ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1934


    ตอนที่ ๑๙๓๔

    สนทนาธรรม ระหว่างเดินทางไปนมัสการสังเวชนียสถาน ประเทศอินเดีย

    วันที่ ๑๕ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๗


    ท่านอาจารย์ เจตนานี้เองเกิดแล้วดับแล้วไม่ได้ทำให้คนอื่นตาบอดเลย แต่กรรมนี้ไม่ทำให้จักขุปสาทรูปเกิดเมื่อถึงเวลาที่ควรจะเกิด

    เพราะฉะนั้น บุคคลใดทำกรรมใดบุคคลนั้นเป็นผู้ที่ได้รับผลของกรรมนั้น เพราะฉะนั้น ขณะเห็นเป็นผลของกรรมเพราะเหตุว่ากรรมดีทำให้เห็นสิ่งที่น่าพอใจ กรรมไม่ดีทำให้เห็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจ

    เสียงก็มีทั้งเสียงที่น่าพอใจ และเสียงที่ไม่น่าพอใจ ถ้าเป็นผลของกรรมดีได้ยินเสียงที่น่าพอใจ ถ้าเป็นผลของกรรมไม่ดีได้ยินเสียงที่ไม่น่าพอใจยับยั้งไม่ได้เลย เสียงปืนอยากได้ยินไหม ไพเราะไหม ดังตกใจใช่ไหม เป็นเสียงที่ไม่น่าพอใจ ขณะใดที่ได้ยินขณะนั้นอกุศลกรรมที่ได้ทำแล้วเป็นปัจจัยให้เกิดโสตปสาทรูป

    ถึงเวลาที่จะให้ผลก็มีเสียงที่ไม่น่าพอใจกระทบเป็นปัจจัยให้จิตที่ต้องเกิดขึ้นได้ยินเป็นผลของอกุศลกรรม เพราะฉะนั้น จิตที่เป็นเหตุดับไปแล้วก็เป็นปัจจัยให้จิตที่เป็นผล คือจิตที่เห็น จิตที่ได้ยิน จิตได้กลิ่น จิตที่ลิ้มรส จิตรู้สิ่งที่กระทบสัมผัสเกิดขึ้น

    มีกาย มีทุกข์ไหมที่กาย เจ็บไข้ได้ป่วยไม่อยากมี แต่ว่าเมื่อเป็นผลของกรรมความรู้สึกเป็นทุกข์ก็อาศัยกายที่กระทบกับเย็นบ้าง ร้อนบ้าง อ่อนบ้าง ตึงบ้าง แข็งบ้าง

    เราบอกว่าถูกปืนยิง ความจริงไม่มีคำว่าปืนเลย แต่มีธาตุแข็งที่กระทบแล้วทำให้เกิดทุกขเวทนา เพราะฉะนั้น เราเรียกสิ่งนั้นหลากหลายเป็นปืนบ้าง เป็นดาบบ้าง เป็นอะไรก็แล้วแต่

    แต่ก็คือธาตุที่แข็งกระทบแล้วก็ทำให้เกิดทุกขเวทนาเพราะถึงเวลาที่กรรมทำให้ความรู้สึกที่เป็นทุกข์ที่อาศัยกายเกิดขึ้น นี่เป็นเรื่องที่ค่อยๆ ฟังค่อยๆ เข้าใจอย่าไปเอามาทั้งหมดทีเดียวเลย

    เพราะว่าถ้าเอามาทั้งหมดทีเดียวแล้วเกิดเป็นกรรมหรือเป็นผลของกรรม ก็ไปนั่งคิดเอง ไม่มีทางที่จะเข้าใจได้ ไม่เหมือนกับที่เป็นผู้ที่ตรงได้ยินคำไหนเข้าใจคำนั้นละเอียดขึ้นถี่ถ้วนขึ้น และก็ไม่ลืม ดีกว่าที่เราจะไปคิดเอง

    เพราะฉะนั้น ได้ยินคำว่ากรรมก็ต้องรู้ว่าคืออะไร สภาพธรรมที่มีจริงๆ มี ๔ อย่างใช้คำว่าปรมัตถะ หมายความถึงธรรมซึ่งไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงได้ จิตต้องเป็นจิต เจตสิกต้องเป็นเจตสิก รูปต้องเป็นรูป นิพพานต้องเป็นนิพพาน

    เพราะฉะนั้น ชื่ออื่นๆ ถ้าปราศจากจิตเจตสิก รูปอะไรก็ไม่มี เพราะฉะนั้น ที่ว่ามีไม่พ้นความเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ที่เป็นจิตบ้าง เป็นเจตสิกบ้าง เป็นรูปบ้าง นี่ก็เกินสิ่งที่เราคิดว่าเราจะเข้าใจทันทีมากมายแต่ต้องเข้าใจจริงๆ ทีละน้อยทุกคำ

    จิตเข้าใจดีหรือยัง เจตสิกเอาแค่เข้าใจก่อน ธาตุรู้มีจริงๆ เดี๋ยวนี้มี เจตสิกเริ่มเข้าใจแล้วถูกต้องว่าไม่ใช่จิต เจตสิกเป็นเจตสิก จิตเป็นจิต และรูปก็ไม่รู้อะไรเลยจะเป็นจิตไม่ได้จะเป็นเจตสิกไม่ได้ นี่คือสิ่งที่มี

    เพราะฉะนั้น นี่เป็นปรมัตถ์ธรรม หรือจะใช้คำว่าอภิธรรมก็ได้อภิหมายความว่ายิ่งละเอียดลึกซึ้ง เพราะฉะนั้น ธรรมนั่นแหละเป็นปรมัตถ์ธรรมใครเปลี่ยนแปลงไม่ได้ แล้วก็เป็นอภิธรรมด้วย

    เพราะเหตุว่ายากที่จะรู้ที่จะเข้าใจได้ว่า เป็นแต่เพียงสิ่งซึ่งเกิดแล้วดับสืบต่อกันเร็วสุดที่จะประมาณ จนไม่มีใครสามารถที่จะรู้ว่าขณะนี้สิ่งใดที่มี สิ่งนั้นเกิดแล้วดับแล้วไม่ประจักษ์การเกิดดับ จนกว่าปัญญาสามารถที่จะอบรม และก็มีความเข้าใจเพิ่มขึ้นตามลำดับ

    ผู้ฟัง เมื่อสักครู่นี้ท่านอาจารย์ได้พูดถึงเรื่องจิตเจตสิกรูป และก็พูดถึงปรมัตถธรรม ท่านอาจารย์ถามว่าสิ่งที่เกิดดับชอบไหม

    คือถ้าเป็นสิ่งที่เกิดดับถ้าถามตัวเองก็จะตอบว่าชอบหรือไม่ชอบก็คงบอกไม่ได้ แต่ก็รู้ว่าทุกอย่างเกิดแล้วก็ต้องดับ

    ท่านอาจารย์ เกิดดับไม่ปรากฏใช่ไหม ปรากฏเพียงว่ามีเหมือนไม่ได้เกิดดับ อย่างเห็นเดี๋ยวนี้ขณะไหนเกิดดับไม่ปรากฏ เพียงแต่รู้ว่าขณะนี้มีเห็น

    เพราะฉะนั้น เมื่อไม่รู้ว่าเห็นเกิด แล้วก็ดับเร็วมาก ก่อนเห็นไม่มีเห็น แล้วก็มีปัจจัยที่จะเกิดเห็นเพียงแค่เห็นแล้วดับ ยังไม่ทันรู้เลยว่าเป็นอะไร เพราะการรู้ว่าเป็นอะไรไม่ใช่เห็น

    เห็นดับไปแล้ว แต่ว่าจำไว้แล้วก็คิดถึงสิ่งที่เห็นทำให้รู้ว่าเห็นอะไรแต่เห็นจริงๆ ขณะนั้นไม่รู้ว่าสิ่งนั้นเป็นอะไร เป็นแต่เพียงสิ่งที่ปรากฏว่ามีเพราะเห็นสิ่งนั้นแสดงว่าสิ่งที่ปรากฏให้เห็นมี และก็เกิดดับอย่างเร็วมาก

    เพราะฉะนั้น เห็นเกิดขึ้นเห็นแล้วดับแล้วไม่กลับมาอีกเลย ในสังสารวัฏฏ์ ถ้าเคยอยู่ตรงนี้มา ๒๕๐๐ กว่าปีเห็นตอนนั้นไม่ใช่เห็นเดี๋ยวนี้แน่

    เพราะฉะนั้น สิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามจากไม่มีเลย แล้วก็มีปัจจัยเกิดขึ้นแล้วก็ดับไปเร็วมากเหมือนไม่เคยมี ชอบสิ่งนั้นไหม

    ผู้ฟัง จริงๆ ตอบไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เพราะไม่รู้

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ แต่ว่าความลึกซึ้งก็คือว่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงว่า เมื่อเห็นเกิดแล้วดับ แต่รูปมีอายุยืนยาวกว่าจิตๆ เกิดดับ ๑๗ ขณะรูปๆ หนึ่งจึงดับ

    แต่ว่าจิต ๑๗ ขณะประมาณไม่ได้เลย เพราะขณะนี้เหมือนเห็นกับได้ยินพร้อมกัน แต่ความจริงเห็นกับได้ยินห่างกันเกิน ๑๗ ขณะจิต

    เพราะฉะนั้น ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ว่าขณะที่เกิดเห็นรูปยังไม่ดับ เพราะฉะนั้น เห็นดับไปแล้วเป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปรู้รูปที่ยังไม่ดับต่อจากเห็นแต่ไม่เห็น

    เห็นไหม รู้รูปนั้นแต่ไม่เห็นไม่ได้ทำทัสนกิจเพราะว่าจิตเกิดขึ้นแต่ละอย่างแต่ละประเภทต้องทำหน้าที่การงาน จิตเห็นเกิดขึ้นเห็นทำทัสนกิจ คือเห็นแล้วก็ดับ

    จิตได้ยินเอาจิตเห็นไม่ได้แต่ทำสวนกิจคือได้ยินแล้วก็ดับ เพราะฉะนั้น ขณะที่คิดไม่ใช่เห็น ไม่ใช่ได้ยินแต่เพราะเห็นจึงคิดถึงสิ่งที่เห็นที่ดับไปแล้ว

    นอนหลับฝันคิดถึงสิ่งที่เคยเห็น เลือกไม่ได้เลย ไม่ต้องหลับเดี๋ยวนี้คิดแล้ว ถึงสิ่งที่เคยเห็นบ้างเคยได้ยินบ้างเพราะจำได้ เพราะฉะนั้น ตามความเป็นจริงยังไม่มีการประจักษ์การเกิดดับ

    เพียงแต่ฟังว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดซึ่งมีปัจจัยเกิดสิ่งนั้นดับแน่นอน ขั้นเดี๋ยวนี้ที่เข้าใจว่าเห็นไม่ใช่ได้ยินเพราะฉะนั้น เห็นต้องดับแน่นอนเพราะขณะที่ได้ยินไม่เห็น

    เพราะฉะนั้น ขณะที่ได้ยินเห็นไปไหน เห็นอยู่ไหน เห็นไปคอยอยู่ที่ไหนจะกลับมาเห็นอีกหรือเปล่า ไม่ใช่เลย เห็นขณะนั้นดับแล้วไม่กลับมาอีกเลย แต่มีปัจจัยให้จิตขณะต่อไปซึ่งห่างกัน

    ห่างกันมากเกิดขึ้นได้ยินแล้วก็ดับไปอีกแล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย เพราะฉะนั้น ชีวิตจริงๆ ก็คือ สภาพที่ไม่มี แล้วก็มี แล้วก็ไม่มีตามทวารต่างๆ แต่ต่อกันเร็วเหมือนกับว่าไม่มีอะไรคั่น

    แต่สิ่งที่คั่นมีที่จะทำให้แต่ละอย่างไม่ใช่อย่างเดียวกันแต่ปรากฏสืบต่อกันเหมือนกับไม่มีอะไรคั่นกลางเลย แต่ในเมื่อเสียงไม่ใช่กลิ่นใช่ไหม เมื่อเสียงดับ ตรงที่เสียงดับไปแล้วต้องมีก่อนที่กลิ่นจะปรากฎได้

    เพราะว่าทรงแสดงการเกิดดับของจิตตั้งแต่ขณะแรกที่เกิดคือปฏิสนธิสืบต่อจากจุติจิต จิตขณะสุดท้ายของชาติก่อน ปฏิสนธิเกิดขึ้นหนึ่งขณะเองเป็นผลของกรรมแล้วดับ แต่กรรมไม่ได้ผลเพียงแค่ทำให้เกิดยังให้ผลต่อไปอีกยังไม่ตายๆ ไม่ได้

    ถ้าสมมติว่าทำได้เพียงแค่เกิดไม่เดือดร้อนเลย แต่ตายไม่ได้ต้องเห็น ต้องได้ยิน ต้องมีสารพัดสิ่งในชีวิตตามที่จะเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ไม่เหลือเลยชาติก่อนนี้ทั้งหมดไม่เหลือเลย

    เมื่อวานนี้ไม่เหลือเลยจนกระทั่งเมื่อสักครู่นี้ก็ไม่เหลือเลย ถ้ารู้ละเอียดขึ้นจนกระทั่งประจักษ์สิ่งที่กำลังมีขณะนี้ว่าเกิดแล้วดับ จะพอใจในสภาพที่เพียงเกิดแล้วดับไหม

    เพราะฉะนั้น ต้องเป็นปัญญา

    ปัญญารู้ความจริงแล้วละความติดข้อง แต่ว่าขณะใดก็ตามที่ติดข้องไม่ได้รู้ความจริง ว่าแท้ที่จริงแล้วเพียงแค่เกิดมาปรากฏนิดเดียวว่ามี แล้วก็ไม่เหลือไปหาอีกก็ไม่ได้

    แล้วลองคิดดูชอบพอใจสิ่งที่ไม่มีแล้วในสังสารวัฎฏ์เพราะเพียงแค่ปรากฏนิดเดียวแล้วก็หายไปเลยไม่กลับมาอีก สิ่งที่ไม่มี สิ่งที่ไม่เหลือ สิ่งที่ไม่จริงแต่คิดว่ายังมียังเหลือยังจริงก็เป็นความไม่รู้

    เพราะฉะนั้น ความไม่รู้มากมายมหาศาลทุกชาติ ทุกวันทุกขณะที่มีการเห็นก็ไม่รู้ได้ยินก็ไม่รู้แล้ววันนี้เห็นอะไรบ้างมากมาย ได้ยินอะไรบ้างก็มากมาย

    เพราะฉะนั้น ความไม่รู้ก็มากมายจนกว่าความรู้เพราะได้ยินได้ฟังคำซึ่งยากที่จะได้ยิน และก็ยากที่จะเข้าใจด้วย ได้ยินนี่ไม่ง่าย

    คนที่จะได้ยินพระธรรมคำที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง ต้องเป็นผู้ที่ควรแก่การได้ฟังพระดำรัส มิฉะนั้นไม่ฟัง

    พวกเดียรถีย์ที่มีความคิดความเชื่ออย่างอื่น พระผู้มีพระภาคประทับที่เชตวันเขาไม่มาเฝ้า ใครจะไปบอกเท่าไหร่ก็ไม่มา เพราะเขาเชื่อความคิดหรือคำสอนของคนอื่น

    เพราะฉะนั้น อันตรายมากสำหรับผู้ที่ไม่รู้ว่าสิ่งที่กำลังได้ยินได้ฟังเป็นคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือคำสอนที่ไม่ตรงกับคำที่ทรงแสดงเพราะว่าไม่มีความละเอียด ไม่มีความรอบคอบ ไม่มีความมั่นคงแต่ว่ามีความคลาดเคลื่น

    เช่นสอนให้ทำ แต่ไม่ได้ให้เข้าใจอะไรเลย เพราะฉะนั้น ก็ไม่มีความรู้ในเห็น ในได้ยิน ในทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดเพราะเหตุปัจจัยตามที่ทรงแสดง แต่มีความเป็นเราเหมือนเดิม มีความอยาก มีความต้องการเหมือนเดิม

    แต่เปลี่ยนความอยากแทนที่จะติดข้องในรูปเสียงกลิ่นรสสัมผัสลาภยศสรรเสริญ ก็ไปติดข้องในการอยากจะรู้อยากจะเข้าใจแต่ความเข้าใจไม่ได้เกิดเพราะอยาก ถ้าความเข้าใจเกิดขึ้นเพราะอยาก

    อยากมากๆ เลยวันนี้จะได้เข้าใจมากๆ เป็นไปได้ไหม ไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น พระธรรมที่ทรงแสดงวาจาสัจจะเท่านั้นที่คนอื่นไม่สามารถที่จะกล่าวได้

    เพราะฉะนั้น ทุกคำที่เป็นคำจริง คำนั้นเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ว่าใครจะกล่าว ผู้ฟังสามารถรู้ได้นี่เป็นคำวาจาสัจจะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือเขาคิดเอง ซึ่งคนส่วนใหญ่จะเชื่อเขา แล้วก็ทำตามเขา

    อย่างเช่นเขาบอกว่าอะไรก็เชื่อ คนนี้เคยเกิดเป็นอย่างนั้นอย่างนี้มาในอดีต คนเชื่อมีจำนวนมาก เห็นไหม ต่างกันแล้ว พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้บอกให้เชื่อ แต่ให้เข้าใจความจริงว่าสิ่งที่มีนี่แหล่ะไม่ใช่ใครเลย

    เป็นธาตุหรือสิ่งที่มีจริงแต่ละอย่างๆ ซึ่งมีปัจจัยเกิดขึ้นแล้วก็ดับไปสืบต่อเหมือนนักมายากลสามารถที่จะทำให้เราสงสัยแล้วเข้าใจตามเขาไปได้

    เอานกออกมาจากหมวกเราก็ไม่เคยเห็น นกในหมวกนั้นเลยแต่เรานกออกมาจากหมวกได้อย่างไร เพราะฉะนั้น เวลานี้ก็ปะติดปะต่อกันจนกระทั่งเป็นคนนั่งอยู่ที่นี่

    แต่ความจริงเห็นก็เป็นเห็นแล้วก็ดับไป ได้ยินเป็นได้ยินแล้วก็ดับไป อยากจะได้ยินได้ฟังมากๆ แต่ไม่เข้าใจหรือว่าเข้าใจนิดๆ หน่อยๆ หรืออยากจะได้ยินไม่ต้องมากแต่เข้าใจคำที่ได้ยินจริงๆ โดยละเอียด โดยถ่องแท้ โดยมั่นคง

    เพราะฉะนั้น การศึกษาธรรม จากคำแรกถ้าเข้าใจจริงๆ คำหลังๆ ก็เพิ่มความเข้าใจขึ้น เพราะอะไรเพราะตรงกัน ไม่ว่าจะกล่าวโดยธรรม กล่าวโดยธาตุ กล่าวโดยธรรมที่เป็นรูปธรรม นามธรรมทั้งหมด จากคำแรกที่เข้าใจค่อยๆ เข้าใจเพิ่มขึ้นๆ ดีกว่ามีแต่ชื่อมีแต่คำแต่ว่าไม่เข้าใจ หรือว่าเข้าใจผิด

    เพราะฉะนั้น ไม่ประมาทขอให้ได้เข้าใจคำที่ได้ฟังจริงๆ แม้ว่ายังไม่ประจักษ์ แต่ก็เข้าใจไม่ผิด เจตสิกเป็นจิตหรือไม่ เห็นไหมพอเข้าใจก็บอกได้ว่าไม่ใช่

    รูปรู้อะไรได้หรือเปล่าก็ไม่ได้ นี้ก็คือเริ่มเข้าใจแล้วว่าแล้วอะไรเป็นเรา รูปเกิดแล้วดับ รูปเป็นเราได้ไหม จิตเห็นเกิดขึ้นแล้วดับจิตเห็นจะเป็นเราได้ไหม ดับแล้ว หมดแล้วไม่เหลือเลยสักขณะเดียว

    นี่ก็คือว่าเริ่มที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และเริ่มจะมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งไม่ใช่มีคนอื่นเป็นที่พึ่ง

    อ.คำปั่น ท่านอาจารย์ก็ได้กล่าวในความเป็นจริงของธรรมแต่ละอย่างๆ ซึ่งทั้งหมดทั้งปวงก็เพื่อเข้าใจความจริง เพื่อมั่นคงในความเป็นจริงว่าไม่มีเรามีแต่ธรรมเท่านั้น

    ไม่ว่าจะกล่าวถึงคำใดก็ตามก็เพื่อให้เข้าใจถึงความเป็นจริงของธรรมที่มีจริงๆ ที่เกิดเพราะเหตุปัจจัยไม่ใช่เรา

    ท่านอาจารย์ อีกสักครู่หนึ่งเราก็จะได้ไปสู่สถานที่ซึ่งสมัยหนึ่งเป็นที่ประทับของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระสาวกท่านพระสารีบุตร ท่านพระมหาโมคัลลาน ท่านพระมหากัสสปท่านพระอนุรุทธท่านก็เคยอยู่ที่นั่นสนทนาธรรมกันด้วย ณ กาลครั้งหนึ่ง

    และขณะนี้ก็เป็น ณ กาลครั้งหนึ่งซึ่งเรามีโอกาสที่จะได้กราบนมัสการระลึกถึงพระคุณที่เรามีโอกาสได้ฟัง และได้เข้าใจสิ่งซึ่งคนอื่นไม่สามารถจะทำให้เราได้เกิดความเข้าใจอย่างนี้ได้ ทุกคำควรเข้าใจเป็นผู้ควรแก่การฟังพระดำรัส

    และควรอย่างไงเห็นไหม คิดเองหรือว่าทรงแสดงไว้โดยละเอียด แม้แต่ผู้ควรแก่การฟังพระดำรัสคือผู้ที่ตั้งใจฟัง เพราะคำที่ได้ยินมีค่านับประมาณไม่ได้ ถ้าไม่ตั้งใจฟังลืมแล้วเมื่อสักครู่นี้คุยกันละนิดหนึ่งไม่ได้ฟังคำที่ได้ตรัสแล้ว

    เพราะฉะนั้น แต่ละคำควรอย่างยิ่งที่จะได้ฟังโดยการที่ตั้งใจฟังเพื่อที่จะได้เข้าใจ

    อ.คำปั่น กราบเรียนท่านอาจารย์เวลาที่มีการสนทนาแต่ละครั้งก็จะกล่าวถึงสิ่งที่มีจริงอยู่ตลอดเวลา ก็ดูเหมือนว่าจะเป็นคำธรรมดามากเลยกับคำว่าสิ่งที่มีจริง

    แต่ว่าในความละเอียดลึกซึ้งแล้วก็ยากที่จะเข้าใจตามความเป็นจริงกราบเรียนท่านอาจารย์ได้สนทนาถึงสิ่งที่มีจริงๆ

    ท่านอาจารย์ คุณคำปั่นก็ได้พูดถึงสิ่งที่มีจริง ได้ฟังมาหลายครั้งแต่ก็ยังยากเพราะเหตุว่าสิ่งที่มีจริงลึกซึ้งมาก เมื่อวานนี้มีจริงไหม

    อ.คำปั่น เมื่อวานก็มีธรรมที่เกิดแล้วก็ดับไปหมดแล้ว

    ท่านอาจารย์ มีเมื่อวานจริงๆ เหลือไหม หมดไหม ไม่กลับมาอีกแต่ประโยชน์อะไรจากการที่เราได้ฟังพระธรรมเมื่อวานนี้มีจริงๆ การฟังพระธรรมเมื่อวานนี้มีจริงๆ

    เพราะฉะนั้น ก็ควรที่จะได้รับประโยชน์จากพระธรรมที่ได้ฟังเมื่อวานนี้ด้วย และก็ก่อนนั้นเราก็ได้ไปถึงพระวิหารเชตวัน ได้กล่าวคำว่าขอถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง ขอถึงพระธรรมเป็นที่พึ่ง ขอถึงพระสงฆ์เป็นที่พึ่งกล่าวแล้วใช่ไหม ลืมหรือเปล่า

    เพราะฉะนั้น ที่พึงควรจะมีแต่ละวันแต่ว่าไม่ใช่เพียงแต่ฟัง วันนี้แล้วก็พึ่งหรือเปล่า เมื่อวานนี้ได้ฟังธรรมแล้วได้พึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเปล่า

    ถ้าพึ่งก็หมายความว่าเพื่อฟังพระธรรมขอถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง ขอถึงพระธรรมเป็นที่พึ่ง ขอถึงพระสงฆ์เป็นที่พึ่งเพื่อศึกษาพระธรรมอบรมปัญญาอันเป็นเหตุให้ขัดเกลาและละคลายกิเลส จนกว่ากิเลสจะดับหมดสิ้นไป

    พูดแล้วก็ควรจะไม่ลืมว่าการฟังพระธรรมไม่ใช่เพื่อได้แต่เพื่อละกิเลส ซึ่งยากที่จะเห็นได้เลย พูดแล้วแต่เมื่อวานนี้กิเลสมาก ทุกชีวิตที่มาเพื่อนมัสการสังเวชนียสถานเมื่อวานนี้มีทั้งร้องไห้ แล้วก็มีหัวเราะด้วย มีทุกสิ่งทุกอย่าง

    เพราะฉะนั้น แต่ละคนก็ไม่เคยรู้เลยว่าขณะนั้นๆ ยังไม่เข้าใจความจริงของเมื่อวานนี้ เมื่อวานนี้ร้องไห้หน่อยหนึ่งแล้วก็อาจจะหัวเราะมากก็ตามแต่ แล้ววันนี้จะเป็นอย่างไรใครจะรู้ ก็ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้

    แต่ไม่ลืมมีพระธรรมเป็นที่พึ่งเพื่อที่จะได้เข้าใจจริงๆ ว่ายังมีกิเลส ทุกคนรู้ว่ายังมีกิเลสแต่ไม่เห็นกิเลสเมื่อวานนี้เลย มีใครเห็นกิเลสเมื่อวานนี้บ้าง เสียใจไหมเมื่อวานนี้เป็นกิเลสหรือเปล่า ดีใจไหมเมื่อวานนี้เป็นกิเลสหรือเปล่า กิเลสทั้งวันเมื่อวานนี้หรือเปล่าตามความเป็นจริง

    เพราะฉะนั้น คำใดก็ตามที่ได้กล่าวแล้วขอให้มีความเข้าใจอย่างมั่นคง ว่ากิเลสมีก็ไม่รู้จนกว่าจะได้ฟังพระธรรมโดยละเอียดยิ่ง

    รู้ไปทำไมว่ามีกิเลสเห็นไหม แต่ละคำละเอียดมากที่จะมีพระธรรมเป็นที่พึ่งจริงๆ ไม่ใช่ว่าฟังเผินๆ แต่ต้องรู้ว่ารู้ไปทำไมว่ามีกิเลสมาก เพื่อขัดเกลาละคลายกิเลส

    และเมื่อวานนี้มีกิเลสมากๆ เคยคิดอย่างนี้กำลังตักอาหารกำลังสนทนากันเพื่อละคลายขัดเกลากิเลสหรือเปล่า รู้เพื่อเข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริงตั้งแต่เริ่มว่ากิเลสเป็นธรรมคือสิ่งที่มีจริง ไม่ใช่เราแต่ก็ยาก

    แม้ว่าชีวิตจะดำเนินไปตามกิเลสแต่ก็ยากที่จะรู้ว่าเพราะกิเลสที่ทำให้ชีวิตเป็นไปต่างๆ แต่ถ้าได้มีการฟังพระธรรมเข้าใจขึ้นปัญญาซึ่งเป็นเหตุที่จะให้ประพฤติปฏิบัติตามสิ่งที่ถูกต้องสิ่งที่ควร

    เริ่มตั้งแต่คิดที่จะขัดเกลากิเลส เมื่อวานนี้คิดหรือเปล่า ไม่ได้คิดใช่ไหม แต่ว่าถ้าฟังบ่อยๆ ก็รู้ว่าการที่เรารู้ว่ามีกิเลสถูกต้อง เพราะมีแล้วจะทำยังไงจะปล่อยให้มีต่อไปมากๆ แม้แต่จะคิดที่จะขัดเกลาก็ไม่คิด

    ตามความเป็นจริงเห็นกิเลสของคนอื่นแน่นอน พูดถึงกิเลสของคนอื่นได้ทั้งวันด้วย ใครทำอะไรไม่เหมาะสมอย่างไรควรจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ว่าในขณะนั้นถ้าไม่มีจิตที่กำลังคิดเรื่องนั้นก็ไม่มี

    เพราะฉะนั้น ก็ยังไม่รู้ว่าจิตที่คิดเป็นกิเลสแล้วจะละกิเลสกันได้อย่างไร

    เพราะฉะนั้น ธรรมก็เป็นเรื่องที่ละเอียดมากเป็นเรื่องที่ตรง จริงใจ และรู้ว่าถึงแม้เพียงจะคิดที่จะละยังไม่มี แต่ถ้าคิดแล้วก็รู้ว่าจะละได้อย่างไร จนกว่าจะได้ฟังพระธรรมแล้วก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้น

    เพราะฉะนั้น ประโยชน์จริงๆ ของการฟังต้องไม่ลืมว่ารู้จักธรรมเข้าใจธรรมสิ่งที่มีจริงๆ เดี๋ยวนี้ทั้งหมด พระผู้มีพระภาคทรงแสดงโดยละเอียดยิ่งเพื่อที่จะให้มีความเห็นที่ถูกต้อง

    เพราะฉะนั้น บางคนบอกว่าฟังครั้งแรกไม่เข้าใจ ฟังแล้วจะให้มีความเห็นที่ถูกต้องทันทียากเพราะว่าเคยไม่เข้าใจมานาน เพราะฉะนั้น ก็ต้องเป็นผู้ที่ฟังเพื่อเข้าใจธรรม

    เพราะฉะนั้น บางคนที่ทำกุศลแล้วแต่ไม่เข้าใจว่าแม้แต่กุศลที่ทำแล้ว ก็ยังสามารถที่จะเป็นกุศลต่อไปได้อีก โดยการที่อุทิศส่วนกุศลให้บุคคลที่สามารถจะรู้และอนุโมทนาเท่านั้น ถ้ารู้แต่ไม่อนุโมทนาจะเป็นกุศลได้อย่างไรไม่ใช่ว่าส่งของทางไปรษณีย์

    ทำเสร็จแล้วก็ถามว่าเขาได้รับไหม ไม่ใช่อย่างนั้นเลย

    กุศลเป็นเหตุ ทำให้ผลที่ดีเกิดขึ้นซึ่งเราไม่รู้เลยว่าผลที่ดีที่เกิดจากการฟังธรรมเดี๋ยวนี้วันนี้คืออะไร แต่เหตุมีแน่นอน

    เพราะฉะนั้น ผลก็คือว่าจากโลกนี้ไปแล้ว ถ้าผลของการฟังธรรมวันนี้เป็นปัจจัยก็จะทำให้เกิดในภูมิที่ดีพร้อมด้วยปัญญาที่ สามารถเข้าใจสิ่งที่มีในขณะนั้น

    แม้ว่าขณะเกิดไม่เข้าใจแต่ว่าชีวิตที่สืบต่อไปหลังจากที่เกิดแล้วก็มีวันหนึ่งที่ได้ฟังธรรมเหมือนอย่างชาตินี้

    เพราะฉะนั้น การที่ได้มีโอกาสฟังธรรมวันนี้ก็เนื่องมาจากกุศลในอดีตที่ได้ทำไว้ ทำให้สามารถที่จะได้ยินได้ฟังแล้วค่อยๆ เข้าใจขึ้นจากการที่ฟังซึ่งเรารู้ไม่ได้ว่าเมื่อไหร่

    เพราะฉะนั้น จากโลกนี้ไปแล้วเราก็จำไม่ได้ว่าเราได้ฟังคำว่าธรรมกี่ครั้งที่ไหนบ้าง แต่ว่าถ้าเป็นผลของกุศลที่ประกอบด้วยปัญญาก็จะเกิดเป็นผู้ที่สามารถที่จะมีโอกาสได้ฟังพระธรรมต่อไป และก็เข้าใจขึ้น

    ผู้ฟัง กราบท่านอาจารย์ถ้าไม่สามารถเข้าใจว่าปรมัตถธรรมเป็นอย่างไร นิมิตเป็นอย่างไรบัญญัติเป็นอย่างไร

    ต้องเข้าใจสมมุติสัจจะกับปรมัตสัจจะถึงจะศึกษาพระธรรมได้เข้าใจ

    ท่านอาจารย์ จะมีคำถามอีกมากมาย แต่ว่าถ้าสามารถจะค่อยเข้าใจตั้งแต่ต้นก็จะตอบ คำถามที่มากมายได้เพราะเหตุว่าคำถามทั้งหมดนั้นก็มาจากความไม่รู้เดี๋ยวได้อุทิศส่วนกุศลให้พระเจ้าอโศกดีไหมคุณพรทิพย์

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 202
    10 ต.ค. 2568

    ซีดีแนะนำ