ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1923
ตอนที่ ๑๙๒๓
สนทนาธรรม ที่ โรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้า
วันที่ ๑๒ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๗
ท่านอาจารย์ ที่จริงทุกคนไม่ทราบว่าความจริงแล้วอยู่คนเดียว แน่นอนที่สุด เพราะว่าเข้าใจว่าเป็นเราก็ไม่ใช่ด้วยซ้ำไป
เห็นเกิดแล้วดับไป ก็ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา แต่ว่าความคิดเพราะไม่รู้ความจริงจึงมีเขามีเรา แล้วก็มีครอบครัวใหญ่หรือเล็กก็แล้วแต่ แต่ว่า ถ้าบอกว่าทุกข์น้อยแล้วก็เพราะเป็นโสดหมายความว่าไง ไม่รู้ความจริง ว่าแท้ที่จริงถ้าเข้าใจตามความจริงว่าอยู่คนเดียวเพราะจิตเกิดขึ้นทีละหนึ่งขณะ ไม่มี ๒ ขณะ ๓ ขณะพร้อมกันได้เลย
แล้วจิตก็เกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัยแล้วก็ดับไปแล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย เพราะฉะนั้น มีแต่ความคิดว่าอยู่คนเดียว หรือว่าไม่ได้อยู่คนเดียว อยู่คนเดียวบางคนเกิดมาเป็นลูกคนเดียว ไม่มีพี่น้องเลย คนอื่นก็มีพี่น้องหลายคน ก็เข้าใจว่าตัวเองอยู่คนเดียว แล้วไม่มีคนอื่นในโลกนั้นเลยหรือ แม้ว่าจะไม่ใช่พี่น้อง แต่ก็มีคนรอบข้างได้ใช่ไหม เพราะฉะนั้น จะกล่าวว่าอยู่คนเดียวได้อย่างไร
แต่ตามความเป็นจริง อยู่คนเดียวหมายความถึงจิตเกิดขึ้นทีละหนึ่งขณะ จิตเห็นไม่ได้คิด จิตได้ยินก็ไม่ได้คิด แต่เห็นแล้วคิด ได้ยินแล้วคิด เพราะฉะนั้น ก็คิดถึง๑ ถึง ๒ ถึง ๓ ก็มากมาย เป็นญาติบ้าง เป็นเพื่อน เป็นคนที่ไม่รู้จักแต่ก็พบกันบ้างทั้งหมด แต่ว่าปกติแล้วอยู่กับกิเลส ลืมไปเลยว่าตราบใดก็ตามที่ยังมีความไม่รู้ก็ยังมีความติดข้อง มีกิเลสมีการกระทำต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วไม่รู้เลยว่าวันนี้อกุศลเกิดมากกว่ากุศล
เพราะฉะนั้น จะเป็นโสดหรือไม่เป็นโสดจะอยู่คนเดียวหรือว่ามีญาติพี่น้องเพื่อนฝูงมากก็ตาม อยู่อย่างไรจึงจะไม่เป็นทุกข์ ถ้าอยู่กับกิเลสต่อไป ไม่พ้นทุกข์แน่ แต่ว่าถ้ามีความเข้าใจจริงๆ แล้วก็จะเป็นเหตุให้ความไม่รู้ลดน้อยลงการกระทำสิ่งที่ไม่ดีที่เกิดจากอกุศลทุจริตน้อยลงความสุขเพิ่มขึ้น แน่นอน
เพราะฉะนั้น ไม่ต้องไปแสวงหาความสุขอื่นเลยทั้งสิ้นนอกจากรู้ว่ากุศลคือสภาพธรรมที่ดีงามเท่านั้นที่ไม่นำโทษมาให้เลยไม่ว่าจะในกาลไหน เพราะฉะนั้น ถ้าอยู่กับคุณความดี ไม่เดือดร้อนแน่ใช่ไหม แล้วก็ไม่เป็นโทษด้วย เพราะฉะนั้น เมื่อเกิดมาแล้วถึงจะมีญาติพี่น้องมากมายจะมีครอบครัวเล็กใหญ่อย่างไรก็ตาม แต่ถ้าทั้งหมดชั่ว ไม่ได้นำความสุขมาให้เลย แต่ว่าแต่ละหนึ่งคนก็จะมีตนเองเป็นที่พึ่ง จะมีความสุขเพราะเหตุว่าเราไม่สามารถที่จะหยิบยื่นปัญญาหรือความรู้ความเข้าใจให้ใครได้ไม่สามารถที่จะช่วยให้คนอื่นมีความสุขได้ถ้าเขากำลังมีความทุกข์ แต่ความเข้าใจพระธรรม เท่านั้นที่จะทำให้คนนั้นพ้นจากทุกข์ได้
ในพระไตรปิฏกมีชีวิตของบุคคลหลากหลายมาก ตั้งแต่ในอดีตครั้งพุทธกาล อย่างรัชชุมาลา มีความทุกข์จนถึงกับคิดจะฆ่าตัวตาย พร้อมเลยมีเชือกแขวนไว้แล้วเรียบร้อยน แต่ก็ได้พบพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารู้แจ้งอริยสัจธรรมพ้นทุกข์ไปเลยไม่ต้องมาเดือดร้อนถึงกับว่าทุกข์ขนาดจะฆ่าตัวตาย ตายแล้วก็ยังต้องเป็นทุกข์อีกเพราะว่าอาจจะเกิดความคิดที่จะฆ่าตัวตายเหมือนเดิมซ้ำไปก็ได้
เพราะฉะนั้น จริงๆ แล้วต้องไม่ลืมว่าเราได้ยินคำว่า พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ สังฆัง สรณัง คัจฉามิ ประมาท ๓ คำนี่ได้อย่างไรว่าเป็นที่พึ่งที่แท้จริง ไม่มีที่พึ่งอื่นใดที่จะพึ่งได้เลยนอกจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์ พระสัมมาสัมเจ้าพึ่งพระปัญญาของพระองค์ที่ทรงแสดงพระธรรมด้วยความบริสุทธิ์บำเพ็ญพระบารมีเพื่อเรา เพราะฉะนั้น ทุกคำกว่าจะได้ยินได้ฟังมาจากการที่ทรงบำเพ็ญพระบารมีนานแสนนานเพื่อให้เราได้ยินได้ฟัง เพราะฉะนั้น ทุกคำเป็นคำของผู้ที่ทรงตรัสรู้เป็นคำที่เป็นคำจริงเพราะว่าเป็นการตรัสรู้ความจริงเป็นคำที่ทำให้บุคคลอื่นสามารถไตร่ตรองแล้วก็เข้าใจได้ ขณะที่เข้าใจก็ละความไม่รู้คืออวิชชาซึ่งเป็นเหตุให้เกิดกิเลสทั้งหมด ไม่ว่ากิเลสใดๆ ทั้งสิ้นที่เกิดขึ้นเพราะไม่รู้ คือเพราะอวิชชา เพราะฉะนั้น เมื่อมีความรู้ขึ้นกิเลสก็เบาบางไป ความทุกข์จึงจะค่อยๆ น้อยลงไปได้ไม่ใช่ว่าความทุกข์น้อยโดยที่ไม่มีความรู้อะไร
เพราะฉะนั้น ถ้าจะมีชีวิตอยู่ที่มีความสุขก็คือว่าละชั่ว ทำดี แล้วก็ชำระจิตให้บริสุทธิ์ ซึ่งชำระจิตได้อย่างเดียวคือด้วยการเข้าใจธรรม เพราะเหตุว่าเพราะไม่รู้จึงได้มีอกุศลมากมายที่ทำให้สกปรกหมักหมมเป็นเชื้อโรคเป็นแผลเน่าทุกอย่างที่เกิดจากกายวาจาที่ปรากฏได้ให้รู้ได้ว่านี่คืออะไรที่สะสมมาแล้วทั้งนั้น เพราะฉะนั้น ทุกคนที่ได้เข้าใจธรรมก็จะรู้ว่าจากการที่ไม่เคยรู้ว่าทุกข์คืออะไร และทุกข์จริงๆ ก็คือการเกิดขึ้น และดับไปทุกขณะ
ผู้ฟัง กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ คำถามข้อสองอ่านต่อไหม
ท่านอาจารย์ สัญญาณความจำที่มั่นคงนี้จะจำอะไรดี คนนั้นจำเก่งตั้งแต่เด็กๆ ทำอะไรมาก็จำได้หมด ดีไหมสัญญาอย่างนั้น
แต่สิ่งที่ควรจำ ไม่จำ อย่างเดี๋ยวนี้เห็น มีจริงๆ เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไปแล้วก็ไม่กลับมาอีก ไม่จำ ใช่ไหม แต่จำอย่างอื่น เพราะว่าสะสมความจำอย่างอื่นมามาก แต่ที่สัญญาความจำจะมั่นคงต้องหมายความถึงสัญญาที่เข้าใจความจริงที่ได้ฟังมั่นคงแค่ไหน เพราะเวลานี้ถ้าถามทุกคนก็ตอบได้ใช่ไหม เห็นเกิดขึ้นหรือเปล่า ถ้าเห็นไม่เกิดก็ไม่มีเห็น แล้วเห็นเดี๋ยวนี้ดับไปหรือเปล่าเพราะว่าถ้าเห็นไม่ดับก็ไม่มีคิด ไม่มีได้ยิน ไม่มีอย่างอื่นเลยทั้งๆ ที่รู้อย่างนี้ฟังอย่างนี้แล้วก็เข้าใจแล้ว กว่าสัญญาความจำจะมั่นคงก็ต้องอาศัยความเป็นอนัตตาว่าบังคับบัญชาไม่ได้ แต่ถ้าฟังบ่อยๆ เราก็คิดถึงบ่อยๆ เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่าง จะเกิดขึ้นเพราะบ่อยๆ ด้วยเหตุนี้สัญญาจะมั่นคงคือสัญญาที่จำว่าทุกสิ่งทุกอย่างขณะนี้มีจริงเมื่อเกิดขึ้นแต่ก็ชั่วคราวแสนสั้น ไม่มีใครรู้การดับไปเลยของสิ่งที่กำลังหมดไปๆ ทุกขณะในขณะนี้
เรามีคำว่า"เวลา"ใช่ไหม ชั่วโมง นาที วินาที แต่ว่ารวดเร็วยิ่งกว่านั้นก็คือการเกิดดับของสภาพธรรมซึ่งประมาณไม่ได้ เพราะว่าเพียงแค่คิดคำหนึ่งก็หมดไปแล้วตั้งหลายขณะ และจะไปทำอย่างไร จะไปวัดอะไร ก็ไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ทุกคนที่มีโอกาสได้ฟังพระธรรม เพราะได้สะสมบุญที่ได้ทำไว้แต่ปางก่อน อันนี้แน่นอนที่สุด เพราะว่าบางท่าน ทั้งๆ ที่ท่านเจ็บหนัก ท่านก็เกิดได้ฟังธรรมทางวิทยุรายการของมูลนิธิฯ เป็นไปได้อย่างไร ไม่มีใครทำให้เลย แต่ว่าทั้งๆ เจ็บหนักก็ได้เปิดวิทยุ หรือว่าได้ฟังวิทยุรายการนี้พอดี ก็แสดงให้เห็นว่าทุกอย่างต้องมีปัจจัย
เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะคิดไม่ว่าจะทำไม่ว่าจะพูดหรือมีชีวิตอยู่ทุกขณะ ไม่มีใครสามารถบันดาลได้ แต่ว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นต้องเป็นตามที่เป็น เป็นอื่นไม่ได้ เพราะว่าต้องเป็นตามปัจจัยที่ทำให้สิ่งนั้นเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้น มีคำว่า"ธรรมดา"ในภาษาไทยมาจากคำภาษาบาลีว่าธัมมตาเพราะว่าภาษาบาลีใช้"ต" (ตอเต่า) ไม่ใช้ "ด" (ดอเด็ก)
แต่คนไทยก็"ป" เป็น"บ"บ้าง "ต" เป็น "ด" บ้าง
เพราะฉะนั้น แทนที่จะเป็นธัมมตาก็เป็น ธรรมดาคือความเป็นไปของธรรมซึ่งต้องเป็นอย่างนี้ เราก็บอกว่าเป็นธรรมดาก็คือต้องเป็นอย่างนี้ไม่เป็นอย่างอื่น แต่ว่าต้องเข้าใจให้ถูกต้องว่าจริงๆ แล้วคำในภาษาไทยใช้คำจากภาษาบาลี ภาษามัคธี ซึ่งพระผู้มีพระภาคทรงแสดงธรรมในครั้งนั้น แต่ประมาทที่จะไม่เข้าใจให้ถูกต้องแล้วก็ใช้ตามที่คิด เพราะฉะนั้นแม้จะพูดทุกวันว่าธรรมดาก็ไม่ได้เข้าใจว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เรา หรือไม่ใช่ใคร แต่เป็นสิ่งที่มีจริงที่เกิดขึ้นเป็นไปตามที่ต้องเป็น
สนทนาธรรมที่บ้านนายแพทย์ทวีป และคุณพรทิพย์ ถูกจิตรวันที่ ๑๐ ตุลาคมพุทธศักราช ๒๕๕๗
อ.วิชัย กราบท่านอาจารย์ การศึกษาพระธรรมก็เป็นเรื่องที่ละเอียดแต่ละท่านก็มีโอกาสได้ยินได้ฟังพระธรรม แต่ก็ดูเหมือนหลังจากการได้ยินได้ฟังพระธรรมแล้วก็ลืม ก็ดูเหมือนกับเป็นปกติเลย อย่างนี้หรือเปล่า หรือว่าการสะสมยังไม่เพียงพอ เพราะว่าขณะนี้ธรรมก็มีกำลังปรากฏอยู่
ท่านอาจารย์ เป็นอย่างนี้หรือเปล่า ก็ต้องถามทุกคน ต้องเป็นแน่นอนจะไม่เป็นอย่างนี้ไม่ได้ มีใครบ้างที่ไม่ลืมอะไร กำลังเห็นดอกไม้ก็ลืมอย่างอื่นแล้ว กำลังเห็นคนนี้ก็ไม่ได้นึกถึงคนอื่นแล้ว
เพราะเหตุว่าสภาพธรรมเกิดดับสืบต่อเร็วมากแค่ได้ยินอย่างนี้ก็น่าอัศจรรย์ และเพราะว่าไม่เห็นปรากฏอย่างที่พูด บอกว่าสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้เกิดขึ้นแล้วก็ดับไปเร็วสุดที่จะประมาณได้ ไม่ได้เป็นอย่างที่พูดหรืออย่างที่ฟังเลย แต่ทั้งนี้ก็คือว่าเร็วจนกระทั่งเป็นอย่างนั้น ไม่ปรากฏการเกิดดับเลย
เพราะฉะนั้น การฟังพระธรรมสบายๆ เป็นบุญจากการที่ไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อนในชาตินี้ แต่อาจจะเคยได้ยินได้ฟังมาแล้วในชาติก่อนๆ จึงมีปัจจัยที่จะทำให้ได้อยู่ ณที่นี้ ที่ไหนก็ได้ ตรงไหนก็ได้ที่มีเสียงที่สามารถที่จะทำให้ได้ยินคำซึ่งสามารถรู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏ และก็รู้ด้วยว่าคำนี้ ถ้าไม่ได้สะสมบุญมาไม่มีทางที่จะได้ฟังหรือได้ยิน หรือได้ยินแล้วก็ผ่านไปเพราะเป็นเพียงแค่เสียง แต่ว่าความจริงแล้วแต่ละเสียงซึ่งเป็นพระพุทธพจน์ เป็นวาจาสัจจะซึ่งกล่าวถึงสิ่งที่ยากที่จะรู้ที่จะเข้าใจได้
เพราะฉะนั้น ก็เป็นผู้ที่รู้ว่าธรรมลึกซึ้งมาก ละเอียดมาก ได้ยินได้ฟังแล้ว ก็เกิดความปีติที่ได้เข้าใจแม้เพียงเล็กน้อย แต่ว่าถ้าเป็นคนโลภ ไม่รู้ความจริงคิดว่าฟังแล้วจะต้องไปพยายามทำความเพียรที่จะรู้ความจริงอย่างนั้นอย่างนี้ หรือว่าไปต่อ ไปแต่ง ไปเติมเมื่อทรงแสดงอย่างนี้แต่อาจมีอย่างโน้นหรือเป็นวิธีอย่างนั้นซึ่งเราสามารถที่จะทำให้ปัญญาซึ่งเพียงได้ยินได้ฟังสามารถจะถึงระดับที่ไปรู้ความจริงได้ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลย และผู้นั้นก็เป็นผู้ประมาทจริงๆ ไม่เข้าใจแม้แต่คำว่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งลึกซึ้งอย่างยิ่ง เทียบไม่ได้เลยแต่ละคำที่ตรัสกับผู้ที่ได้บำเพ็ญบุญมาแล้วที่ได้เฝ้าพระองค์ในครั้งนั้น เพียงฟังก็กล่าวถึงสิ่งที่มีจริง ท่านเหล่านั้นสามารถที่จะเข้าใจทันที เพราะสะสมมาแล้ว และก็ละความสงสัย ซึ่งการสะสมความเข้าใจไม่สูญหายเลยถ้ามีมาก พอได้ยินก็เข้าใจได้ สภาพธรรมก็สามารถที่จะปรากฏตามความเป็นจริง
เพราะฉะนั้น แต่ละคนไม่เหมือนกัน โดยเฉพาะคนในครั้งโน้นที่สะสมบุญมาเพื่อจะถึงความเป็นพระอรหันต์ดับกิเลสได้หมดสิ้น หรือจะถึงความเป็นพระอนาคามีสามารถที่จะดับความยินดีในรูปในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ หรือว่าสามารถที่จะละคลายกิเลสเพราะได้รู้ความจริงแล้วว่าไม่ใช่ตัวตน จนถึงผู้ที่แต่ก่อนไม่เคยรู้เลยสักอย่างสักคำทั้งๆ ที่มีจริงเลย ก็เริ่มสามารถที่จะอบรมมาจนกระทั่งได้ฟังธรรมแล้วรู้แจ้งอริยสัจธรรม
เพราะฉะนั้น ก็เป็นเครื่องพิสูจน์ใครได้ยินแต่ละคำเข้าใจแค่ไหน ถ้ายังไม่เข้าใจก็ฟังต่อไปอีกเพราะรู้ว่าถ้าไม่มีการฟังต่อไปลืมแน่ ไม่นานเลย จากขณะหนึ่ง่ไปอีกขณะหนึ่งก็ลืมแล้ว เพราะฉะนั้น การที่ได้ยินได้ฟังบ่อยๆ เป็นหนทางเดียวที่จะทำให้มีความเข้าใจมั่นคง ไม่มีวิธีอื่นเลย
แล้วลองคิดดูคำที่สามารถทำให้ได้รู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏเป็นคำที่หายากไหม เพราะแม้จะฟังไปเท่าไหร่สิ่งที่กำลังปรากฏก็ยังไม่ปรากฏว่าเกิดขึ้นแล้วดับไป และเป็นแต่ลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริงแต่ละอย่าง เช่นสิ่งที่ปรากฏทางตามีจริงๆ กำลังปรากฏให้เห็น เพราะฉะนั้น เห็นมีจริงๆ เกิดขึ้นเห็นแล้วก็ดับไป แต่ละคำทิ้งไม่ได้เลย ความจริงเป็นอย่างนี้สามารถที่จะรู้ได้อย่างนี้ แต่ถ้ามีความต้องการหรือมีความเป็นตัวตนขึ้นมาแทรกเพราะสะสมความไม่รู้ และความต้องการมานานก็บิดเบือนอยากจะรู้มากกว่านี้อีก ทำอย่างไรถึงจะรู้อย่างนี้ ก็ผิดทันที หันหลังให้กับพระสัทธรรมทันที นี่แสดงให้เห็นความจริงที่ว่าเมื่อตรัสรู้แล้วไม่น้อมพระทัยที่จะทรงแสดงธรรมเพราะความลึกซึ้งอย่างยิ่ง แต่เมื่อบำเพ็ญบารมีถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็รู้ว่าผู้ที่สะสมปัญญามาที่สามารถที่จะเข้าใจได้มี จึงได้ทรงแสดงธรรม เวลาก็ผ่านมา และก็ผู้ที่เคยเกิดในครั้งนั้นก็ไม่รู้ว่าสะสมปัญญาต่อมา หรือว่าห่างเหินไป หรือว่ามีอกุศลมากมาย จะมีโอกาสได้ยินได้ฟังอีกหรือเปล่า และเมื่อได้ยินได้ฟังแล้วก็เป็นผู้ที่รู้ตัวเองตามความเป็นจริงซึ่งคนอื่นรู้ไม่ได้ ว่าสิ่งที่มีจริงทุกอย่างในชีวิตประจำวันเป็นสิ่งที่พระสัมมาส้มเจ้าทรงตรัสรู้ เมื่อทรงตรัสรู้อย่างไรก็แสดงธรรมให้คนอื่นได้รู้ได้เข้าใจอย่างนั้น เพราะฉะนั้น ทุกคำไม่ผิดจากสิ่งที่กำลังมีจริงๆ ในขณะนี้ให้ค่อยๆ เข้าใจขึ้น จนกว่าจะถึงเวลาที่คลายความติดข้อง สภาพธรรมปรากฏจนกระทั่งถึงการประจักษ์แจ้งการเกิดดับเป็นปกติ
อ.วิชัย ที่มีข้อความกล่าวถึง สิ่งที่มีขณะนี้เป็นสิ่งที่ลึกซึ้งเห็นได้โดยยาก ก็ดูเหมือนกับการเห็น การได้ยิน ก็เหมือนเป็นปกติ เหตุไรจึงกล่าวว่าเป็นสิ่งที่ลึกซึ้งจริงๆ
ท่านอาจารย์ ปกติ แต่ไม่รู้ ใช่ไหม แล้วรู้ได้ แต่จะรู้ได้อย่างไร ถ้าไม่ฟังพระธรรม ไม่พิจารณาจริงๆ ถึงประโยชน์ และคุณค่าที่เริ่มเข้าใจขึ้นทีละเล็กทีละน้อย เพราะเหตุว่าเป็นการอบรมเจริญปัญญา ทุกครั้งที่ได้ฟัง
เพราะว่าทุกคำต้องเป็นปัญญาทั้งหมด พุทธะผู้ตรัสรู้ด้วยปัญญา ถ้าไม่มีปัญญา รู้ไม่ได้ เพราะว่าเกิดมาไม่มีปัญญาที่จะเห็นว่า เห็นเป็นสิ่งที่เกิดดับ ไม่ใช่เรา ได้ยินเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ได้ยินแล้วก็ดับไป แล้วก็ไม่ใช่เรา เพราะดับไปหมด
แล้ววันหนึ่งๆ เราคิดอย่างนี้หรือเปล่า ไม่เคยเลยใช่ไหม แล้วสิ่งที่ปรากฏไม่เหมือนกับตามความเป็นจริงเลย เพราะเหตุว่าเหมือนกับเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยงตลอดไป ไม่ได้ปรากฏการเกิดดับ และไม่ได้แยกขาดจากกันด้วย เช่นเห็นกับได้ยินไม่เคยคิดว่าเป็นคนละขณะ ดูเหมือนพร้อมกัน แล้วยังมีสุขทุกข์อีกมากมายทุกอย่างเหมือนพร้อมกัน แต่ว่าตามความเป็นจริงเป็นลักษณะของแต่ละหนึ่ง ซึ่งรวมกันเมื่อไหร่ ก็ยึดถือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ที่เรียกว่าคน ไม่มีเห็น ไม่มีได้ยิน ไม่มีตา ไม่มีหู ไม่มีส่วนต่างๆ อวัยวะต่างๆ อะไรมารวมกันเลย จะเป็นคนได้ไหม
หรือแม้แต่ดอกไม้สักดอกนั้น ถ้าแยกให้ละเอียดยิบ ขาดออกจากกัน จะเป็นดอกไม้ไหม ก็ไม่ได้ แต่แยกได้ แล้วก็เป็นแต่ละหนึ่งด้วย รวมกันเมื่อไหร่ก็หลงเข้าใจผิดเมื่อนั้น
เพราะฉะนั้น ตั้งแต่เกิดจนตาย ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรมไม่มีทางที่จะเข้าใจความจริงเลย และก็จะอยู่ในโลกอย่างนี้ไปเรื่อยๆ เดี๋ยวสุข เดี๋ยวทุกข์ แล้วก็ต้องเปลี่ยนไป เพราะเหตุว่าไม่มีสภาพธรรมได้ที่ยั่งยืน
ฟังดูเหมือนอีกนานแต่ว่าความจริงขณะนี้เอง ไม่ยั่งยืน เพราะเห็นเกิดแล้วดับ ได้ยินเกิดแล้วดับ อะไรยั่งยืน ไม่มีอะไรยั่งยืนเลย เพราะฉะนั้น ไม่ต้องรอนาน จนกว่าจะจากโลกนี้ไป แม้เดี๋ยวนี้ก็กำลังเป็นอย่างนี้ แต่ไม่รู้
ต้องไม่ลืมแต่ละคำที่คิดว่าเข้าใจแล้ว เช่นธรรมไม่ใช่เรา ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตาไม่ใช่อัตตา ก็แสดงความไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาความหมายของอนัตตาก็มีอีก เเต่เเค่๓ อย่างนี้ก็น่าจะเพียงพอสำหรับที่จะไม่ลืมว่าสิ่งที่มีจริง ต้องจริง เปลี่ยนแปลงไม่ได้ เป็นธรรมแต่ละหนึ่ง เพราะฉะนั้น ถ้ามีความเข้าใจอย่างนี้ เวลาที่ลืม เป็นธรรม แต่ขณะนั้นก็ไม่รู้ เวลาสนุกมากร้องเพลงรื่นเริงเป็นธรรมหรือเปล่า
อ.วิชัย ก็เป็นด้วย
ท่านอาจารย์ ก็ไม่รู้ เมื่อเช้านี้รับประทานอาหารก็ไม่รู้ ตื่นมาก็ไม่รู้ ไม่รู้ทั้งวัน แล้วอย่างนี้หรือที่จะไปรู้แจ้งความจริงของสภาพธรรมที่เกิดดับสืบต่อเร็วมาก
เพราะฉะนั้น ไม่มีทางเลยที่ความไม่รู้จะไปเห็นถูกเข้าใจถูก ความไม่รู้มีจริงๆ ขณะนี้ที่ไม่รู้เป็นธรรม ขณะที่กำลังเข้าใจตรงกันข้ามเลยใช่ไหม ก็เป็นธรรม
รวมความว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่มีจริงๆ มีลักษณะอย่างนั้นไม่เปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งซึ่งมีจริงซึ่งเกิดแล้วดับ ทุกคำถ้าเข้าใจอย่างมั่นคง คิดดู ปัญญาหรือไม่ ไม่ว่าจะเห็นอะไร เมื่อไหร่ ที่ไหน แม้แต่คำว่า เห็นสิ่งที่เพียงปรากฏให้เห็นได้
แค่นี้ ฟังแล้วเข้าใจใช่ไหม แล้วก็ลืม แสดงว่าไม่มั่นคง เพราะฉะนั้น จะมั่นคงต่อเมื่อไม่ลืมทุกคำที่เคยได้ยินและเคยเข้าใจ ยากไหม เคยเห็นเป็นคนนั้นคนนี้ เป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้แล้วจะเริ่มเข้าใจใหม่ให้ถูกต้องด้วย ว่าขณะนี้มีสิ่งที่เพียงปรากฏให้เห็นได้
ถ้ายังไม่เข้าใจก็หลับตา แค่นี้เห็นไหมก็ไม่มีอะไรปรากฏ ก็ยังจำไว้อีก ใช่ไหม กว่าความจำซึ่งเป็นอัตสัญญาจะค่อยๆ จางลง และสภาพที่เป็นอนัตตาสัญญาปรากฏเมื่อปัญญาถึงระดับที่รู้แจ้งสภาพธรรมที่ปรากฏตามปกติ
ตามปกติเพราะเหตุว่าขณะนี้ไม่มีใครหวังว่าจะให้อะไรเกิดแต่สิ่งนั้นก็เกิดแล้ว ได้ยินเสียงใช่ไหม ไม่ได้ต้องการให้ยินเลย ก็ได้ยินแล้ว คิดหรือเปล่า ไม่ได้เตรียมตัวจะคิดอะไรเลยทั้งสิ้น แต่คิดก็เกิด เพราะเหตุปัจจัย
เพราะฉะนั้น กว่าจะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็คือว่าทุกคำเป็นปัญญาของผู้ที่ได้ยินได้ฟังแล้วไตร่ตรองจนกว่าจะมั่นคง แล้วรู้ว่าสภาพธรรมเป็นอย่างนั้นจริงๆ ไม่แสวงหาทางอื่น เพราะรู้ว่าแม้เดี๋ยวนี้ก็ยังไม่รู้ แล้วจะไปรู้เวลาที่เราไปทำอย่างนั้นอย่างนี้ที่โน่นที่นี่ได้อย่างไร
เพราะว่าถ้าขณะนี้มีความเข้าใจ แล้วก็ขณะนี้เองก็สามารถเข้าใจขึ้น เมื่อฟังต่อไปแล้วพิจารณาความจริงไปเรื่อยๆ ก็จะเป็นการที่รอบรู้ในพระพุทธพจน์
ใช้คำว่ารอบรู้คือปริยัติไม่ใช่เพียงแค่ได้ยินแล้วก็ตาม เขาบอกว่าอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น เขาเป็นใคร และปัญญาของเราเกิดหรือเปล่าหรือว่าทำตามที่เขาบอก เพราะปัญญาจริงๆ นั้นคืออะไร ต้องเริ่มตั้งแต่ปริยัติรอบรู้จริงๆ ไม่เปลี่ยนแปลงว่าเดี๋ยวนี้เป็นสิ่งที่กำลังมีเกิดแล้วดับด้วย
ขณะนี้แค่ฟังก่อนใช่ไหม แต่สติสัมปชัญญะหรือสติปัฎฐานที่เรียกๆ กัน จนกระทั่งถึงวิปัสสนายังเกิดไม่ได้เลย เพราะเหตุว่าความรู้ไม่พอที่จะรู้จักความหมายของแต่ละคำซึ่งไม่ใช่เพียงแต่ชื่อ
เวลานี้เห็นเป็นแต่เพียงชื่อใช่ไหม ลักษณะจริงๆ เป็นธาตุรู้ซึ่งเกิดขึ้นเห็น แล้วดับ เวลาที่ได้ยินปรากฏ ไม่มีใครเลย แต่เสียงปรากฏ เพราะมีธาตุรู้ซึ่งได้ยิน เกิดขึ้นได้ยินแล้วก็ดับ เพราะฉะนั้น ไม่ใช่หมายความว่าเราเพียงจำคำ เข้าใจเพียงคำ แต่คำนี้นั้นเองที่แสดงความจริงของสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้
เพราะฉะนั้น ปัญญาระดับนี้ไม่พอที่จะทำให้สามารถเริ่มเข้าใจ และเริ่มถึงความจริงของสิ่งที่ปรากฏไม่ว่าจะเป็นเห็นได้ยินหรือเสียงหรืออะไรก็ตามแต่ ขอยกตัวอย่างง่ายที่สุดมีตลอดวันก็ว่าได้ ในขณะที่ยังไม่หลับเหมือนไม่ขาดเลยก็คือเห็น กับสิ่งที่ปรากฏให้เห็น แล้วเมื่อไหร่ที่จะเริ่มเข้าว่าเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏเท่านั้น ถ้าคิดอย่างนี้จริงๆ คลายไหม การที่ติดข้องในสิ่งที่ปรากฏยึดมั่นว่าเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ เพราะรู้ว่าถ้าจิตไม่เกิด ขณะนั้นสิ่งนี้ปรากฏไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น ธาตุรู้ซึ่งเป็นจิตต่างหากขณะนี้ ซึ่งเพียงเห็นสิ่งที่ปรากฏแล้วดับ แต่ก็มีจิตที่เกิดสืบต่อ ยังจำรูปร่างสัณฐานของสิ่งที่เกิดดับสืบต่อเร็วมากสุดที่จะประมาณได้จนปรากฏเหมือนเป็นถ้วยแก้ว เป็นดอกไม้ เป็นโต๊ะ เป็นเก้าอี้ ซึ่งถ้าเพียงเห็นหนึ่งขณะ จะเป็นไม่ได้เลย
เพราะฉะนั้น ขณะนี้เห็นเกิดดับนับไม่ถ้วน มิฉะนั้นพระผู้มีพระภาคไม่ทรงบำเพ็ญพระบารมีนานถึง๔ อสงไขยแสนกัปหลังจากที่ได้รับคำพยากรณ์แล้วว่าจะได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแน่นอนในอีก๔ อสงไขยแสนกัป คือจากสิ่งที่ปรากฏ ค่อยๆ เริ่มเข้าใจว่าแค่ปรากฏให้เห็น
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1921
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1922
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1923
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1924
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1925
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1926
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1927
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1928
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1929
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1930
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1931
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1932
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1933
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1934
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1935
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1936
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1937
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1938
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1939
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1940
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1941
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1942
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1943
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1944
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1945
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1946
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1947
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1948
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1949
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1950
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1951
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1952
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1953
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1954
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1955
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1956
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1957
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1958
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1959
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1960
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1961
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1962
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1963
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1964
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1965
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1966
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1967
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1968
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1969
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1970
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1971
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1972
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1973
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1974
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1975
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1976
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1977
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1978
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1979
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1980
