ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1924
ตอนที่ ๑๙๒๔
สนทนาธรรม ที่ บ้านนายแพทย์ทวีป และคุณพรทิพย์ ถูกจิตร
วันที่ ๑๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๗
ท่านอาจารย์ คือจากสิ่งที่ปรากฏ ค่อยๆ เริ่มเข้าใจว่าแค่ปรากฏให้เห็น ไม่ว่าจะเรียกว่าคุณวิชัย คุณป๊อด คุณอรรณพ หรือใครก็ตามแต่ ต้องมีสิ่งที่เพียงปรากฏให้เห็น แค่เห็น แต่สิ่งนี้อยู่ที่ไหน ถ้าไม่มีธาตุดินน้ำไฟลม ไม่มีสิ่งที่สามารถกระทบตา เพราะดินน้ำไฟลมกระทบตาไม่ได้ แต่ที่ใดที่มีธาตุดินน้ำไฟลม มีสิ่งที่เกิด เราใช้คำว่าวรรณะวัณโณ อะไรก็แล้วแต่ ภาษาไทยเราก็เรียกว่ามีสิ่งหนึ่งซึ่งเกิด และกำลังปรากฏอยู่ที่มหาภูตรูป โดยที่ตัวมหาภูตรูปไม่สามารถกระทบได้ แล้วตัวมหาภูตรูปก็เกิดดับ และสิ่งที่อาศัยเกิดกับมหาภูตรูปจะไม่ดับไปด้วยหรือ แล้วก็ดับอย่างเร็วมาก จิตเกิดดับ ๑๗ ขณะ รูปๆ หนึ่งดับ เวลานี้จิตเห็นกับจิตได้ยินห่างกันไกลมากก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้นความไม่รู้มากแค่ไหน เพราะฉะนั้นสำหรับผู้ที่มีความไม่รู้ พระผู้มีพระภาคทรงแสดงเรื่องของอกุศลและความไม่รู้ แต่สำหรับผู้ที่ขัดเกลากิเลสมากแล้วพร้อมที่จะตรัสรู้ ทรงแสดงเรื่องของโสภณธรรม เพราะเหตุว่าสำหรับผู้ที่มีกิเลสแล้วไม่รู้ ประโยชน์ก็คือว่าให้เขารู้สึกตามความเป็นจริงว่ามีกิเลสมาก ไม่ใช่ชาตินี้รู้แจ้งอริยสัจธรรม หรือชาตินี้ปัญญาระดับประจักษ์การเกิดดับจะเกิดได้ ถ้ายังไม่รู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏในชีวิตประจำวันจริงๆ แต่ละขณะ
เพราะฉะนั้นไม่ใช่เป็นเรื่องที่ว่าเราหวังว่า บางคนก็เขียนจดหมายมาบอกว่าฟังธรรมมานานหลายปี และวันหนึ่งสภาพธรรมก็หายไป เหมือนกับเกิดดับใช่ไหม เร็วอะไรอย่างนั้น แต่ไม่เข้าใจอะไรเลยทั้งสิ้นในชีวิตประจำวัน เพราะถามมา คิดดูก็แล้วกัน แล้วจะเรียกว่าเข้าใจได้อย่างไร บางคนก็เลยไม่ถาม คิดว่าจะได้เป็นจริง ก็ยิ่งหลอกตัวเองไปใหญ่ แต่ว่าผู้ที่ตรง สัจจบารมี ต้องเป็นผู้ที่ตรงว่า เดี๋ยวนี้ชีวิตประจำวันทุกขณะเกิดแล้วด้วยความเป็นอนัตตา บังคับบัญชาไม่ได้เลย ขณะที่ผ่านไปแล้วไม่สามารถจะให้ความจริงได้เพราะดับแล้ว ไม่เหลือเลย ขณะข้างหน้ายังไม่มาถึงจะรู้ได้อย่างไรว่า อะไรจะเกิดต่อจากขณะนี้ เพราะฉะนั้นก็รู้ความจริงในสิ่งที่ยังไม่มาถึง ไม่ปรากฏไม่ได้ ต้องสิ่งนี้เดี๋ยวนี้
เพราะฉะนั้นผู้ที่ฟังความจริงอย่างนี้ อาจหาญร่าเริงที่จะรู้ว่าสิ่งนี้แหละ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประจักษ์แจ้ง และทรงแสดงหนทาง หนทางของความเข้าใจสิ่งที่มีในชีวิตประจำวันตามปกติ จนกว่าจะค่อยๆ คลายการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน
อ.วิชัย พระผู้มีพระภาคทรงแสดงธรรมอย่างละเอียด เพื่อที่จะอุปการะที่จะเกื้อกูลให้ความรู้ความเข้าใจสะสมเพิ่มขึ้น แต่บุคคลในครั้งโน้นแม้เพียงฟังเล็กน้อยก็สามารถที่จะเข้าใจได้ทันทีเลย
ท่านอาจารย์ คนที่เข้าใจแล้ว เราต้องไปสอนเขาไปบอกเขาอะไรหรือเปล่า หรือเพียงแค่พูด เขาก็เข้าใจได้ แต่ดิฉันไม่มีความรู้เรื่องกล้องเลย ยังไม่รู้เลย แต่คนที่รู้เห็นเขาทำทันทีได้ มาจากไหน ลืมหรือ ถ้าเข้าใจจริงๆ ใช่ไหม วันนี้ทำได้พรุ่งนี้ก็ทำได้ อีก ๑๐ ปีก็ทำได้เพราะรู้แล้ว เพราะฉะนั้นสำคัญที่รู้แล้ว ไม่ใช่เพียงแต่ฟัง ฟังแล้วต้องเป็นคนตรงว่ารู้หรือเปล่า แล้วหรือยัง หรือยังไม่รู้ เพราะฉะนั้นเรื่องละ คำสอนของพระพุทธเจ้าทุกคำเป็นไปเพื่อละ ไม่ติดข้อง เพราะว่าควรที่จะติดข้องหรือในสิ่งที่ยังไม่มี แล้วก็เกิดขึ้นมี เเล้วก็ดับไป ไม่เหลือเลย แล้วไปติดข้องในขณะที่สิ่งนั้นเพียงปรากฏ แต่ไม่ประจักษ์ว่าสิ่งนั้นปรากฏ จากไม่เคยมี แล้วก็มี แล้วก็หามีไม่ แล้วหายไปเลยในสังสารวัฏ เพราะฉะนั้นความติดข้องเพิ่มพูนในสิ่งที่ไม่มีสักขณะเดียวขณะนี้ แล้วอย่างนี้ละบ้างหรือยัง เห็นไหม แต่ละหนึ่งแต่ละหนึ่งติดไว้มากเพราะความไม่รู้ แล้วจะละได้อย่างไรถ้าไม่รู้ เพราะแม้เป็นเราก็ไม่รู้แล้ว เห็นผิดแล้ว สภาพธรรมไหน เรา ไม่มีเลย ก็ยังไม่ได้ละการยึดถือตลอดเวลาตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า แขนเรา มือเรา ตาเรา ใจเรา สุขเรา ทุกข์เรา เราหมดเลย
เพราะฉะนั้นเมื่อไม่ใช่เรา แล้วไปยึดถือว่าเราถูกไหม ใช่ไหม เพราะฉะนั้นละความเห็นผิด ละความไม่รู้ความเข้าใจผิดเองไม่ได้ แต่ต้องมีความเข้าใจถูกเพิ่มขึ้นเท่าไหร่ ก็ละความไม่รู้และความติดข้องเท่านั้น เพราะฉะนั้นผู้ตรง ก็คือว่าเข้าใจถูกเท่าไหร่ นิดเดียวแล้วก็จะไปละการที่เคยไม่รู้ และเคยยึดถือสภาพธรรมไว้เหนียวแน่นว่าเป็นเราได้อย่างไร จะไปอาศัยวิธีการใดๆ ทั้งสิ้น ก็ด้วยความไม่รู้ทั้งนั้น ด้วยความต้องการทั้งนั้น ด้วยความเป็นตัวตนทั้งนั้น ด้วยการหันหลังให้พระสัทธรรม เพราะพระสัทธรรมไม่ใช่ให้ทำ ให้เข้าใจ ทรงแสดงธรรมตลอด ๔๕ พรรษา ให้ผู้ฟังเกิดความเข้าใจของตัวเอง ไม่ใช่บอกให้ไปทำอย่างนั้นให้ทำอย่างนี้
เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องที่ต้องพิจารณา พระมหากรุณาที่ทรงแสดงพระธรรมเพื่อให้เกิดปัญญาของเราเอง และต้องเป็นผู้ตรงด้วย นานเท่าไหร่ก็ไปเร่งรัดได้อย่างไร นอกจากขณะนั้นเข้าใจผิดด้วยความเป็นเราที่จะทำ
อ.วิชัย ความเป็นผู้ที่ตรงก็เป็นเรื่องที่ละเอียด เพราะเหตุว่าแต่ละบุคคลก็สะสมความไม่รู้มามาก ฉะนั้นแม้จะฟัง บางครั้งก็เข้าใจเองหรือว่าคิดเอง ที่ท่านอาจารย์กล่าวถึงว่า ฟังให้เข้าใจคือเป็นหนทางที่ปลอดภัย คืออย่างไร
ท่านอาจารย์ ที่จะไม่เป็นเราไปทำโน่นทำนี่เพราะคิดว่าทำได้ ละชั่ว คุณวิชัยละได้ไหม
อ.วิชัย ตอนนี้ก็ไม่รู้จะละอย่างไร แต่ว่าฟังพระธรรม
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นชั่วยังไม่รู้เลย ความไม่รู้ชั่วไหม
อ.วิชัย แน่นอน
ท่านอาจารย์ การยึดถือสภาพธรรมเดี๋ยวนี้ว่าเป็นเรา ชั่วไหม อกุศลธรรม แล้วจะละได้อย่างไร ไปคิดถึงละโลภะใหญ่ๆ ละโทสะเหมือนกับว่าไม่มี แต่ความจริงไม่ได้เข้าใจความละเอียดลึกซึ้งเลยว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ว่า ตราบใดที่ยังมีเชื้อหรือว่ามีเหตุปัจจัยที่จะทำให้อกุศลเกิด อกุศลต้องเกิด เหตุปัจจัยสำคัญคือความไม่รู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏ เพราะฉะนั้นตราบใดที่ไม่รู้ความจริงของสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ รู้เลย ยังไม่ใช่ความรู้ที่สามารถที่จะละอกุศลได้ และอกุศลแรกก็คือว่าความยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเรา หรือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง เพราะไม่รู้ความจริง ทั้งๆ ที่หลับตาไม่เหลือก็ยังยึดถือ คิดดู ลืมตาเมื่อไหร่ก็มีอีกแล้ว คนนั้นคนนี้ ตอนหลับไม่ปรากฏ แต่พอลืม มี ก็ติดข้องในสิ่งที่มี แต่กำลังหลับก็มีเราเห็นใช่ไหม และเห็นอะไร แม้ว่าจะไม่ปรากฏรูปร่างสัณฐาน ก็ยังเป็นสิ่งที่ปรากฏ อาจจะเป็นสีจางๆ ในห้องสว่าง หรือว่าถ้าไม่มีแสงสว่างก็มืดไปเลย ก็ยังบอกว่าเห็นมืดใช่ไหม
เพราะฉะนั้นก็มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น และมีเห็นทั้งสองอย่าง เป็นเราหมด คิดดูก็แล้วกัน ผู้ตรงก็คือผู้ที่ฟังด้วยความไม่ประมาท ฟังด้วยความเคารพในทุกคำ และเมื่อเข้าใจคำไหนแล้วเปลี่ยนไม่ได้ ขณะนี้มีเห็นยังไม่รู้ ก็ต้องยังไม่รู้ ฟังแล้วค่อยๆ เข้าใจขึ้น ก็คือว่าเริ่มเข้าใจคำที่ว่าไม่ใช่เราและของเรา แต่สภาพนี้ก็ยังไม่ปรากฏ เพราะฉะนั้นทรงแสดงพระธรรม ๔๕ พรรษา เพราะรู้ว่ากิเลสของทุกคนมากมายมหาศาล แสนโกฏกัปยังน้อยไป ก่อนนั้นอีกสะสมมา เพราะฉะนั้นที่กล่าวถึงธรรมโดยละเอียด เพราะรู้ว่าฟังแล้วก็ยากที่จะมีสติสัมปชัญญะ เริ่มถึงลักษณะของสิ่งที่มีจริงๆ ที่ปรากฏ ทุกคำต้องรู้หมด
สติคืออะไร สัมปชัญญะคืออะไร ถ้าฟังเหมือนเข้าใจ ผิด แล้วก็ไปนั่งทำสติได้อย่างไร เพราะว่าไม่มีความเข้าใจความต่างของคำว่าสติกับสัมปชัญญะว่า หมายความถึงสภาพธรรมที่ต่างกัน มีจริงตามระดับขั้นด้วย มิฉะนั้นจะไม่เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย ถ้าไม่รู้ความจริงอย่างละเอียดยิ่ง จนกระทั่งถึงอย่างที่ชาวโลกใช้กันทั่วๆ ไปเหมือนกับรู้แล้วว่าโกรธไหม บอกว่าโกรธ ก็ชาวโลกก็รู้แค่นี้ แล้วโกรธเป็นอะไร ไม่มีการถามต่อ ไม่มีการเข้าใจเลย แล้วถ้าไม่ทรงแสดงไว้ใครจะรู้ ถ้าไม่มีความติดข้องในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะคือสิ่งที่กระทบสัมผัสกายได้ จะโกรธอะไรใช่ไหม เพราะไม่ติดข้องแล้ว ใครจะพูดอะไร เสียงกระทบหูก็ไม่โกรธ ไม่ได้ติดข้อง ไม่มีเราขณะนั้น แต่นี่ก็เป็นสิ่งซึ่งผู้ที่เห็นประโยชน์เท่านั้น และเป็นผู้ที่รู้ความจริง และเข้าใจความหมายของปัญญา เข้าใจความหมายของความเห็นถูก เข้าใจความหมายของความไม่รู้ว่าไม่รู้ในอะไร
เมื่อไม่รู้ในสิ่งนั้นก็ค่อยๆ เข้าใจจากการฟัง และเมื่อมีความเข้าใจเป็นผู้รอบรู้แล้ว ปริยัติจะมีปัจจัยที่ทำให้สติสัมปชัญญะเกิดปฏิปัตติ ที่คนไทยใช้คำว่าปฏิบัติ หมายความว่าสติและปัญญากำลังถึงเฉพาะลักษณะของสภาพที่ปรากฏ แล้วเริ่มเข้าใจถูกทีละเล็กทีละน้อย คลายความเป็นเราเท่าไหร่ สภาพธรรมก็จะปรากฏตามความเป็นจริงเป็นอีกโลกหนึ่ง ไม่ใช่โลกนี้ที่ปนกันหมดเลย ลืมตาขึ้นมาก็ปนหมดเลยทุกสีใช่ไหม มีเสียงเข้ามาเพิ่มอีก มีรสมีกลิ่นมีอะไรทุกสิ่งทุกอย่างก็รวมกัน แต่ว่าตามความจริงก็เป็นแต่ละหนึ่งซึ่งปนกันไม่ได้เลย เกิดขึ้นและดับไป แล้วลองคิดดู โลกนั้นเป็นอย่างไร หนึ่งเท่านั้นที่ปรากฏ ไม่มีโลกอื่น แต่ละหนึ่งด้วย
อ.วิชัย ท่านอาจารย์กล่าวในช่วงต้นว่า ธรรมเกิดดับอย่างเร็วมากยากที่จะรู้ การที่ธรรมจะปรากฏ ถ้าเริ่มจากความเข้าใจก็คือทีละหนึ่ง ความรู้ที่จะถึงระดับของสติสัมปชัญญะที่จะมีความเร็วความไวที่จะรู้ลักษณะของธรรมจะทีละหนึ่งไหม
ท่านอาจารย์ ย้อนไปถึงครั้งพุทธกาล คำทั้งหมดเป็นคำที่พระผู้มีพระภาคตรัส คนฟังที่ได้อบรมปัญญามาแล้ว สติสัมปชัญญะเกิดและเข้าใจสิ่งที่ปรากฏได้ไหม ฟังอีกครั้งหนึ่ง ในสมัยพุทธกาล ผู้ที่ไปเฝ้าฟังพระธรรม ตรัสคำอย่างนี้แหละ ขณะนี้เห็นท่านก็ใช้คำภาษามคธี ซึ่งเป็นภาษาที่ดำรงพระศาสนาไว้ จึงใช้คำว่าปาละหรือปาลี ท่านใช้คำว่าจักขุวิญญาณัง เราก็พูดว่าเห็นธรรมดาไม่ต้องไปใช้คำภาษาบาลี ใช้คำไหนก็ได้ ขอให้เข้าใจว่าขณะนี้เห็นคือเดี๋ยวนี้ ไม่ใช่ได้ยิน ไม่ใช่อะไร พูดถึงเห็นก็ต้องเห็น เกิดแล้วดับ คำอย่างนี้มีไหมในครั้งนั้นที่ตรัสกับผู้ฟัง และผู้ฟังที่ได้สะสมมาแล้ว ขณะนั้นสติสัมปชัญญะเกิดได้ไหม เมื่อสะสมแล้ว
อ.วิชัย ได้แน่นอน
ท่านอาจารย์ เห็นไหม เพราะฉะนั้นจึงมีผู้ที่ฟังเข้าใจด้วย ขณะที่กำลังเข้าใจ สติสัมปชัญญะรู้ไหมว่า เข้าใจนั้นก็เป็นสภาพที่ต่างกับเห็น และก็ไม่ใช่เราด้วย เมื่อเป็นอย่างนี้ จบเทศนาเป็นพระโสดาบัน เพราะอะไร ความเข้าใจที่สะสมมาแล้วไม่ได้หายไปไหนเลย เหมือนวันนี้ คุณวิชัย คุณธีรพันธ์ ทุกคน สมาชิกชมรมบ้านธัมมะก็ช่วยกันถ่ายกล้องวิดีโอ ทำไมทำได้ คนอื่นทำไม่ได้ ให้ไปทำเดี๋ยวนี้ทำไม่ได้เลย เพราะไม่มีความรู้ เพราะฉะนั้นบอกว่าสติสัมปชัญญะเกิดเดี๋ยวนี้เกิดได้หรือ ถ้าไม่มีความรู้ แต่เมื่อสะสมมาแล้ว ใครบ้างที่ฟังพระธรรมแล้วเป็นพระโสดาบัน หรือไม่มีเลยในครั้งนั้น มีมากด้วยแต่เพราะอะไร สะสมมาจนเข้าใจ
เพราะฉะนั้นสำคัญที่สุดคือภาษาไทยเราใช้คำว่าเข้าใจ แต่ภาษาบาลีก็ใช้คำว่าปัญญา สัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูกต้องตามความเป็นจริงของสิ่งที่มีจริงๆ และขณะนี้ก็เป็นอย่างนั้น แต่ไม่ปรากฏกับอวิชชา เพราะฉะนั้นต่างกันมากระหว่างความเข้าใจความรู้ปัญญากับความไม่รู้และโมหะ โมหะมีจริง เดี๋ยวนี้ที่ไม่สามารถจะเข้าใจได้ เปลี่ยนลักษณะของความไม่รู้ให้เป็นความรู้ไม่ได้ แต่ผู้ที่อบรมและขัดเกลาชำระจิตด้วยปัญญามานานมาก จนกระทั่งถึงวาระที่ได้ฟังพระธรรมจากพระโอษฐ์ สามารถที่จะกำลังฟัง เพียงแค่นี้ก็มีความเข้าใจได้ทันที เพราะเคยเข้าใจมาแล้ว เพราะฉะนั้นถ้าจะให้คุณวิชัยทำอะไรที่ทำเป็นแล้วง่ายมาก ส่งมาเลยทำได้ แต่คนที่ไม่เป็นเลย เขาจะทำได้อย่างไรใช่ไหม ก็ไม่รู้ นี่เพียงแต่น้อยกว่า ๔ อสงไขยแสนกัป แต่ถ้า ๔ อสงไขยแสนกัปไม่เคยรู้มาเลย ฟังก็เริ่มเข้าใจ แต่ถ้าฟังเคยฟังมาแล้วมากก็เข้าใจมากขึ้น
เพราะฉะนั้นจริงๆ แล้ว ผู้ที่จะอ่านพระไตรปิฎกเข้าใจคือผู้ที่เข้าใจพระธรรม เพราะอะไร เพราะพระผู้มีพระภาคตรัสกับผู้ฟังที่เข้าใจ ท่านพระอานนท์ใช่ไหม ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ สดับคือฟัง ไม่ได้ผิดจากที่เคยฟังเลย เพราะฉะนั้นเราจะผิดจากที่ฟังไหม ในเมื่อตรัสอย่างนี้ ขณะนี้เป็นธรรม รู้จริงๆ ก็ต้องรู้สภาพธรรมเดี๋ยวนี้ หรือกาลข้างหน้าเราไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น แต่ก็ต้องในขณะที่สภาพนั้นปรากฏเท่านั้น ที่ฟังก็ฟังเรื่องนั้น แล้วก็กำลังเข้าใจเรื่องนั้นตามความเป็นจริง จนกว่าจะรู้เมื่อไหร่ ก็ค่อยๆ ละความเป็นเราในขั้นฟัง แล้วก็จะเห็นความต่างของสติในขั้นฟัง ซึ่งเดี๋ยวนี้มีไม่ปรากฏ เพราะไม่ใช่ระดับของปฏิปัตติ ซึ่งต้องมีปริยัติที่รอบรู้แล้วเป็นปัจจัยโดยความเป็นอนัตตา ต้องตรง กล่าวว่าอนัตตา ต้องอนัตตาตลอด ถ้าผิดจากนั้นคือไม่ใช่พระสัทธรรม ไม่ใช่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เพราะฉะนั้นความเป็นผู้ตรง ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา สติสัมปชัญญะ ปัญญาทั้งหมด โลภะโทสะทั้งหมดไม่เว้นเลยเป็นอนัตตา เราจะไปทำไม่ได้ ไม่มีเรา แต่ว่ามีปัจจัยให้โลภะเกิดโลภะก็เกิด มีปัจจัยให้ปัญญาเกิดปัญญาก็เกิด มีปัจจัยให้สติสัมปชัญญะเกิดสติสัมปชัญญะก็เกิด ไม่มีแล้วบอกให้ไปนั่งทำสิ่งที่ทำไม่เป็น ทำไม่ได้ก็เป็นไปไม่ได้ใช่ไหม เพราะฉะนั้นพอฟังแล้วเข้าใจความหมายของอาจหาญ ร่าเริง อดทน บารมีทั้งหมด ไม่มีบารมีเลย ไม่มีวิริยะที่จะไม่ใช่ไปทำเพียร ที่จะรู้ว่ากว่าจะได้เข้าใจพระพุทธพจน์แต่ละคำถึงความลึกซึ้ง เพราะว่าแต่ละคำเป็นปัญญาทั้งหมด ที่ทรงแสดงอย่างโอวาทปาติโมกข์ ละชั่ว คนที่ไม่เข้าใจธรรมก็ไปละชั่ว แต่ละหรือในเมื่อไม่รู้ เป็นเราไม่ใช่หรือ แล้วจะไปละได้อย่างไร เพราะฉะนั้นคำสอนลึกซึ้งทุกคำ
ผู้ฟัง ถ้าเราได้ยินได้ฟังในสิ่งที่ถูกต้อง แล้วแต่ว่าเราไปคิดเอง ทั้งๆ ที่ฟังในสิ่งที่ถูกต้อง แล้วไปคิดเอง โอกาสที่จะผิดไปจากสิ่งที่ฟังเป็นไปได้ไหม
ท่านอาจารย์ คิดเอง หรือว่าไตร่ตรองคำที่ได้ฟัง เพราะรู้ว่าถ้าไตร่ตรองจะเข้าใจขึ้นลึกซึ้งขึ้น แต่ต้องตรงกับคำที่ได้ฟัง ถ้าผิดจากคำที่ได้ฟัง นั่นคือเก่ง คิดอะไรคิดเอง มีโมหะไหม หรือว่ามีปัญญามากจนกระทั่งคิดเองได้ ก็น่าคิดใช่ไหม เพราะฉะนั้นทุกคนฟังธรรมเเล้วไม่ลืม คิดถึงคำนั้น แล้วก็ไตร่ตรองมั่นคงขึ้นในความเป็นอนัตตา ด้วยเหตุนี้พระธรรมเป็นที่พึ่ง กำลังจะติดข้อง ระลึกได้ทันทีว่าทุกคำเป็นไปเพื่อละ เพราะฉะนั้นขณะใดที่อยากต้องการหรือทำอะไรก็ตาม แม้เพื่อที่หวังว่าตัวเองจะมีปัญญา แต่ขณะนั้นก็เป็นตัวตน ไม่มั่นคงต่อคำที่พระผู้มีพระภาคตรัสแล้วว่าธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา เพราะฉะนั้นเป็นผู้ที่อ่อนมากในปัญญา เพราะเหตุว่าเพียงแค่ได้ยินเหมือนเข้าใจ แต่ว่าการกระทำส่องถึงว่าเข้าใจหรือเปล่า ตรงหรือเปล่า จริงหรือเปล่า
ผู้ฟัง คือเขาก็ฟังมานานแล้วก็ฟังเยอะด้วย แต่ทำไมถึงได้คิดไปอีกทางหนึ่งได้ ก็น่าแปลกใจ
ท่านอาจารย์ ก็ไม่มั่นคง แม้แต่คำว่าธรรมก็ไม่มั่นคง อนัตตาก็ไม่มั่นคง สองคำนี้ไม่มั่นคงแล้วจะไปเข้าใจอะไรได้ แล้วจะไปมั่นคงในอะไรอีก ข้อสำคัญที่สุด เขาไม่สามารถที่จะรู้ว่าคำใดเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และคำใดไม่ใช่ ถ้าเขาเข้าใจอย่างนี้จริงๆ เขาจะไม่ฟังคำของคนอื่นเลย เพราะว่าคนนั้นๆ ไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า และทุกคำที่เป็นคำจริงกล่าวถึงสิ่งที่มีให้เข้าใจขึ้น ทุกคำไม่ว่าใครจะกล่าวเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เพราะฉะนั้นต้องรู้ความต่างของคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสกับคำที่คนอื่นพูด ใครจะพูดคำไหน เป็นความจริงตรงตามคำที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสแล้ว คำที่เขาพูดนั้นเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหมดที่ได้ทรงแสดงความจริงไว้ แต่ถ้าคำนั้นไม่ใช่ไม่ตรง ก็คือว่าเป็นคำของเขาเอง แล้วเราจะฟังใคร เลิกที่จะไปคิดเอง เกินคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะพระองค์ไม่ได้บอกให้ไปหาทางอื่นเลย หนทางเดียวแสดงไว้แล้วชัดเจน ใครจะเปลี่ยนคำของพระองค์ได้ ถ้าไม่มีการฟังพระธรรมจะรู้ไหมว่าขณะนี้เป็นธรรม ไม่ใช่เรา คำเดียว ต้องมั่นคงจริงๆ ว่าไม่ใช่เรา เป็นสิ่งที่มีจริง แต่เพราะเคยยึดถือมานานแสนนาน จึงได้ทรงแสดงพระธรรมอุปการะเกื้อกูลโดยประการทั้งปวง โดยแสดงโดยความเป็นธาตุ โดยความเป็นอายตนะ โดยความเป็นปฏิจจสมุปบาท โดยความเป็นอริยสัจจะ พอได้ยินชื่อพวกนี้ คนประมาทอยากรู้แล้ว โดยที่ไม่เข้าใจธรรม ไม่เข้าใจอย่างมั่นคงว่าไม่ใช่เรา และเมื่อไม่ใช่ธรรมแล้วเป็นอะไร ทรงแสดงตัวจริงของธรรม สภาวธรรมที่เป็นจริงโดยละเอียด ตั้งแต่อวิชชา คำนี้แปลว่าไม่รู้ ใครไม่เข้าใจคำนี้บ้าง ศึกษาธรรมทีละคำจริงๆ ไม่ประมาทจริงๆ เป็นเราหรือเปล่า อวิชชา อีกชื่อหนึ่งก็คือโมหเจตสิก ใครดับโมหเจตสิกได้ พระอรหันต์
เพราะฉะนั้นพระโสดาบันก็ดับโมหเจตสิกที่เกิดร่วมกับทิฏฐิความเห็นผิด โมหะที่จะไปไม่รู้และเห็นผิดไม่มีอีกเลย เพราะฉะนั้นก็มีโมหะที่เกิดกับความติดข้องอย่างอื่น จนกว่าจะค่อยๆ ดับไปได้ นี่คือการฟังธรรมด้วยความเคารพว่า เราไม่สามารถจะไปหาใครมาช่วยหรือทางอื่นได้เลย นอกจากความเข้าใจทีละเล็กทีละน้อยที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้น เพราะเต็มไปด้วยเรามานานแสนนาน มีพระธรรมเท่านั้นที่เป็นที่พึ่ง สมกับที่เราได้กล่าวอยู่เสมอ มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง คือพึ่งคำสอน ไม่ใช่คำคนอื่น ไม่ใช่คำของเราหรือคิดเอาเอง ไม่มีปัญญาของใครที่สามารถที่จะมาหาทางอื่นได้ นอกจากรู้ว่าแต่ละคำช่วยให้เรามีความเห็นถูก เห็นถูกเมื่อไหร่ค่อยๆ ละจางความไม่รู้ซึ่งมากมายมหาศาล เอาจักรวาลมาบรรจุก็ไม่พอ แล้วก็ยังติดแน่นอย่างนั้น มีแต่เฉพาะปัญญาอย่างเดียวเท่านั้นที่จะค่อยๆ เข้าใจขึ้น ค่อยๆ ชำระไปทีละเล็กทีละน้อย โดยไม่หวังโดยเข้าใจความเป็นอนัตตา และรู้ว่าปัญญาที่เข้าใจนี่แหละ ถ้าฟังต่อไปด้วยความถูกต้อง ก็จะค่อยๆ เข้าใจตรงตามความเป็นจริง ซึ่งวันหนึ่งก็จะรู้แจ้งอริยสัจธรรมได้ โดยไม่ใช่เราไปทำ หรือไปหวัง ไม่ใช่ว่าพออ่านพระสูตรแล้วก็นี่อย่างไร พระผู้มีพระภาคตรัสให้เพียรก็เลยเพียรด้วยความเป็นเรา แต่ไม่ได้เข้าใจเลยว่าเพียรเข้าใจถูกตามความเป็นจริงของสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ทีละเล็กทีละน้อย
อ.วิชัย ดังนั้นการศึกษาที่จะเป็นการรับอนุสาสนีด้วยความเคารพ หมายความว่าไม่ใช่เพียงฟังสูตรหนึ่งสูตรใด แล้วก็เข้าใจเอง อย่างที่ท่านอาจารย์ยกตัวอย่างเหมือนกับที่พระผู้มีพระภาคให้กระทำความเพียรอย่างนี้ ถ้าไม่เข้าใจแม้ในส่วนที่ทรงแสดงถึงธรรมว่าอนัตตาทั้งหมดว่า ความเพียรมีลักษณะอย่างไร เกิดด้วยปัจจัยอะไรอย่างไรเหมือนกับว่าก็ไม่ได้ฟังโดยตลอด
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นจึงไม่ได้มีแต่พระสูตร แต่มีพระอภิธรรมด้วย แม้พระวินัยถ้าไม่มีจิตเจตสิกรูปไม่มีธรรมจะมีพระวินัยได้อย่างไร และวินัยก็คือการขัดเกลายิ่งในเพศของบรรพชิต และสำหรับคฤหัสถ์นี้ก็คือว่าไม่ใช่เพียงฟังธรรม แล้วก็เป็นเราอยู่นั่นแหละ โดยที่ว่าไม่ได้ขัดเกลาโดยการที่ว่ารู้ว่าไม่ใช่เรา และความเข้าใจถูกก็ทำหน้าที่ของสภาพธรรมที่เป็นกุศลธรรม เพราะฉะนั้นชีวิตประจำวันก็แสดงให้เห็นว่า เรามีความรู้ถูกต้องขึ้นมากน้อยแค่ไหน ซึ่งไม่ใช่ว่าเราจะเปลี่ยนจากเราซึ่งเคยสะสมมาที่จะเป็นคนนี้นานแสนนาน ให้กลายเป็นคนอื่นบริสุทธิ์ผุดผ่อง ไม่มีโลภะโทสะโมหะอะไร จะเป็นไปได้อย่างไรใช่ไหม แต่ก็เป็นผู้ที่ตรงที่จะรู้ว่าก่อนอื่นใดๆ ทั้งสิ้น สภาพธรรมเดี๋ยวนี้เกิดแล้ว แต่ไม่รู้ คิดจะไปรู้อย่างอื่น คิดจะไปหาทางช่วยอย่างอื่น แต่ว่าความจริงสภาพธรรมเดี๋ยวนี้ต่างหาก ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ว่ายากยิ่งที่ใครจะรู้ ต้องอาศัยพระธรรมเทศนา ๔๕ พรรษา
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1921
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1922
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1923
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1924
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1925
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1926
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1927
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1928
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1929
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1930
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1931
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1932
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1933
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1934
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1935
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1936
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1937
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1938
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1939
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1940
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1941
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1942
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1943
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1944
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1945
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1946
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1947
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1948
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1949
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1950
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1951
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1952
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1953
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1954
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1955
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1956
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1957
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1958
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1959
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1960
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1961
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1962
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1963
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1964
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1965
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1966
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1967
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1968
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1969
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1970
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1971
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1972
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1973
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1974
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1975
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1976
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1977
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1978
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1979
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1980
