ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1932


    ตอนที่ ๑๙๓๒

    สนทนาธรรม ระหว่างเดินทางไปนมัสการสังเวชนียสถาน ประเทศอินเดีย

    วันที่ ๑๕ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๗


    ท่านอาจารย์ ไม่เปลี่ยน ที่นี่เป็นธาตุ กลับไปบ้านเป็นธาตุหรือเป็นเรา ก็ต้องเป็นธาตุเหมือนเดิม แต่ว่าเดี๋ยวก็ลืมใช่ไหม เมื่อสักครู่นี้ลืมไปแล้ว แต่ตอนนี้มานั่งฟังกันใหม่อีก แล้วก็พรุ่งนี้ก็คงจะมีโอกาสได้ฟังอีก แต่พอจากตรงนี้ไปก็เป็นเรื่องอื่น ตามธรรมดาเป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้นไม่ต้องหวั่นไหววิตกว่าทำไมเราไม่รู้ ทำไมเราไม่คิดถึงธรรม ทำไมเราไปคิดถึงเรื่องนั้นเรื่องนี้ ก็เป็นธรรมดาของการที่เราคุ้นเคย ก็สามารถที่จะเป็นปัจจัยให้เราคิดบ่อยๆ ซึ่งแลกความคิดกันไม่ได้ เพราะความคุ้นเคยของแต่ละคน ต่างกัน

    อ.คำปั่น ท่านอาจารย์ได้กล่าวว่าแต่ละคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเป็นคำที่ไม่ควรที่จะประมาท การที่จะเป็นผู้ไม่ประมาทในแต่ละคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสมีความละเอียดอย่างไร

    ท่านอาจารย์ ถ้ามีความมั่นคงเพียงแค่ได้ยินคำว่าธรรม ก็ซาบซึ้งได้ใช่ไหม เพราะว่าสิ่งที่มีจริงทั้งหมดมีจริงๆ แค่นี้ แล้วถ้ารู้ความจริงมากยิ่งขึ้นก็เป็นตามที่ทรงแสดงทุกอย่าง ความเข้าใจทำไมก็มั่นคงขึ้นอีกเรื่อยๆ

    แต่ต้องขออนุโมทนาทุกท่านมีบุญซึ่งชาติไหนที่ผ่านมาแล้วเราก็ไม่รู้ได้กระทำไว้แล้ว ที่จะทำให้เป็นผู้ที่ได้มานั่งอยู่ตรงนี้ แล้วก็ได้ฟังคำซึ่งอาจจะเคยได้ฟังมาแล้วแต่ก็ต่อไปอีก ไม่ใช่เพียงแค่วันนี้หรือชาตินี้ แต่ยังมีต่อไปอีกนานแสนนานจนกว่าทุกคำที่ได้ยิน สิ่งที่มีขณะนี้เกิด ยังไม่มี แล้วเกิด ค่อยๆ ปรากฏเข้าใจขึ้นตามลำดับ

    เริ่มต้นเมื่อคืนนี้หลับสนิท มีไหม ตอนหลับสนิทไม่มีอะไรปรากฏเลย เป็นใครอยู่ที่ไหน อยู่ที่ใกล้ๆ พระวิหารเชตวัน หรือว่ายังอยู่บ้านที่กรุงเทพฯ ไม่รู้เลยสักนิด ไม่มีอะไรที่จะปรากฏให้คิดให้ปรากฏว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้

    หลับสนิทจริงๆ แล้วทำไมตื่น และตื่นขึ้นเป็นอ่างไรที่ต่างกันหลับ เห็นขณะนี้ตื่นไม่ใช่ขณะที่หลับสนิทเลย ได้ยินขณะนี้หลับหรือตื่น พอรู้ตอนนี้ตื่นก็คือขณะเห็น ขณะได้ยิน ขณะได้กลิ่น ขณะลิ้มรส ขณะรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ขณะที่คิดนึก ถ้าไม่ใช่ขณะเหล่านี้ คือหลับ ถูกต้องไหม

    แต่ว่าที่ว่าหลับ ต้องเข้าใจด้วย หมายความว่าไม่ใช่ไม่มีอะไรเลย มีธาตุรู้ เห็นไหมไม่ใช่ว่างเปล่าไปเลย มีธาตุรู้ซึ่งขณะนั้นไม่เห็น ไม่ได้ยิน แต่ว่าธาตุรู้นี้ก็ไม่สามารถที่จะหลับ หรือที่เราใช้คำว่าภวังค์ไม่รู้สิ่งที่ปรากฏทางตาหูจมูกลิ้นกายใจเมื่อไหร่.เมื่อนั้นจิตทำกิจดำรงภพชาติ คือต้องเกิดแล้วก็ดับ และก็ต้องเกิดและก็ดับ จิตที่เกิดและดับแล้วเป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดสืบต่อทันทีไม่มีระหว่างคั่นเลย จนกระทั่งไม่สามารถรู้ว่าจิตดับแล้ว และขณะนี้มีจิตเกิดสืบต่อเร็วมาก เนียนมาก สนิทมากไม่เห็นรอยต่อเลย

    เพราะฉะนั้น ก็เหมือนกับว่าไม่มีอะไร แต่ความจริงตราบใดที่ยังไม่ตายต้องมีธาตุรู้ ใครไปทำให้ธาตุรู้เกิดขึ้น ไม่มีใครทำเลย แต่เป็นสิ่งที่มีจริงแน่นอน ซึ่งมีปัจจัยเกิด เหมือนกับใครไปทำให้แข็งเกิดขึ้น ใครก็ทำแข็งไม่ได้แต่มีปัจจัยที่แข็งจะเกิดขึ้น

    ใครเป็นปัจจัยให้ร้อน ร้อนมีจริงๆ ใครทำให้ร้อนเกิดขึ้น ก็ไม่มีใครทำอะไรได้สักอย่างเดียว แต่ว่ามีปัจจัยที่ทำให้ร้อนเกิดขึ้นเป็นร้อน หรือว่าเย็นเกิดขึ้นเป็นเย็นฉันใด

    ธาตุรู้ไม่มีใครต้องไปทำ ไม่มีใครต้องไปพยายามค้นคิดว่าใครทำ แต่ว่ามีปัจจัยเกิดเป็นอย่างนี้ เหมือนกับแข็งเกิดเป็นแข็ง เสียงเป็นเสียง รู้เป็นรู้ ชอบเป็นชอบ ชังเป็นชังทั้งหมดมีจริงหมดเลย ก็เป็นธรรมแต่ละหนึ่ง

    เพราะฉะนั้น ฟังจนกว่าจะเข้าใจขึ้นๆ เริ่มตั้งแต่หลับไม่ใช่ตื่น เพราะฉะนั้น ตื่นก็คือขณะนั้นมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏให้รู้ว่าเป็นสิ่งนั้น เช่นอาจจะเป็นเสียง บางคนตื่นขึ้นได้ยินเสียง เมื่อเช้านี้เองใช่ไหมเสียงคนปลุกทางโทรศัพท์

    หลับสนิทอยู่ดีๆ ตกใจเพราะเสียงปรากฏ แสดงว่าขณะนั้นไม่ใช่หลับสนิท เมื่อไหร่ก็ตามที่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏขณะนั้นไม่ได้หลับ เพราะเหตุว่าเห็นบ้าง ได้ยินบ้าง ได้กลิ่นบ้าง ลิ้มรสบ้าง รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสบ้าง

    ตั้งแต่เช้ามาอีกไม่นานหลับสนิทไม่หลับได้ไหม ไม่ได้เลย แล้วก็ต่อจากนั้นไม่นานก็ตื่นอีก ตื่นอีกก็เหมือนอย่างเดียวนี้ แล้วก็ถึงหลับ ตอนหลับไม่เห็นมีอะไรปรากฏเลย สิ่งที่เคยปรากฏหายไปไหนหมดไม่เหลือเลย ไม่มีเลย

    นี่แสดงความจริงอย่างหนึ่งว่าเพียงแค่จิตไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่ลิ้มรส ไม่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ไม่คิดนึก ก็ไม่มีอะไรเหลือให้ปรากฏที่จะจำหรือที่จะเห็นว่าชอบหรือไม่ชอบหรือว่าสำคัญ

    อ.คำปั่น ก็เป็นธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัยซึ่งก็ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร แม้แต่ที่ท่านอาจารย์ได้กล่าวถึงความหลับหรือว่าตื่น ก็คือสภาพธรรมที่มีจริงๆ ซึ่งก็เป็นขณะที่แตกต่างกัน ระหว่างตื่นก็คือมีเห็น มีได้ยิน มิได้กลิ่น มีคิดนึก แต่ขณะที่หลับโลกนี้ไม่ปรากฏเลย ไม่มีเห็น ไม่มีได้ยินเป็นต้น

    กุศลอกุศลไม่เกิดเลยในขณะที่หลับ ซึ่งก็เป็นการค่อยๆ สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปทีละเล็กทีละน้อยจริงๆ

    อ.ธิดารัตน์ ท่านอาจารย์ก็ได้กล่าวถึงว่าวันหนึ่งความเป็นไปของจิตก็มีทั้งเกิดขึ้นทำกิจทำหน้าที่เป็นวิถีจิต หรือว่าขณะที่จิตเป็นไปโดยอาศัยตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจเหล่านี้เราก็เรียกว่าตื่น

    แต่จริงๆ แล้วแม้ขณะที่มีการเห็นการ ได้ยิน ก็มีภวังค์คั่นระหว่างวิถีตลอด ภวังค์มีอารมณ์ที่ไม่ใช้อารมณ์ของชาตินี้ แต่เวลาที่หลับสนิทก็จะชัดเจนมากเลยว่าไม่มีการเห็น ไม่มีการได้ยิน ไม่มีการคิดนึก ขณะที่ฝันถ้าหลับแล้วฝัน ฝันเป็นวิถีจิต ภวังค์ขณะนั้นที่ใช้คำว่าหลับเพราะว่ามีภวังคจิตเกิดขึ้นทำกิจดำรงภพชาติหรือว่าความเป็นบุคคลนี้อยู่ เพราะเป็นจิตที่เป็นผลของกรรม เป็นกรรมๆ เดียวกันกับที่ทำให้เราเกิดขึ้นในชาติ

    ท่านอาจารย์ คุณธิดารัตน์พูดหลายคำเลย แต่ว่าความเข้าใจธรรมขอให้เป็นทีละคำ จนกระทั่งไม่มีความสงสัยในคำนั้น

    คุณสุกัญญาสงสัยว่าอย่างไร

    ผู้ฟัง คำว่าจิต เพราะว่ายังไม่รู้จัก

    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้เห็นหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เห็น

    ท่านอาจารย์ สิ่งที่ปรากฏให้เห็นมีไหม

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ สิ่งนั้นปรากฏให้อะไรเห็น

    ผู้ฟัง ให้ตาเห็นใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ ตาไม่เห็น

    ผู้ฟัง ก็ต้องให้ธาตุรู้

    ท่านอาจารย์ หมายความว่าขณะนี้ชีวิตเป็นปกติธรรมดาแต่เต็มไปด้วยความไม่รู้ความจริง เห็นนี่เห็นปกติเลย มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นใช่ไหม นี่ก็ถูกเห็นๆ ทุกสิ่งทุกอย่างประกฎให้เห็น แต่เห็นต้องมี

    เพราะฉะนั้น เห็นไม่ใช่โต๊ะจะเห็นอะไรได้ ไม่ใช่เก้าอี้จะเห็นอะไรได้ แต่ว่าต้องมีสิ่งหนึ่งที่ สามารถจะเห็นไม่ต้องเรียกสิ่งนั้นว่าอะไร

    เสียงมีใช่ไหม นอนหลับสนิททำไมเสียงไม่ปรากฏแม้ว่าคนอื่นได้ยิน เพราะฉะนั้น เสียงปรากฏกับธาตุชนิดหนึ่งซึ่งสามารถรู้คือได้ยินเสียง สิ่งที่มีจริงถ้าไม่มีการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแม้ว่าจะมีได้ยินก็ไม่มีใครรู้ ว่าได้ยินมีแต่ไม่ใช่เรา เป็นธาตุชนิดหนึ่ง ซึ่งเกิดเมื่อไหร่ต้องได้ยินเฉพาะเสียง

    ขณะนี้เสียงปรากฏ ต้องมีธาตุที่กำลังรู้เสียงนั้นคือหมายความว่าได้ยินเสียงนั้น ไม่ต้องคิดถึงจิตเลย คิดถึงธาตุรู้ซึ่งสามารถจะรู้ในขณะที่เสียงปรากฏว่าเสียงเป็นอย่างนี้ นี่ต้องมีธาตุรู้ ในขณะที่กำลังเห็นมีสิ่งที่ปรากฏไม่ต้องคิดถึงคำว่าจิตเลยมีธาตุที่กำลังเห็น

    เพราะฉะนั้น จึงมีเสียงที่ปรากฏให้ได้ยิน และก็มีสิ่งที่ปรากฏทางตาให้เห็นไม่ต้องคำนึงถึงคำนี้เลยไม่ต้องคิดถึงคำว่าจิต แต่มีธาตุที่กำลังรู้

    ลองกระทบแข็ง แข็งปรากฏไหมเ พราะฉะนั้น ต้องมีธาตุที่กำลังรู้แข็งที่ปรากฏ กำลังได้กลิ่นต้องมีธาตุที่กำลังรู้กลิ่น ถ้าไม่มีธาตุที่รู้กลิ่นๆ ปรากฏไม่ได้เลย

    เพราะฉะนั้น สิ่งที่ปรากฏๆ กับธาตุรู้ถูกต้องไหม เพราะฉะนั้นธาตุรู้มีตั้งหลายอย่าง รวมเรียกว่าจิตได้ไหม ไม่ว่าจะรู้อะไร ธาตุรู้นั่นแหละคือจิต แต่ถ้ายังไม่เข้าใจ จิต ก็เป็นธาตุรู้ไป

    กำลังมีแข็งปรากฎธาตุที่กำลังรู้แข็งมี เพราะฉะนั้น แข็งจึงปรากฏได้ ถ้าไม่มีธาตุรู้แข็งปรากฏไม่ได้เลย เริ่มเข้าใจความจริงคือธาตุรู้ แต่ธาตุรู้มีมากหลากหลาย

    คิดนึก ถ้าไม่มีธาตุคิดรู้คำแต่ละคำๆ เรื่องนั้นก็ไม่มีใช่ไหม เป็นแต่เพียงเสียง แต่ขณะนี้นอกจากเสียงยังมีคิดถึงความหมายซึ่งเป็นคำๆ ของเสียงแต่ละเสียงด้วย

    เพราะฉะนั้น ธาตุรู้เป็นสภาพที่ไม่ใช่เพียงแต่ได้ยินเสียงรู้เสียง ยังรู้ความหมายของเสียงสูงๆ ต่ำๆ ด้วย เพราะฉะนั้น โลกปรากฏเพราะมีธาตุรู้ ถ้าไม่มีธาตุรู้เลยก็จะไม่มีอะไรปรากฏเลย

    แต่เพราะมีธาตุรู้โลกจึงปรากฏ ด้วยเหตุนี้ธาตุรู้มีมากมายรวมเรียกธาตุที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้ว่าจิต ตอนนี้สงสัยจิตไหม

    ศึกษาธรรมทีละคำจนกระทั่งหมดความสงสัยในคำนั้น ตอนนี้ไม่สงสัยในคำว่าธาตุรู้ต้องมี แต่ยังไม่สามารถไปรู้ความละเอียดว่าธาตุรู้หลากหลายกว่านั้นอีก

    พูดคำหนึ่งจะแตกย่อยออกไปนับประมาณไม่ได้เลย แต่ว่าเริ่มจากการที่รู้ก่อนว่าธาตุรู้มีแน่ๆ ถ้าไม่มีอะไรก็ไม่ปรากฏ ยังไม่พูดคำว่าจิตเจตสิก

    แต่ถ้าจะพูดถึงว่าขณะนี้เห็น ก็ต้องมีธาตุที่กำลังเห็น ธาตุที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้สิ่งที่ปรากฏ ใช้คำว่าจิตได้ไหม หรือจะใช้คำว่าวิญญาณได้ไหม หรือจะใช้คำว่ามโน ได้ไหม หรือจะใช้คำว่า หทย ได้ไหม

    ใครห้าม ใช้ก็ใช้ไป ใช้คำว่าธาตุรู้ได้ไหม ก็ได้ เพราะฉะนั้น อยู่ที่ความเข้าใจ ภาษาอังกฤษไม่มีธาตุรู้ ไม่มีคำว่ามโน ไม่มีคำว่าวิญญาณ ก็แล้วแต่ว่าภาษานั้นใช้คำอะไรและสามารถที่จะเข้าใจในความเป็นธาตุรู้ได้ ก็ใช้คำนั้นที่เข้าใจกัน

    เพราะฉะนั้น ภาษาแต่ละภาษาก็คือเสียงแต่ละเสียง ซึ่งมีความหมายสำหรับคนในกลุ่มนั้นที่สามารถจะเข้าใจร่วมกันได้ว่าหมายความถึงอะไร จึงเป็นแต่ละภาษา

    เพราะฉะนั้น ภาษาเพียงแต่สื่อให้รู้ว่าหมายความถึงอะไร เพราะฉะนั้น เวลานี้มีเห็น ไม่ใช่มีสิ่งที่ปรากฏโดยไม่มีเห็น

    เพราะฉะนั้น สิ่งที่ปรากฏปรากฏให้เห็น เพราะฉะนั้น เห็นเป็นอย่างหนึ่ง และก็สิ่งที่ปรากฏให้เห็นเป็นอย่างหนึ่ง ใช้ภาษาไทยเพราะว่าคนไทยรู้ ถ้าพูดอย่างนี้แล้วเข้าใจได้

    เพราะฉนั้น จะใช้คำอื่นได้ไหมได้ ไม่ใช้คำว่าธาตุรู้ ใช้คำว่าจิต และสิ่งที่ถูกรู้ก็ไม่ใช่คำนี้บ่อยๆ ใช้คำว่าอารัมมณะคือสิ่งใดที่จิตรู้ สิ่งที่ถูกรู้เป็นอารมณ์ ภาษาไทยตัดสั้นๆ แต่ภาษาบาลีต้องออกเสียงทุกตัว อารัมมณะหรืออาลัมพนะ

    ได้ยินคำนี้เมื่อไหร่ต้องหมายความว่าเป็นสิ่งที่จิตกำลังรู้ ถ้าไม่มีเสียงเลยแล้วก็เกิดเสียงขึ้น ได้ไหม แต่ว่าขณะใดก็ตามที่เกิดเสียงขึ้นไม่มีการไปรู้เสียงนั้นเลยได้ไหม ก็ได้อีกใช่ไหม

    เพราะฉนั้น เสียงมี ภาษาบาลีใช้คำว่าสัททะ ภาษาไทยใช้ว่าเสียง แต่เสียงใดก็ตามที่ถูกรู้ และจิตกำลังรู้เฉพาะเสียงนั้นเท่านั้นเป็นอารมณ์ของจิตจึงรวมเรียกว่าสัททารมณ์ หมายความถึงเสียงที่เป็นอารมณ์ของจิต

    แต่ว่าคนไทยไม่ต้องใช้คำว่าสัททารมณ์ ใช้คำว่าเสียงที่ได้ยิน ถูกต้องไหม คือเราพยายามให้รู้ความจริงของสิ่งที่มีในภาษาของเรา เพราะฉะนั้น เวลาที่ได้ยินคำอื่นให้รู้ด้วยว่าภาษาไหน อย่างคำว่าจิต

    จิต ตะ ไม่ใช่ภาษาไทยเป็นภาษาบาลีหมายความถึงธาตุที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้ พูดอย่างนี้น่าคิดแล้วใช่ไหม เป็นใหญ่เป็นประธานก็หมายความว่าต้องมีธาตุรู้อื่นๆ ด้วยที่ไม่ใช่เป็นใหญ่เป็นประธาน

    แต่ธาตุใดก็ตามที่เป็นใหญ่เป็นประธานธาตุนั้นเราใช้อีกคำหนึ่งพิเศษว่าจิต คือไม่ใช่ฟังและให้เป็นที่สงสัย แต่ฟังให้รู้ว่าทำไมมีหลายคำไหน ใช้คำเดียวไม่พอหรือ ไม่พอ

    เพราะว่าหลากหลายมาก ธาตุรู้นอกจากจิตที่เห็นได้ยิน ได้กลิ่น ชอบ เป็นธาตุรู้หรือเปล่า ไม่ใช่มีคนมาบอกเราให้เราตามและก็ไม่เข้าใจและก็จำ แต่ว่าให้เราคิด ชอบ

    ผู้ฟัง เป็น

    ท่านอาจารย์ เป็นธาตุรู้ถ้าไม่มีการเห็นไม่มีการได้ยิน จะเกิดชอบขึ้นมาเฉยๆ ได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ชอบอะไรก็ไม่รู้ เป็นไปไม่ได้เลยใช่ไหม แต่กำลังชอบดอกไม้ หรือว่าชอบขนม หรือว่าชอบข้าวต้องมีสิ่งที่ถูกรู้ และมีความพอใจในสิ่งนั้น

    เพราะฉะนั้น ขณะนี้จะเห็นความละเอียดชอบไม่ใช่จิตเห็น จิตเห็นเพียงเกิดขึ้นไม่ทำอะไรเลยทั้งสิ้นนอกจากเห็นเท่านั้น

    เพราะฉะนั้น ชอบเป็นอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งมีเมื่อเห็น มีเมื่อได้ยิน มีเมื่อคิดเหล่านี้เป็นต้น นี่ก็แสดงความหลากหลายของธรรมซึ่งเป็นธาตุรู้แล้ว เพราะฉะนั้น ชอบก็มี ไม่ชอบก็มี ดีใจก็มี เสียใจก็มี จำก็มีอะไรต่างๆ เหล่านี้เป็นธรรมอีกอย่างหนึ่งเป็นธาตุรู้เหมือนกันแต่ไม่ใช่จิต เห็นไหม

    เป็นธาตุรู้ที่ไม่ใช้จิต เพราะฉะนั้น ธาตุรู้อื่นทั้งหมดที่ไม่ใช่จิต ธาตุรู้นั้นต้องเกิดกับจิตจึงใช้คำภาษาบาลีว่า เจ ตะ สิ กะ เกิดในจิต เกิดกับจิต แต่ไม่ใช่จิต

    เพราะฉะนั้น เมื่อจิตเกิดขึ้นเป็นธาตุรู้ เราไม่ได้เพียงแต่เห็น เราชอบด้วย แต่ต้องรู้ว่าขณะนั้นบางครั้งเห็นแล้วไม่ชอบก็มี ชอบก็มี ด้วยเหตุนี้เห็นต้องเห็นแน่ๆ แต่ชอบบ้าง ไม่ชอบบ้างนั้นเป็นเจตสิก ซึ่งเกิดพร้อมกับจิต ยังเป็นเรื่องที่ละเอียดลึกมากขึ้นเรื่อยๆ

    เพราะฉะนั้น การศึกษามุ่งให้เข้าใจสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องชื่อภาษาอื่น พอเข้าใจแล้วพูดคำว่าจิตเข้าใจไหม หมายความถึงธาตุรู้ซึ่งเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้ แต่พอบอกว่าชอบๆ ไม่ใช่จิตแน่นอน

    แต่ว่าถ้าไม่มีการเห็น การได้ยินจะชอบก็ไม่ได้อยู่ดีๆ ชอบขึ้นมาไม่ได้เลย ต้องมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ปรากฏ ขณะที่สิ่งนั้นปรากฏต้องปรากฏกับจิต แต่เวลาที่ชอบในสิ่งที่ปรากฏ ชอบเป็นอีกอย่างหนึ่ง แล้ว เป็นเจตสิกเป็นธาตุรู้ซึ่งเกิดกับจิต ภาษาบาลีก็ใช้คำว่าเจตสิก

    ถ้ามีสิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏแต่ไม่มีธาตุรู้เป็นไปได้ไหม เพราะฉะนั้น แน่ใจได้เลย ปรากฏต้องหมายความว่าต้องมีธาตุรู้ที่กำลังรู้สิ่งนั้น สิ่งนั้นจึงปรากฏว่ามี เพราะว่ามีธาตุรู้จึงรู้ว่าสิ่งนั้นมี

    เช่นดอกไม้ สิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ หลับตาไม่มีเลย พอลืมตาก็มีสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น เพราะฉะนั้น จะมีสิ่งที่ปรากฏว่ามีโดยไม่มีธาตุรู้รู้สิ่งนั้นไม่ได้เลย ด้วยเหตุนี้จิตเกิดเมื่อไหร่ต้องรู้ ใช้คำนั้นได้เลยเพราะเป็นธาตุรู้

    เมื่อธาตุรู้เกิดจะไม่ให้รู้ได้หรือ และเมื่อธาตุรู้เกิดแล้วจะไม่ให้มีสิ่งที่จิตรู้ได้หรือ เพราะว่าจิตเป็นธาตุรู้ เดี๋ยวนี้กำลังเป็นอย่างนั้น แต่มืดสนิทเพราะอวิชชา

    อวิชชาเป็นสิ่งที่มีจริง ไม่รู้เมื่อไหร่นั่นแหละจะเรียกว่าไม่รู้ก็ได้ ภาษาบาลีไม่มีคำว่าไม่รู้ เขาก็ใช้คำว่าอะ แปลว่าไม่ วิชชาคือรู้

    เพราะฉนั้น ไม่รู้ก็คืออวิชชา

    ผู้ฟัง ในกรณีที่ที่กรรมเป็นเหตุ และปัจจัย

    ท่านอาจารย์ ยังไม่ได้พูดเรื่องกรรม กรรมคืออะไร ทุกคำที่ใหม่ต้องถามว่าคืออะไร

    ผู้ฟัง อย่างคนตาบอดหรือคนหูหนวก

    ท่านอาจารย์ คนตาบอดคือ

    ผู้ฟัง ไม่มีตา

    ท่านอาจารย์ ไม่มีรูปพิเศษที่สามารถกระทบกับสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น ถ้าไม่มีรูปพิเศษซึ่งมองไม่เห็นเลยแต่ว่าสามารถกระทบกับสิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ได้คิดดู พิเศษไหม

    เพราะฉะนั้น เมื่อไม่มีรูปนั้น อยางไรๆ ห็นเกิดไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น ตาบอดคืออะไร คือไม่มีรูปพิเศษที่สามารถกระทบกับสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ อยากเรียกชื่อไหม ไม่ยากเลย

    คนไทยใช้บ่อยหมอตา จักษุแพทย์หรือจักขุในภาษาบาลี หมอคือแพทย์ หมอตา เพราะฉะนั้น จักขุคือตาแต่ไม่ใช่ตาทั้งหมด ตาดำ ตาขาว เฉพาะรูปที่สามารถกระทบกับสิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้เท่านั้น

    ตามปกติก็อยู่ตรงกลางตา แต่ไม่เห็นรูปนั้นไม่เห็นเลย เพียงแต่ว่าสำหรับกระทบกับสิ่งที่ปรากฏตาได้เป็นปัจจัยให้ธาตุรู้เกิดเห็น ต้องมีธาตุรู้เกิดเห็น ขณะเห็นไม่ใช่ตัวตา แต่เป็นธาตุรู้ที่เกิดเพราะตากระทบกับสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้โดยทำให้จิตเห็นเกิดขึ้นเห็นสิ่งนั้น

    ละเอียดเข้าไปอีกเรื่อยๆ ธรรมที่มี เห็นเป็นนกหรือเปล่า ธาตุรู้ที่เห็นเป็นนกหรือเปล่า เป็นคนหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่ใช่

    ท่านอาจารย์ ต้องถูกต้องไม่ใช่คน แต่ธาตุที่สามารถเห็นได้เป็นสิ่งที่มีจริงไม่ใช่ไทยจีนฝรั่งมอญ แต่เกิดขึ้นเห็นแล้วก็ดับไป แล้วก็ไม่กลับไปอีกเลย สากลจริงๆ เหมือนกันหมดไม่ว่าใคร

    ผู้ฟัง คนที่ไม่ได้ยินก็เช่นเดียวกันใช่ไหม คือก็ไม่มีรูปที่กระทบเสียง

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง แต่รูปนั้นได้ยินเสียงหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่ได้ยิน

    ท่านอาจารย์ รูปนั้นไม่ได้ยิน เพียงสามารถกระทบเสียง และเป็นสิ่งที่เมื่อกระทบแล้วเป็นปัจจัยให้จิตได้ยินเกิดขึ้น เพราะฉะนั้น ที่ได้ยินเดี๋ยวนี้เลย เป็นคนหรือเปล่า

    แต่เป็นธาตุรู้คือจิตชนิดหนึ่งเกิดขึ้นเมื่อไร ทำอย่างอื่นไม่ได้เลยนอกจากเกิดขึ้นได้ยินเสียงแล้วดับแล้ว ได้ยินเสียงแล้วดับไปแล้ว เกิดขึ้นได้ยินเสียงและก็ดับไปแล้ว กว่าจะละความเป็นเราเพราะว่าเป็นแต่เพียงธรรมแต่ละหนึ่ง จริงๆ

    ปะปนกันไม่ได้เลย จิตเห็นจะมาเป็นจิตได้ยินไม่ได้ เกิดจากเหตุสมุฏฐานต่างกันไม่สามารถจะทำให้ได้ยินได้เลยถ้าขณะนั้น ไม่ใช่โสตปสาท หรือรูปที่สามารถกระทบเสียงได้ ต้องเฉพาะรูปนั้นมี แล้วก็มีสิ่งที่กระทบได้คือเสียงสามารถกระทบกับโสตปสาท รูปพิเศษที่สามารถกระทบเสียงที่มีจึงจะเป็นปัจจัยให้ธาตุรู้เกิดขึ้นได้ยินแล้วก็ดับ

    อนัตตาจริงๆ ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครเลย แต่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงทุกอย่างโดยละเอียดยิ่ง จึงทรงแสดงธรรมไว้ดีแล้ว ว่าทุกอย่างที่มีเป็นอนัตตา ไม่ใช่ใครไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง เพียงมีปัจจัยเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป

    ยังไม่รู้อย่างนี้ใช่ไหม ฟังอย่างนี้เข้าใจอย่างนี้ เพราะฉะนั้น ถ้าสภาพธรรมจะปรากฏให้รู้จริงๆ ก็ต้องเป็นอย่างนี้ จะเป็นอย่างอื่นไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น ทุกคำเวลาที่มีความเข้าใจก็จะมีความมั่นคงในวาจาสัจจะ

    ผู้ฟัง ดังนั้นธาตุรู้นี้จะเกิดจากความคุ้นเคยหรือ

    ท่านอาจารย์ ธาตุรู้ไม่ต้องเรียกชื่อเลย อย่างเห็น เปลี่ยนธาตุเห็นไม่ได้เลย เพราะเกิดจากจักขุปสาท รูปที่สามารถกระทบกับสิ่งที่กระทบได้คือสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นเดี๋ยวนี้ เพราะฉะนั้น อยู่ที่ไหน ถ้ามีจักขุปสาทแล้วมีสิ่งที่กระทบได้เป็นปัจจัยให้จิตเห็นเกิดขึ้นไม่ต้องเรียกว่าจิตเห็น

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 202
    23 ก.ย. 2568

    ซีดีแนะนำ