ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1922
ตอนที่ ๑๙๒๒
สนทนาธรรม ที่ โรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้า
วันที่ ๑๒ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๗
ท่านอาจารย์ ถ้ากล่าวว่าเป็นชาวพุทธ หมายความถึงผู้ที่นับถือพระพุทธศาสนา ต้องนับถือสิ่งที่ตนเองเข้าใจ และรู้จัก ไม่ใช่ว่าไม่รู้จักเลย
ธรรมคืออะไรก็ไม่รู้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นใครรู้เพียงแค่ประวัติ แต่ว่าทรงตรัสรู้อะไร และทรงแสดงความจริงอะไร ถ้าไม่มีการศึกษา พระธรรมก็อันตรธาน ที่มีคำกล่าวว่าอย่างมาก ๕๐๐๐ ปีพระธรรมก็จะอันตรธานคือไม่เหลือเลย แต่ว่าแม้ในขณะนี้ขณะใดก็ตามที่ไม่ได้ฟังธรรม ไม่เข้าใจ ธรรมอันตรธานแล้วจากคนนั้น แล้วถ้ามีมากๆ ทั่วโลกก็อันตรธานไปหมดถ้าไม่มีการศึกษา
เพราะฉะนั้น พระศาสนาจะดำรงอยู่ได้ก็ด้วยความเข้าใจของผู้ที่กล่าวว่านับถือพระพุทธศาสนา พุทธะคือปัญญา ศาสนาคือคำสอน ผู้ที่ไม่มีปัญญาจะสอนหรือกล่าวถึงสิ่งที่มีจริงไม่ได้ ต้องเป็นผู้ที่ตรัสรู้ ทั้งหมดทั้งปวงโดยสิ้นเชิง จึงสามารถที่จะทรงแสดงความจริงของทุกสิ่งทุกอย่างโดยละเอียดอย่างยิ่ง ซึ่งผู้ที่ได้ฟังก็สามารถเข้าใจได้ เพราะเหตุว่ากล่าวถึงสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ให้เข้าใจขึ้น
เพราะฉะนั้น ถ้าไม่ฟังพระธรรมเลย จะกล่าวว่ารู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ไหม แต่ว่าขณะใดก็ตาม เริ่มเข้านั่งใกล้เพื่อที่จะได้เห็นพระองค์โดยการฟังพระธรรม ก็จะรู้ว่าผู้ที่เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคือผู้ที่ทรงตรัสรู้ และทรงแสดงธรรมให้บุคคลอื่น สามารถเข้าใจด้วยตามลำดับ ซึ่งละเอียดมาก แล้วก็กล่าวได้เลย ว่าใครบ้างที่ สามารถจะอ่านพระไตรปิฎกแม้สักเล่มหนึ่ง ให้เข้าใจโดยตลอด เพราะเป็นสิ่งที่ละเอียดลึกซึ้งอย่างยิ่ง
วันนี้ก็เพิ่งเห็นการที่ว่าธรรมละเอียด เพราะเห็นว่าแค่หลับตาก็ไม่มีใคร และในห้องนี้ไม่มีอะไรด้วย เพียงแต่ว่าขณะนั้น ลองหลับตาจริงๆ มีสิ่งที่ปรากฏไหม มี แต่ไม่ใช่คน
ถ้าดับไฟมืดหมด ลืมตาเห็นความมืด ก็ยังมีสิ่งที่ปรากฏให้รู้ความต่างว่ามืดกับสว่างต่างกัน ต้องเป็นคนที่ตรงกับธรรม ไม่ใช่ว่าฟังเพื่อจะตอบ เพื่อจะสอบ แต่ว่าฟังเพื่อเข้าใจว่าสิ่งที่ได้ฟังเป็นความจริงไหม
แต่ว่าถ้าตาบอดทันที ก็จะไม่มีการที่ว่าหลับตาหรือลืมตาก็ไม่ต่างกัน จะไม่ปรากฏความสว่างหรือความมืด หรือว่าการที่จะเมื่อลืมตาแล้วก็เห็นเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดนี่ก็เป็นสิ่งซึ่งเป็นชีวิตประจำวัน ขณะที่กำลังได้กลิ่น ใครบังคับให้ไม่ได้กลิ่นได้บ้างถ้ากลิ่นนั้นกระทบฆานปสาท รูปพิเศษอีกรูปหนึ่ง ที่ใช้คำว่า ปสาทรูป รูปที่ผ่องใส ไม่ใช่เพียงอ่อนแข็ง เย็นร้อน ซึ่งเป็นธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม แต่ว่าเป็นรูปต่างหากจากธาตุดิน น้ำ ไฟ ลมที่มีลักษณะเฉพาะของรูปนั้น เช่น จักขุปสาท ถ้าเป็นรูปที่มีจริง กระทบกับสิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ เป็นปัจจัยให้ธาตุรู้เกิดขึ้นเห็น
จักขุปสาทไม่เห็น สิ่งที่ปรากฏก็ไม่เห็น แต่ธาตุรู้มี เพราะฉะนั้น ธาตุรู้เกิดเมื่อมีการกระทบกันของสิ่งที่กระทบกับจักขุปสาท แล้วก็มีกรรมที่ได้กระทำแล้วเป็นปัจจัย ถ้าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่น่าพอใจ กุศลกรรมหนึ่งในอดีตที่ได้ทำแล้ว ก็เป็นปัจจัยให้จิตนั้นเกิดขึ้นแล้วก็เห็น แต่ถ้าเป็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจ อกุศลกรรมหนึ่งที่ได้ทำแล้วก็เป็นปัจจัยให้จิตเกิดขึ้นเห็นสิ่งนั้น อยากเห็นไหม สิ่งที่ไม่น่าพอใจ แต่เห็นเพราะอะไร กรรมที่ได้ทำแล้ว
เพราะฉะนั้น ความลึกซึ้งของธรรม ไม่ใช่แต่เฉพาะชาตินี้ชาติเดียว แต่ถอยไปแสนโกฏกัป นับไม่ถ้วนเป็นปัจจัยที่ค่อยๆ สะสมสืบต่อ แม้แต่ขณะเดียวที่พอใจเพียงเล็กน้อย หรือว่าความโกรธเพียงเล็กน้อยดับแล้ว แต่สะสม สืบต่อในจิตขณะต่อๆ ไปพร้อมที่จะเกิดเมื่อมีปัจจัย
เพราะฉะนั้น แต่ละชาติๆ ที่มีความรักความชังความดีความชั่วที่สะสมมาต่างๆ กันก็สะสมอยู่ในจิต พร้อมที่จะเกิด บังคับบัญชา ทำไม่ได้แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงดับกิเลสหมดไม่เหลือเลยได้ เพราะรู้ว่าจริงๆ เเล้วสิ่งที่มีโทษก็คือความไม่รู้ ทุกคนเกิดมาด้วยความไม่รู้แล้วก็ยังคงไม่รู้ต่อไป ในขณะที่ไม่ได้ฟังพระธรรม ไม่รู้ว่าความติดข้องในสิ่งหนึ่งสิ่งใดดีหรือเปล่า เหมือนดี เพราะว่าไม่ได้ฟังพระธรรม แต่ถ้าฟังแล้วจะรู้ได้เลย เคยเสียใจไหม เคยร้องไห้ไหม มาจากไหนถ้าไม่มีความติดข้อง และก็สิ่งนั้นสูญเสียไปก็จะไม่มีการเสียดาย จะไม่มีการเสียใจ จะไม่มีการร้องไห้
ทั้งหมดทุกขณะด้วยทรงแสดงไว้โดยละเอียดในพระไตรปิฏก ไม่จำเป็นที่ใครต้องไปคิดเองหรือว่าไม่ใช่ว่าเพียงเราฟังพระธรรมเล็กๆ น้อยๆ นิดๆ หน่อยๆ ที่นั่นบ้างที่นี่บ้างแล้วเราก็ไปคิดเสียมากอาจจะเขียนเป็นตำราหนาๆ สี่ห้าเล่ม แต่ว่าไม่ใช่คำที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงเพียงแต่อ้างแต่ไม่ได้ศึกษาตามความเข้าใจให้ละเอียด ทั้งหมดนี้ก็เป็นความคิดของตนเอง
เพราะฉะนั้น ผู้ที่ได้ศึกษาพระธรรมแล้วมีพระธรรมเป็นสรณะ นอกจากมีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า และก็มีพระธรรม และมีพระอริยสงฆ์เป็นที่พึ่ง สรณะคือที่พึ่ง ไม่ใช่ที่พึ่งให้เรากำลังเจ็บไข้ก็หายเจ็บไข้ได้ป่วย แต่พึ่งให้รู้ความจริงซึ่งสามารถที่จะเป็นต้นเหตุที่ทำให้ดับทุกข์ทั้งปวงได้
เพราะว่าทุกข์ทั้งหมดต้องมาจากเหตุ ถ้าไม่มีเหตุก็ไม่มีทุกข์ แต่เมื่อมีเหตุแล้วจะไม่มีทุกข์ได้ไหม ก็ไม่ได้แต่ลองคิดถึง พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงดับกิเลสหมดจากที่เคยสะสมมาแสนโกฏกัป อนันต นับไม่ถ้วนสืบต่อนานแสนนานมาแล้วมากเหลือเกิน แต่ก็สามารถที่จะดับ ไม่เหลือเลยเมื่อได้มีความเข้าใจขึ้น ตามความเป็นจริงของสิ่งที่มีตามลำดับ ลึกซึ้งไหม แค่นี้น้อยมาก
จริงๆ และลึกซึ้งกว่านี้มาก
ผู้ฟัง ถามว่าที่กำลังเจ็บป่วยคิดอย่างไรให้เป็นธรรม
ท่านอาจารย์ คิดว่าเดี๋ยวนี้ไม่ป่วยหรือ
กายไม่ป่วยใจป่วยหนัก เวลาเป็นทุกข์ ทุกข์ใจยิ่งกว่าทุกข์กายใช่ไหม กายแสนสุขสบายมากเลยไม่เดือดร้อน ไม่หิวไม่เดือดร้อนแต่ใจเป็นทุกข์ได้ไหม กายยังมีทางรักษา มีหมอรักษาโรค แล้วใจจะเอาอะไรรักษา
แล้วให้เลือกจะทุกข์กายหรือทุกข์ใจ บางคนสะสมมาต่างๆ กันบางคนทุกข์ใจทนได้ อดทนๆ ได้แต่ทุกข์กายนิดหนึ่งก็แย่แล้วทนความปวดความเจ็บหรืออะไรไม่ได้เลย แต่บางคนทุกข์กายเท่าไหร่ก็ทนได้แต่จะใจเสาะหรือเปล่าก็ไม่ทราบ ทุกข์ใจนิดนึงก็ทนไม่ไหวเเล้ว
เพราะฉะนั้น แต่ละคนเก็สะสมมาต่างๆ กันจริงๆ แต่ให้ทราบว่าทุกข์มีสองอย่าง ทุกข์กายกับทุกข์ใจ ถ้ามีกายหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดโรคภัยต่างๆ ได้ไหม พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประชวรก่อนจะปรินิพพาน แล้วเราต้องการอะไรในขณะที่เราเจ็บไข้ได้ป่วยต้องการแค่หายป่วยต้องการอะไรก็ไม่รู้ที่จะมาปลอบใจให้เราไม่เดือดร้อน
แต่เป็นไปได้ยังไงในเมื่อเหตุของความทุกข์มี เพราะฉะนั้น ก็ต้องมีทุกข์ใจแต่ถ้ามีความเข้าใจ ธรรมมากขึ้น มีท่านหนึ่งท่านเป็นมะเร็งกระดูกท่านไม่เดือดร้อนท่านฟังธรรมตลอดเวลาท่านมีความสุข แต่เรื่องของโรคภัยเป็นเรื่องที่ยับยั้งไม่ได้
และความเจ็บปวดมีตั้งแต่ยังเล็กน้อยที่สุด ยุงกัดเจ็บไหม เจ็บคือเจ็บจะมากเลยจะน้อยก็ตามเหตุตามปัจจัยใช่ไหม แต่ก็เจ็บจะให้ไม่เจ็บก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้น ถึงแม้ว่าจะเจ็บกายแต่ใจสามารถจะรู้ความจริงว่า ทุกสิ่งทุกอย่างไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชามีปัจจัยเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป จริงหรือเปล่ามีอะไรที่ยั่งยืนบ้าง มีอะไรที่เจ็บไปตลอดแสนโกฏกัปบ้าง ก็ไม่มีใช่ไหม
ทุกอย่างที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เพราะฉะนั้น สิ่งที่ประเสริฐที่สุดในบรรดาธรรมทั้งหลายซึ่งเกิดดับคือปัญญาความเห็นที่ถูกต้องทุกสถานการณ์ ไม่ว่าจะในยามป่วยไข้ ในยามยากไร้ ในยามที่ถูกนินทาว่าร้ายหรืออะไรแต่อะไรทั้งหมด ถ้ามีปัญญาแล้วก็ไม่เดือดร้อนเลย รักษาจิต
คงไม่ลืม ธรรมทั้งหมดทรงประมวลเป็นโอวาทปาติโมกข์ ละชั่ว ทำความดีให้ถึงพร้อม ชำระจิตให้บริสุทธิ์ เข้าใจขั้นไหน เข้าใจแค่ละชั่วคือไม่ทำชั่วหรือว่าทำดี ดีมีหลายอย่างให้ถึงพร้อม พร้อมนี้ก็ยาก ดีไหนที่ยังไม่เข้าใจก็ทำไม่ได้ก็ไม่พร้อม
ข้อสำคัญที่สุดคือชำระจิตให้บริสุทธิ์ ลืมหรือเปล่าทุกคนมีความไม่บริสุทธิ์ของจิตสะสมหมักหมมเหนียวแน่นลึกประมาณไม่ได้เลย เพราะว่าทุกวันเพิ่มขึ้น เพียงแค่เห็นสิ่งที่น่าพอใจ ติดข้อง แล้วเป็นทุกข์ไหม ถ้าไม่ติดข้องไม่เดือดร้อนเลย
เพราะฉะนั้น ก็จะเห็นได้จริงๆ เราไม่ค่อยรู้สึกตัวว่าแท้ที่จริงทุกข์กายมีมากด้วยกิเลส คนที่ไม่มีกิเลสไม่ทุกข์ คนที่มีกิเลสน้อยก็ทุกข์น้อย คนที่มีกิเลสมากให้ทุกน้อยได้ไหม ก็ไม่ได้
เพราะฉะนั้น จะกังวลเฉพาะตอนเจ็บหรือว่าตอนใกล้จะตายหรือเดี๋ยวนี้ใครรู้ว่าจะตายเมื่อไหร่พร้อมไหม เย็นนี้ก็ได้ ออกจากห้องนี้ก็ได้ ในห้องนี้ก็ได้ แล้วต้องการธรรมอะไร หรือว่าต้องการอะไร ทุกกาลก็คือว่าขอให้มีชีวิตอยู่เพื่อเข้าใจธรรม
มีท่านผู้หนึ่งที่ท่านฟังธรรมเป็นประจำ แล้วท่านก็เจ็บหนักก่อนที่ท่านจะจากโลกนี้ไปก็ได้ไปเยี่ยมท่านท่านก็บอกว่าขอให้มีชีวิตอีกหน่อย อีกหน่อยเพื่ออะไรเพื่อเข้าใจธรรมเป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุดเพราะเหตุว่ายังไงๆ ทุกคนต้องตาย
ต้องจากโลกนี้ไปแต่จะจากไปแบบไหนกิเลสเต็มมากเเล้วก็ยังชั่วมาก ความดีก็ไม่ได้ทำ และก็สะสมไปอีก ไม่มีใครออกได้เลย ไม่มีทางที่จะเอากิเลสออกจากใจได้นอกจากปัญญา ไม่มีวิธีอื่น
ด้วยเหตุนี้พระผู้มีพระภาคจึงทรงบำเพ็ญพระบารมีเพื่อที่จะตรัสรู้ความจริงถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่สามารถจะได้เกื้อกูลบุคคลอื่นให้ได้เข้าใจธรรมจาก ๔๕ พรรษาหรือกี่ปีก็แล้วแต่ ตั้งแต่ตรัสรู้จนกระทั่งใกล้จะปรินิพพานเพื่อให้คนได้มีโอกาสได้ฟัง
เพราะว่าโอกาสที่ได้ฟังก็ยาก และการที่จะรู้ และเข้าใจคำที่ได้ฟังก็ยาก เพราะฉะนั้น ไม่ใช่เฉพาะตอนเจ็บแต่ทุกขณะที่ สามารถที่จะเห็นคุณค่าของพระธรรม
ผู้ฟัง ขออนุญาตอ่านปัญหาที่ส่งมา
ฟังธรรมให้เข้าใจว่าเป็นธรรม ยกตัวอย่างเช่นขณะที่นั่งฟังท่านอาจารย์อธิบายธรรมอยู่นี้ก็มีคิดนึก มีเห็น มีได้ยินเป็นต้น โดยให้เข้าใจว่าเป็นธรรมนั้นเป็นอย่างไร
ท่านอาจารย์ ต้องไม่ลืม ธรรมไม่ใช่ภาษาไทย ภาษาไทยคือสิ่งที่มีจริง เพราะฉะนั้น เวลาที่พูดถึงธรรมหมายความถึงพูดถึงสิ่งที่มีจริง เพราะฉะนั้น ฟังธรรมแล้วก็มีความคิด
ความคิดมีจริงๆ หรือเปล่า ถ้ารู้ว่ามีจริงความคิดก็เป็นธรรม อะไรก็ตามทั้งหมดที่มีจริงเป็นธรรม เพราะฉะนั้น เริ่มเข้าใจถูกตั้งแต่ต้นจะได้ไม่สับสน เราก็จะได้เข้าใจต่อไป ก่อนอื่นไม่ว่าจะได้ยินอะไร ต้องแน่ใจว่าคืออะไร
สิ่งที่มีจริงเป็นสิ่งที่กำลังปรากฏว่ามีเพราะเห็นได้ใช่ไหม กำลังเห็น จะกล่าวว่าสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาไม่มี ไม่จริงได้ไหม ในเมื่อเห็นเกิดขึ้นก็ต้องมีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น เพราะฉะนั้น อะไรจริง
เห็นจริง สิ่งที่ปรากฏให้เห็นก็จริง เห็นแล้วคิด มีใครบ้างที่ไม่คิด คิดทั้งวัน เพราะฉะนั้น คิดมีจริงๆ หรือเปล่า เมื่อคิดมีจริงก็เริ่มเข้าใจว่าแท้ที่จริงคิดก็เป็นธรรมอย่างหนึ่ง ซึ่งต่างกับเห็น และก็ต่างกับสภาพธรรมอื่นๆ ต่างกับได้ยิน
เพราะฉะนั้น วันหนึ่งๆ เป็นธรรมทั้งหมดหลากหลายไม่รู้เลยว่าเป็นแต่ละหนึ่งซึ่งเกิดขึ้น และก็ดับไปแล้วก็ต่างกัน อย่างเสียงเมื่อกี้นี้กับเสียงเดี๋ยวนี้ไม่ใช่เสียงเก่ากลับมาเลย จากไม่มีเสียง แล้วเสียงปรากฏเพราะจิตได้ยินเกิดขึ้น แล้วเสียงก็หายไป หายไปไหน ได้ยินอยู่แท้ๆ เมื่อกี้นี้เองหายไปไหน
เพราะฉะนั้น ก็แสดงถึงการเกิดขึ้น และดับไป ทั้งจิตได้ยินและเสียงด้วย เพราะฉะนั้น ไม่มีอะไรที่ไม่ใช่ธรรมต้องมีความเข้าใจที่มั่นคงว่าสิ่งที่มีจริงทั้งหมดเป็นธรรมแต่ละหนึ่ง
คิดมีจริงๆ คิดจะเป็นอื่นไม่ได้คิดก็เป็นธรรม แล้วต้นไม้คิดได้ไหม ดอกไม้คิดได้ไหม เพราะฉะนั้น คิดคืออะไร คิดคือไม่ใช่เห็น คิดคือไม่ใช่ขณะที่เสียงปรากฏ ไม่ใช่ขณะที่กลิ่นปรากฏ ไม่ใช่ขณะที่กำลังลิ้มรส ไม่ใช่ขณะที่กำลังกระทบสัมผัส
แต่ขณะที่มีเรื่องราวต่างๆ ตามความเป็นจริงเวลาที่มีการเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การลิ้มรส การรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ไม่ลืมใช่ไหมว่าเห็นอะไรที่ไม่ลืมนั่นคือคิด เพราะจำ
จำไม่ได้คิด จำแล้วก็คิดต่างกันเพราะคิดถึงเรื่องที่จำ ถ้าขณะนั้นไม่ได้จำอะไรไว้ ลืมไปก็คิดถึงสิ่งนั้นไม่ได้ บางคนพยายามคิดใช่ไหม ลืมคิดไม่ออกเคยเป็นไหม คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก
คิดเป็นคิด จำเป็นจำ เพราะฉะนั้น เวลาที่เหมือนนึกไม่ออกความจริงจำแล้ว ทุกครั้งที่จิตเกิดต้องจำสิ่งที่ปรากฏ ไม่ว่าจะเป็นเสียง ไม่ว่าจะเป็นกลิ่น ไม่ว่าจะเป็นรส สภาพจำต้องเกิดทุกครั้งแต่ว่าไม่ใช่มีเฉพาะสภาพจำอย่างเดียว
มีสภาพธรรมซึ่งเป็นเจตสิกที่ตรึกหรือคิด หรือจรดในอารมณ์ เพราะฉะนั้น สัญญาจำแต่ว่าสภาพธรรมอีกอย่างหนึ่งคิดถึงสิ่งที่จำ เพราะฉะนั้น ถ้าขณะนั้นคิดนั้นไม่ได้คิดถึงสิ่งที่จำก็เหมือนกับว่าลืมคิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก แต่ความจริงจำ แต่ขณะนั้นสภาพที่คิดไม่ได้คิดถึงสิ่งที่จำก็เลยเหมือนกับว่าจำไม่ได้ ลืมไปแล้ว
แต่ความจริงทุกครั้งที่จิตเกิดต้องมีสภาพที่จำ เดี๋ยวนี้กำลังคิดหรือเปล่า ขณะใดก็ตามที่ไม่เห็นไม่ได้ยิน หมายความว่าไม่มีสิ่งที่ปรากฏจะแจ้งอย่างนี้คือเห็น ทันทีที่ดับไปคิดแล้วโดยไม่รู้ตัวเลย เพราะฉะนั้น เดี๋ยวนี้เหมือนกับว่าไม่ได้คิดแต่ว่ารู้ว่าใครนั่งอยู่ที่ไหนแต่ความจริงไม่มีใครมีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นแล้วก็มีจำ แล้วก็มีคิด
เพราะฉะนั้น ก็เหมือนกับว่าขณะนี้มีใครอยู่ที่ไหนแต่ว่าตามความเป็นจริงก็คือมีเห็น แล้วก็มีจำ แล้วก็มีคิดถึงรูปร่างสัณฐานถ้าไม่มีก็จำไม่ได้ใช่ไหม บางคนก็เหมือนกับว่าจำคนนี้ได้เคยเห็นแล้ว เหมือนกับว่าจำได้ เป็นใครก็นึกชื่อไม่ออกแสดงว่าความจำ และมีตั้งแต่จำรูปร่างสัณฐาน และยังจำเรื่องราว และยังจำหลายๆ อย่างรวมกัน เคยพบที่ไหนบางคนก็คิดถึงว่าเอ๊ะเคยเห็นคนนี้ที่ไหน ทั้งหมดก็เป็นเรื่องของความจำ และความคิดแต่ให้ทราบว่าคิดต่างกับเห็นจริงๆ
เพราะว่า ฝันไม่เห็นแต่คิดเหมือนเห็น เพราะฉะนั้น ในฝันจะไม่มีเห็นอย่างกำลังเห็นเดี๋ยวนี้เลย แต่มีคิด เพราะฉะนั้น ความคิดจะคิดอย่างชัดมากถึงสิ่งที่กำลังดับเกิดแล้วก็ดับขณะนี้ก็ได้หรือว่าเกิดดับไปนานแล้ว แต่ก็ยังจำได้จึงคิดถึงสิ่งที่เคยเห็นได้
เพราะฉะนั้น ก็เป็นเรื่องที่ว่าต้องมีความเข้าใจอย่างมั่นคง ทุกอย่างที่มีจริงๆ ภาษาบาลีใช้คำว่าธรรม เพราะฉะนั้น จะให้คิดรู้ว่าคิดเป็นธรรมก็คือว่าไปคิดถึงคำว่าธรรม แต่ถ้าถามว่าคิดมีจริงไหม ตอบว่าไง
จริงมีจริงก็คือสองภาษา ภาษาบาลีก็ใช้คำว่าคิดเป็นธรรม แต่ภาษาไทยก็บอกคิดมีจริงๆ เพราะฉะนั้น ถ้าเราไม่คิดถึงภาษาอื่นคิดถึงภาษาที่เราคุ้นเคยเราจะไม่มีอะไรบังธรรมคือสิ่งที่มีจริงเลย
แต่พอมีคนบอกว่าฟังธรรม ศึกษาธรรม ถามว่าเดี๋ยวนี้มีธรรมไหมถ้าตอบไม่ได้จะรู้ไหมว่าเข้าใจความหมายของธรรมหรือเปล่า มีแต่ชื่อซึ่งจำแล้วก็ปิดกั้นด้วยคิดว่าธรรมต้องเป็นเรื่องนั้นเรื่องนี้ แต่เดี๋ยวนี้ที่เห็นไม่ใช่ธรรมนั่นคือความเข้าใจผิด
เพราะเหตุว่าถ้าเข้าใจจริงๆ ทุกอย่างที่มีจริงเป็นธรรม คงไม่สงสัยแล้ว ขณะใดที่คิดขณะนั้นก็เป็นธรรม
ผู้ฟัง กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ คำถามนี้เป็นคำถามจากผู้ที่เกษียณมาแล้วสองปี
ข้อหนึ่ง ทุกข์ใจเหลือนิดเดียว คิดวนเวียนเรื่องญาติที่หาที่พึ่งมิได้ เพราะเป็นโสดจะทำอย่างไรดี
ข้อสอง สัญญาที่มั่นคงจะปฏิบัติอย่างไร จึงเกิดถิรสัญญาจึงเกิดสติ ระลึกรู้คำสอนให้เกิดโยนิโสมนสิการและในการปฏิบัติที่ถูก
ท่านอาจารย์ ทุกเรื่องเป็นเรื่องที่ละเอียดจริงๆ ขอทราบคำถามข้อแรกก่อนได้ไหม
ผู้ฟัง ทุกข์ใจเหลือนิดเดียว คิดวนเวียนเรื่องญาติที่พึ่งไม่ได้
ท่านอาจารย์ หมายความว่าต้องพิจารณาไปจริงๆ แต่ละคำทุกข์ใจเหลือนิดเดียวนี่เพราะกิเลสน้อยหรือยังไง ทุกข์ใจเหลือนิดเดียวนี่กิเลสต้องน้อยมาก เพราะจริงๆ แล้วยังไม่ทราบเลยว่าแม้แต่คำถามต่อไปก็ทุกข์ใจทั้งนั้นใช่ไหม
ลองอ่านตั้งแต่ต้น ทุกข์ใจน้อยนี่คงไม่ใช่เพราะว่าคิดวนเวียนเรื่องญาติหาที่พึ่งไม่ได้
นี่ทุกข์ใจหรือเปล่า น้อยไหม ไม่น้อยเลย เพราะฉะนั้น บางทีเราจะไม่เข้าใจตัวเองเพราะว่าไม่ได้เข้าใจความจริง ดูเหมือนว่าทุกข์ใจต้องใหญ่หลวง ร้องไห้ทั้งคืนหรืออะไรอย่างนั้นก็จะเป็นทุกข์ใจ
แต่ความจริงแม้แต่เพียงความขุ่นใจไม่สบายใจเพียงเล็กน้อยทุกข์ใจหรือเปล่า ได้ยินเสียงอะไรตกใจ ทุกข์ใจหรือเปล่า เพราะฉะนั้น จะกล่าวว่าทุกข์ใจน้อยไม่จริง เพราะเหตุว่ายังมีกิเลสมากจะทุกข์ใจน้อยไม่ได้ คำถามต่อไป
ผู้ฟัง คิดวนเวียนเรื่องญาติหาที่พึ่งมิได้
ท่านอาจารย์ ทุกข์ไหม คิดวนเวียนเรื่องญาติหาที่พึ่งไม่ได้คิดมากี่วัน กี่เดือน กี่ปีแล้วจะกล่าวว่าน้อยได้ยังไง เพราะฉะนั้น การเข้าใจความจริงจะทำให้ทุกข์น้อยลง แต่ถ้าไม่เข้าใจความจริงก็หลอกหรือว่าคิดว่าเป็นอย่างนั้นแต่ความจริงไม่ใช่
คนที่จะทุกข์ใจน้อยต้องกิเลสน้อย คำถามต่อไป
ผู้ฟัง เพราะเป็นโสดจะทำอย่างไรดี
ท่านอาจารย์ เกี่ยวข้องอะไร เห็นไหม เพราะเป็นโสด เกี่ยวข้องอะไรกับความทุกข์ใจ ที่จริงทุกคนไม่ทราบว่าความจริงแล้วอยู่คนเดียว
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1921
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1922
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1923
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1924
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1925
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1926
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1927
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1928
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1929
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1930
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1931
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1932
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1933
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1934
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1935
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1936
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1937
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1938
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1939
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1940
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1941
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1942
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1943
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1944
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1945
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1946
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1947
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1948
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1949
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1950
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1951
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1952
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1953
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1954
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1955
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1956
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1957
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1958
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1959
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1960
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1961
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1962
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1963
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1964
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1965
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1966
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1967
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1968
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1969
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1970
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1971
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1972
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1973
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1974
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1975
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1976
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1977
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1978
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1979
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1980
