ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1925
ตอนที่ ๑๙๒๕
สนทนาธรรม ที่ บ้านนายแพทย์ทวีป และคุณพรทิพย์ ถูกจิตร
วันที่ ๑๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๗
ท่านอาจารย์ สภาพธรรมเดี๋ยวนี้ต่างหากที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ว่ายากยิ่งที่ใครจะรู้ต้องอาศัยพระธรรมเทศนา ๔๕ พรรษากว่าจะค่อยๆ ขัดเกลาไปทีละเล็กทีละน้อย จนกระทั่งถึงปฏิ- ปัติ
คือขณะนั้นสภาพธรรมที่เป็นสติสัมปชัญญะ เพราะได้เข้าใจแล้วจากการฟังจึงเริ่มที่จะตรง และถึงลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ และก็เข้าใจตรงตามที่ได้ฟัง
อ.วิชัย การที่โน้มเอียงที่จะเข้าใจผิดหรือว่าด้วยความต้องการก็ดูเหมือนกับมาอย่างแยบยลมากคือไม่ปรากฏที่จะให้บุคคลนั้นแม้จะรู้สึกตัวว่าไม่ถูก
ท่านอาจารย์ ไม่เช่นนั้นคงไม่ต้องบำเพ็ญกันนานมากใช่ไหม ถ้าอ่านประวัติของสาวกแต่ละท่านจะรู้ว่าท่านเคยเกิดเป็นใครมีชีวิตอย่างไร แต่ไม่เห็นกล่าวถึงธรรมใช่ไหม
แต่ว่าถ้าไม่มีความเข้าใจ และไม่มีการฟังที่สะสมมาสังขารขันธ์จะค่อยๆ ปรุงแต่งจนกระทั่งรู้แจ้งอริยสัจธรรมได้อย่างไร เพราะฉะนั้น ชีวิตของทุกคนก็เป็นปกติ แต่ว่ารู้ความละเอียดขึ้นว่าแม้แต่เพียงจิตหนึ่งขณะต้องอาศัยปัจจัยมากเท่าไหร่จึงเกิดขึ้น และดับเร็วมาก หมดแล้วไม่เหลือเลย แต่ความไม่รู้ก็ปิดบังไว้ตลอด
เพราะฉะนั้น ไม่ศึกษาพระธรรมไม่ได้เลย คิดเอง และก็เป็นคำของคนอื่นทั้งนั้น จะเป็นที่พึ่งได้อย่างไรในเมื่อไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ผู้ฟัง ดูเหมือนว่าเมื่อพบหนทางแล้ว ก็จะมีเครื่องกั้น เช่นมีตัวเรา แล้วก็มีความอยากรู้มากกว่าที่เข้าใจ ตรงนี้จะเป็นเครื่องกั้นที่สำคัญ ถ้ารู้ตัว ก็จะไม่เดินตกถนน แต่ถ้าไม่รู้ตัวก็ดูเหมือนว่าจะถลำไปในทิศทางที่มันไม่ใช่ ก็จะไม่มีทางที่จะไปถูกทาง การฟังเข้าใจจริงๆ เท่านั้นที่จะไม่ให้ไปสู่หนทางที่ตกข้างถนน
ท่านอาจารย์ เพราะว่าสะสมความไม่รู้ด้วยความเป็นเรามานานแสนนานมาก เมื่อได้ฟังคำว่าธรรม สิ่งที่มีจริงไม่ใช่เรา คนที่สะสมความเข้าใจ และมั่นคงเวลาอกุศลเกิดเดือดร้อนไหม
ผู้ฟัง ถ้ามั่นคงก็ไม่เดือดร้อน เพราะมีเหตุปัจจัยก็เกิดแล้ว
ท่านอาจารย์ เพราะว่าอกุศลเกิดเป็นอย่างนั้น จะรุนแรงจะมากมายจะร้ายกาจอย่างไรก็ตาม ถ้าไม่สะสมปัญญาที่จะรู้ว่าขณะนั้นเป็นธรรม ก็เป็นไปกับอกุศล คิดทุกวัน ทุกคนเดือดร้อนเหตุการณ์ต่างๆ โดยที่ว่าขณะนั้นไม่เข้าใจว่าเป็นธรรม
เพราะฉะนั้น การเข้าใจว่าเป็นธรรมจึงมีขั้นฟัง ฟังนี่ไม่สงสัยเลย จิตเป็นจิต เจตสิกเป็นเจตสิกเจตสิก แต่ละหนึ่งก็ทำหน้าที่ของตนๆ แต่พอเกิดขึ้นเดี๋ยวนี้ รู้ไหม ไหนผัสสะ ไหนเวทนา ไหนเจตนา ทั้งๆ ที่มีตัวจริงๆ ก็ไม่รู้ เพราะว่าเป็นแต่เพียงเรื่องราว เพราะฉะนั้น ก็จะรู้ได้ว่าทั้งๆ ที่กำลังฟังเริ่มเข้าใจเรื่องราว ก็ยังไม่ใช่หมดความเป็นตัวตนหรือความเป็นเรา
เพราะฉะนั้น ปัญญาที่จะดับกิเลสได้ไม่ใช่ปัญญาขั้นนี้ แต่ต้องเป็นปัญญาที่สามารถที่จะรู้ความจริงตรงตามที่ได้ฟัง เช่นจิตเกิดขึ้นทีละหนึ่งขณะ ถ้าขณะนี้เว้นไม่มีจิตเลยอะไรๆ ก็ไม่ปรากฏแน่นอน แต่จิตเกิดเมื่อไรเป็นธาตุรู้เป็นสภาพรู้ต้องมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่กำลังปรากฏ และเพียงสิ่งเดียวซึ่งเวลานี้ไม่ใช่อย่างนั้น
นี่คือการฟังอย่างแยบคาย ฟังอย่างที่รู้ว่าการรู้ความจริงที่จะประจักษ์ความจริงต้องต่างกับขณะนี้แน่นอน ใช่ไหม เพราะว่า แม้แต่จิตหนึ่งขณะ หนึ่งขณะเกิดใครรู้ เร็วมากแค่ไหน ขณะนี้นับไม่ถ้วนเลย นั่นงาช้าง นี่โต๊ะ นี่กระเป๋า นี่ดอกไม้ไปหมดทุกอย่างทันทีที่เห็น เพราะฉะนั้นก็แสดงว่าจิตต้องเกิดดับเร็วมาก เพราะฉะนั้น ไม่สามารถที่จะรู้การเกิดดับของจิตหนึ่งขณะ แต่สามารถเข้าใจจิตซึ่งเกิดดับสืบต่อให้รู้ว่ามีสภาพรู้ธาตุรู้โดยเป็นนิมิตของจิต
เพราะฉะนั้น เริ่มเข้าใจแล้วว่าเราอยู่ในโลกที่ลวงระดับไหน เห็นนักมายากลเขาเล่นกลน่าอัศจรรย์ ช้ากว่าจิตเท่าไหร่ ยิ่งน่าอัศจรรย์ใช่ไหม จิตที่เกิดดับสืบต่อขณะนี้ หนึ่งขณะนี้ เป็นไปไม่ได้ แต่เพราะจิตเกิดดับสืบต่อให้รู้ว่ายังมีธาตุรู้อยู่ โดยเป็นนิมิตของจิต อย่างจิตเห็น เฉพาะเห็น กี่ขณะ นับไม่ถ้วน ถึงได้ปรากฏอย่างนี้ใช่ไหม นั่นคือนิมิตของจิตเห็น ที่เห็นว่าจิตเห็นไม่ใช่จิตได้ยิน ไม่ใช่จิตคิดนึก
เพราะฉะนั้น การฟังพระธรรมนี้ก็คือว่ามั่นใจ มั่นคงว่าความไม่รู้ที่จะค่อยๆ หมดไปได้มีหนทางเดียวคือเมื่อค่อยๆ เข้าใจขึ้นเท่านั้น ถ้าตัวตนคิดจะไปทำอะไร ใครบอกให้เราปฏิบัติอย่างนี้แล้วจะเป็นพระโสดาบันหรืออะไรก็ตามแต่ วิปัสสนาญาณจะเกิด เขาเข้าใจคำที่พูดแค่ไหน หรือว่าเพียงแต่พูดตาม แต่ว่าความหมายลึกซึ้งกว่านั้นมาก ไม่ใช่ว่าอยู่ดีๆ ใช่ไหมวิปัสสนาญาณแค่ฟังก็จะเกิด และไปนั่งทำอะไรก็จะเกิดแล้วโดยที่ว่าขณะนี้ไม่เข้าใจอะไรเลย เพราะฉะนั้น ก็น่าจะคิด ไปเพื่อจะเป็นพระโสดาบัน หรือว่าจะเข้าใจธรรม ผู้มีปัญญาจะตอบว่าอย่างไร
ผู้ฟัง จะเข้าใจธรรม
ท่านอาจารย์ เพราะเหตุว่าปัญญาคือเข้าใจเป็นพระโสดาบันโดยไม่เข้าใจไม่มีปัญญาไหน มีที่ไหน และพระโสดาบันไม่รู้สิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้หรือ แต่ว่าก่อนที่จะเป็นพระโสดาบันก็ต้องฟังจนกระทั่งสามารถที่จะเริ่มเข้าใจทีละเล็กทีละน้อยมาก ไม่ต้องไปหวังมากมายว่าจะเข้าใจมากๆ อย่างที่ได้ฟังชาตินี้ แต่ว่าจากการเริ่มเข้าใจและไม่หวังแสดงความมั่นคงว่าเริ่มเข้าใจว่าธรรมเป็นธรรมไม่ใช่เรา แค่มั่นคงว่าธรรมเป็นธรรมก็ยาก ถ้าไม่เป็นผู้ที่มั่นคงจริงๆ เดือดร้อนแล้ว หาทางแล้ว พยายามระงับแล้ว ขณะนั้นไม่ได้เข้าใจว่าเป็นธรรม
เพราะฉะนั้น แม้แต่จะเข้าใจถูกต้องในขณะนี้หรือในขณะใดก็ตามที่ได้สะสมความเข้าใจขั้นฟังมามากพอ ที่จะเริ่มเข้าใจว่าเป็นธรรม แต่ไม่ใช่ทั้งหมดทั่วตลอดใช่ไหม นานๆ ก็อาจจะมีการเกิดขึ้นระลึกลักษณะที่เป็นธรรม และคิดดูว่า นานแสนนานจะเกิดขึ้นหนึ่งขณะ แต่ว่าสะสมมาเท่าไหร่ ทั้งวันที่ไม่รู้ ทั้งปีที่ไม่รู้ ทั้งชาติที่ไม่รู้ ทั้งกัปป์ที่ไม่รู้ เพราะฉะนั้น กว่าธรรมโดยความเป็นอนัตตาจะมีปัจจัยที่จะเกิดอีก จะมากหรือจะน้อยตามปัจจัย นั่นแสดงความมั่นคงแล้ว ว่าเริ่มเข้าใจขึ้นว่าธรรมเป็นธรรมไม่ใช่เรา
เพราะฉะนั้น กว่าจะหมดความเป็นเราได้ ผู้นั้นก็ต้องเป็นผู้ที่มีปัญญา และตรงจริงๆ ว่า คือเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏโดยไม่ใช่เราไปทำ แต่เพราะฟังจนกระทั่งขณะนั้นมีปัจจัยที่จะรู้ทันทีที่สภาพธรรมนั้นเกิด ไม่ว่าจะเป็นความสงสัย ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตามแต่เป็นธรรม และเมื่อไหร่จะทั่ว ทั้งวันที่จะไม่สงสัย
ผู้ฟัง พระพุทธองค์ตรัสรู้ความจริงที่กำลังปรากฏคือการรับรู้ ๖ ทาง เห็นขณะนี้ ได้ยินขณะนี้ แข็งที่จำว่าเป็นไมโครโฟน ตรงนี้ถ้าฟังเข้าใจ ความเข้าใจก็จะไตร่ตรองจริงๆ ว่าความจริงที่ควรรู้ยิ่ง ก็ไม่มีอะไรนอกเหนือจากการรับรู้ ๖ ทาง เพราะฉะนั้น ฟังแล้วเข้าใจเช่นก็เป็นความเข้าใจที่ไตร่ตรองแล้ว ไม่ใช่มีตัวตนไปไตร่ตรองต่างหาก ว่าขณะนี้เห็นเป็นอย่างไร ได้ยินเป็นอย่างไร
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น แต่ละคนเหมือนกันหมดเลย เป็นอย่างนี้มาก่อนแล้วค่อยๆ รู้ค่อยๆ เข้าใจขึ้น แล้วค่อยๆ ละไป แล้วแต่ว่าสะสมมามากน้อยเท่าไหร่ ถ้าสะสมมามากก็รู้เร็วว่าหนทางที่ถูกคืออะไร แต่ว่าถ้าสะสมมาน้อยก็ไปติดอยู่ตรงนั้นบ้าง ตรงนี้บ้าง เป็นเราที่กำลังพยายามบ้าง แล้วก็มานึกขึ้นได้บ้าง แล้วก็ค่อยๆ นานมากกว่าจะเป็นความเข้าใจจริงๆ โดยการละ ไม่หวัง และสภาพธรรมก็ปรุงแต่ง มิฉะนั้นพระอริยะบุคคลในครั้งโน้นท่านคงไม่แสดงขณะที่ท่านรู้สภาพธรรมที่เป็นพระโสดาบันบ้างว่าในขณะไหน เป็นพระอนาคามีในขณะไหน ท่านไม่ได้หวังมาก่อน ทำอาหารอยู่ในครัว กลิ่นแกงไหม้ คำสั้นๆ รู้แจ้งอริยสัจธรรมเป็นพระอนาคามี ถ้าไม่มีเหตุมาเลยที่จะเข้าใจความเป็นธรรมอย่างมั่นคง ก็ยังมีความเป็นเราแทรกอยู่ตลอดเวลา เพราะฉะนั้น ความเป็นเราแทรกชัดเจนก็มี คนอื่นที่มีปัญญาเห็น แต่ตัวเองนั้นไม่เห็นหรอก ว่าขณะนั้นความเป็นตัวตนเต็มที่ แต่ว่าปัญญาที่ได้อาศัยการฟังด้วยความที่จะเข้าใจธรรมไม่ใช่เพื่อหวังว่าเราจะเป็นพระโสดาบัน ไม่ใช่หวังว่าเราจะรู้แจ้งอริยสัจธรรม ก็ไม่รู้แล้วจะไปรู้ได้อย่างไร ก็ไม่รู้แล้วจะเป็นวิปัสสนาญาณได้อย่างไรยังไง แล้วก็ไม่เป็นปัญญาที่รู้ตามลำดับที่เป็นวิปัสสนาญาณ จะถึงการรู้แจ้งอริยสัจธรรมได้อย่างไร ก็เป็นผู้ตรงๆ ก็ตรงจริงๆ ว่ารู้แค่นี้แล้วค่อยๆ รู้ขึ้น ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ค่อยๆ ละความไม่รู้ พอความไม่รู้เกิดขึ้น ขณะนั้นถ้าปัญญามีพอขณะนั้นก็สามารถที่จะรู้ได้ว่าขณะนั้นเป็นเรา หรือว่าเป็นความเข้าใจถูก เป็นเรื่องที่ละเอียดมาก จึงก็ต้องค่อยๆ ละคลายไปจริงๆ ตามลำดับเป็นปกติ เพราะว่าขณะนี้ธรรมเกิดแล้ว แต่ไม่รู้
ผู้ฟัง ถ้ามั่นคงว่าเป็นอนัตตาจริงๆ อกุศลจะเกิดก็ทำอะไรไม่ได้ อย่างขณะนี้เป็นอกุศลหลังจากเห็นชอบดอกไม้สวย หรืออะไรก็แล้วแต่ คือถ้ามั่นคงเช่นนี้ก็ทำให้มั่นคงในแนวทางว่า ถ้านอกจากฟังให้เข้าใจและความเข้าใจก็เข้าใจขึ้นเรื่อยๆ ว่าเป็นธรรมแต่ละลักษณะ
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ก็เป็นเรื่องที่ต้องเข้าใจด้วยตัวเอง ต้องเป็นความเข้าใจของเราเอง ใครจะบอกว่าเราไม่เข้าใจ แต่เราเข้าใจ นี่แปลกเพราะว่าเขาไม่รู้ เขาจะรู้ได้ยังไงใช่ไหมแต่ข้อสำคัญคือตัวเองต้องเป็นคนที่ตรง
เพราะฉะนั้น เราจะรู้ไหมวันไหนจะมีการรู้ลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ เห็นไหม เวลานี้เราเพียงฟังเรื่องทุกอย่างที่มีจริงในขณะนี้ เข้าใจ แต่ไม่ได้รู้เฉพาะตรงลักษณะหนึ่งลักษณะใดเลยทั้งสิ้น และเมื่อไหร่จะรู้ รู้ไหม หนึ่งไม่รู้ สองรู้ไหมว่าจะรู้อะไรก็รู้ไม่ได้เพราะยังไม่เกิดขึ้น อีกสิบปี อีกร้อยปี อีกชาติหนึ่งหรืออีกเท่าไรก็ตามแต่ แต่เมื่อปัญญาสะสมมาแล้วรู้สิ่งนั้นโดยไม่ได้ตระเตรียมมาก่อนเพราะเป็นอนัตตา ความเข้าใจความเป็นอนัตตาก็มั่นคง เพราะสภาพธรรมปรากฏชัดเจนว่า แม้แต่การที่จะเพียงรู้ลักษณะหนึ่งลักษณะใดไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาเลย เพราะเป็นอนัตตา
เพราะฉะนั้น จะไม่มีคำว่าทำสติ หรือว่าไปทำวิปัสสนา หรือว่าจะเจริญสติปัฎฐาน ไม่มีความเป็นตัวตน แต่มีความเข้าใจธรรมขึ้นเรื่อยๆ ค่อยๆ คลายชำระล้างจิตซึ่งเต็มไปด้วยความไม่รู้ และความติดข้องมากมายมหาศาล จนกระทั่งค่อยๆ สะอาดพอที่จะสามารถรู้ลักษณะที่เราได้ยินได้ฟังโดยความเป็นอนัตตาทีละเล็กทีละน้อย
ถ้าหวังมากแล้วแต่เหตุปัจจัย หวังเกิดแล้ว รู้ไหมว่าไม่ใช่เรา อะไรทั้งหมดจะไม่พ้นก็จะการเข้าใจถูกในความเป็นธรรมนั้นๆ ที่กำลังปรากฏตรงลักษณะ เพราะว่าขั้นนี้ที่กำลังรู้ตรงลักษณะไม่ใช่เพียงขั้นฟัง เพราะกำลังฟังในลักษณะทำมาก็เกิดดับไปเรื่อยๆ จิตเจตสิกทั้งหมดที่เราเรียน จิต ๘๙ เจตสิก ๕๒ รูปเท่าไหร่ ก็กำลังเป็นอย่างนั้น แต่ไม่รู้เลย เพราะฉะนั้น เมื่อไหร่วันไหนจะรู้ตรงไหนโดยความเป็นอนัตตา เพราะมีความเข้าใจที่มั่นคงขึ้น นั่นคือการเริ่มเกิดของสติปัฎฐานซึ่งเป็นสติสัมปชัญญะซึ่งไม่ใช่เราไปทำสติ หรือเราไปเจริญสติ เพราะเป็นเรื่องละ จึงสามารถที่สภาพนั้นจะเกิด และก็รู้ลักษณะนั้นได้ เพียงแค่เริ่มแล้วก็ลองคิดดู เพราะฉะนั้น ขณะนั้นเริ่มรู้จักลักษณะของสติสัมปชัญญะเพราะสติเกิด ถ้าสติไม่เกิดก็ไม่มีทางจะไปรู้ว่าสติเป็นอย่างไร มีแต่ความเป็นเราที่ไปหลงคิดว่าเรากำลังเจริญสติ หรือทำสติ เพราะฉะนั้น กว่าจะ อกุศลเกิด เช่นโกรธรู้ลักษณะนั้นซึ่งเป็นธรรมแท้ๆ เลย ปรากฏความเป็นธรรมนั้นซึ่งไม่ใช่ธรรมอื่น เมื่อไหร่ ไม่ต้องหวัง แต่ถ้าปัญญาเกิดคือตรงนั้น แทนที่จะเดือดร้อนเพราะความโกรธ หรือว่าคิดว่าโกรธแล้วจะทำอย่างไร วุ่นวายไปทั้งวัน ใช่ไหม ปัญญาเขาก็สามารถศึกษา สิกขา คือเริ่มเข้าใจถูกในลักษณะของสิ่งนั้นว่า นี่คือลักษณะที่เป็นธรรมไม่ใช่เรา
อ.ธิดารัตน์ ท่านอาจารย์ก็ได้อธิบายหมายถึงว่าการที่จะรู้แม้กระทั่งลักษณะของจิตก็ไม่ใช่แค่รู้จิตทีละดวง แต่เป็นการรู้นิมิตของจิตที่เกิดดับสืบต่อกัน แล้วเมื่อสักครู่ท่านอาจารย์ก็ได้กล่าวถึงลักษณะของโทสะด้วย โทสะก็คงนัยเดียวกันกับจิต เพราะว่าก็ไม่ได้รู้แค่เพียงขณะเดียว
ท่านอาจารย์ ในพระไตรปิฏก รูปนิมิต เวทนานิมิต สัญญานิมิต สังขารนิมิต วิญญาณนิมิต ขันธ์ทั้ง ๕ ไม่มีอะไรเหลือ เวลานี้ไม่ต้องสงสัยอีกว่าทั้งหมดนี้ ไม่ว่าอะไรก็คือว่าจะรู้ขณะหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นได้ไหม แต่สามารถจะรู้ได้เมื่อเกิดดับสืบต่อ ปรากฏเป็นนิมิต แสดงความรวดเร็วของจิตอย่างมากแค่ไหน
อ.ธิดารัตน์ เพราะว่านิมิตในที่นี้ยังไม่เป็นเรื่อง ยังไม่ได้เป็นบัญญัติ แต่เป็นนิมิตของสภาพธรรม ซึ่งเป็นลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏสืบต่อกันใช่ไหม
ท่านอาจารย์ นี่อะไร
อ.ธิดารัตน์ อันนี้เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดแล้วเป็นหลอด
ท่านอาจารย์ นิมิตแล้ว ถ้าแยกออกไปเป็นหนึ่งละเอียดจนมองไม่เห็น แค่รูปที่แยกจากกันไม่ได้ ๘ รูป ปรากฏไหมว่าเป็นอย่างนี้
อ.ธิดารัตน์ ไม่ปรากฏเพราะสืบต่อกันเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น เดี๋ยวนี้อะไรจะพ้นจากนิมิตได้ไหม
อ.ธิดารัตน์ ไม่พ้นจากนิมิต แต่ก็มีนิมิตละเอียด นิมิตหยาบๆ จะต่างกันอย่างไร
ท่านอาจารย์ ไหนลองว่านิมิตละเอียดกับนิมิตหยาบๆ
อ.ธิดารัตน์ ที่ท่านอาจารย์ยกตัวอย่างถึงนิมิตของสภาพธรรมที่สืบต่อนี่ละเอียดมาก แต่ถ้าพูดถึงนิมิต
ท่านอาจารย์ พูดถึงนิมิตนี่รวมแล้ว ที่เป็นนิมิตได้เพราะสภาพธรรมที่ละเอียดยิ่งรวมกัน เพราะเราไม่สามารถที่จะไปรู้ที่ละเอียดยิ่งอย่างหนึ่งกลาปใช่ไหม แต่เมื่อรวมกันอย่างนี้แล้วเป็นอย่างนี้
อ.ธิดารัตน์ แล้วที่ใช้คำว่านิมิตอนุพยัญชนะ
ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีนิมิตปรากฏเลย จะมีความเข้าใจไหมว่าต่างๆ กันหลากหลาย เพราะฉะนั้น นิมิตมาก่อนหรือเปล่า แล้วอนุพยัญชนะก็เป็นความละเอียดของนิมิตนั่นแหละ
อ.ธิดารัตน์ แล้วนิมิตที่เป็นบัญญัติ
ท่านอาจารย์ นิมิตที่เป็นบัญญัติคืออะไร
อ.ธิดารัตน์ เพราะว่าขณะนั้นไม่ใช่ธรรมที่มีจริงๆ
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ถ้าไม่มีนิมิตมีบัญญัติไหม
อ.ธิดารัตน์ ก็มีไม่ได้ อย่างการที่คิดถึงว่าเป็นรูปร่างสัณฐานซึ่งจริงๆ ก็คือนิมิตของสี ที่เกิดดับสืบต่อกัน
ท่านอาจารย์ ต้องมีนิมิตใช่ไหม ถ้าไม่มีปรมัตถ์มีนิมิตได้ไหม มีปรมัตถ์ก่อน เกิดดับสืบต่ออย่างเร็วปรากฏเป็นนิมิต และรู้ได้โดยประการนั้นๆ คือปัญญัตติ ยังไม่ต้องอะไรยกมาแค่นี้ นิมิตใช่ไหม และรู้ได้โดยอาการนั้นๆ จึงจะรู้ว่านี่อะไร รู้ได้โดยอาการนั้นๆ คือรู้ได้จากนิมิตโดยอาการของนิมิตนั้นๆ ว่าเป็นอะไร เพราะฉะนั้น ปัญญัตติก็คืออาการของนิมิตที่ทำให้รู้ได้ รู้นี่คือจิต
อ.ธิดารัตน์ มีคำว่าขณะที่รู้ลักษณะของสภาพธรรม ไม่ใส่ใจในนิมิตอนุพยัญชนะอย่างไร
ท่านอาจารย์ นี่ใส่ใจหรือยัง ไม่ใส่ใจคือเพียงปรากฏให้เห็น ได้
อ.ธิดารัตน์ เข้าใจแล้ว หมายถึงว่าถึงแม้สภาพธรรมจะปรากฏเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่ในขณะที่รู้ว่าเป็นเพียงสภาพธรรมที่ปรากฏเท่านั้น ขณะนั้นไม่ใส่ใจในนิมิต
ท่านอาจารย์ เพราะเริ่มมีความเห็นถูกต้อง เพราะฉะนั้น การเริ่มมีความเห็นถูกต้องทั้งหมด ไม่ใช่ไปเห็นนิมิต แต่เริ่มเข้าใจว่าสิ่งนั้นมี เป็นลักษณะของสภาพธรรมนั้นๆ แล้วลองคิดดูเวลานี้ใส่ใจในนิมิตใช่ไหม จนกว่าจะเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏเริ่มคลายความใส่ใจ จนเพิกถอนนิมิตออกไปได้ รู้ว่าเป็นแต่เพียงสิ่งที่ปรากฏเท่านั้น แต่ก็ยังโดยความเป็นนิมิตของปรมัตถ์ แต่ไม่มีการที่จะไปยึดถือว่าเป็นคนเป็นสัตว์เป็นอะไรอีกแล้ว เพราะเหตุว่าเข้าใจถูกต้องว่าเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏ
อย่างคุณอรวรรณอย่างนี้เห็นไหม ถ้าไม่มีธาตุ ดิน น้ำ ไฟ ลม ไม่มีสิ่งที่สามารถกระทบตาให้จำได้ จะว่าเป็นคุณอรวรรณไหม แต่ความจริงไม่มีคุณอรวรรณ มีแข็ง มีรูปธรรม มีนามธรรม แต่เวลาเห็น เห็นแต่รูปธรรม นามธรรมไม่เห็น
อ.อรรณพ ท่านอาจารย์ก็ยกหลอดให้ดู เห็นชัดว่า ก็เห็นเป็นกลุ่มก้อน เป็นนิมิต อันนี้ให้รู้โดยประการนั้นๆ ว่านี่เป็นวัสดุอะไรที่ใช้ทำอะไร อย่างนี้ก็เป็นปัญญัตติให้รู้โดยประการนั้นๆ ถามว่าไม่ใส่ใจในนิมิตคืออะไร ท่านอาจารย์ก็ยกให้ดูอีกว่าถ้ารู้ว่าเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏเท่านั้นก็ไม่ใช่เป็นการใส่ใจในนิมิต แต่จริงๆ แล้วสภาพธรรมเกิดดับรวดเร็ว ไม่ใช่ว่าจะรู้เฉพาะ รู้เพียงสีขณะเดียวที่ปรากฏ สีนั้นก็ต้องเกิดปรากฏเกิดๆ ๆ จนพอที่จะมีลักษณะของสีนั้นปรากฏให้รู้ได้ ไม่ใช่สีที่ปรากฏขณะเดียว จะต่างกับนิมิตไหม
ท่านอาจารย์ เวลานี้ทุกคนฟัง เข้าใจ สภาพธรรมเกิดดับเร็วสุดที่จะประมาณได้ เพราะฉะนั้น สิ่งที่ปรากฏทางตา ความจริงต้องเป็นสิ่งที่เพียงปรากฏให้เห็นได้เท่านั้นเอง เปลี่ยนไม่ได้เลย แข็งไม่ได้ปรากฏให้เห็น รสไม่ได้ปรากฎให้เห็น แต่ที่กำลังปรากฏทางตาเป็นสิ่งที่มีจริงแน่นอน เป็นเพียงธาตุหรือธรรมอย่างหนึ่งซึ่งกำลังปรากฏให้เห็นได้ นี่แสดงให้เห็นว่า มีคนไหม ไม่มี มีโต๊ะ เก้าอี้ไหม ไม่มี แล้วเมื่อไหร่จะถึงวันนั้น ยังไม่ต้องไปคิดถึงนิมิตอะไรทั้งหมดที่เราจะไปรู้ เกินกว่านั้นแล้ว จะต้องเป็นอย่างนี้อย่างนั้น เพียงแต่ว่าเมื่อไหร่จะละการยึดถือสิ่งที่ปรากฏว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด กว่าสิ่งนั้นจะปรากฏว่าดับ
คนอย่างนี้ไม่มีทางหรอกที่จะดับ ใช่ไหม ยังติดแน่นในนิมิต ในนิมิตอนุพยัญชนะยังติดแน่นอยู่เลย เป็นคนนั้นคนนี้ แล้วจะดับได้อย่างไร กว่าจะคลายว่าไม่มี ไม่มีคือไม่มี บอกว่าไม่มีคน ก็ต้องไม่มีคน เป็นธรรมก็ต้องเป็นธรรม ใช่ไหม คลายเมื่อไหร่โดยอะไรคิดเองหรือ กว่าสติสัมปชัญญะจะเกิด และเริ่มเข้าใจสิ่งที่ปรากฏ ทีละเล็กทีละน้อยจนกว่าละคลายความเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดแล้ว สภาพธรรมจากนามรูปปริจเฉทญาณ คือลักษณะนั้นไม่ใช่คนใช่ไหม ถึงได้เป็นรู ปะ และก็ไม่ใช่เราใช่ไหม แต่เป็นธาตุเห็นใช่ไหม หรือว่าเป็นธาตุได้ยินก็ได้ แล้วก็เป็นเสียงใช่ไหม แต่ละหนึ่ง
แต่ละหนึ่ง นี่หมายความว่าขณะนั้นต้องไม่มีอย่างอื่นเลยทั้งสิ้น โลกทั้งโลกหายไปหมด ใช่หรือเปล่า เพราะมีแต่เพียงธาตุรู้กับสิ่งที่ปรากฏ ถ้าเป็นทางหู จมูก ลิ้น กายมืดแค่ไหน มโนทวารนี่เกิดมากไหมกว่าจะมาเป็นคนนั่งอยู่ที่นี่ เพราะฉะนั้น ปรากฏจริงๆ นามรูปปริจเฉทญาณ ปัญญาที่ประจักษ์แจ้งลักษณะของธาตุรู้ และสภาพซึ่งไม่ใช่ธาตุรู้ และก็มีลักษณะเฉพาะอย่าง
เพราะฉะนั้น ในขณะที่เสียงปรากฏในความมืดสนิท ไม่มีอย่างอื่นเลยทั้งสิ้น หายวับไปเลย มีแต่ธาตุรู้กับเสียง ถูกไหม จริงหรือเปล่า ว่าขณะนั้นคือความจริง แต่ละทางๆ ๆ ๆ แม้ขณะนั้นก็นิมิต คิดดูก็แล้วกัน
อ.อรรณพ ก็เป็นนิมิต
ท่านอาจารย์ ก็แน่นอน สัมปฏิจฉันนะอยู่ไหน สันตีรณอยู่ไหน มโนทวาราวัชชนะอยู่ไหน ไม่มีทางเลย เพราะฉะนั้น พระปัญญาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สิ่งนี้จริงแน่นอน คนไม่รู้ก็ไม่รู้ รู้แล้วจะเป็นอย่างอื่นไม่ได้ นอกจากเป็นอย่างที่ทรงแสดงไว้ทุกคำ เพราะฉะนั้น กว่าที่จะเข้าใจความหมายของ นิมิต อนุพยัญชนะทางตา และก็พูดซ้ำๆ ว่าเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ ได้ยินกี่ครั้งวันนี้ แต่ว่ายังไม่เป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้น คิดดูก็แล้วกันว่า เมื่อไหร่จะเป็น ก็เกิน๔ อสงไขยแสนกัปใช่ไหม ที่เป็นอย่างนี้มาแล้ว แล้วจะให้ไม่เป็นอย่างนี้คิดดู และไม่น้อมพระทัยที่จะทรงแสดง คำนี้หมายความว่าอย่างไร เป็นพระปัญญาระดับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ ขณะนั้นก็ไม่น้อมพระทัย แต่เพราะได้สะสมที่จะถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประกอบด้วยพระญาณมากมาย ก็รู้ว่าสัตว์โลกที่ได้สะสมปัญญามาแล้ว สะสมความเห็นถูกมาแล้วสามารถที่จะเข้าใจได้ และการบำเพ็ญมาก็เพื่ออนุเคราะห์คนที่ไม่สามารถที่จะรู้ได้ด้วยตัวเอง
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1921
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1922
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1923
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1924
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1925
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1926
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1927
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1928
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1929
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1930
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1931
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1932
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1933
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1934
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1935
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1936
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1937
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1938
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1939
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1940
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1941
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1942
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1943
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1944
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1945
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1946
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1947
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1948
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1949
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1950
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1951
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1952
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1953
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1954
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1955
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1956
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1957
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1958
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1959
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1960
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1961
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1962
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1963
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1964
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1965
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1966
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1967
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1968
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1969
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1970
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1971
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1972
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1973
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1974
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1975
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1976
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1977
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1978
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1979
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1980
