ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1933
ตอนที่ ๑๙๓๓
สนทนาธรรม ระหว่างเดินทางไปนมัสการสังเวชนียสถาน ประเทศอินเดีย
วันที่ ๑๕ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๗
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น อยู่ที่ไหนถ้ามีจักขุปสาทและมีสิ่งที่กระทบได้เป็นปัจจัยให้จิตเห็นเกิดขึ้น ไม่ต้องเรียกว่าจิตเห็น ไม่ต้องเรียกว่าคนเห็น แมวเห็น นกเห็นเทวดาเห็น
เห็นเป็นเห็น ไม่ต้องเรียกชื่อ ไม่ใช่ว่าเพราะเรียกชื่อนั้นจึงเห็น ไม่ใช่ ไม่เรียกชื่อก็เห็น เด็กๆ เกิดมาเห็น เด็กไม่รู้เลยว่าเรียกว่าอะไร เด็กเกิดมาใหม่ๆ ได้ยินเสียงก็ไม่รู้ว่าเสียงนั้นหมายความว่าอะไร และเห็นอะไรก็ยังไม่รู้ๆ ว่าใครเป็นพ่อเป็นแม่ด้วย เด็กเกิดใหม่ รู้ไหม แต่เห็นบ่อยๆ เห็นใครมาก เห็นพี่เลี้ยงก็ได้ ถ้าพ่อแม่ไม่ได้เลี้ยงมีธุระมากทำงานนอกบ้าน คนที่อยู่ด้วย ชื่ออะไร คุ้นเคยเสียงบ่อยๆ คำแรกที่เขาเอ่ยอาจจะไม่ใช่คำว่าแม่ แต่เป็นคำที่เขาชินหู คำอะไรก็ได้ ถูกต้องไหม เพราะฉะนั้น ทั้งหมดเป็นอนัตตา
ถ้าไม่มีการเห็นเลย อยู่ดีๆ จะรู้ไหมว่านั่นคืออะไร เมื่อเห็นทีแรกจะไม่รู้เลย ธรรมต้องเป็นธรรมไม่เปลี่ยน แต่ใครจะรู้หรือไม่รู้นั่นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ธรรมต้องเป็นธรรม เห็นต้องเป็นเห็น เรียกอะไรก็ได้ ไม่เรียกอะไรก็ได้ เห็นก็ต้องไปเห็นนั่นแหละ ได้ยินเห็นไหม เข้าใจหรือไม่ ได้ยินก็ต้องเป็นแค่ได้ยิน
ผู้ฟัง แล้วเราได้ยิน เกิดธาตุรู้ไหมที่ว่าได้ยินเสียงนี้ที่เราไม่รู้
ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีธาตุรู้ เสียงจะปรากฏไหม ไม่มีธาตุรู้เลย
ผู้ฟัง รู้เพียงแต่รู้ว่าเป็นเสียงเกิดขึ้น
ท่านอาจารย์ ไม่ได้เลย ถ้าไม่มีธาตุรู้เลยอะไรๆ ก็ไม่ปรากฏ
ผู้ฟัง แต่เสียงที่ปรากฏขึ้นมาแล้ว
ท่านอาจารย์ ต้องมีธาตุได้ยิน เฉพาะเสียงนั้นๆ จึงปรากฏว่ามีจริงๆ
ผู้ฟัง แต่ถึงไม่รู้ความหมายก็ถือว่า
ท่านอาจารย์ แค่ได้ยินแค่ได้ยิน เพราะฉะนั้น ขณะนี้ได้ยินด้วยเข้าใจด้วย ไม่ใช่จิตเดียวกัน และ ได้ยินเพียงแค่ได้ยินดับ และก็ความคุ้นเคยที่จำ ขณะนั้นก็คิดถึงเสียงเป็นอีกธาตุรู้หนึ่ง และเป็นจิตอีกประเภทหนึ่ง
เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคทรงประมวลจิตหลากหลายมากเป็นจิต ๘๙ ประเภท
ผู้ฟัง ฟังไพเราะมากที่ท่านอาจารย์กล่าวว่า ธาตุรู้กับธาตุไม่รู้ คือถามไปถามมาให้รู้ว่ามั่นคง และเข้าใจแค่ไหน เหมือนกับยังไม่ต้องไปไหนย้ำๆ ซ้ำๆ ให้คุ้นเคยว่า จริงๆ ไม่มีอะไรเลยนอกจากธาตุรู้กับธาตุไม่รู้
ท่านอาจารย์ ไม่ลืมว่าเดี๋ยวนี้มีสิ่งที่มีจริงๆ แต่ก็ลืมใช่ไหม เดี๋ยวนี้ลืมไหมว่าเห็นมี ทั้งๆ ที่กำลังเห็น แต่ลืมเข้าใจเห็นที่กำลังเห็นว่า แท้ที่จริงแล้วไม่มีใครในเห็นเลย เพราะเหตุว่าสภาพที่เป็นธาตุรู้ไม่มีรูปร่างใดๆ เลยทั้งสิ้น แต่ว่าสิ่งที่ปรากฏทางตามีสีสันวรรณะต่างๆ สัณฐานต่างๆ ทำให้อีกธาตุหนึ่งเกิดขึ้นจำเห็นไหม ธาตุรู้ก็แค่เห็น ไม่ได้จำแต่เมื่อขณะใดก็ตามที่ธาตุรู้เกิดขึ้น มีธาตุที่จำสิ่งที่กำลังปรากฏให้รู้ด้วยอีกธาตุหนึ่งแล้ว
ถ้าจะกล่าวก็คือธาตุหมดเลยธาตุอื่นนอกจากธาตุที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้ ใช้คำว่านามธาตุที่เป็นเจตสิก นามธาตุนั้นต้องเกิดกับจิตเท่านั้น ที่ใดที่ไม่มีจิตเจตสิกจะเกิดไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น ที่ใดที่มีจิตที่นั่นต้องมีเจตสิกเกิดร่วมด้วย แต่ว่าจิตไม่ใช่เจตสิก ค่อยๆ เข้าใจสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ เห็น ธาตุรู้ว่าขณะนี้มีสิ่งที่กำลังปรากฏอย่างนี้ปรากฏกับจิตที่เห็น เพราะฉะนั้น ในขณะนั้นต้องไม่มีอย่างอื่นเลยนอกจากมีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นกับธาตุที่กำลังเห็นสิ่งนั้น
แค่นี้ง่ายๆ มีสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น และมีธาตุที่กำลังเห็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็นเท่านั้นด้วย อย่างอื่นไม่มีเลยในขณะที่เห็น แต่ว่า เมื่อเห็นเกิดขึ้นจะไม่มีสภาพธรรมที่เป็นปัจจัยให้เห็นเกิดไม่ได้เลย ขณะใดก็ตามที่มีธาตุรู้เกิดขึ้นเป็นจิตที่เป็นใหญ่เป็นประธาน แต่จิตจะเกิดขึ้นตามลำพังไม่ได้เลย ต้องมีปัจจัยที่จะปรุงแต่งให้จิตนั้นเกิดขึ้นโดยอาศัยกันและกันเกิดขึ้นพร้อมกัน สภาพธรรมที่เป็นปัจจัยปรุงแต่งให้จิตเกิดขึ้นก็คือเจตสิกภาษาไทย ภาษาบาลีก็เป็นเจ ตะ สิก กะ
เมื่อเช้านี้ เราได้พูดถึงเจตสิกหนึ่งโดยไม่ได้ตั้งใจเลย แต่ก็มีคนที่ได้ยินชื่อนี้ฟังมาแล้วก็สงสัยว่าลักษณะอย่างไร เพราะเหตุว่าขณะนี้มีเห็นเป็นจิต แต่จิตจะเกิดขึ้นตามลำพังไม่ได้ต้องมีเจตสิกเกิดร่วมด้วยอย่างน้อยที่สุด ๗ เจตสิก
เจตสิกหนึ่งก็คือผัสสเจตสิก เมื่อเช้าได้ยินคำนี้ใช่ไหม ผัสสะหมายความถึงธาตุที่ไม่ใช่จิต แต่เกิดกับจิต โดยเป็นธาตุที่กระทบอารมณ์ ทันทีที่ธาตุนั้นกระทบจิตเกิดขึ้นพร้อมกันรู้สิ่งนั้นเลย เพราะฉะนั้น ขณะที่เสียงปรากฏหมายความว่าจิตได้ยินเกิดขึ้นได้ยินเสียงเพราะธาตุที่เป็นเจตสิกกระทบเสียงทำให้จิตเกิดขึ้นรู้เสียงพร้อมกับธาตุที่กระทบนั้น เพราะฉะนั้น จิตและเจตสิกเกิดพร้อมกันรู้สิ่งเดียวกัน แล้วก็ดับไปพร้อมกันด้วย เกิดพร้อมกันดับพร้อมกันไม่ได้แยกกันเลย ใครจะรู้หรือไม่รู้ ทันทีที่กล่าวถึงจิตต้องมีเจตสิกซึ่งเกิดพร้อมกับจิตนั้นด้วยแล้วแต่ว่าเราจะกล่าวถึงหรือไม่กล่าวถึง นี่คือความละเอียดอย่างยิ่ง แล้วใครรู้ ผู้ที่ทรงบำเพ็ญบารมีที่สามารถจะรู้ได้ เมื่อตรัสรู้ความจริงแล้วก็บำเพ็ญพระบารมีถึงความเป็นผู้ที่ทรงแสดงความจริงนั้นให้คนอื่นได้เข้าใจตามด้วยได้
เพราะฉะนั้น แต่ละคำที่ได้ยินเหมือนคำใหม่ทั้งๆ ที่เป็นภาษาไทย รู้ทุกคำแต่ไม่เข้าใจความจริงของธรรมจนกว่าจะซ้ำแล้วซ้ำอีก แล้วก็ต้องไตร่ตรองด้วย ขณะนี้มีธาตุที่กำลังได้ยินเสียง เพราะเสียงปรากฏเฉพาะเสียงที่ปรากฏปรากฏกับธาตุที่ได้ยินและธาตุที่ได้ยินนั้นที่เป็นใหญ่เป็นประธานที่ได้ยินเป็นจิต แต่ต้องอาศัยเจตสิกคือสภาพธรรมที่เกิดพร้อมกันดับพร้อมกันทำหน้าที่ของเจตสิกนั้นๆ เป็นปัจจัยให้จิตได้ยินเกิดขึ้น เช่น ผัสสเจตสิกเป็นสภาพที่ไม่ใช่จิตเลย
เสียงกระทบกับโสตปสาท จิตไม่เกิด เจตสิกไม่เกิด ถ้าไม่มีกรรมที่เป็นปัจจัยที่จะให้ถึงวาระที่จะให้ผลคือต้องได้ยิน และใครรู้ ใครห้ามไม่ได้ยินได้ เสียงนาฬิกาปลุก เสียงคนปลุกเกิดแล้ว ห้ามไม่ให้ได้ยินไม่ได้เลย ได้ยินเกิดแล้ว เพราะฉะนั้น ในขณะที่ได้ยินนั่นแหละมีจิตที่ได้ยินพร้อมเจตสิกซึ่งกระทบเสียงนั้นไม่ใช่เสียงอื่น ในขณะใดก็ตามที่สิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏให้ทราบ เจตสิกหนึ่งคือผัสสเจตสิกซึ่งต้องเกิดกับจิตทุกประเภททำกิจกระทบสิ่งนั้นพร้อมกับจิตที่เกิดขึ้นรู้สิ่งนั้น
นี่คือจิตและเจตสิกซึ่งไม่มีใครรู้เลย ถ้าไม่มีการตรัสรู้และทรงแสดงเราก็ไม่สามารถที่จะรู้ได้ และนี่คือหนึ่งเจตสิกในบรรดาเจตสิกทั้งหมด ๕๒ ประเภทแต่ ๕๒ ประเภทหลากหลายสุดที่จะประมาณได้ เพราะฉะนั้น ก็ประมวลเจตสิกเป็นหนึ่งประเภทคือผัสสะที่กระทบกับสิ่งที่จิตกำลังเห็น๑ ผัสสะกระทบกับเสียงที่จิตกำลังได้ยิน๑ ผัสสะที่กระทบเสียงไม่ใช่ผัสสะที่กระทบสิ่งที่ปรากฏทางตา และในขณะที่กลิ่นปรากฏ ผัสสเจตสิกกระทบกลิ่นไม่ได้กระทบเสียง ไม่ได้กระทบสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น แต่กระทบเฉพาะกลิ่นพร้อมจิตที่รู้กลิ่นเกิดพร้อมกันทันที ในขณะนั้นผัสสะต้องเกิดไหม ต้องเกิดและในขณะที่ผัสสะกระทบ จิตเกิดพร้อมผัสสะรู้สิ่งเดียวกัน ในขณะนี้ใครรู้ว่ามีทั้งจิต และเจตสิกอย่างน้อยที่สุด ๗ ประเภทเกิดพร้อมกับจิตทุกขณะ
แต่ว่ามากมายกว่านั้นอีก ไม่ใช่มีแต่เฉพาะผัสสเจตสิก โลภเจตสิก โทสเจตสิก วิริยเจตสิก สงสัยไหม สงสัยมีหรือเปล่า มีจริงๆ เป็นจิตหรือเจตสิก เป็นธาตุรู้แน่ๆ ถ้าไม่รู้ก็ไม่สงสัย แต่รู้โดยสงสัย อย่างเวลานี้พูดถึงจิตเห็น สงสัยแน่ๆ ได้ยินคำว่าจิต ได้ยินคำว่าเห็น ทั้งๆ ที่กำลังเห็น ก็สงสัยในเห็นว่าเห็นเกิดหรือ และเห็นดับหรือ และเห็นเป็นธาตุรู้หรือ เห็นไหม เต็มไปด้วยความสงสัย และไม่รู้
เพราะฉะนั้น ขณะใดที่สงสัยหมายความว่าขณะนั้นเกิดกับโมหเจตสิกเพราะไม่รู้ ขณะนั้นจึงสงสัยในสิ่งที่กำลังปรากฏด้วยความไม่รู้ เพราะฉะนั้น ก็เป็นเจตสิกแต่ละหนึ่งๆ เพราะว่าจิตเกิดขึ้นมีหน้าที่อย่างเดียวคือ รู้สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ปรากฏ โดยเป็นใหญ่เป็นประธานไม่ทำอะไรเลย
เห็นบ้าง ได้ยินบ้าง เท่านั้น แต่ลักษณะอื่นๆ เป็นหน้าที่ของสภาพธรรมที่เกิดพร้อมกันรู้อย่างเดียวกันคือเจตสิก มีทั้งคนขยัน มีทั้งคนไม่ขยัน ใช่ไหม เหมือนเป็นคน แต่ขยันเป็นธรรม ที่ไม่ขยันถ้อถอยก็เป็นธรรม แต่ต่างกัน เพราะฉะนั้น ทุกอย่างที่มีเป็นธรรมทั้งหมด และก็หลากหลายมาก แต่หลากหลายต่างๆ กันโดยเป็นสิ่งที่มี แต่ไม่สามารถจะรู้อะไรเลยประเภทหนึ่งคือรูป และในนามธรรมซึ่งเกิดพร้อมกันดับพร้อมกันก็ยังต่างเป็นจิตและเจตสิก
เพราะฉะนั้น ถ้าจะกล่าวจริงๆ สภาพธรรมที่มีจริงก็คือมีจิตหนึ่ง เจตสิกหนึ่ง รูปหนึ่ง และยังมีอีกหนึ่งซึ่งยากที่จะรู้ได้เพราะว่า ความไม่รู้หรือโลภะหรือกิเลสใดๆ ไม่สามารถที่จะรู้สภาพนั้นได้เลย สิ่งนั้นคือนิพพานซึ่งจะรู้แจ้งได้ด้วยปัญญาเท่านั้น ยังไม่มีใครรู้นิพพาน หรือรู้แล้ว เพราะอะไร สิ่งที่มียังไม่รู้ ต้องรู้ก่อน ตามลำดับของปัญญา เมื่อรู้แล้ว สิ่งที่เกิดดับชอบไหม ต้องอาศัยความตรงและความเข้าใจจริงๆ คือฟังธรรมเพื่อเข้าใจ
ถ้าไม่เข้าใจอย่างไรๆ ก็ไม่สามารถที่จะดับความไม่รู้ความสงสัยดับกิเลสไม่ได้เลย แต่ว่าถ้าเข้าใจเมื่อไหร่ ขณะที่เข้าใจไม่มีโมหะไม่มีความไม่รู้ปิดกั้นเพราะว่าสามารถเข้าใจในสิ่งที่มีที่ค่อยๆ เข้าใจขึ้นทีละเล็กทีละน้อย
ผู้ฟัง ท่านอาจารย์ถามว่าเห็นเป็นคน เห็นเป็นเทวดาไหม เห็นเป็นปลาไหม ทราบว่าในทริปนี้ก็จะมีผู้ใหม่ที่ไม่เคยฟังท่านอาจารย์มาก่อนก็พอสมควร ในตรงนี้เหมือนกับเข้าใจยากเพราะเราก็ว่าเป็นคนเห็น เป็นปลาเห็น
แล้วท่านอาจารย์บอกว่าเห็นเป็นปลาไหม เห็นเป็นคนไหม
ท่านอาจารย์ ถ้าเอารูปร่างออกหมดเลย ไม่มีรูปใดๆ เลยแต่เห็นมี เห็นเป็นอะไร
ผู้ฟัง เห็นเป็นเห็น
ท่านอาจารย์ แมวเห็นหรือ ไม่มีรูปแมว เพราะฉะนั้น การที่จะประจักษ์จริงๆ ว่าเห็นเป็นเห็น ต้องไม่มีรูปใดๆ เจือปนปรากฏในขณะนั้น จึงจะรู้แจ้งเข้าใจจริงๆ ว่าเห็นแท้ๆ ชั่วขณะที่เป็นเห็นเท่านั้น เป็นอย่างนี้
คือไม่มีอะไรมารวมกันเลย บางคนเรียนมาว่าถ้าไม่มีจักขุปสาทไม่มีรูปที่จะกระทบจักขุปสาท เห็นก็เกิดไม่ได้เลย เราใช้คำว่าจักขุปสาท แต่ภาษาธรรมดาเราบอกว่าตาบอด ตาบอดหมายความว่าไม่มีรูปนี้ที่สามารถกระทบกับสิ่งที่กำลังปรากฏ ถ้าไม่มีรูปนั้นเห็นไม่ได้แน่ใช่ไหม เพราะฉะนั้น พอได้ยินอย่างนี้ก็เห็นว่า ต้องมีจักขุปสาท ถ้าศึกษาต่อไป เห็นตรงไหน
เพราะว่าในภูมิที่มีรูปมีขันธ์ทั้ง ๕ รูปขันธ์หนึ่งและก็นามขันธ์ ๔ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ คนที่ไม่เคยไปวัดไม่รู้จักชื่อเหล่านี้เลย แต่คนที่ไปวัดอาจจะได้ยินบ่อยๆ ขันธ์ ๕ ยังไม่ต้องจำแนก แต่จำแนกก็คือต้องเป็นอย่างนี้แหล่ะคือรูปเป็นรูปขันธ์
รูปทั้งหมดทุกชนิดไม่รู้อะไรเลย ส่วนนามขันธ์ก็มีทั้งความรู้สึก มีทั้งความจำแต่ละขันธ์ไป ก็รวมเป็น ๕ ขันธ์ เพราะฉะนั้น ถ้าในขณะนั้นได้มีความเข้าใจว่า ในภูมิที่มีรูปเกิดร่วมด้วย จิตต้องเกิดที่รูป เวลานี้จิตเกิดนอกรูปได้ไหม จิตไปอยู่แถวนี้ข้างนอกตามอากาศได้ไหม ไม่ได้เลยใช่ไหม เห็นก็ต้องเห็นตรงนี้แหล่ะที่ตา ได้ยินก็ต้องตรงนี้แหล่ะที่หูใช่ไหม พอได้ยินอย่างนี้ เพียรผิดแล้วจะรู้จิตเห็น ก็ไปจ้องที่จักขุปสาท ผิดทันที เพราะว่าขณะนั้นไม่ สามารถที่จะรู้ความเป็นธาตุรู้ เป็นเพียงธาตุรู้ซึ่งไม่มีรูปใดๆ เลย เพราะขณะนั้น ไปพะวงถึงรูปซึ่งเป็นที่เกิดของจิต ไม่มีทางจะละการยึดถือเห็นซึ่งขณะนั้นเกิดแล้วดับแต่ถูกปกปิดไว้ ด้วยความต้องการจะรู้ว่าเห็นนั้นเกิดที่ไหน
เพราะฉนั้น ความต้องการนี่ละเอียดมาก บังอยู่ตลอดเวลา ทำให้ไม่สามารถที่จะเข้าถึงความเข้าใจสิ่งที่มี เพราะฉะนั้น ในขณะที่กำลังพูดถึงสิ่งใดไม่ต้องคิดถึงสิ่งอื่น คิดถึงจะเฉพาะสิ่งที่กำลังได้ยินได้ฟัง ถ้าพูดถึงจิตก็ต้องรู้ว่าจิตจริงๆ หมายความถึงธาตุที่เพียงรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใดแต่ไม่รัก ไม่ชัง ไม่ทำอะไรเลยรู้อย่างเดียว คือขณะนี้ได้ยินรู้เสียง เห็นรู้ว่ามีสิ่งที่กำลังปรากฏเป็นอย่างนี้ หลับตาไม่มี ลืมตาเห็นก็มีสิ่งที่ปรากฏอย่างนี้ได้ เวลาที่กลิ่นปรากฏไม่ต้องไปคิดถึงนั่งนอนยืนเดินหรืออะไรทั้งสิ้น ไม่ต้องคิดอะไรอย่างอื่นเลยนอกจากกลิ่นกับสภาพที่รู้กลิ่น ซึ่ง ๒ อย่างนี้ต่างกัน เพราะฉะนั้น ถ้าจะรู้อย่างหนึ่งอย่างใดก็คือว่าขณะที่กำลังเริ่มเข้าใจสภาพรู้ ขณะนั้นไม่ใช่กลิ่น และขณะใดที่กลิ่น ตัวกลิ่นเท่านั้นที่ปรากฏ ขณะนั้นไม่ได้เข้าใจลักษณะที่เป็นธาตุรู้ แต่กำลังเริ่มรู้เฉพาะลักษณะของกลิ่น กลิ่นจึงจะเกิดและดับปรากฏได้ เพราะว่ามีความเข้าใจในสภาพนั้น เพราะฉะนั้น ธรรมไม่ใช่เรื่องปนเปปะปนกันแล้วก็ทำให้คิดต่างๆ โดยที่ว่าไม่ประจักษ์แจ้งความจริง แต่ต้องเป็นความเข้าใจอย่างละเอียดยิ่งคือแต่ละหนึ่ง
ได้ยินคำว่าจิตไม่ใช่เจตสิก ได้ยินคำว่าเจตสิกไม่ใช่จิต ได้ยินคำว่าเสียงไม่ใช่ได้ยิน ได้ยินคำว่าร้อน ไม่ใช่สภาพที่กำลังรู้ร้อน นี่คือความละเอียดซึ่งเป็นชีวิตประจำวัน เป็นธรรมหมดเลย แต่ตราบใดที่ไม่เข้าใจอย่างนี้ ก็ไม่ใช่ธรรมลืมหมดแล้ว เป็นโน่นเป็นนี่ตามความคิด เพราะฉะนั้น พระศาสนาที่ได้ทรงบำเพ็ญพระบารมีทรงพระมหากรุณาแสดง ๔๕ พรรษาส่วนใหญ่ก็ที่พระเชตวัน ก็จะค่อยๆ เลือนไปโดยคำที่ไม่ได้เข้าใจความจริง แต่เป็นคำที่เป็นคำของคนที่ฟังนิดฟังหน่อย ก็คิดเองเติมเอง เข้าใจเองซึ่งผิดถูกไม่ได้เลย มิฉะนั้นไม่ต้องมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าสามารถจะคิดเองได้เติมเองได้ แต่ว่านี่ไม่มีใครที่จะเปลี่ยนคำพูดสักคำเดียวได้ เพราะว่าแต่ละคำวาจาสัจจะคำจริง คำนั้นเองที่กล่าวถึงสิ่งที่มีจริงก็ต้องเป็นคำจริงนำไปสู่ญาณสัจจะ ญาณคือปัญญาที่สามารถเห็นถูกเข้าใจถูก ในคำที่ได้ยินแล้วใช่ไหม
ต่อไปนี้ได้ยินคำว่าธรรม เข้าใจแล้ว ไม่มีทางที่จะเปลี่ยนเป็นไม่เข้าใจ หรือว่าคิดว่าเป็นอย่างอื่น เพราะฉะนั้น จะนำไปสู่ญาณความรู้ถูกต้องตามความเป็นจริงเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นมรรคสัจจะ หนทางที่จะนำไปสู่ความรู้ เพราะความรู้เท่านั้นที่จะละและดับกิเลสได้ ถ้าไม่มีความรู้ไม่มีทาง เกิดมาแล้วนานเท่าไหร่
ผู้ฟัง นับไม่ถ้วน
ท่านอาจารย์ นับไม่ถ้วนแสนโกฏกัปป์อยู่ต่อไปอีกนานเท่าไหร่
ผู้ฟัง ก็อีกนานมาก
ท่านอาจารย์ จนกว่าจะรู้ความจริง เพราะฉะนั้น สังสารวัฏฏ์ที่แล้วมาไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้เลยว่านานเท่าไร และสังสารวัฏฏ์ข้างหน้าก็รู้ไม่ได้อีก แล้วเกิดมาแล้วมีความสุขแค่ไหน มีความทุกข์แค่ไหนแต่ก็ไม่เหลือเลยเหมือนไม่มีเลย เพราะฉะนั้น จะมีทำไม จากไม่มี แล้วมี แล้วก็หามีไม่เหมือนไม่เคยมีเลย ก็ไม่เคยมีเสียเลยไม่ดีหรือ จะได้ไม่ต้องเดือดร้อนด้วยความทุกข์ความสุขในสิ่งที่ปรากฏว่ามีชั่วคราวแล้วก็ดับ
ผู้ฟัง ท่านอาจารย์กล่าวถึง เวลาเรา เห็นแล้วก็มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นส่วนใหญ่แล้วก็จะเห็นเป็น สัตว์บุคคล ซึ่งเป็นสภาพของการคิดนึกต่อเลย กราบเรียนท่านอาจารย์ในประเด็นนี้
ท่านอาจารย์ คิดเรื่องอะไร
ผู้ฟัง อย่างเห็น แทนที่จะเป็นเห็นสิ่งที่ปรากฏทางตา ก็เห็นเป็นดอกไม้ เห็นเป็นท่านอาจารย์
ท่านอาจารย์ นี่คือคิดใช่ไหม เห็นแล้วคิด
ผู้ฟัง ก็หมายถึงธาตุรู้เช่นเดียวกันแต่ไม่ได้เกิดจากรูปพิเศษทางตาที่กระทบ
ท่านอาจารย์ ตอนนี้พอได้ฟังอะไรก็อดคิดต่อไม่ได้เลย แล้วแต่ว่าใครจะคิดไกลคิดใกล้หรือไตร่ตรอง คิดคือไตร่ตรองคำที่ได้ยิน แทนที่จะไปคิดถึงรูปอื่นๆ
๕ รูปนี้ รู้ดี เข้าใจดีหรือยัง จักขุปสาท รูปที่สามารถกระทบกับสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นทางตาหนึ่ง โสตปสาท รูปที่สามารถกระทบเสียง ทำให้ขณะนี้จิตเกิดได้ยินเสียงเพราะเสียงกระทบกับรูปนั้น ถ้าไม่มีรูปนั้น ไม่มีทางที่จิตจะเกิดขึ้นได้ยิน เพราะเสียงกระทบอื่นไม่ได้เลยนอกจากโสตปสาทฉันใด ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ก็เช่นเดียวกัน เพราะฉนั้น มี ๕ รูปพิเศษพระผู้มีพระภาคทรงแสดงว่า ๕ รูปเป็นรูปภายใน รูปอื่นที่มีไม่เกี่ยวในขณะที่เห็นเกิด ต้องเฉพาะจักขุปสาทเท่านั้นซึ่งเป็นปัจจัยที่จะให้จิตเห็นในขณะนี้เกิดได้
รูปอื่นมีใช่ไหม แข็งก็มี รูปอะไร รูปหญิง รูปชายที่ซึมซาบอยู่ทั่วตัวทำให้กิริยาอาการทั้งหมดเป็นเพศหญิง เพศชาย อิตถีภาวะรูป ปุริสสภาวะรูป ก็ไม่ได้ปรากฏอะไรเลย เพราะฉะนั้น รูปอื่นไม่ใช่ ๕ รูปนี้ซึ่งเป็นปสาทรูป รูปที่ใส่พิเศษที่สามารถกระทบเฉพาะแต่ละสิ่งซึ่งกระทบได้ท่านเรียกว่ารูปภายใน เพราะว่าในขณะที่เห็นเกิดรูปอื่นไม่มีเลยในที่นั้น แต่ต้องมีจักขุปสาทรูปที่ยังไม่ดับด้วย ถ้าจักขุปสาทรูปดับ เสียงจะไปกระทบอะไรใช่ไหม ต้องกระทบรูปเฉพาะที่เกิดแล้วยังไม่ดับทั้ง ๒ อย่าง คือเสียงก็ยังไม่ดับไป โสตปสาทก็ยังไม่ดับไป ขณะนั้นต้องมี ๒ อย่างนี้แน่นอน เพราะฉะนั้น จึงเป็นรูปภายใน ขณะนั้นรูปอื่นไม่ได้มีการที่จะต้องมาประชุมหรือมาอยู่ตรงนั้นเลยที่จะเป็นปัจจัยให้ได้ยินในขณะนี้เกิดขึ้น ดังนั้นเมื่อได้ยิน โดยการศึกษา ทราบว่าเสียง แล้วก็โสตปสาท ต้องมี แล้วต้องยังไม่ดับด้วย เพราะเหตุว่า มีเมื่อไหร่ เมื่อเกิดขึ้นมีปัจจัยทำให้เกิดขึ้น เกิดแล้วก็ต้องดับไป เพราะฉะนั้น ต้องมีแล้วยังไม่ดับจึงเป็นปัจจัยให้จิตเกิดขึ้นได้ยินเสียงในขณะที่เสียงก็ยังไม่ดับ และก็โสตปสาทรูปก็ยังไม่ดับ แต่ก็ต้องดับ
เพราะฉะนั้น ได้ยินไม่นานเลยได้ยินแล้วก็หมดไปตามปัจจัย เพราะฉะนั้น ๕ รูปนี้เราไม่ไปเรียกเอง แล้วเราไม่ไปคิดถึงรูปอื่นด้วย แต่เริ่มเข้าใจตามลำดับว่านี่คือรูปภายใน ในขณะที่รูปมีตั้งหลายอย่างแต่รูปอื่นๆ นอกจากนี้ไม่ใช่ภายในภายในจริงๆ คือ ๕ รูป เรียนตามที่ทรงแสดงแล้วก็ไม่สับสน
ผู้ฟัง แต่ในชีวิตจริงๆ ถ้าศึกษาธรรมแล้วก็คือเห็นเป็นท่านอาจารย์ เห็นเป็นดอกไม้ ซึ่งจริงๆ แล้วธาตุรู้ที่รู้เป็นท่านอาจารย์หรือว่าเป็นดอกไม้ก็คือเป็นธาตุรู้อีกชนิดหนึ่ง
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น อย่าลืม เห็นขณะนี้เกิดขึ้นเพราะกรรม จักขุปสาทรูปเกิดขึ้นเพราะกรรม คนที่ไม่อยากจะให้คนอื่นมีตาทำให้เขาตาบอด เจตนานี้เองเกิดแล้วดับแล้วไม่ได้ทำให้คนอื่นตาบอดเลย แต่กรรมนี้ไม่ทำให้จักขุปสาทรูปเกิดเมื่อถึงเวลาที่ควรจะเกิด
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1921
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1922
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1923
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1924
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1925
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1926
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1927
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1928
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1929
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1930
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1931
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1932
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1933
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1934
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1935
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1936
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1937
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1938
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1939
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1940
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1941
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1942
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1943
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1944
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1945
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1946
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1947
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1948
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1949
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1950
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1951
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1952
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1953
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1954
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1955
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1956
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1957
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1958
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1959
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1960
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1961
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1962
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1963
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1964
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1965
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1966
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1967
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1968
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1969
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1970
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1971
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1972
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1973
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1974
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1975
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1976
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1977
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1978
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1979
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1980
