ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1927


    ตอนที่ ๑๙๒๗

    สนทนาธรรม ที่ บ้านนายแพทย์ทวีป และคุณพรทิพย์ ถูกจิตร

    วันที่ ๑๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๗


    ท่านอาจารย์ มนสิการจะเกิดหรือสติสัมปชัญญะจะเกิด ปัญญาจะเกิดพร้อมกันในขณะนั้น เพราะว่ามีเหตุปัจจัยที่ได้เข้าใจแล้วทำให้เกิด และสภาพธรรมที่เป็นปกติ และต่างกันนิดเดียวตรงที่สติสัมปชัญญะเกิด ด้วยเหตุนี้สภาพนั้นจึงปรากฏดี

    "ดี" คือแสดงลักษณะของความเป็นธรรม ซึ่งแข็งเราผ่านไปแล้ว แต่ตรงแข็งนี่เริ่มรู้ มีความรู้เข้าไป เพราะฉะนั้น จากการที่เคยไม่รู้และยึดถือแข็งว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดมานานมาก โอฆะอยู่ตรงนั้น ที่นานแสนนานที่เคยเป็นอย่างนั้น ข้ามโอฆะคือจากความไม่รู้ในความเป็นธาตุหรือเป็นธรรม ขณะนั้นกำลังเริ่มที่จะค่อยๆ ข้ามโอฆะของความไม่รู้ไปสู่ความรู้ความเข้าใจว่า ขณะนั้นก็เป็นแต่เพียงธรรมอย่างหนึ่ง ไม่ต้องพูดทั้งหมดมีอยู่แล้ว แต่ว่าความเข้าใจเหมือนกับว่าเราเกิดมาเป็นเด็กใหม่ๆ เราก็ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรแต่เห็นจนชิน เริ่มชินก็เริ่มจำได้ เพราะฉะนั้น กว่าจะชินในความเป็นธรรม ไม่ต้องไปพูด ไม่ต้องไปนึก ไม่ต้องอะไรเลยใช่ไหม ก็ต้องกินเวลาเหมือนกัน

    เพราะฉะนั้นธรรมวันนี้เท่าไหร่ แล้วก็ยังไม่มีการที่จะปรากฏด้วยดีกับสติสัมปชัญญะ ก็ผ่านไปเรื่อยๆ แล้วก็แค่ฟังแล้วค่อยๆ เข้าใจขึ้นจนกว่าจะถึงขณะนั้น และอีกนานเท่าไรกว่าจะคุ้นเคยแล้วก็ชิน เพราะว่า ความไม่รู้และความติดข้อง และความเห็นผิดจะแทรกเข้ามาเรื่อยๆ ตามเหตุตามปัจจัยเพราะเหตุว่ายังไม่ได้ดับไปเลย ยังมากมายมหาศาลเหมือนเดิมเพียงแต่ความเข้าใจเริ่มค่อยๆ จะเพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้น ก็เป็นงานที่นานไหม ที่กว่าจะสำเร็จลงไปได้ ที่พระอรหันต์ท่านกล่าวว่าท่านเสร็จกิจ ไม่ต้องมีภาระหรือกิจที่จะต้องดับกิเลสอีกแล้วเพราะว่ากิเลสดับหมดแล้ว แต่การที่ได้ฟังไป อบรมไป เสร็จกิจหรือยัง เพราะฉะนั้น ก็ต้องเป็นกิจของสติสัมปชัญญะไปอีกจนกว่าปัญญาจะเพิ่มขึ้น รู้อย่างที่ท่านเหล่านั้นได้รู้แล้ว

    อ.วิชัย ลักษณะของความสงสัยก็คงไม่ใช่เหมือนกับสงสัยในคำหรือในชื่อ แต่ว่าแม้เห็นขณะนี้แล้วก็เริ่มสะสมความเข้าใจขึ้น อาการของความไม่เข้าใจ และสงสัยจะเป็นลักษณะอย่างไร

    ท่านอาจารย์ เวลานี้ฟังไหมสงสัยในคำว่าธรรม สิ่งที่มีจริงเวลานี้ไม่สงสัยในความที่เป็นธาตุรู้หรือสภาพรู้ ซึ่งต่างกับสิ่งที่ปรากฏแต่สงสัยในลักษณะของธาตุรู้ เพราะธาตุรู้ไม่ได้ปรากฏ แต่ไม่สงสัยเลยว่าเป็นตามที่ได้ฟังคือไม่ใช่เราแต่เป็นธาตุรู้ แต่ลักษณะที่ไม่ใช่เราก็ยังไม่ปรากฏ

    เพราะฉะนั้น ก็ต่างกันสติขั้นฟังกับสติสัมปชัญญะซึ่งเกิดปกติเลยใช่ไหม อย่างในครั้งอดีตพระผู้มีพระภาคตรัสเรื่องสิ่งที่ปรากฏ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ขณะนั้นมีเห็น มีได้ยิน มีการกระทบสัมผัสผู้ที่อบรมมาแล้ว สติสัมปชัญญะถึงลักษณะนั้นได้ไหม

    ปรากฏด้วยดีตามธรรมดา และก็ชินแล้วด้วย เพราะฉะนั้น ขึ้นอยู่กับปัญญาถึงระดับไหน เพราะคลายกันยึดถือจึงสามารถที่จะประจักษ์ความจริงได้เพราะว่าเมื่อคลายความไม่รู้ ความไม่รู้ก็กั้นอีกต่อไปไม่ได้สภาพธรรมนั้นจึงปรากฏตามความเป็นจริง

    เพราะฉะนั้น จึงต้องอบรมเจริญปัญญาสติปัฏฐาน สติสัมปชัญญะเป็นปกติ เป็นหนทางเดียวเพราะความไม่รู้กำลังไม่รู้ในสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ตามปกติ

    เพราะฉะนั้น ปัญญาก็ต้องค่อยๆ เข้าใจถูกโดยรู้ว่าขณะใดเป็นเพียงฟัง ขณะใดสติสัมปชัญญะเกิด สลับกันได้เพราะว่าสติสัมปชัญญะก็ดับด้วย

    ผู้ฟัง สามารถแยกได้ไหมว่าเป็นปัญญาขั้นคิดว่าเป็นปัญญาขั้นรู้ตรงลักษณะจริงๆ

    ท่านอาจารย์ ถ้าเป็นเราแยกไม่ได้ ถ้าเป็นปัญญาแยกได้

    ผู้ฟัง เพราะฉะนั้น ถ้าตัวเราก็จะไม่รู้ แต่ถ้าเป็นปัญญาจะรู้ว่าไม่เข้าใจผิดในปัญญาที่เป็นจริง

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง เพราะฉะนั้น กว่าความเข้าใจจะเพิ่มขึ้นจนกระทั่งเวลาที่สติสัมปชัญญะมีปัจจัยเกิด มีปัญญาเป็นปัจจัยใช่ไหมสติสัมปชัญญะจึงเกิดได้ เพราะฉะนั้น เมื่อเกิดปัญญาต้องมีตรงนั้นที่รู้ว่านี่เป็นสติสัมปชัญญะ เพราะว่าสติสัมปชัญญะจะเกิดเมื่อมีปัญญาเป็นปัจจัย คนไม่มีปัญญาสติสัมปชัญญะจะเกิดขึ้นมาได้อย่างไร ไม่มีทางเป็นไปได้เลย เราจะบอกว่าฉันกำลังระลึกก็ไม่ใช่สติสัมปชัญญะ เพราะไม่มีปัญญา

    เพราะฉะนั้น ไม่ใช่เราแต่ต้องเป็นปัญญาที่เข้าใจจริงๆ แล้วละปัญญามีหน้าที่เดียวไม่ใช่มีหน้าที่ติด แต่มีหน้าที่ละ ปัญญาไม่ติดข้องเลย เพราะปัญญารู้ความจริง

    ผู้ฟัง ยกตัวอย่างแข็ง เวลาถามครั้งไรก็เป็นไมโครโฟนเนื่องจากปัญญาขั้นที่รู้ตรงแข็งยังไม่เกิด ทีนี้เมื่อปัญญา

    ท่านอาจารย์ แต่เวลาที่ปัญญาถึงเฉพาะรู้ตรงแข็งจะบอกว่าไม่รู้เฉพาะก็ไม่ได้ ไม่เกิดก็ไม่ได้

    ผู้ฟัง ฟังแล้วเหมือนกับว่าถ้าปัญญาขั้นนั้นเกิดก็จะมีปัญญาที่รู้ ตามมารู้ตรงนั้นอีกที

    ท่านอาจารย์ พร้อมกันในขณะนั้นเลยเพราะสติสัมปชัญญะเกิดพร้อมกัน ฟังเพื่อจะได้ไม่เห็นผิด อันนี้อันตรายมากคืออุตส่าห์ได้ยินได้ฟังพระธรรม แต่ยังเข้าใจผิดเพราะประมาทในความลึกซึ้ง

    เพราะฉะนั้น ต้องมั่นคงว่าอนัตตาไม่ใช่เรา ทำอะไรไม่ได้มั่นใจหรือเปล่า ถ้ามั่นใจไม่ทำเพราะมีสิ่งที่เกิดแล้วปรากฏให้รู้ แต่ว่าไม่ได้ฟังจนกระทั่งเข้าใจก็เลยไปทำ

    ผู้ฟัง ขณะที่กำลังอธิบายสภาพธรรมที่เกิดขึ้นขณะนั้น หมายถึงอย่างไรว่าทำไมถึงตรงนี้เป็นการข้ามโอฆะตรงนี้

    ท่านอาจารย์ ต้องรู้จักโอฆะก่อนใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    อ.ธิดารัตน์ โอฆะหมายถึงกิเลส กิเลสที่เป็นดุจห้วงน้ำใหญ่ก็มี

    โลภะใช้คำว่ากามโอฆะ ความยินดีพอใจในรูป เสียง กลิ่น รสโผฏฐัพพะทั้งหลายประดุจเหมือนกิเลสที่เป็นห้วงน้ำใหญ่ ซึ่งมีมากมาย

    ทุกครั้งที่มีโลภะเกิดยินดีพอใจก็สะสมเพิ่มเติมห้วงน้ำกว้างขึ้นๆ แล้วอีกอย่างหนึ่งห้วงน้ำก็คือภพ ความยินดีในภพทั้งหลาย ห้วงน้ำคือทิฏฐิความเห็นผิดต่างๆ แล้วก็อวิชชาเป็นความไม่รู้ซึ่งก็มีมากเลย

    ซึ่งท่านก็อุปมากิเลสที่ประดุจห้วงน้ำใหญ่

    ผู้ฟัง คำว่านี่คือข้ามโอฆะหมายความว่าขณะนั้นประจักษ์สภาพธรรมตามความเป็นจริง จึงเป็นการข้ามโอฆะหรือเปล่า

    ท่านอาจารย์ ยังไม่ได้ข้าม ฟังเพื่อที่จะข้าม

    ผู้ฟัง เพื่อที่จะข้ามโฆะ

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีกำลังก็ไม่ข้ามข้ามไม่ได้ อยู่ดีๆ จะข้ามได้อย่างไร

    ผู้ฟัง หมายความว่า การประจักษ์สภาพธรรมในขณะนั้นที่ว่าเป็นธรรมอย่างไร

    ท่านอาจารย์ ยังไม่ประจักษ์ด้วยซ้ำไป เพียงแต่จะรู้ว่าเป็นโอฆะเสียก่อนก็ยาก กำลังมีโอฆะหรือเปล่า กำลังเป็นโอฆะหรือเปล่า

    ผู้ฟัง กำลังเป็นโอฆะ

    ท่านอาจารย์ กามโอฆะพอใจในรูป ในเสียง ในกลิ่น เมื่อสักครู่นี้ในรส แต่ไม่ใช่เฉพาะรสทั้งรูปด้วย เสียงด้วย กลิ่นด้วย รสด้วย และสิ่งที่กระทบสัมผัสกายกำลังเย็นสบายไม่ร้อนอะไรอย่างนี้ก็แล้วแต่

    พรากได้ไหม มีกำลังพอที่จะรู้ว่าฟังมาแล้วเป็นกิเลส เป็นความติดข้อง แล้วจะละอย่างไร เห็นไหม โอฆะนั่นแหละอยู่ตรงนั้นแหละ ข้ามได้หรือเปล่าถ้าไม่มีปัญญา เพราะฉะนั้น พูดคำไหนสิ่งนั้นมีให้รู้ให้เข้าใจ ถ้าพูดถึงโอฆะก็ต้องรู้ไม่ใช่พูดเปล่าๆ ไปใช่ไหม แต่เดี๋ยวนี้มีไหม มีทางไหน เห็นไหมออกมาละเอียดยิบ ทางตาโอฆะแล้ว ทางหูก็โอฆะ ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ

    ทั้งหมดเพื่อจะได้รู้ว่าอย่าไปคิดว่ากำลังข้าม แต่ให้เข้าใจหนทางก่อน และกว่าจะเข้าใจหนทางได้ก็คือว่าต้องเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมก่อน เพราะเป็นเรื่องที่ละเอียดมาก คือเรื่องความไม่รู้หนาแน่นมาก และก็เริ่มจะเข้าใจค่อยๆ รู้ไป และก็มีโอกาสที่ได้ฟังแล้ว เพื่อที่จะเป็นปัจจัยให้บุญที่ทำไว้แต่ต่างก่อนคือชาตินี้สำหรับชาติต่อๆ ไปได้ทำให้สามารถเข้าใจสิ่งที่เราได้ยินได้ฟังมาแล้วเพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้น ตามความเป็นจริงไม่ว่าจะพูดคำไหนก็ต้องเข้าใจจริงๆ รู้จริงๆ ว่าเดี๋ยวนี้เป็นหรือเปล่า

    เพราะฉะนั้น จากการไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรม อย่างเช่นทางตา ซ้ำบ่อยๆ เพราะว่าเห็นไม่เคยขาดเลย เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ โอฆะแล้วใช่ไหม ข้ามหรือยัง ชีวิตปกติ ผิดปกติข้ามไม่ได้แน่ โอฆะ ถึงแม้ว่าจะมีกิเลสๆ ก็เกิดขึ้น และก็รู้จักโอฆะไหม ถ้าไม่มีปัญญา ก็ข้ามไม่ได้ ไม่ใช่ไปห้ามไม่ให้มีกิเลสแล้วก็ไม่มีปัญญา แล้วก็กิเลสก็ห้ามไม่ได้ และปัญญาก็ไม่มี หมดเลยทั้ง ๒ อย่าง กิเลสก็ห้ามไม่ได้ ปัญญาก็ไม่มี

    แต่รู้ว่ากิเลสเกิดเพราะมีปัจจัยให้กิเลสเกิด แต่สะสมปัญญาที่จะรู้ความจริง ที่จะไม่ให้มีกิเลสได้ แต่ต้องมีปัญญา เพราะฉะนั้น ชีวิตที่มีแล้วหรือกำลังมี แล้วมีต่อไป ต้องมีตามเหตุตามปัจจัยของแต่ละหนึ่งคนจริงๆ สับสนแลกเปลี่ยนกันไม่ได้เลยแม้แต่ความคิดทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ละหนึ่งเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป

    เพราะฉะนั้น ก็เห็นตามความเป็นจริงว่านี่แหละคือสิ่งที่มีจริง แล้วก็เวลาที่มีการฟังธรรมเข้าใจขึ้น ก็นี่แหละที่เป็นหนทางที่จะรู้ว่ากิเลสเป็นอย่างนี้ หนทางละคือ รู้ความเป็นจริงตามปกติของสภาพธรรม มิเช่นนั้นก็มีแต่กิเลส และก็เพิ่มกิเลสด้วยการหวังผิดๆ ที่ต้องการจะหมดกิเลสโดยวิธีที่ไม่เข้าใจสภาพธรรมที่กำลังมีในขณะนี้

    อ.ธีระพันธ์ การรู้ในชีวิตประจำวันก็จากการได้ยินได้ฟังพระธรรมเป็นเหตุปัจจัยให้ มีการคิดต่างจากที่ไม่เคยได้ยินได้ฟังพระธรรม อย่างเช่น ทานอาหารบางทีก็เป็นไปกับความอร่อยก็ไม่ได้นึกถึงว่าเป็นโลภะด้วยซ้ำไปก็เพลินไป

    ท่านอาจารย์ ห้ามเพลินได้ไหม ก็ชัดเจนอยู่แล้วจะไปห้ามอะไร แต่ว่าสะสมความเห็นที่ถูกต้อง คำว่าอาจหาญร่าเริง ไม่ใช่ไปต่อสู้กับโลภะ เพียรที่จะไปข่มหรืออะไร เพราะไม่มีทางสำเร็จ เพราะเป็นเรา แต่ถ้าเป็นปัญญาที่ค่อยๆ เข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริง สภาพธรรมเกิดแล้วเป็นอย่างนั้นแล้ว แล้วดับแล้วด้วย แต่โดยที่ไม่ได้เข้าใจเลย กับการที่รู้ความจริงว่าเพราะปัญญาเท่านั้น ไม่ใช่เพราะเรา ก็จะเลิกคิดที่จะไปทำด้วยความเป็นตัวตน เท่าไหร่ๆ ก็ไม่สำเร็จ กี่ชาติๆ ก็ไม่สำเร็จ แม้ถึงความเป็นอรูปพรหมก็ยังไม่สำเร็จเพราะเหตุว่ายังเป็นตัวตนอยู่

    นี่ก็แสดงให้เห็นว่าการที่สิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้น แล้วก็ไม่มีความอาจหาญร่าเริงที่จะรู้ความจริงว่าปัญญาเท่านั้นที่สามารถที่จะเห็นสิ่งนั้นตามความเป็นจริงได้ ก็ไปหลงตามกำลังของโลภะที่ต้องการเหลือเกินที่จะหมดกิเลส ฟังแล้วก็อยากจะทำทุกอย่างอย่างรวดเร็วให้หมดกิเลส ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลย แล้วก็เป็นความเห็นผิดเป็นความเข้าใจผิดด้วยเป็นมิจฉามรรค

    เพราะฉะนั้น ธรรมที่ว่าลึกซึ้งก็คือว่าถ้าไม่ศึกษาด้วยดีด้วยความลึกซึ้งมีอันตราย เพราะว่าทำให้เข้าใจผิดได้ ถ้าศึกษาพระสูตร ด้วยการไม่รอบคอบก็ทำให้เห็นผิดว่าพระผู้มีพระภาคตรัสให้มีความเพียร และปัญญาไม่มีหรือ จะเพียรไปโดยไม่มีปัญญาหรือ

    เพราะฉะนั้น แม้จะมีความเพียรก็ต้องมีความเข้าใจตั้งแต่ต้นว่าเพียรก็ไม่ใช่เราใช่ไหม แล้วก็ต้องมีปัญญามีความเห็นที่ถูกต้อง ค่อยๆ ตามลำดับด้วย คือตั้งแต่ขั้นการฟัง และความเป็นอนัตตาต้องมั่นคง ไม่ใช่ว่าเดี๋ยวก็เป็นอัตตาเป็นเราอีกแล้ว นั่นก็คือว่าไม่มั่นคง แต่ถ้ามั่นคงจริงๆ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกี่ภพกี่ชาติ ถ้าตราบใดที่ยังไม่เข้าใจขณะนั้นทำอะไรไม่ได้เลย ทำอะไรกิเลสไม่ได้ แต่เมื่อมีความเข้าใจเพิ่มขึ้นๆ นั่นแหละปัญญาจะนำไปในที่ทั้งปวง แม้ในกุศลทุกประการด้วย

    เพราะฉะนั้น ก็จะเห็นได้ว่าธรรมที่เป็นฝ่ายกุศล ถ้าปราศจากปัญญาก็ไม่สามารถที่จะชำระจิตให้บริสุทธิ์จากความไม่รู้ และการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน ซึ่งไม่มีอย่างอื่นที่จะไปละได้เลย

    ยังอยากจะละกิเลสด้วยความเป็นเราหรือเปล่า ยังอยากจะเพียรทำอะไรโดยการที่ไม่มีปัญญาไม่เข้าใจอะไรเลยหรือเปล่า หรือว่าไม่รู้ในความเป็นอนัตตาว่าขณะนี้เกิดแล้ว แล้วจะไปทำอย่างอื่นแสดงว่าไม่เข้าใจเลยว่าขณะนี้เป็นธรรมที่ควรรู้ยิ่ง เพราะเกิดแล้ว มีแล้ว ปรากฏแล้วไม่มีใครไปทำแต่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยเพื่อที่จะให้มีความเข้าใจมันคงเป็นอนัตตาไม่ใช่เรา มิฉะนั้นก็ยังเป็นเราไปเรื่อยๆ

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์ก็บอกว่าไม่ต้องทำอะไร ฟังให้เข้าใจ ความเข้าใจนั่นแหละเขาจะเป็นสังขารขันธ์ปรุงแต่งให้เข้าใจความจริงที่ว่าไม่ใช่สัตว์ตัวตนบุคคลไม่ใช่เราขึ้นเรื่อยๆ แต่โอกาสที่จะไม่รู้ตัว ไปมีตัวตนไปทำ แล้วไม่รู้เลยว่ามีตัวตนไปสังเกตไปไตร่ตรองไปพิจารณาเหมือนกับเครื่องกั้นตรงนี้นี่มันเหมือนอันตราย

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีปัญญาก็ต้องเป็นอย่างนี้ แต่ถึงเป็นอย่างนี้ปัญญาก็สามารถเกิดขึ้นเข้าใจแล้วละทันที เพราะฉะนั้น หนทางนี้คือปัญญานั่นเองรู้แล้วละ รู้แล้วละ หนทางผิดไปเรื่อยๆ

    แต่ถ้าตราบใดผิดแล้วไม่รู้ก็ไม่มีทางละ แต่พอรู้ว่าผิด ปัญญาต่างหากที่รู้ไม่ใช่เรา และเมื่อรู้ปัญญาละไม่ใช่เรา คือทั้งหมดไม่ใช่เราทั้งนั้น

    ผู้ฟัง แต่ต้องเริ่มรู้ว่ามีการไปจดจ้อง ไปตั้งใจพิจารณา ตั้งใจรอ

    ท่านอาจารย์ จากการฟังก็สามารถที่จะเป็นที่พึ่งได้โดยที่ว่าขณะใดที่ติดและต้องการ ขณะนั้นถ้าสะสมปัญญามาแล้วเป็นที่พึ่งคือสามารถเกิดขึ้นเข้าใจว่านั่นผิด เพราะอวิชชาไม่สามารถที่จะรู้ว่าผิด หรือถูก อวิชชาไม่รู้อะไรเลย

    แต่ปัญญาสามารถที่จะรู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด เพราะฉะนั้น ไม่ใช่เราอยู่ดีๆ ก็เป็นคนที่สามารถตัดสินได้ว่าอะไรถูกอะไรผิดใช่ไหม ทุกคนก็หลงไปเพราะไม่รู้ แต่พอมีปัญญาแล้วแม้จะติดข้อง แม้จะจดจ้อง ขณะนั้นปัญญาก็จะรู้ว่านั่นไม่ใช่ นั่นไม่ถูก จึงละ

    พอละแล้วจะไม่รู้เลยว่าเป็นอิสระพ้นจากโลภะหรือความต้องการจดจ้อง ทีละน้อยๆ ๆ แล้วเขาก็จะมาเรื่อยๆ เพราะเหตุว่าเหตุที่จะให้เกิดขึ้นของความเป็นตัวตน และความติดข้องมีมาก เพราะฉะนั้น จะให้หมดไปได้อย่างไร แม้ถึงปัญญาที่เริ่มเข้าใจจนกระทั่งเริ่มระลึกรู้ก็ยังไม่สิ้นที่เขาจะมีปัจจัยที่จะเกิด ก็ยังเกิดติดตามไปเรื่อยๆ

    เพราะฉะนั้น ปัญญาจึงต้องคมขึ้น แล้วก็สามารถที่จะละเอียดขึ้น แล้วก็รู้แม้แต่ว่าขณะนั้นเป็นความต้องการแม้เพียงเล็กน้อย หรือมีความเป็นเราอยู่ขณะนั้นแม้เพียงเล็กน้อย เมื่อรู้อย่างนี้จึงละ ปัญญารู้ ปัญญาละ แล้วก็จะรู้สึกถึงความเป็นอิสระจากการพ้นจากโลภะไปทีละน้อยๆ ๆ ๆ เพราะขณะนี้ไม่รู้ตัวเลย ไม่เคยพ้นจากโลภะเลยตั้งแต่ลืมตา จนกระทั่งนอน แต่ขณะใดที่ฟังธรรมขณะนั้นสะสมความเห็นถูก ขณะนั้นไม่มีโลภะ เพราะฉะนั้น ด้วยเหตุนี้จึงมีบารมีเพื่อที่จะรู้ตามความเป็นจริงว่าขณะใดที่เป็นอกุศล ขณะนั้นต้องมีความไม่รู้เกิดร่วมด้วย เพราะฉะนั้น ขณะนั้นไม่สามารถจะเข้าใจสิ่งที่แม้มี หรือแม้ฟังมาแล้ว แต่ถ้าไม่มีคุณความดีประการต่างๆ ที่จะเป็นกำลังที่จะทำให้จิตค่อยๆ สะอาดพ้นจากมลทินคืออกุศลทั้งหลายที่มากมายได้ก่อน แล้วค่อยๆ รู้ความจริงขึ้นจึงสามารถที่จะค่อยๆ รู้ลักษณะของสภาพธรรมตามปกติตามความเป็นจริง เพราะว่าการผิดปกติแม้เพียงเล็กน้อยก็มีขณะที่จงใจ ขณะนั้นถ้าปัญญาไม่เกิดก็ไม่ละความจงใจก็ยังคงจงใจด้วยความไม่รู้

    ผู้ฟัง ถ้าไม่เคยทราบถึงลักษณะของวิปัสสนาญาณ แล้วเราอบรมเจริญปัญญาไปเรื่อยๆ แล้วปัญญาเขาจะทำหน้าที่ของเขา โดยที่ว่าเราไม่ต้องไปรู้ลักษณะของวิปัสสนาญาณแต่ละญาณว่ามีลักษณะอย่างไร อย่างนี้ปัญญาเขาจะค่อยๆ ทำหน้าที่ของเขาไปหรือเปล่า

    ท่านอาจารย์ ถ้ามีความเข้าใจถูก ไม่หวัง และความหวังก็มาในรูปแบบต่างๆ แม้คิดเหมือนไม่หวังแต่ก็หวัง

    ผู้ฟัง ก็ในวันหนึ่ง ทางตาถ้าเห็นถูกบ้างก็แล้วแต่สติที่จะระลึกไป

    ท่านอาจารย์ ไม่ต้องมีตัวเราที่จะไปคิดว่าบางวัน วันไหนเห็นถูก ทุกอย่างเกิดเมื่อมีเหตุปัจจัย เพราะฉะนั้น ถ้าไม่มีการฟังพระธรรมเลย ลืมสนิท ใช่ไหม ก็เหมือนเดิมทั้งวันเลย แต่พอฟังก็พระธรรมมากๆ ก็ยังลืม ไม่มีใครไปรับรองได้ว่าคนนี้ฟังแล้วมั่นคงจนกระทั่งสามารถระลึกได้

    แต่ว่าเมื่อระลึกได้จึงรู้ว่าระลึกได้เพราะอะไร เพราะมีความเข้าใจจริงๆ ไม่ใช่เพราะหวังหรือต้องการ แต่เวลาที่หวังซึ่งใครก็ห้ามไม่ได้เกิด ปัญญาก็ยังรู้เลยว่าขณะนั้นก็เป็นเพียงธรรมหนึ่งซึ่งต่างกับธรรมอื่น

    เพราะฉะนั้น ธรรมที่เราเรียนทั้งหมด ตัวจริงทั้งนั้นเดี๋ยวนี้ก็เป็นอย่างนั้น แต่ขณะนี้ปัญญายังไม่รู้อย่างนั้น ทั้งๆ ที่ขณะนี้จิตเจตสิกกำลังเกิดทำงาน ขณะใดที่เข้าใจก็ไม่ใช่เราแล้วก็ดับไป แล้วก็เกิดสืบต่ออยู่เรื่อยๆ เป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้น ถ้ามีความเข้าใจมั่นคง เพราะไม่หวังสภาพธรรมจึงเกิดปรากฏเป็นวิปัสสนาญาณ

    ผู้ฟัง ถ้าวันหนึ่งเรามั่นคงแล้วจริงๆ ว่าไม่มีเราจริงๆ แล้วทุกอย่างเป็นสภาพที่เป็นธรรมชาติจริงๆ

    ท่านอาจารย์ พูดเหมือนว่ามั่นคงนี้จะมั่นคงไปตลอด แต่ความจริงไม่ใช่

    มั่นคงคือเริ่มเข้าใจ แล้วก็เข้าใจ แล้วก็เข้าใจยิ่งขึ้น ไม่มีใครไปปักหลักว่าตรงนี้มั่นคง ก่อนนี้ยังไม่มั่นคงใช่ไหม แต่หมายความถึงความเข้าใจในเพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้น ไม่เปลี่ยนแปลง เเล้วก็แม้แต่สติสัมปชัญญะจะเกิดยังแสดงความเป็นอนัตตา เพราะฉะนั้น ยังไม่ต้องไปถึงวิปัสสนาญาณ

    เพราะฉะนั้น ขณะนั้นมีความต่างแน่นอนระหว่างที่สติสัมปชัญญะยังไม่เกิดขึ้นคือหลงลืมสติ กับขณะที่สติสัมปชัญญะเกิด นี่เป็นขั้นต้นที่เริ่มที่จะรู้ว่าสติคืออะไร ที่เป็นสติสัมปชัญญะ

    ผลของการฟังทั้งหมดเป็นอย่างนี้ แต่เริ่มต้นและรู้ว่าน้อยด้วย อย่าพูดถึงว่าเป็น ๗ วัน ๘ เดือนหรืออะไรเลย ไม่มีกำหนดกาลเวลา แต่รู้ความต่าง เพราะฉะนั้น การรู้ความต่างไม่เปลี่ยนไม่หายไป การที่รู้ว่าสติเกิดกับหลงลืมสติ เพราะฉะนั้น ถ้าสติอีก ๑๐ ปีไม่เกิด แต่ความรู้ความเข้าใจว่าที่สติเกิดต้องต่างกับขณะที่หลงลืมสติ เพราะฉะนั้น นี่เป็นหนทางที่ทดลองใจ หวังหรือเปล่าระหว่างนั้นจะ ๑๐ เดือน หรือ ๘ เดือน หรือ ๗ วันก็ตามแต่

    เพราะฉะนั้น มั่นคงไม่ได้หมายความว่าเราไปตั้งมั่นด้วยความจงใจ แต่ก็คือว่ารู้ปัจจัยว่าทุกอย่างเราฟังแล้วเข้าใจแล้ว ความเข้าใจนั้นก็ไม่ได้หายไปไหนใช่ไหม แต่ว่าไม่มีปัจจัยที่จะเกิดแล้วจะให้เกิดได้อย่างไร เพราะฉะนั้น จึงมีความเข้าใจมั่นคงในเรื่องความเป็นอนัตตา

    รอได้ไหมชาติหน้า รอได้ไหมอีก ๑๐ ชาติก็แล้วแต่ เครื่องทดลองนี่มาก เพราะฉะนั้น คนนั้นเองจะเป็นคนรู้ว่าขณะนั้นมีการหวังเล็กๆ บ้างหรือเปล่า ใหญ่ๆ บ้างหรือเปล่า หรือคิดยังไงบ้างหรือเปล่า ทั้งหมดปัญญาต้องรู้ว่าไม่ใช่เรา

    เพราะฉะนั้น จึงเริ่มเห็นว่างาน คือกิจของปัญญาที่ว่ายังไม่สำเร็จกิจคือยังไม่ได้ดับกิเลสหมดถึงความเป็นพระอรหันต์คืออย่างไร คือไม่ว่าอะไรก็ตามที่เกิดขึ้นหลงลืมสติเสียมาก แต่เวลาที่สติเกิดก็ไม่มาก และสิ่งใดที่เป็นอารมณ์ของสติซึ่งสติระลึกแล้วสิ่งนั้นก็ไม่กลับมา ทั้งสิ่งนั้นและสติ

    เพราะฉะนั้น จะไปหวังให้กลับมาหรืออะไรก็ไม่ได้ อย่างที่ว่าแล้วจะกลับมาอีกหรือเปล่า ไม่มีการกลับมาเลย เพราะฉะนั้น ขณะนั้นที่รู้ก็จะเป็นปัจจัยสืบต่อสำหรับข้างหน้าที่จะเกิด แต่ไม่ใช่กลับมา แต่ปรุงแต่งไป ด้วยการที่หนทางนี้เป็นหนทางละโดยตลอด

    เพราะฉะนั้น ถ้าเกิดความหวังความต้องการแทรกเมื่อไร ก็ผิดอีกแล้ว มิจฉามรรคมาอีกแล้วใช่ไหม ปัญญาต้องรู้ทั้งหมดจึงสามารถที่จะขจัดหรือละมิจฉามรรคได้เพราะเหตุว่าปัจจัยของอวิชชาความไม่รู้กับความเห็นผิด และการยึดถือสภาพธรรมยังไม่ได้หมดไปเลย ยังมากอยู่

    เพราะฉะนั้น อาการที่แสดงปรากฏอาจจะทั้งวันทั้งคืนก็ได้ รู้ไหมว่านั่นเพียงเกิดขึ้นแล้วก็หมดไป แล้วก็ไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้น นานแสนนานเท่าไหร่ ก็คือการที่เข้าใจทั้งนั้นเลยค่อยๆ เข้าใจค่อยๆ เข้าใจไป แล้วแต่ว่าสภาพธรรมที่ปรากฏจะเป็นอย่างไร หนักหนาสาหัสอย่างไร เพราะว่าท่านทรงแสดงบุคคล ๔ ไว้ บุคคลที่ไปตามกระแส ไม่ได้ฟังธรรมเลยใช่ไหม ตามโลภะไป ตามโทสะไป ตามไป แต่ว่าสำหรับผู้ที่ทวนกระแสรู้เลย มากปานนี้ก็ตามแต่ แต่ก็ยังสามารถที่จะได้ยินได้ฟังคำจริงความจริงซึ่งแล้วแต่จะมากจะน้อยก็ตามปัจจัย คือเป็นผู้ที่รู้ตามความเป็นจริง ไม่ใช่เป็นผู้ที่ไปบีบไปบังคับไปทรมานด้วยความเป็นเรา ไม่มีวันที่จะรู้ความจริง และดับกิเลสได้เลยเพราะขณะนั้นตามกิเลสไป ถูกครอบงำด้วยกิเลสโดยความไม่รู้

    เพราะฉะนั้น เวลาที่มีความเข้าใจอย่างนี้แล้ว ว่าต้องเป็นเรื่องของความเข้าใจเท่านั้น เราก็ไม่ได้มุ่งหวังอะไรเลย นอกจากฟังเดี๋ยวนี้แล้วก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้น แล้วก็จะเห็นความเป็นอนัตตาของปัญญาทุกระดับ เมื่อเกิด แต่ถ้ายังไม่เกิดก็ไม่มีทางรู้ แต่ก็ยังดี อย่าเข้าใจผิด หลงก็ตามไปทำอะไรก็ไม่รู้ ซึ่งหันหลังให้พระสัทธรรม ไม่มีวันที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และความลึกซึ้งของธรรม

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 202
    12 ก.ย. 2568

    ซีดีแนะนำ