ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1931


    ตอนที่ ๑๙๓๑

    สนทนาธรรม ระหว่างเดินทางไปนมัสการสังเวชนียสถาน ประเทศอินเดีย

    วันที่ ๑๕ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๗


    ท่านอาจารย์ จิตเห็นไม่ใช่จิตได้ยิน เพราะอะไร

    ผู้ฟัง ก็เป็นแต่ละธาตุ

    ท่านอาจารย์ เพราะผัสสะไม่ได้กระทบเสียงในขณะที่เห็น แต่ผัสสะกระทบสิ่งที่กำลังปรากฏแล้วจิตก็เกิดขึ้นรู้สิ่งที่ปรากฏคือเห็น ผัสสะที่กระทบเสียงกับผัสสะที่กระทบกลิ่นต่างกันหรือเหมือนกัน

    ผู้ฟัง ไม่ต่างกัน ตัวผัสสะไม่ต่าง

    ท่านอาจารย์ สภาพผัสสะไม่ต่าง แต่เกิดกระทบสิ่งที่ต่างกัน แล้วสงสัยอะไร

    ผู้ฟัง สงสัยว่า อย่างเช่น หนูก็เป็นธาตุหนึ่ง แล้วอาจารย์กาญจนาเป็นธาตุหนึ่ง คราวนี้ความต่างของธาตุ ...

    ท่านอาจารย์ ก็ต่างกันอยู่แล้ว จิตเห็น คือต้องเห็นสิ่งที่ปรากฏ

    ผู้ฟัง แต่ละหนึ่งก็มีธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง

    ผู้ฟัง ใช่ไหม แล้วก็มีจิตเห็นจิตได้ยิน

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง กล่าวโดยประเภทต้องเหมือนกัน แต่กล่าวโดยขณะหนึ่งๆ วาระหนึ่งจะเป็นอันเดียวกันไม่ได้ แต่เป็นประเภทเดียวกัน

    ผู้ฟัง แล้วเมื่อดำเนินไปเรื่อยๆ ในจิตแต่ละขณะที่ต่างกันก็เพราะว่าผัสสะกระทบแล้วเป็นกุศล อกุศลใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ ยังไม่ต้องไปถึงกุศล อกุศล แม้แต่เห็น ผัสสะไม่ได้ไปกระทบเสียง ขณะได้ยินเสียง ผัสสะไม่ได้ไปกระทบกลิ่น แต่ละขณะก็แล้วแต่ว่าขณะนั้นอารมณ์อะไรเป็นอารมณ์ของจิตเพราะผัสสะกระทบสิ่งนั้นไม่ได้ไปกระทบสิ่งอื่น ถ้าเรามีความเข้าใจจิตเห็นเกิดก็ต่อเมื่อผัสสะกระทบกับสิ่งที่กำลังกระทบตา และก็ผัสสะขณะนั้นก็เป็นปัจจัยให้จิตเห็นเกิดขึ้นจากการที่ผัสสะนั้นกระทบกับสิ่งที่กระทบตา เวลาที่ได้ยินเสียง ผัสสะที่เกิดกับจิตในขณะนั้น จิตเป็นธาตุที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แต่ไม่ใช่ธาตุที่กำลังกระทบ ในขณะที่มีการกระทบกับเสียงที่จะให้จิตได้ยินเกิดขึ้นต้องเป็นสภาพนามธรรมที่สามารถกระทบเสียง และนามธรรมที่สามารถกระทบเสียงไม่ใช่จิตแต่เป็นเจตสิกหนึ่ง เราก็เรียกเจตสิกนั้นว่าผัสสะเจตสิกเท่านั้นเอง

    อ.กุลวิไล เพราะฉะนั้น ความต่างแห่งผัสสะอาศัยความต่างแห่งธาตุ

    ท่านอาจารย์ ยังไม่ได้เข้าใจผัสสะ แต่ก็คิดเรื่องผัสสะ ผัสสะไม่ปรากฏ อะไรปรากฏเดี๋ยวนี้

    ผู้ฟัง สิ่งที่ปรากฏทางตาหรือสิ่งที่ปรากฏทางหู

    ท่านอาจารย์ ก็ยังไม่รู้เลยใช่ไหม แม้กำลังปรากฏก็ยังไม่รู้โดยผัสสะไม่ได้ปรากฏเลย

    อ.คำปั่น จากที่ได้ฟังการสนทนาเรื่องธาตุ ขอเรียนอาจารย์ธิดารัตน์ได้สรุปถึงว่าสาระสำคัญเมื่อได้ยินได้ฟังเรื่องของธาตุ แล้วสาระสำคัญอยู่ตรงไหนที่จะเป็นประโยชน์เกื้อกูลสำหรับผู้ฟังยิ่งขึ้น

    อ.ธิดารัตน์ ขณะที่เข้าใจว่าเป็นธรรมแต่ละอย่างที่เกิดขึ้นแล้วก็มีลักษณะอย่างนั้นจริงๆ

    เห็นไม่ว่าจะเป็นใครเห็นก็ตามก็มีลักษณะเหมือนกันคือเห็น ซึ่งก็เป็นธาตุหรือว่าเป็นธรรมซึ่งไม่เปลี่ยนแปลงลักษณะนั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นการเห็นของใครก็ตาม และเมื่อเห็นแล้วมีเจตสิกเกิดร่วมด้วย

    อย่างที่คุณทิพย์ได้ยกตัวอย่างผัสสะ เพราะว่าผัสสะเป็นเจตสิกที่เกิดกับจิตทุกประเภท และก็มีลักษณะพิเศษของเขาคือกระทบกับอารมณ์ ถ้าผัสสะไม่กระทบอารมณ์ จิตก็รู้อารมณ์ไม่ได้ แล้วก็ยังมีเจตสิกอื่นๆ อีกที่เกิดขึ้นพร้อมกับจิตทำให้จิตเป็นไป โดยจิตเป็นประธานเป็นใหญ่ในการรู้อารมณ์ เจตสิกก็เป็นธาตุรู้เหมือนกันแต่เป็นธาตุรู้ที่มีลักษณะต่างๆ กันแต่ละประเภท

    เพราะฉะนั้น การอาศัยกันของธาตุต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นจิตซึ่งเป็นวิญญาณธาตุ เจตสิกซึ่งเป็นธาตุที่เป็นผัสสะหรือว่าใช้คำว่าธรรมธาตุ (ธัมมธาตุ) นั่นเอง แต่ไม่ว่าจะใช้ชื่ออะไรก็ตาม ถ้าค่อยๆ ที่จะเข้าใจว่ามีลักษณะที่เป็นจริงอย่างนั้นในแต่ละธาตุแล้ว ขณะที่ปรากฏขึ้นแม้กระทั่งรูปซึ่งเป็นสีต่างๆ ก็เป็นธาตุด้วย เป็นสิ่งที่มีจริงแล้วก็มีลักษณะที่สามารถที่จะกระทบกับตาได้ เสียงก็เป็นธาตุมีลักษณะที่จะกระทบกับโสตปสาท ซึ่งโสตปสาทก็เป็นธาตุ ไม่ว่าจะเป็นจักขุปสาทก็เป็นจักขุธาตุ โสตปสาทถ้าก็เป็นโสตธาตุ มีลักษณะที่ไม่เปลี่ยนแปลงลักษณะไม่ว่าจะเป็นโสตปสาทของใครก็ตามสามารถที่จะกระทบกับเสียงได้ นี่คือเป็นธรรมหรือว่าเป็นสิ่งที่มีจริงๆ ที่มีในทุกๆ ท่าน ปัญญาความเข้าใจก็เป็นธาตุ ก็ค่อยๆ เข้าใจธาตุตามความเป็นจริงที่ปรากฏ

    ผู้ฟัง ได้มาสนทนาศึกษาถึงสถานที่ๆ เป็นต้นแหล่งกำเนิดคำสอน ศรัทธาที่ทำให้เชื่อมั่นคำสอนจะเหมือนกับศรัทธาที่จะทำให้เชื่อมั่นในปัญญาตรัสรู้ของพระเจ้า จะต่างจากที่ไม่ได้มากราบนมัสการหรืออะไรอย่างไร

    ท่านอาจารย์ ในอดีตพระเชตวันก็อยู่ตรงนี้แหละ แต่ว่าคนที่เดินไปเดินมาในพระนครสาวัตถีที่ไม่ได้ฟังพระธรรมเลยก็มีใช่ไหม หรือแม้คนที่อยู่ใกล้มาก แต่ไม่ได้เข้าใจความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็มี เพราะฉะนั้น สถานที่นั้นจะมีความหมายสำหรับคนที่ไม่เข้าใจธรรมไหม ไม่มีเลย แต่ผู้ใดก็ตามได้ฟังแล้วระลึกถึงพระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ พระมหากรุณาคุณ สำหรับผู้ใหม่จริงๆ แค่ได้ยินคำว่าธรรม จากการที่ไม่เคยเข้าใจมาก่อนเลย กับการที่สามารถที่จะรู้ว่าพระอรหันตสัมมาสัมพระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ธรรมคือสิ่งที่มีจริงทุกกาลสมัย

    เพราะฉะนั้น ขณะที่กำลังเห็นนี้แหละก็เป็นสิ่งที่สามารถที่จะเข้าใจความจริงของเห็น ซึ่งถ้าไม่มีการฟังพระธรรมเลยจะไม่ได้มีความเข้าใจแม้สักเพียงเล็กน้อยว่าเห็นเพียงเกิดขึ้นเห็นแล้วดับ จึงไม่ใช่เราเห็น

    จากการที่ไม่รู้ความจริง แล้วก็มีอุปาทาน การยึดมั่นในเห็นว่าเป็นเราเห็นมานานมาก แล้วก็ยึดมั่นในสิ่งที่ปรากฏแม้ชั่วคราว แต่ก็เกิดดับสืบต่อเร็วจนไม่ปรากฏลักษณะที่เกิดดับ ว่าสิ่งนั้นเที่ยง ไม่มีทางที่จะหายสงสัยได้เลยว่าขณะนี้เห็นเกิดแล้วดับ ได้ยินเกิดแล้วดับ สิ่งที่ปรากฏทางตาเกิดแล้วดับ เพราะฉะนั้น ระดับของปัญญาต่างกันแค่ไหน

    เพราะฉะนั้น ผู้ที่ไม่ได้อบรมเจริญบารมีที่ เป็นคุณความดีนานานับประการที่จะชำระจิตให้สะอาดพ้นจากความไม่รู้ และกิเลสมากๆ ก็สามารถที่สภาพธรรมขณะนี้จะปรากฏตามความเป็นจริง

    ด้วยเหตุนี้เพียงคำเดียวที่ได้ฟังก็สามารถที่จะรู้ได้ว่าคำนี้ไม่ได้มาจากเพื่อนฝูงมิตรสหาย ไม่ได้มาจากคนอื่นที่เรานับถือว่าเป็นครูอาจารย์ประเภทนั้นมหาวิทยาลัยวิชานี้ต่างๆ แต่ต้องมาจากผู้ที่ทรงตรัสรู้จริงๆ และการตรัสรู้ก็มีมาแล้วในอดีต และก็ผู้ที่ได้ดำรงรักษาคำสอนสืบๆ กันมาปรากฏเป็นพระไตรปิฎกก็ยังมีให้เราสามารถที่จะรู้ได้ว่าการตรัสรู้มีจริง

    เพราะฉะนั้น เมื่อมีจริง การที่สามารถที่จะระลึกถึงเมื่อได้มาถึงสถานที่ๆ ตรัสรู้ และก็ทรงแสดงธรรมและก็ประกาศธรรมเป็นเวลานานอย่างที่พระวิหารเชตวันก็เป็นสิ่งซึ่งเวลาอ่านพระไตรปิฏก พระสูตร (มีข้อความ) "สมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาคประทับ ณ พระวิหารเชตวันอารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีเขตพระนครสาวัตถี " ยังมีอยู่ให้ระลึกว่าที่นั้นเคยประทับและก็ทรงแสดงพระธรรมมากมาย

    เพราะฉะนั้น ไม่ใช่สิ่งที่เราไปเชื่อโดยที่ไม่มีหลักฐาน หรือว่าไม่ได้มีสถานที่ๆ จะให้รู้ว่าการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในโลกนี้คือชมพูทวีปจริงๆ ก็แล้วแต่ จะระลึกถึงพระคุณอยู่ที่บ้านก็ได้

    แต่ถ้าจะระลึกถึงย้อนไปถึงเมืองพาราณสี ชาดกต่างๆ นานแสนนานมาแล้วกว่าที่จะได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็เป็นมาตังคะบ้าง เป็นใครต่อใครบ้างแล้วแต่ชีวิตในแต่ละชาติ ก็เหมือนแต่ละคนก็เป็นแต่ละหนึ่ง

    เพราะฉะนั้น ธรรมก็เพียงว่าเมื่อมีโอกาสที่จะได้กราบนมัสการแทบรอยพระบาทที่ประทับ และทรงแสดงธรรม ก็แสดงให้เห็นว่าเราระลึกถึงพระคุณจริงๆ เพราะว่าทุกคำมาจากการที่ได้ทรงแสดง

    ผู้ฟัง หนูเข้าใจแล้วว่าถ้าผัสสะกระทบแข็ง ก็ไม่ใช่ธาตุเห็น หรือว่าสี

    ท่านอาจารย์ คุณพรทิพย์ก็มีความสนใจในผัสสะ เวลานี้นอกจากผัสสะมีอย่างอื่นไหม ไม่สนใจ

    สนใจผัสสะ แล้วก็จะรู้อย่างอื่นที่ปรากฏ หรือจะรู้ค่อยๆ เข้าใจสิ่งที่ปรากฏซึ่งไม่ต้องเรียก และก็ไม่ใช่ผัสสะด้วย นามธรรมรู้ยากไหม เช่นเห็นกำลังเห็นแท้ๆ เลย แต่ใครรู้ลักษณะที่ไม่ใช่เราที่เกิดขึ้นเห็นแล้วก็ดับไป ฉันใด ผัสสะก็เป็นสภาพธรรมที่เกิดกับจิตเห็น พร้อมจิตเห็นแต่ไม่ใช้จิตเห็น แล้วก็ดับไป จะรู้ไหม

    เพราะฉนั้น รู้เพื่อละ ฟังเพื่อเข้าใจเพื่อที่จะละความอยากหรือความต้องการ แล้วก็รู้ว่าขณะนี้เลือกไม่ได้เลย ไม่ต้องไปคิดถึงผัสสะ แต่ก็มีสิ่งที่ปรากฏ หรือแม้แต่จะคิดถึงผัสสะก็ห้ามไม่ได้ แต่ก็เป็นแต่เพียงความคิดเรื่องนั้นเท่านั้นเอง

    ผู้ฟัง จากที่สนทนาธรรมได้ยินท่านอาจารย์พูดว่า เห็นใครก็เห็น ไม่ใช่เราเห็น นั่นหมายความว่าอย่างตอนหนูเองเห็นท่านอาจารย์ เห็นก็เป็นธรรมไม่ใช่เรา แล้วท่านอาจารย์กล่าวว่า รู้ว่าเป็นธรรมเพื่อละความอยาก ความต้องการ ขอท่านอาจารย์ในคำย้ำเตือน

    ท่านอาจารย์ เพื่อละความติดข้องทุกอย่างที่เคยยึดถือไว้ว่าเที่ยง ความจริงไม่เที่ยง ค่อยๆ เข้าใจความจริง

    ผู้ฟัง เพราะฉะนั้น ถ้ามีเหตุการณ์เข้ามาไม่ว่าจะเรื่องดีหรือไม่ดีก็เป็นธรรม

    ท่านอาจารย์ ไม่ลืมเลย จะเป็นประโยชน์มากถ้าสามารถที่จะรู้ว่าขณะนั้นเป็นธรรมจริงๆ แม้แต่เพียงจะคิดก็ยังยากที่จะคิด เพราะคิดเรื่องอื่นมากกว่า

    เพราะฉะนั้น กว่าจะนึกขึ้นมาได้ว่าเป็นธรรม เพียงแค่คิดก็ยังยาก แต่ก็จริง

    ผู้ฟัง เมื่อสักครู่นี้ ตอนที่ไปกราบที่พระคันธกุฎี ก็ตั้งสัจจะอธิษฐานว่าต่อไปนี้จะปฏิบัติตามพระธรรมของพระพุทธเจ้าที่ท่านได้เสียสละอย่างจริงจัง และก็ไม่ว่าจะภพใดชาติใด ตรงนี้เป็นโลภะไหม

    ท่านอาจารย์ ถ้าถามแล้วจะรู้ไหม ถ้าคนอื่นตอบ แต่ถ้าไตร่ตรองฟังแล้วคิดเองสามารถจะรู้ได้ชัดเจนกว่า ไม่ใช่ว่าพอสงสัยและถามคนอื่นแล้วเราจะเข้าใจได้ชัดเจน แต่เวลาที่ไม่รู้แล้วพิจารณาไตร่ตรองฟังเพิ่มขึ้น ละเอียดขึ้น ก็จะตอบได้ด้วยตัวเอง

    ใครจะรู้จิตของคนอื่น ดับแล้วจะให้ไปรู้ได้อย่างไร เพราะฉะนั้น ที่เราไปถามเขา เราถามอะไร เพราะเขาไม่รู้จิตของเรา ถ้าถามว่าความต้องการความติดข้องเป็นโลภะใช่ไหม ก็ต้องใช่ จะเป็นอื่นได้อย่างไร แต่ถ้ารู้ว่าขณะนั้นไม่ใช่เรา ขณะนั้นค่อยๆ เข้าใจขึ้น ขณะนั้นก็ไม่ใช่โลภะเพราะมีความรู้ความเข้าใจเกิดขึ้น

    ผู้ฟัง ขณะที่เราเห็นพระคันธกุฎี เรามีสังขารขันธ์ปรุงแต่งว่าขณะนี้เรายืนอยู่ใกล้ที่พระพุทธเจ้าท่านเคยอยู่ แล้วเราก็ไปปรุงแต่งว่าเราตั้งสัจจะกับท่าน แต่พอเรากลับไปที่ทำงาน หรือกลับไปที่บ้าน มันก็เป็นธรรม จึงทำให้เราไม่ได้คิดแบบนั้นอีก

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ธรรมทุกอย่างเกิดแล้วดับ และก็มีสิ่งที่กำลังปรากฏ ซึ่งถ้าเข้าใจจริงๆ สิ่งนั้นก็ดับด้วย ที่จะต้องเข้าใจให้ถูกต้องคือไม่ใช่เพียงแค่จำแล้วคิด แต่สามารถจะรู้ขณะที่ธรรมใดเกิดสภาพธรรมนั้นดับ จึงจะมีความเข้าใจที่มั่นคงว่าไม่ใช่เราแต่เป็นธรรมจริงๆ

    ผู้ฟัง เพราะฉะนั้น เราก็จะไม่ยึดติดกับแม้แต่ความรู้สึกของเราใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ อีกนานไหมกว่าจะเป็นอย่างนั้นได้ เพราะว่าสภาพธรรมตรงกันข้ามกัน ไม่รู้จะไม่ใช่ความรู้ ไม่รู้ก็คือไม่รู้ รู้ก็คือรู้ปนกันไม่ได้เลย ละก็คือละ ติดก็คือติด เพราะฉะนั้น ก็ต้องตรงต่อลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ จึงสามารถที่จะละความเป็นเราในสิ่งนั้นๆ ได้

    ผู้ฟัง ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่าในโลกนี้ไม่มีอะไรที่ยึดได้เลยใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ว่ากำลังคิด แต่เดี๋ยวนี้เป็นอย่างนั้นจนกว่าจะรู้จริงๆ อย่างนี้จากการฟังและเข้าใจ แล้วก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้นๆ

    อ.คำปั่น ดูเหมือนว่าเป็นสิ่งธรรมดามากเลยที่เมื่อกล่าวถึงเห็น เมื่อกล่าวถึงโกรธซึ่งใครๆ ก็เห็นใครๆ ก็โกรธ

    ในความเป็นจริงของธรรมที่ละเอียดลึกซึ้งที่จะเข้าใจถึงความเป็นจริงของธรรมที่ไม่ใช่เรา นี่ก็เป็นสิ่งที่ยากอย่างยิ่ง ที่จะเข้าใจถูกตรงตามความเป็นจริงของลักษณะสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ

    ท่านอาจารย์ คงยังไม่ถึงเวลานั้นใช่ไหม เพราะเหตุว่าเมื่อเช้าเราได้ยินคำว่าธรรม ได้ยินคำว่าธาตุและรู้ว่าเป็นสิ่งที่มีจริงๆ ทุกขณะ แล้วเราก็ไปรับประทานอาหาร แล้วเราก็ไปพักผ่อน ระหว่างนั้นหายไปไหน คิดเรื่องอื่นทั้งหมดเลย

    เพราะฉะนั้น สิ่งที่เราได้เคยฟังแล้วไม่ได้หายไปไหนเลยจริงๆ สะสมอยู่ในจิตจริงแต่ก็สะสมอย่างอื่นมาอีกด้วยมาก เพราะฉะนั้น จะเห็นได้ว่าได้ยินคำว่าทุกอย่างเป็นธรรมทำให้คิดขึ้นได้อีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่ไปรับประทานอาหารตั้งหลายอย่าง โน่นบ้าง นี่บ้าง มีทั้งผลไม้มีทั้งอะไร ขณะนั้นไม่มีเลยว่าทุกอย่างเป็นธรรม ทั้งๆ ที่ได้ยินแล้วและก็อยู่ในใจนั่นแหละ แต่ว่าอย่างอื่นเกิด และก็เหมือนกับบัง เพราะว่าตอนเช้าได้ยินแล้วก็จำไว้ แต่พอไม่ได้ยินก็ไม่ได้ยิน ได้ยินเสียงอื่นคำอื่นก็คิดเรื่องอื่น ก็เป็นอย่างนี้ไปทั้งวันทั้งเดือนทั้งปีทั้งชาติ แต่พอมีโอกาสได้ฟังอีกก็ทุกอย่างเป็นธรรม

    เพราะเราไม่พูดเรื่องที่ไม่มีในขณะนี้ แต่ทั้งๆ ที่ทุกอย่างเป็นธรรม และขณะนี้ก็เป็นทุกอย่างที่ปรากฏ เห็นในขณะนี้ก็เป็นหนึ่งแล้ว เสียงที่ปรากฏก็อีก ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นธรรมหมด

    แต่ก็ลืมเพราะเหตุว่าเราคิดถึงอย่างอื่นที่เราคุ้นเคยกว่า เพราะฉะนั้น การคุ้นเคยสำคัญมากว่าเราคุ้นเคยกับอะไร เราก็ไม่ลืม แล้วก็คิดถึงสิ่งนั้น ทุกคนลืมบ้านไหม จากมาก็หลายวัน แต่ว่าไม่ลืมเลย เพราะว่าคุ้นเคย อยู่ตั้งนานจำได้หมดใช่ไหม อะไรอยู่ที่ไหน

    แต่ที่นี่คุ้นเคยไหม เราอยู่มาแค่วันหนึ่งก็คุ้นเคยแค่วันหนึ่ง พอผ่านไปกลับไปถึงกรุงเทพเราก็คงจะไม่คิดถึงที่นี่อีก

    เพราะฉะนั้น แสดงให้เห็นว่าธรรมทั้งหลายแม้มีจริงเกิดขึ้นก็แล้วแต่ว่าเราจะมีการพบเห็น แล้วก็ได้ฟังเรื่องใดมาก เราก็จะคิดเรื่องนั้นมากกว่าเรื่องอื่น เพราะฉะนั้น ถ้าเราได้ฟังธรรมบ่อยๆ จนกระทั่งเราไม่คิดถึงเรื่องอื่น

    ขณะที่เห็นกันเราก็สนทนากัน เมื่อสักครู่นี้คุยกันเรื่องอะไร เรื่องธาตุ เรื่องธรรม เราไม่ได้ไปคิดถึงแพรพรรณที่พาราณสี หรืออะไรก็ตามที่สาวัตถี ดอกไม้ต้นไม้ที่โน่นที่นี่เพราะว่าเราผ่านมาเล็กน้อยแล้วเราก็ลืม

    เพราะฉะนั้น สำคัญที่สุดท่านใช้คำว่าอุปนิสสยโคจร ไม่มีใครชอบภาษาบาลีเพราะเป็นคนไทย พอได้ยินก็บอกว่าไม่เอา เพราะเหตุว่าได้ยินแต่คำแล้วก็ไม่รู้เรื่อง

    แต่ว่าถ้าค่อยๆ เข้าใจคำที่ภาษาไทยเอามาใช้ อย่างเวลาไปโรงเรียนครูจะบอกว่าเด็กแต่ละคนมีอุปนิสัยต่างกัน มีใครไม่เข้าใจคำนี้บ้างไหม หมายความว่านิสัยความคุ้นเคยของแต่ละคนหลากหลายมาก และก็ไม่ใช่แต่เฉพาะเด็ก โตมาก็นิสัยต่างกันด้วย บางคนชอบซื้อของ บางคนชอบทำกับข้าว บางคนชอบปลูกต้นไม้ บางคนชอบจัดดอกไม้ นิสัยต่างๆ กัน อุปแปลว่ามีกำลัง เพราะฉะนั้น อุปนิสัยหมายความถึงที่อาศัยที่เคยคุ้นที่มีกำลังที่ทำให้เราต้องเป็นอย่างนั้นๆ นี่คือตามความเป็นจริง

    เพราะฉะนั้น เราจะบอกได้ว่าคนนี้นิสัยอย่างนั้น คนนั้นนิสัยอย่างนี้ และนิสัยตามคำแปลก็คือว่าที่อาศัย ถ้าไม่มีที่อาศัยก็เกิดไม่ได้ เพราะฉะนั้น การที่จะมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้นก็ต้องอาศัยอะไรที่ทำให้เกิด เพราะฉะนั้น ในขณะนี้อาศัยอะไรที่ทำให้คิดถึงธรรม ก็อาศัยคำที่เราได้ยินและรู้ความหมายว่าธรรมคือสิ่งที่มีจริงๆ เห็นไหม พอพูดว่าธรรมคือสิ่งที่มีจริงๆ คุ้นเคยพอที่จะรู้ว่าเห็นเดี๋ยวนี้มีจริงๆ หรือเปล่า ย้ง ใช่ไหม ต้องอาศัยการฟังต่อไปอีกนานเท่าไรกว่าเราจะคุ้นเคยกับการที่เมื่อเห็นก็รู้ว่าขณะนี้มีจริงๆ แล้วก็เมื่อเช้านี้เราก็สนทนากันแล้วว่าธรรมคือสิ่งที่มีจริง เพราะฉะนั้น เห็นขณะนี้จริงเป็นธรรมก็คือว่าไม่ใช่ของใคร มีเหตุปัจจัยเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป คนตายไม่เห็นทั้งๆ ที่มีรูปร่าง ตาก็ยังเหมือนเดิม ถ้าเพิ่งตายใหม่ๆ สิ้นชีวิตไปใหม่ๆ แต่ก็ไม่เห็น

    เพราะฉะนั้น กว่าจะคุ้นเคยในความจริงต้องอาศัยคำที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้ว แล้วก็มีผู้ที่ได้ฟังแล้ว และก็พิจารณาไตร่ตรองแล้วและก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้น เพราะฉะนั้น อีกพันปีข้างหน้าพระเชตวันก็ไม่เปลี่ยนเหมือน ๒๕๐๐ ปีที่แล้วมาพระเชตวันก็ไม่เปลี่ยน พระเชตวันก็ยังคงเป็นตรงนี้ แต่ผู้คนที่เดินเข้าเดินออกเปลี่ยน ไม่มีใครมีอายุถึงพันปีแน่ เพราะฉะนั้น ก็แล้วแต่ว่าต่อไปข้างหน้าจะมีใครมาตรงนี้ นั่งตรงนี้ โรงแรมนี้จะอยู่อีกนานเท่าไหร่อาจจะไม่ถึงพันปี แต่ใครก็ตามที่มาต่อจากนี้ก็อยู่ใกล้พระเชตวัน แล้วก็อาจจะได้ยินได้ฟังธรรมแต่เข้าใจแค่ไหน เข้าใจจริงๆ หรือว่าเข้าใจคลาดเคลื่อนหรือว่าเข้าใจผิดไป เพราะฉะนั้น แต่ละคำไม่ประมาทไม่ได้เลย อนัตตาต้องเป็นอนัตตาตลอดไป จะไม่มีวันมาเปลี่ยนจากอนัตตาแล้วมาเป็นอัตตาได้ เพราะเหตุว่าเป็นธรรมซึ่งเพียงเกิดขึ้นแล้วดับไป แล้วไม่กลับมาอีก สิ่งที่เกิดแล้วดับแล้วจะหาอีกในสังสารวัฎไม่ได้เลย เหมือนชาติก่อนๆ ของคนก่อนๆ ในพันปีก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ เป็นโน่นบ้างเป็นนี่บ้าง แต่จะกลับไปเป็นคนก่อนไม่ได้เลย

    เพราะฉะนั้น พระธรรมที่ทรงแสดงทรง แสดงความจริงทุกขณะตั้งแต่เกิดจนตาย แล้วก็ตายแล้วเกิดอีกก็เหมือนเดิม ที่ไม่เปลี่ยนแปลงคือเป็นเพียงธาตุแต่ละอย่าง และก็เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป เพราะฉะนั้น ถ้าจะกล่าวว่าที่เราถือว่าเป็นเราเป็นเขา เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ก็คือธาตุแต่ละชนิดนั่นเอง เสียงเกิดที่ไหน เสียงคนเราคิดว่าเป็นเสียงคน แล้วก็เสียงนก แล้วก็เสียงสุนัข และก็เสียงใครทำอะไรอยู่ในครัวเสียงกะทะ เสียงหม้อแกงพวกนี้มีหมดเลย แต่เสียงก็เป็นเพียงเสียงจะเป็นอื่นนอกจากเสียงไม่ได้เลย และได้ยินก็เป็นได้ยิน เพราะฉะนั้น เมื่อเสียงก็เป็นธาตุ ได้ยินก็เป็นธาตุ ทุกอย่างเป็นธาตุหมด แล้วจะมีเราแต่ที่ไหน

    เพราะฉะนั้น ถ้ามีความเข้าใจถูกต้องเราก็คือธาตุ คือแต่ละหนึ่งๆ ที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย แต่ว่าสืบต่อกันเร็วมาก แล้วก็รูปร่างที่ปรากฎก็หลากหลายกันไปก็ทำให้จำได้ว่าเป็นคนนั้นหรือเป็นคนนี้เป็นสิ่งนี้ แต่ความจริงทั้งหมดเป็นธาตุ ที่ไม่ใช่ของใครเลย เพราะฉะนั้น การฟังธรรมเราไม่ต้องไปจำจำนวนธาตุ ๑๘ ธาตุ ๖ อะไรอย่างนี้หรือธาตุ ๔ มีไหม

    ธาตุ ๔ มีไหม ไม่เอา ๑๘ ไม่เอา ๖ เอา ๔ ได้ไหมก็ได้ ดิน น้ำ ไฟ ลม เห็นไหมไม่ลืมเลยเพราะเข้าใจ ธรรมเป็นเรื่องที่ว่า เข้าใจสำคัญที่สุด เมื่อเข้าใจแล้วก็อ่านข้อความใดๆ ก็เข้าใจได้ว่าหมายความถึงสิ่งที่เราเข้าใจแล้วนั่นเอง เพราะฉะนั้น ความเข้าใจ จริงคือขอให้เข้าใจจริงๆ อย่าเพียงแต่ได้ยินก็ใช่ ธรรมก็เป็นธรรมเท่านั้นไม่ได้เลย ธรรมมีจริงเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไปแล้วก็ไม่กลับมา อีกเมื่อไหร่ที่คำนี้มั่นคง เมื่อนั้นเริ่มเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้อย่างนั้น ทีละเล็กทีละน้อยๆ จนกระทั่งชัดเจนขึ้น และเมื่อประจักษ์ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริงก็จะเข้าใจได้เลยนี่คือสิ่งที่เราได้ฟังมาแล้วนานมากที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ และทรงแสดง

    เพราะฉะนั้น ทุกคำเป็นวาจาสัจจะคำจริงแน่นอนซึ่งผู้ใดก็ตามฟังแล้วไตร่ตรองเข้าใจขึ้นความจริงนี้ก็จะปรากฏกับผู้นั้น ว่าทุกคำที่ได้ฟังเป็นคำจริง ไม่เปลี่ยน ที่นี่เป็นธาตุ กลับไปบ้านเป็นธาตุหรือเป็นเรา

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 202
    10 ต.ค. 2568

    ซีดีแนะนำ