน ไม่มีพ่อแม่ ไม่มีลูก

    ท่านอาจารย์ สิ่งที่มีจริงไม่มีพ่อแม่ ไม่มีลูก แล้วมีอะไรเห็นไหม ทุกคำต้องยืนยัน เราพูดคำว่าสิ่งที่มีจริงหมายความว่าเราเข้าใจคำนี้จึงพูดคำนี้ได้

    เพราะฉะนั้น สิ่งที่มีจริงเราต้องรู้ว่ามี ไม่มีพ่อมีแม่ใช่ไหม คุณอรวรรณพูดอีกครั้งหนึ่งเรื่องพ่อแม่

    ผู้ฟัง ไม่มีลูก ไม่มีพ่อแม่

    ท่านอาจารย์ สิ่งที่มีจริงไม่มีลูก ไม่มีพ่อ ไม่มีแม่จริงไหม จริงใช่ไหม เห็นมีแม่มีพ่อไหม ไม่มี เสียงมีแม่ มีพ่อไหม ไม่มี

    เพราะฉะนั้น สิ่งที่มีจริง ต้องจริง เพราะฉะนั้น ที่เข้าใจว่าเราคนนี้ ก็ต้องมีพ่อ มีแม่ แต่เราคนนี้ ความจริงที่เป็นเรา คืออะไร และความจริงที่เป็นพ่อ เป็นแม่ คืออะไรทั้งหมดจะต้องสามารถตอบได้

    ผู้ฟัง ถ้าจะการศึกษาก็คือ เป็นจิต เป็นเจตสิก เป็นรูปธรรม แล้วก็เกิดดับไป เช่นเห็นก็เป็นจิต ไม่ใช่เราเห็น ไม่ใช่พ่อแม่เห็น

    ท่านอาจารย์ แล้วอย่างไร แล้วตกลงเราจะมีพ่อมีแม่ไหม ถ้าไม่มีผู้ให้กำเนิดก็ไม่มีเรา แล้วก็ยังเลี้ยงดูอุปการะ จนเราเป็นเราวันนี้ จากใคร เพราะฉะนั้น ความดีมี ความดีของใคร เราก็สามารถที่จะบัญญัติเรียกได้ พ่อก็มีคุณ เเม่ก็มีคุณ ปู่ย่าตายายก็มีคุณ ครูบาอาจารย์มิตรสหายก็มีคุณ เพราะฉะนั้น ความดีมีจริง

    เพราะฉะนั้น นอกจากจะมีสภาพธรรมที่มีจริงๆ เช่นเห็น เช่นได้ยินแล้ว ก็ยังมีสภาพธรรมอื่นเป็นสภาพธรรมฝ่ายดี คุณงามความดีต่างๆ เป็นสภาพธรรมฝ่ายไม่ดีก็คือความไม่ดีต่างๆ เพราะฉะนั้น แท้ที่จริงแล้วที่เราเรียกว่าเรา หรือคนนั้น หรือคนนี้ หรือพ่อแม่ ก็แล้วแต่สะสมที่จะเป็นอย่างไร เป็นความดีในฐานะพ่อ เป็นความดีในฐานะแม่ เป็นความดีในฐานะลูกด้วย เป็นความดีในฐานะเพื่อนฝูงด้วย เป็นความดีในฐานะครูอาจารย์มิตรสหายด้วย เพราะฉะนั้น ความดีก็คือความดี สูงสุดของความดีคือพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มีไหมพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มี ต้องมีหมายถึงความดีที่สูงสุดซึ่งไม่มีผู้ใดจะเปรียบได้เลย เพราะฉะนั้น ก็พูดถึงสิ่งที่มีจริงทั้งหมดโดยนัยประการต่างๆ

    ผู้ฟัง นั่นหมายความว่า อย่างพ่อแม่ก็เป็นผู้มีพระคุณเลี้ยงเรามา หมายความว่าก็เข้าใจว่ากล่าวเช่นนี้ก็รู้ว่า หมายถึงความดีๆ ที่เลี้ยงลูกมา ก็เรียกว่าพ่อแม่ คือตกลงหรือบัญญัติด้วยประการนั้นๆ ให้เข้าใจว่าเป็นเช่นนั้น แต่ก็ไม่พ้นจิต เจตสิก รูป ที่ศึกษาเข้าใจ

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์กล่าวถึงอกุศล ก็จะทราบเลยว่าอกุศลมันมากมายจนเราต้องไปค้นหากุศล โดยที่เราไม่รู้จักอกุศล

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น จะทำอย่างไรก็ตามแต่ กี่ชาติๆ สามารถที่จะเข้าใจความจริง อย่างที่กำลังฟังพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงหรือเปล่า เพราะฉะนั้น บุญที่เหนือบุญใดๆ ก็คือมีโอกาสได้ฟังวาจาสัจจะคำจริงซึ่งทำให้เกิดญาณสัจจะ ความเห็นถูกต้องในเมื่อได้ฟังแล้วก็สามารถที่จะรู้ว่าแท้ที่จริงแล้ว จากความไม่รู้เลย กี่ชาติแล้วที่โลกมืดเพราะไม่รู้อะไรเลย มาเริ่มมีความเห็นความเข้าใจที่ถูกต้องว่าแท้ที่จริงแล้วสิ่งที่มีทั้งหมด มีชั่วคราวเมื่อเกิดขึ้น แต่ก็ดับไปเร็วสุดที่จะประมาณได้ แล้วก็จะค่อยๆ ได้ฟังพระธรรมที่ละเอียดขึ้นๆ จนกระทั่งสามารถที่จะเข้าใจความหมายของคำว่าอนัตตา ไม่มีอะไรที่จะเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ที่เที่ยงยั่งยืน แต่ว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่ปรากฏในขณะนี้ ปรากฏเร็วมากแล้วก็ดับเร็วมาก แต่ก็สืบต่อเร็วมากเหมือนนายมายากล

    เพราะฉะนั้น ทรงอุปมาวิญญาณเหมือนกับนายมายากลซึ่งสามารถที่จะลวงให้เห็นสิ่งที่มี แต่เกิดดับอย่างรวดเร็วด้วยความไม่รู้ว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดซึ่งเที่ยง เป็นคนนี้มาตั้งแต่เกิดใช่ไหม ยังไม่เป็นคนอื่นเลยแต่ก็เป็นคนได้อยู่อีกไม่นาน ที่สำคัญที่สุดก็คือว่าแล้วต่อไปจะเป็นอะไร เพราะฉะนั้น โอกาสที่จะได้ฟังพระธรรมเป็นโอกาสที่ยากยิ่ง เพราะเหตุว่ากว่าที่จะได้มีโอกาสฟังสิ่งที่บุคคลผู้เลิศประเสริฐสุดต้องบำเพ็ญพระบารมีถึงสี่อสงไขยแสนกัป นานยิ่งกว่าเราคิด เราบอกว่าเราฟังธรรมมาตั้งนานยังไม่ค่อยเข้าใจ หรือบางคนก็บอกว่าฟังมาตั้งสามสี่สิบปี แล้วเมื่อไรจะได้รู้การเกิดดับของสภาพธรรม

    แล้วคนที่ได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรมแต่ละท่าน หนึ่งแสนกัป ไม่ใช่หนึ่งวันสองวัน ยิ่งฟังยิ่งเห็นตามความเป็นจริง จะไม่ถูกลวงไปด้วยความยึดถือในความเป็นเราอยากจะเข้าใจ แต่ว่าอยากเมื่อไหร่ก็เป็นไม่เข้าใจเมื่อนั้น เพราะเหตุว่าสภาพธรรมที่เกิดขึ้นไม่สามารถที่จะสำเร็จลุล่วงไปด้วยความอยากที่จะให้เป็นอย่างที่ต้องการ แต่ว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามเกิดแล้วเป็นอื่นไม่ได้

    นอกจากเป็นตามที่มีปัจจัยทำให้เป็นอย่างนั้น เลิกหวังเลิกทุกอย่างหมด เปลี่ยนแปลงอะไรก็ไม่ได้ แต่ว่ามีโอกาสได้ฟังแล้วก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้น อยากได้ปัญญาแต่ไม่คิดถึงกิเลสที่เกิดแล้ว วันนี้มีอีกมากด้วย ไม่รู้ว่ากิเลสหน้าไหน แบบไหนรูปร่างอย่างไรจะปรากฏ เหมือนมีหน้ากากมา เปลี่ยนไปเรื่อยๆ แต่ละแบบใช่ไหม ซึ่งลวงไม่ให้เห็น ว่าแท้ที่จริงแล้วไม่มีอะไรเลยนอกจากธรรม แต่ว่าถูกปิดบังมากด้วยความไม่รู้

    ผู้ฟัง เมื่อวานได้สนทนาธรรมถึงธาตุรู้ เพราะฉะนั้น สัตว์บุคคลตัวตนจริงๆ แล้วก็ไม่มี แต่ว่าในสภาพความเป็นจริง ยังมีลูก ยังมีบิดามารดา จะอธิบายให้ลูกเข้าใจถึงตัวเราที่เป็นแม่ แล้วก็ความผูกพันระหว่างลูกกับแม่อย่างนี้

    ท่านอาจารย์ ก็ถามลูกว่ารู้จักธรรมไหม เคยได้ยินคำว่าธรรมไหม คำตอบมี แต่ต้องเข้าใจตั้งแต่ต้น แล้วก็ให้เขาฟัง ถ้าเขาไม่เข้าใจก็อธิบาย ข้อสำคัญที่สุดธรรมไม่ง่าย แม้แต่คำที่ใช้ อย่างคุณสุกัญญาใช้คำว่ารักลูก ผูกพันลูกเป็นสิ่งที่มีจริงแน่นอน แต่ว่าต้องเข้าใจมากกว่านั้นว่า เป็นกุศลหรือเป็นอกุศล ดีหรือไม่ดี แล้วต้องเป็นคนตรง ด้วย เป็นอกุศล ไม่ให้รักลูก ไม่ให้ผูกพันลูกได้ไหม ไม่ได้

    ผู้ฟัง ไม่ได้แต่รู้ว่าเป็นสิ่งที่มีจริง

    ท่านอาจารย์ รู้ว่าเป็นสิ่งที่มีจริงซึ่งเป็นโทษหรือเป็นประโยชน์

    ผู้ฟัง เป็นโทษเพราะเป็นอกุศล

    ท่านอาจารย์ เพราะเปลี่ยนแปลงธรรมไม่ได้เลย รักลูกผูกพันลูก ฟังดูเหมือนดี แต่ว่าเป็นโทษจริงๆ เพราะเหตุว่าไม่ใช่เมตตาลูก สองอย่างนี้ต่างกันอย่างมากเหมือนสุดขั้ว รักอยู่ซ้าย เมตตาก็อยู่ขวา ห่างไกลกันจริงๆ แต่ความไม่รู้ทำให้คิดว่ารักนั่นแหละเป็นเมตตา แต่ความจริงเข้าใจผิดเพราะเหตุว่าความรักคือความติดข้อง ความผูกพันความต้องการ ความไม่อยากพลัดพราก แต่ว่าถ้าพลัดพรากแล้วสุขหรือทุกข์ เพราะเหตุว่าความรักเป็นเหตุนำมาซึ่งความทุกข์ ถ้าจะไม่ทุกข์ก็คือว่าไม่ผูกพัน ไม่รัก ไม่ติดข้อง แต่เมตตามีประโยชน์กว่ามากไม่ให้โทษตั้งแต่ต้นจนถึงกี่วันกี่เดือนกี่ปีตลอดไป ก็ไม่เคยให้สิ่งที่ทำให้เดือดร้อนเลย

    ไม่ต้องร้องไห้เพราะเมตตาใช่ไหม แน่นอน ถ้าเมตตาจริงๆ ก็เบิกบานยิ้มแย้มแจ่มใส แต่ยาก เพราะฉะนั้น บางคนพอได้ยินคำว่าเมตตาอยากมีแล้วทำอย่างไร "อยาก" ก็เป็นเจ้านายครองชีวิตครองโลกมาตลอด ทุกครั้ง วันนี้มีมากไหม ไม่รู้เลย อยู่ซ้าย อยู่ขวา อยู่หน้า อยู่หลัง มีอยู่ตลอดเวลา แต่อาศัยพระธรรมค่อยๆ เข้าใจถูกต้องขึ้นว่าแท้ที่จริงแล้วธรรมมีหลากหลายมาก แต่ธรรมฝ่ายดีกับธรรมฝ่ายไม่ดี ต่างกันมาก

    เพราะฉะนั้น เมตตาคือความเป็นมิตร บางทีจะได้ยินคำว่ามิตรในเรือน ไม่ต้องไปนอกบ้านเลย อยู่ในบ้านแท้ๆ จะเป็นศัตรูกัน หรือว่าจะเป็นมิตรกัน ถ้าเป็นมิตรในเรือนสบายมาก เรือนนั้นอบอุ่นมีแต่ความหวังดี ซึ่งไม่ทำให้เดือดร้อนเลย ต้องรู้ว่าขณะไหนที่เดือดร้อนขณะนั้นไม่ใช่มิตร และก็ไม่ใช่กุศลด้วยแต่เป็นความผูกพันซึ่งเป็นโทษ เพราะฉะนั้น เมื่อเห็นภัยอย่างนี้สามารถที่จะเข้าใจถูกต้องว่าเมตตาคล้ายกับโลภะหรือความติดข้องมากแต่ว่ามีคุณ และก็มีประโยชน์ไม่มีโทษเลย

    เพราะฉะนั้น พอเทียบดูแล้วก็ สามารถที่จะมีความรู้สึก และความประพฤติต่อบุคคลซึ่งเคยเป็นที่รักด้วยความเมตตา ซึ่งขณะนั้นก็จะปลอดภัยตั้งแต่เริ่มมีเมตตาว่าไม่เดือดร้อนเลย แล้วก็ไม่เดือดร้อนต่อไปแต่ก็ไม่ง่ายเพราะเหตุว่าตรงกันข้ามกับอกุศลซึ่งเป็นโลภะ เพราะฉะนั้น กุศลไม่ต้องนอกบ้านเลยก็ได้ใช่ไหม อยู่ในบ้านก็เป็นกุศลได้ด้วยปัญญา เพราะฉะนั้น แสดงให้เห็นว่าพระธรรมสามารถที่จะคุ้มครองอารักขาไม่ให้จิตเศร้าหมอง ไม่ให้เป็นทุกข์ ไม่ให้เป็นอกุศล แต่ต้องเพราะปัญญามีความเข้าใจถูกมีความเห็นถูก

    เมตตาเป็นการกระทำซึ่งดูเหมือนเป็นโลภะ แต่ความต่างกันก็คือว่าการกระทำของโลภะเป็นไปด้วยความติดข้องผูกพัน แต่การกระทำของเมตตาเป็นไปด้วยความหวังดีที่จะให้บุคคลได้สิ่งที่เป็นประโยชน์โดยที่ไม่มีความผูกพัน

    เพราะฉนั้น ในบ้านแผ่เมตตาหรือเจริญเมตตายังไม่ได้เลยใช่ไหม เพียงแต่ว่ามีเมตตาเกิดหรือเปล่าวันนี้ เพราะว่าตื่นมาก็เห็นคนในบ้านแล้ว เมตตาเริ่มได้เลย บางคนเป็นผู้ที่สะสมเมตตา แม้ว่าจะไม่ได้ฟังธรรมแต่มีความอาทรด้วยความห่วงใย หรือหวังดีต่อพี่บ้าง น้องบ้าง ต่อคนในบ้านบ้าง แสดงให้เห็นถึงการสะสมของสภาพธรรมที่เป็นกุศล

    ซึ่งตรงกันข้ามบางคนอาจจะคิดว่าเขาหวังดีเหลือเกิน เขาอยากจะพูด เขาอยากจะสอน เขาอยากจะบอก แต่ขณะนั้นด้วยโลภะ เพราะฉนั้น เดือดร้อนใจเวลาที่คนอื่นไม่เป็นอย่างที่ต้องการ คนฟังก็พลอยเดือดร้อนไปด้วย ชีวิตจริงๆ เลยยิ่งกว่านิยายมาก ถ้าอีกพันปี เราทุกคนก็เหมือนชีวิตในชาดก

    ถ้าเป็นผู้ที่ได้ฟังพระธรรมแล้วก็มีการฟังธรรม มีการพบปะกันแต่ละชีวิตก็หลากหลายมาก ใครก็ไม่ได้บอกใครละเอียด แต่ว่าความจริงใจหรือส่วนที่ปรากฏในชาดกต่างๆ ถอยไปนานกว่านี้มากเพราะว่าท่านเหล่านั้นบำเพ็ญบารมีปัญญาที่จะรู้ความจริง แต่กว่าที่จะรู้ความจริงได้ชีวิตก็ผันแปรไปทุกชาติหลากหลายมาก

    เพราะฉะนั้น ชาตินี้ตั้งแต่เราเดินทางมาหลากหลายเหลือเกินเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับแต่ละคน กระเป๋าหายก็มีแล้วไม่ใช่หายครั้งเดียว เดี๋ยวคนโน้นเดี๋ยวคนนี้ก็มี แล้วแต่ละคนก็มีแต่ละเรื่อง

    ชาดกละเอียดมาก มากมายอีกพันปีเท่านั้นถ้าใครสามารถที่จะรู้ได้ แต่ก็เป็นความจริงในวันนี้ซึ่งยังไม่ถึงพันปีหรือร้อยปีข้างหน้า นี่แสดงถึงความหลากหลายของธรรมมาก กว่าจะได้เข้าใจธรรม กว่าจะได้ค่อยๆ อบรมปัญญาเห็นโทษของอกุศล และกุศลทั้งหลายก็เริ่มประพฤติเป็นไปที่จะขัดเกลากิเลส เช่นแทนที่จะเป็นความผูกพันความรักลูกหรือพ่อแม่ หรือเพื่อนฝูงมิตรสหายใดๆ ทั้งสิ้นก็เห็นโทษว่าเมตตาดีกว่ามากเลย

    เหมือนเดิมการกระทำทุกอย่างก็เอาใจใส่ดูแลกัน แต่ว่าไม่ใช่ด้วยความผูกพันซึ่งจะทำให้เกิดทุกข์ เพราะอะไร ไม่มีอะไรที่เป็นของเรา แต่หลงยึดถือลูกเรา เพื่อนเรา แต่ว่าตามความเป็นจริงก็คือว่าแม้เราก็ไม่มี

    เพราะฉะนั้น กว่าจะรู้ความจริงได้ รู้ได้จริงๆ เพราะเหตุว่าธรรมใครเปลี่ยนแปลงไม่ได้เลย แต่ว่าต้องเริ่มจากความคิดซึ่งเกิดจากการฟังแต่ละคนซึ่งหลากหลายมาก บางคนฟังแล้วเริ่มจะเป็นคนดีไม่สนใจอะไรทั้งสิ้นใครจะเป็นอะไร บางคนก็ยังยาก สะสมความสำคัญตน และความพอใจในกิเลสเช่นโทสะ ต้องโกรธต้องว่าต้องพูด ใจอย่างไรในการแสดงออกมาที่ทำให้วาจาเป็นไปอย่างใจนั้น ถ้าเพียงขอให้คนพูดเป็นผู้ฟัง ตกใจไหม ใครก็ตามที่พูดอะไรก็ตามเพราะอยากพูด อยากว่า อยากตำหนิ ขอให้เปลี่ยนคนนั้นเป็นผู้ฟัง รู้สึกอยางไร เขาอย่างไร เราก็อย่างนั้นใช่ไหม

    เพราะฉะนั้น ธรรมทั้งหมดทรงแสดงไว้ ๔๕ พรรษา โดยละเอียดยิ่งโดยประการทั้งปวง เพราะฉะนั้น จะเห็นพระมหากรุณาคุณจริงๆ เพื่อให้เราเกิดความเห็นที่ถูกต้องกุศลเป็นกุศล อกุศลเป็นอกุศล เพราะฉะนั้น ก็เป็นบุญที่เคยสะสมมาไว้แต่ปางก่อน ซึ่งชาตินี้ก็จะเป็นอดีตของชาติหน้าเป็นปางก่อนเหมือนกัน เพราะฉะนั้น ก็จะทำให้มีโอกาสสนใจในการที่จะได้ฟังธรรมแล้วก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้น

    แต่เป็นที่อนุโมทนาการเดินทางแต่ละครั้งผู้ที่มีความทุกข์เช่นความป่วยไข้ มีแผล มีอะไรก็รู้สึกซาบซึ้งในคุณของคนอื่นในความเป็นมิตรหวังดีของคนอื่นที่ช่วยเต็มที่ในทุกด้าน แต่ก็ยังมีอกุศล ประมาทไม่ได้เลย กุศลก็มี อกุศลก็มี ก็ค่อยๆ สะสมไปในทางฝ่ายกุศลเพื่อที่จะละอกุศล

    ผู้ฟัง ขอเรียนท่านอาจารย์ว่าเราฟังแล้วเราต้องมั่นคงในอริยสัจ อยากจะขอความกรุณาท่านอาจารย์ ในประเด็นนี้

    ท่านอาจารย์ ก็ดีเป็นการปรุงแต่งของการฟังธรรมแต่ละครั้ง แต่ว่าขณะนี้เป็นอริยสัจหรือเปล่า คงไม่จะไปหาหัวข้อ แต่ว่าขณะที่กำลังฟังนี่เองที่จะเข้าใจว่า อริยะคือผู้ที่อบรมเจริญปัญญาแล้วรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง จะพ้นจากขณะนี้ได้ไหม ไม่ต้องเอาอริยสัจ๔ มาเรียน แต่มีความเข้าใจตั้งแต่ต้นว่าสิ่งที่มีจริงๆ ขณะนี้เกิดแล้วดับ ยังไม่เห็นว่าเป็นทุกข์ จะไปเรียกว่าทุกขอริยสัจก็เรียกไป แต่ว่ายังไม่ได้เห็นจริงๆ ว่าเป็นทุกข์

    เพราะฉะนั้น ไม่ใช่ว่าการที่จะไปถึงปัญญารู้แจ้งสภาพธรรมที่เป็นอริยสัจจะเกิดเพราะได้ฟังอย่างนี้เท่านั้น แต่ต้องมีความเข้าใจที่ค่อยๆ มั่นคงขึ้นเช่นเมื่อวานนี้มีกิเลสมากไหม

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 202
    11 ต.ค. 2568

    ซีดีแนะนำ