ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1937
ตอนที่ ๑๙๓๗
สนทนาธรรม ระหว่างเดินทางไปนมัสการสังเวชนียสถาน ประเทศอินเดีย
วันที่ ๑๕ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๗
อ.ธิดารัตน์ มานะ ความสำคัญตนต่างๆ เมื่อมีการเปรียบเทียบกัน ขณะนี้ก็เป็นอกุศลจิตและอกุศลเจตสิกที่เกิดร่วมกัน
อ.คำปั่น. กราบเรียนท่านอาจารย์ในประเด็นที่ว่าไม่มีอะไรที่ควรยึดถือว่าเป็นของเรา ไม่มีอะไรที่เป็นเรา ในการศึกษาพระธรรมที่จะมีความเข้าใจเป็นพื้นฐานตั้งแต่เบื้องต้นว่า ไม่มีเรา ไม่มีของเรา จะเป็นอย่างไร
ท่านอาจารย์ ก็รู้ว่าเป็นธรรม เพราะว่าจริงๆ ก็รู้ยากและก็ต้องเป็นผู้ที่จริงใจ
ฟังธรรมเพื่ออะไร เห็นไหมเพื่อจำคำ หรือว่าเพื่อรู้จริงๆ ว่าขณะนี้ไม่ใช่เรา ส่วนใหญ่เราฟังธรรมเพื่อเราจะเข้าใจธรรม เพื่อเราจะรู้ธรรม แต่ความจริงเพื่อรู้ว่าไม่มีเรา ต้องเข้าใจให้ถูกต้องด้วย เพราะตราบใดที่ยังเป็นเรา ก็คือว่ายังไม่เข้าใจธรรมจริงๆ เพียงแต่ได้ยินได้ฟังเท่านั้นเอง
เพราะฉะนั้น บางคนก็อาจจะชอบชื่อ กิเลสมีเท่าไหร่ เพื่ออะไรเพื่อจำกิเลส ๑๐ อกุศลเจตสิก ๑๔ หรือว่าเพื่อรู้ความจริงว่าทั้งหมดเป็นธรรมที่ละเอียดยิ่ง มีเหตุปัจจัยปรุงแต่งเกิดขึ้นแล้วดับ แล้วไม่กลับมาอีกเลย แม้แต่ความที่พอใจสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เป็นสภาพของโลภะเกิดแล้วหนึ่งขณะดับ โลภะนั้นจะไม่กลับมาอีก แต่จะเป็นปัจจัยให้โลภะต่อๆ ไปเกิดปรุงแต่งหลากหลายไม่ซ้ำ
เพราะฉะนั้น แต่ละหนึ่งในสังสารวัฏฏ์ก็คือหนึ่งจริงๆ มีแล้วก็ไม่มีแล้วก็จะไม่กลับมาอีกเลย เพราะฉะนั้น การฟังอย่างนี้ไม่ใช่เพื่อที่จะให้เราไปจำ แต่เพื่อให้เข้าใจความจริงว่าแล้วยึดถืออะไร ในเมื่อแต่ละอย่างไม่เป็นไปอย่างที่เราหวังหรือคิดหรือต้องการ แต่ต้องเกิดแน่นอนเมื่อมีปัจจัย เพียงเกิดขึ้นปรากฏว่ามีแล้วหมดแล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย
เพราะฉะนั้น ต้องเป็นคนที่มั่นคง ฟังธรรมไม่ว่าจะเป็นเรื่องของอกุศลธรรม หรือว่าปรมัตถธรรม เช่นสภาพธรรมที่มีจริงๆ จะไม่พ้นจากจิต คือธาตุรู้แจ้งสิ่งที่กำลังปรากฏ และเจตสิกซึ่งต้องเกิดร่วมกันอาศัยกันและกันเกิดขึ้น แสดงว่าไม่มีเราแน่นอนไม่มีใครไปทำให้จิตและเจตสิกนั้นๆ เกิดขึ้น แต่ว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่เป็นธาตุรู้ เป็นจิต กำลังรู้แจ้งสิ่งหนึ่งสิ่งใดต้องมีนามธาตุซึ่งเกิดกับจิตนั้น แต่หลากหลายเพราะไม่ใช่จิต ธรรมนั้นๆ ชื่อเจตสิกและก็มีถึง ๕๒ ประเภททำให้จิตหลากหลายไป
คือเข้าใจเพื่อไม่มีเรา ไม่ว่าจะเป็นอกุศล หรือกุศลใดๆ ขณะนั้นก็เกิดชั่วคราวสั้นมาก และก็หมดไปแล้วก็ไม่กลับมาอีก ถ้าไม่ลืมคำนี้ การฟังธรรมก็จะฟังด้วยความเข้าใจไปโดยตลอดว่า ไม่ว่าจะทรงแสดงธรรมโดยเทศนาที่ลึกซึ้ง แต่ทั้งหมดก็กล่าวถึงสิ่งที่มีจริง คือ จิต เจตสิก รูป ก็ไม่ใช่เรา แล้วก็นิพพานซึ่งเป็นธาตุซึ่งตรงกันข้ามกับจิต เจตสิก รูป
ผู้ฟัง ผมเป็นหมอหู คอ จมูก ก็มีปัญหาในเรื่องของผู้ป่วยสอง สามกลุ่ม ผู้ป่วยเหล่านี้เขามาด้วยปัญหาว่าเขาได้ยินเสียงในหู โดยที่เราไม่สามารถตรวจได้เลยว่าเสียงนั้นมาจากไหน เพราะเขาได้ยินอยู่คนเดียว คนไข้เหล่านี้เขาไม่มีเสียงจากภายนอกเข้ามาแต่ว่าเขาได้ยินของเขา เราอธิบายอย่างไร แล้วก็เราจะแก้ปัญหาได้อย่างไร
ท่านอาจารย์ ทั้งหมดมาจากความไม่รู้ ถูกต้องไหม
ผู้ฟัง ถูก
ท่านอาจารย์ ไม่ว่าจะเป็นนายแพทย์หู จมูก คอ ตา หรือใครก็ตามแต่ แต่ทั้งหมดไม่มีใครสามารถที่จะกล่าวความจริงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ว่า ขณะใดก็ตามเสียงปรากฏเดี๋ยวนี้ ไม่มีเราเลย ขาก็ไม่ได้ยินเสียง แขนก็ไม่ได้ยินเสียง แต่ขณะนั้นเสียงปรากฏเพราะมีธาตุที่กำลังได้ยินเสียง และต่อจากนั้นก็คือว่าคิดนึก
ทุกครั้งที่มีอะไรปรากฏ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย หรืออย่างไรก็ตามแต่ จะต้องมีคิดถึงสิ่งที่ปรากฏสืบต่อทันทีเร็วมาก เพราะฉะนั้น เขาอาจจะคิดว่าเขาไม่คิด เหมือนกับเราขณะนี้ เราก็คิดว่าเราไม่ได้คิด แต่เห็นแล้วรู้ว่าเป็นอะไรนั่นคือคิด เพราะขณะที่เห็นจะไม่รู้เลยมีแต่สิ่งที่สามารถที่จะปรากฏให้เห็นได้ แต่ว่าหลังจากนั้นเร็วมาก
เวลานี้ใครกำลังนั่งอยู่ที่นี่ นั่นคิดแล้ว แยกออกไหม เห็นอะไร กับเห็นเทียน เห็นดอกไม้ แยกไม่ออกเลยว่าเห็นเป็นเห็น แล้วคิดถึงรูปร่างสัณฐานจึงสามารถที่จะจำได้ว่าสิ่งนั้นเป็นอะไร เพราะว่าสภาพจำเกิดทุกขณะที่มีสภาพรู้ปรากฏ จะต้องมีการจำในสิ่งที่ปรากฏให้รู้ด้วยทุกครั้ง
สภาพที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้ เพียงรู้ก็คือจิต แต่สภาพที่จำไม่ใช่จิต แต่เมื่อจิตรู้อะไรก็จำสิ่งที่จิตรู้ เกิดพร้อมกันเลยไม่แยกกัน เพราะว่าสภาพธรรมที่เป็นจิตและเจตสิกปราศจากกันไม่ได้เลย ต้องเกิดพร้อมกัน
เพราะฉะนั้น เมื่อสิ่งที่ปรากฏดับ ไม่ว่าจะเป็นเสียงซึ่งเร็วมากประมาณไม่ได้เลยขณะนี้ เหมือนกับว่าเราได้ยินคำใช่ไหม แต่ความจริงมีเสียง และก็มีการคิด และจำคำนั้นว่าหมายความถึงเหมือน ไม่ได้หมายความถึงอย่างอื่น ทุกขณะนี้เป็นอย่างนั้น
ไม่ว่าจะทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ เพราะฉะนั้น เสียงจะปรากฏโดยไม่มีได้ยินเป็นไปไม่ได้เลยแน่นอน ถูกต้องไหม เพราะว่าธาตุรู้ต่างหากที่กำลังได้ยินเสียง ไม่มีใครเลยทั้งสิ้น
เพราะฉะนั้น ในขณะที่คนไข้ได้ยินเสียง ขณะนั้นตามความเป็นจริงก็คือว่าไม่มีใครเลย นอกจากได้ยินซึ่งกำลังได้ยินเสียง ขณะที่ได้ยินต้องไม่เห็น แล้วก็ต้องไม่คิดนึกด้วย
เพราะฉะนั้น ความจริงสั้นมาก เพียงเกิดปรากฏแล้วดับไปเลย แต่ว่าไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้ ไปรู้ตอนที่กำลังคิด ซึ่งต่อจากได้ยิน หรือว่าต่อจากเห็น เดี๋ยวนี้เห็นทันที รู้เลยว่าใคร ทั้งๆ ที่ก็มีตา หู จมูก ลิ้น กายเหมือนๆ กัน แต่ก็ยังสามารถที่จะเห็นความต่าง จนรู้ว่าขณะนี้กำลังเห็นคนนี้ ไม่ใช่เห็นคนนั้น แต่ละคนนี่ก็เป็นแต่ละหนึ่ง
เพราะฉะนั้น ขณะนั้นต้องไม่มีอะไรนอกจากได้ยิน กับเสียง จะบอกว่าไม่ได้ยินไม่ได้เพราะเสียงปรากฏ
ผู้ฟัง เป็นไปได้ไหม เป็นมโนทวารของเขาอย่างเดียวโดยที่ไม่ใช่โสตทวาร
ท่านอาจารย์ อย่างไรก็ตามแต่ ตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่มีธาตุรู้ และธาตุรู้ก็รู้สารพัด คิดก็ได้ คิดถึงโน่นก็ได้ คุณหมออาจจะคิดถึงโรคนี้และโรคนั้นแต่ก็ต้องมีคิด ถ้าไม่มีคิดก็จะไม่มีความจำในเรื่องราวต่างๆ เลย เพราะฉะนั้น เราอาจจะคิดว่าเป็นอย่างนี้ได้ไหม ไม่เป็นอย่างนั้น ขณะนั้นคือคิดไม่ใช่ขณะที่กำลังได้ยิน
เพราะฉะนั้น รักษาโรคก็ยังมีหนทางที่จะหาย แต่ว่ารักษาใจที่ไม่รู้ความจริงว่าขณะนั้นไม่มีใครเลยทั้งสิ้น ไม่มีแม้แต่คนไข้ ไม่มีแม้แต่หมอ แต่มีธรรมคือสิ่งที่กำลังปรากฏ และก็ต้องเป็นธาตุที่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้อย่างหนึ่ง และธาตุที่กำลังรู้ กำลังเห็น กำลังคิด แม้หลับก็ไม่ใช่ตาย
เพราะฉะนั้น ก็ยังมีธาตุรู้ซึ่งเกิดดับระหว่างที่ยังไม่มีอะไรปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แล้วจะรักษาอย่างไร
ผู้ฟัง รักษาทางใจ
ท่านอาจารย์ ให้เขารู้ความจริงแล้วก็ไม่หวั่นไหว ขณะนั้นก็เป็นสิ่งที่มีจริงชั่วขณะ เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างตามสิ่งที่ปรากฏ แค่เห็นคิดว่าเป็นผีได้ไหม คิดว่าเป็นยักษ์ คิดว่าเป็นงูตามความคิด แต่ว่าเห็นเป็นเห็น เห็นเทวดา เห็นก็คือเห็น แล้วก็คิดว่าเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ ถ้าเห็นเทวดา คนที่เคยเห็นเทวดาจะรู้ไหมว่าเป็นเทวดา หรือว่าเป็นผี หรือว่าเป็นยักษ์ หรือว่าเป็นมารแล้วแต่คิด
เพราะฉะนั้น ทั้งหมดนี้ก็คือคิดหลังจากที่เห็นแล้วๆ แต่ว่าจะคิดอะไร
ผู้ฟัง อันนี้ถือเป็นวิบากของเขาใช่ไหม
ท่านอาจารย์ คุณหมอถามว่าถือว่าเป็นวิบากใช่ไหม
วิบากคืออะไร เห็นไหมเราจะต้องเปลี่ยนจากที่เราเคยจำเคยคิดว่าทั้งหมดว่านั่นคือเราคือความไม่รู้ แต่ขณะนี้เรากำลังจะได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่จะทำให้เราฟัง และเริ่มเข้าใจสิ่งซึ่งเราไม่เคยเข้าใจเลย แต่เราก็พูดถึงตั้งแต่เกิดจนตาย
เพราะฉะนั้น ณ สถานที่นี้ก็คือสถานที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งก่อนที่จะได้ตรัสรู้ เป็นเจ้าชายสิทธัตถะดับกิเลสหมด
ลองคิดดู คำว่าดับกิเลสหมด หมายความว่ากิเลสใดๆ ก็ไม่เกิดอีกเลย ณ สถานที่ ที่ตรัสรู้ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ และก็การที่แต่ละคนมีกิเลสมากๆ ไปด้วยความไม่รู้ทั้งหมด แม้ว่าจะร่ำเรียนวิชาการใดๆ ก็ตามก็ไม่รู้สิ่งที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง ต้องอาศัยพระมหากรุณาที่เมื่อตรัสรู้แล้ว ทรงแสดงให้เราได้ยินวาจาสัจจะซึ่งกล่าวถึงสิ่งที่กำลังมีจริงๆ ในขณะนี้ให้เข้าใจขึ้น
เพื่ออะไร ขัดเกลาละคลายกิเลส มีใครอยากจะเก็บกิเลสไว้มากไหม มากๆ ยิ่งมากยิ่งดี เมื่อวานนี้ก็ยังไม่พอ วันนี้เพิ่มอีกดีกว่า คงจะไม่เป็นอย่างนั้นถ้ารู้ว่ากิเลสมีโทษ
แต่ว่าถ้าตราบใดที่ยังไม่เห็นโทษของกิเลสไม่เห็นเดือดร้อนเลย เมื่อวานนี้ก็แสนสนุกสบายสะดวกทุกอย่าง วันนี้ก็มีอีกแล้ว อาหารก็อร่อย หลับนอนสบายดี
อีกสักครู่ก็ได้ไปนมัสการสถานที่ตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เหมือนว่าชีวิตรื่นรมย์มาก ไม่มีอะไรเลยที่จะหวั่นไหว ที่จะไม่ต้องการมีแต่สิ่งที่จะนำมาซึ่งความปลาบปลื้มยินดีพอใจ แต่ว่ากิเลสยังมี
เพราะฉะนั้น กิเลสที่มีต่างหาก ที่ทำให้เราเดือดร้อน เดือดร้อนตั้งแต่ความหวั่นไหวเมื่อมีการเห็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดแต่ไม่รู้ถึงความหวั่นไหวนั้นเลยว่าแท้ที่จริงว่าหวั่นไหวไปด้วยความติดข้อง ต้องการ พอใจอยากจะได้ อาหารบนโต๊ะเมื่อสักครู่นี้ กลางวันนี้ก็ได้ข่าวว่าก๋วยเตี๋ยวผัดไทยอร่อยมาก มีคนบอกว่าเมื่อวานไม่น่ารับประทานเลย หน้าตาก็ดูซีดๆ แต่ทุกคนที่รับประทานแล้วบอกอร่อยมาก
วันนี้ก็เลยบอกเขาว่าได้ข่าวมาว่าอย่างนี้ กลางวันจะมีไหม เขาก็คงจะทำให้เราได้รับประทานอีกครั้งหนึ่ง หวั่นไหวไปหมดเลย แล้วก็เมื่อไหร่กิเลสทั้งหลายจะดับไม่เกิดอีกเลยได้ ซึ่งเป็นการสงบจริงๆ ที่ว่า ไม่ใช่เพียงแค่เห็นแล้วไม่หวั่นไหวแต่รู้ว่าเห็นแล้วยังมีกิเลสก็หวั่นไหว เพราะฉะนั้น จะดับกิเลสก็คือว่าสนิทจริงๆ ไม่มีการเดือดร้อนใดๆ เลยก็เมื่อไม่เห็น ไม่ได้ยิน รวมความว่าคือไม่ต้องเกิดอีก เพราะเหตุว่าเกิดแล้วต้องเห็นอีก ต้องได้ยินอีก
แต่เจ้าชายสิทธัตถะก่อนที่จะได้ตรัสรู้ก็ได้บำเพ็ญบารมีนานแสนนาน เพราะฉะนั้น เป็นสิ่งซึ่งไม่ใช่ใครสามารถที่จะเอาสิ่งที่สะสมมานานแสนนานออกไปได้หมดอย่างรวดเร็ว แม้แต่เพียงเมื่อวานนี้ก็ยังไม่ได้ออกไปในขณะอื่น แต่ขณะที่กำลังฟังเข้าใจไม่ใช่เราเลย แต่เป็นความเห็นที่ถูกต้องที่ค่อยๆ สะสม
มิฉะนั้นแล้วจะมีแต่ความไม่รู้ ความรู้ความเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏจะไม่มีเลย แต่ว่าเมื่อได้ยินได้ฟังแล้ว ไกลแค่ไหนเรียกว่าไม่ต้องไปเอื้อมดีกว่า แต่ว่าค่อยๆ เข้าใจขึ้นทีละเล็กทีละน้อยโดยไม่ประมาทความเข้าใจเลย ว่าความเข้าใจนี้แหละจะนำมาซึ่งความไม่เดือดร้อนทั้งปวง จากการที่ให้รู้ตัวว่ากำลังอยู่ในกองไฟ
เพราะเหตุว่าโมหะก็เป็นไฟ โลภะก็เป็นไฟ โทสะก็เป็นไฟ กุศลทั้งหลายก็เป็นไฟ ก็ไม่รู้ จนกว่าจะได้ฟังพระธรรม ปัญญาก็สามารถที่จะเห็นความจริง ทีละเล็กทีละน้อย เพราะฉะนั้น เป็นการละความหวัง ไม่ใช่เป็นการหวังว่าเมื่อไหร่เราจะได้รู้แจ้งอริยสัจธรรม
ถ้ายังไม่รู้อยู่ ยังไม่เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ ไม่มีทางเลยที่จะพูดถึงคำว่าอริยสัจธรรม เพราะเหตุว่า ขณะนี้อย่างที่มีคนบอกว่าขอให้พูดถึงอริยสัจจธรรม ถ้าไม่มีขณะนี้จะมีอริยสัจจธรรมไหม
เพราะฉะนั้น อริยสัจธรรมก็คือสิ่งที่มีในขณะนี้ เป็นธรรมก็ยังไม่รู้ เป็นสัจธรรมความจริงที่สุดก็ยังไม่รู้ แล้วจะถึงความเป็นอริยโดยการรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ได้อย่างไร
เพราะฉะนั้น โอกาสที่หาไม่ได้อีก ก็คือได้ฟังพระธรรมแล้วเข้าใจในแต่ละขณะ
ในแต่ละขณะเป็นขณะที่หาได้ยากยิ่ง และก็สะสมไปด้วยความเบิกบาน ไม่ได้เดือดร้อนเลยว่าเมื่อไร เพราะเหตุว่าถ้าไม่มีความเข้าใจขึ้นไม่มีทางที่กิเลสทั้งหลายจะหมดไปได้ เพราะฉะนั้น ชีวิตปกติธรรมดาเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ปัญญาก็ต้องมีปัจจัยที่จะต้องเจริญขึ้นเมื่อมีการฟังแล้วก็เข้าใจไปเรื่อยๆ
เราจะพูดคำที่เราค่อยๆ รู้จัก เพราะฉะนั้น เรายังไม่เริ่มต้นที่วิบาก แต่เริ่มที่ต้นเดี๋ยวนี้เป็นสิ่งที่มีจริง หลากหลายมากเหลือเกิน เห็นก็ไม่ใช่ได้ยิน ไม่ใช่คิดนึก ความรู้สึกต่างๆ ก็มีมากมาย เพราะฉะนั้น ทั้งหมดเกิดดับรวดเร็วจนกระทั่งจำได้ไหมเมื่อวานนี้คิดอะไรบ้าง แต่ว่าหมดแล้ว ไม่ต้องกังวลถึงเลย ไม่กลับมาอีกแน่นอน
แต่มีวันนี้ซึ่งเมื่อวานนี้ไม่ทราบจะเตือนใจใครมากน้อยเท่าไหร่ ที่ว่าเป็นคนดี เมื่อวานนี้หมดไปแล้วเป็นคนดีกี่ขณะ แต่ว่าวันนี้ก็จะมีต่อไปที่จะยังคงเป็นคนดีได้แต่ละขณะ เพียงแต่ว่าจะเริ่มเห็นประโยชน์ของการเป็นคนดีหรือยัง เพียงแค่คนดี ยังไม่ต้องถึงดับกิเลส เพราะเหตุว่าคนดีก็ยาก
ยากไหมแค่เป็นคนดี ถ้ายิ่งรู้ก็ยิ่งรู้ว่ายาก เพราะเหตุว่าดีขณะนั้นก็ไม่ใช่เรา แต่ว่ายังมีความเป็นเราตราบใดที่ยังไม่เข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริง
เพราะฉะนั้น ประโยชน์จริงๆ ก็คือฟังธรรมและก็เข้าใจไปเรื่อยๆ แล้วก็อะไรจะเกิดไม่ควรที่จะคิดว่าไม่อยากให้เกิด เกิดทำไมไม่ดีเลย แต่ว่าเป็นสิ่งที่เกิดแล้วตามเหตุตามปัจจัย
เพราะฉะนั้น ปัญญาจริงๆ คือสามารถที่จะเข้าใจสิ่งที่เกิดแล้ว ไม่ใช่มีตัวตนคือเราอยากจะไปทำให้อะไรเกิดขึ้น ซึ่งคิดว่าดี เป็นปัญญา เป็นประโยชน์ แต่ว่าขณะนั้นไม่ได้เข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริง ว่าใครก็ทำอะไรไม่ได้ สิ่งนั้นมีจริงๆ ถ้าไม่มีเหตุปัจจัยก็เกิดไม่ได้เลย นี่เป็นจุดที่ทุกคนจะไม่เข้าใจ และเข้าใจผิดคิดว่าต้องไปทำ บางคนก็ประมาทคิดว่าไม่ต้องศึกษาพระธรรม ไม่ต้องฟัง ปฏิบัติเลย เพราะเหตุว่าถ้าไม่ปฏิบัติก็ไม่สามารถที่จะเข้าใจหรือรู้ลักษณะของสิ่งที่ปรากฏได้
แต่ความจริงผู้ที่ต้องการปฏิบัติต้องการผลโดยไม่เข้าใจอะไรเลยทั้งสิ้น ซึ่งไม่ใช่คำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าถ้าไม่มีความรู้ความเข้าใจก็ละแม้ความอยากหรือความต้องการใดๆ ไม่ได้เลยทั้งสิ้น แม้ความยากก็เกิดจากความไม่รู้ กิเลสอื่นๆ ก็เกิดจากความไม่รู้ เพราะฉะนั้น ถ้ายังไม่รู้ต่อไปกิเลสก็มาก ค่อยๆ รู้ทีละเล็กทีละน้อยกิเลสก็ไม่มีในขณะที่กำลังเห็นถูกเข้าใจ
อ.คำปั่น เมื่อสักครู่ที่ท่านอาจารย์ได้สนทนากับคุณหมอศุภชัยที่กล่าวถึงเรื่องวิบาก แต่ว่าท่านอาจารย์ก็ได้กล่าวถึงว่าเริ่มต้นที่ขณะนี้คือสิ่งที่มีจริง และเวลาที่ได้ฟังอย่างนี้จะนำไปสู่ความเข้าใจในความเป็นจริงของธรรมที่เป็นวิบากอย่างไร
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ได้ยินคำไหน ไม่ใช่ไปจำว่าวิบาก แต่วิบากคืออะไร นั่นคือคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เพราะฉะนั้น เราจะพูดคำที่เราเริ่มรู้จัก และเข้าใจตามลำดับ ถ้าใครใจร้อน ปฏิจจสมุปาท สังขารทั้งหลาย ไปเอามาจากไหน ถ้าเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคำนั้นอธิบายให้เข้าใจว่าคืออะไร ไม่ใช่ให้ไปจำคำ แต่รู้ว่านั่นคืออะไร
เพราะฉะนั้น ถ้าเข้าใจถูกต้องว่าธรรมคือสิ่งที่มีจริง สิ่งที่มีจริงใครจะประมาณได้ว่ามากสักแค่ไหน เป็นธรรมทั้งหมดเลย แต่ละหนึ่งๆ เมื่อวานนี้ แต่ละหนึ่งขณะของการเห็น หนึ่งขณะของได้ยิน หนึ่งขณะของคิดนึกหลากหลายมากก็เป็นธรรมทั้งหมด
เพราะฉะนั้น สำหรับผู้ที่ศึกษาพระธรรมก็จะรู้ว่าพระพุทธศาสนาเป็นคำสอนที่ให้รู้ความจริง เพราะฉะนั้น แต่ละคำพูดถึงสิ่งที่มีจริงให้เข้าใจถูกต้อง ไม่ใช่พูดคำมากมายเลยแล้วก็ไม่เข้าใจ
ผู้ฟัง ปกติในชีวิตประจำวัน หลังจากเห็นแล้วส่วนใหญ่ก็เป็นอกุศลเป็นส่วนใหญ่ จะมีธรรมใดที่จะเกื้อกูลอบรมเจริญให้จิตเปลี่ยนเป็นกุศลมากขึ้น
ท่านอาจารย์ เริ่มอยากแล้วใช่ไหม เพราะฉะนั้น คุณทวีชัยมีหรือเปล่า
ผู้ฟัง ไม่มี
ท่านอาจารย์ กำลังคิดเป็นอกุศลรู้ไหม
ผู้ฟัง ความไม่รู้ไม่สามารถทราบได้
ท่านอาจารย์ เหมือนดี หาหนทางที่จะทำให้กุศลเกิดมากๆ แล้วรู้อะไรขณะนั้น
ผู้ฟัง ขณะนั้นถ้าไม่รู้ก็คือไม่รู้
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น จะรู้ได้อย่างไร
ผู้ฟัง ก็ต้องฟังแล้วก็พิจารณาไตร่ตรอง
ท่านอาจารย์ จะต้องไปนั่งอยากไหมว่าทำยังไงกุศลถึงจะมาก ในเมื่อกำลังคิดนั้นไม่รู้ เพราะฉะนั้น ที่สำคัญคือรู้ และจะไปหาความรู้ที่ไหนจากใครได้ นอกจากพระธรรมที่ได้ทรงแสดงไว้แล้ว เพราะฉะนั้น เลิกอยากที่จะให้มีกุศลมากๆ เพราะว่ากุศลที่ประเสริฐยิ่งกว่ากุศลอื่นคือความเข้าใจธรรม
เพราะฉะนั้น แทนที่จะไปอยากมีกุศลก็เข้าใจธรรม ขณะนั้นก็เป็นกุศลที่ดีกว่ากุศลอื่น ไม่เอาอันนี้ใช่ไหม แต่ไปอยากหาอย่างอื่นที่จะเป็นกุศลมากๆ แทนที่จะเป็นอกุศล
ผู้ฟัง ที่ผมกล่าวก็คือว่าทั่วๆ ไปที่ได้ยินได้ฟัง เมื่อวานได้สนทนาที่ใช้ชื่อว่าเมตตา ถ้าอบรมจนบ่อยๆ เนืองๆ ก็จะสะสมกุศลจิตก็จะเพิ่มขึ้น
ท่านอาจารย์ นี่เราคิดเอง มีเมตตามากเท่าไหร่ก็ยังเป็นเรา เพราะฉะนั้น ถึงจะเป็นคนดี เป็นคนเก่งมีความสามารถทำอะไรได้ทุกอย่าง แต่มีกิเลสยังมีความเป็นเราแล้วก็หาทางที่จะดีอย่างอื่น แต่ว่ายังคงเป็นเรา ตรงกันข้ามกับคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะเหตุว่าทรงแสดงความจริงให้รู้ว่าไม่มีเรา แต่มีธรรมที่เป็นกุศลธรรมและอกุศลธรรม
ถ้าเข้าใจอย่างนี้จริงๆ เลย เห็นโทษของอกุศล ทรงแสดงอกุศลไว้มากมายในพระไตรปิฎก ๔๕ พรรษา สำหรับคนที่ยังมากด้วยอกุศล ที่จะได้รู้ตามความเป็นจริงว่ามากอย่างนี้ เพราะฉะนั้น จึงเห็นโทษ แล้วก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้น
ปัญญาก็จะนำไปในกิจทั้งปวง ไม่ต้องห่วงเลย ปัญญาเหนือสิ่งอื่นใด เมื่อมีแล้วก็สามารถที่จะนำไปในกิจทั้งปวง ไม่ว่าในบ้าน นอกบ้าน ไม่ว่าพบใครที่ไหน เมื่อไหร่ปัญหาใดๆ ทั้งสิ้นปัญญานำไปในกิจทั้งปวง เพราะเหตุว่าเป็นกิจที่สำเร็จได้ แก้ไขได้ด้วยกุศลไม่ใช่ด้วยอกุศล
เอาอกุศลไปแก้ปัญหาทั้งหลาย ไม่มีทางที่จะสำเร็จได้ แต่ว่าปัญหาทั้งหมดเมื่อมีกุศลและปัญญาสามารถที่จะแก้ได้ ได้อย่างดีด้วย มั่นใจได้ในเรื่องปัญญาและกุศลไม่ต้องไปแสวงหาอย่างอื่น
ถ้ายังไม่รู้ว่าไม่เมตตาคืออะไรจะเจริญเมตตาได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ บางคนใจดีมากเลย แจกของก็เก่ง พบคนที่ลำบากเดือดร้อนช่วยเหลือได้ทันที แต่ว่าวาจาไม่ดี แล้วจะให้สมบูรณ์ครบถ้วนกว่านั้นดีไหม แทนที่ยังคงเก็บสิ่งที่ไม่ดีไว้ แค่วาจาทำให้คนฟังมีความสุข มีความเห็นใจ มีความเข้าใจ มีความเป็นมิตรพร้อมที่จะเกื้อกูล
คุณทวีชัยไม่ต้องไปทำอะไรมาก แค่พูด คนที่พบคุณทวีชัยก็มีความสุขแล้ว ดีไหมหรือว่าจะต้องไปแสวงหาอย่างอื่น
ผู้ฟัง ดี
ท่านอาจารย์ แล้วทำอยู่หรือเปล่า
ผู้ฟัง ประพฤติเท่าที่จะประพฤติได้
ท่านอาจารย์ ชีวิตประจำวันจริงๆ หรือเปล่า
ผู้ฟัง ใช่
ท่านอาจารย์ แค่พูด แต่พูดนั้นต้องมาจากใจดีด้วย ใจที่เป็นเพื่อน แล้วก็รู้เลยว่า คำพูดอย่างนี้เขาเสียใจ เขาน้อยใจ เขาขุ่นเคืองใจ เขาไม่พอใจ ใครได้ยินก็ไม่ชอบทั้งนั้นเลย
เพราะฉะนั้น กุศลจิตนั่นเอง ความเมตตานั้นเอง ที่เป็นเหตุทำให้กล่าววาจาที่เปลี่ยนจากเดิมได้ ก็เป็นกุศลในชีวิตประจำวันทั้งหมด ที่เป็นได้นี้ได้เมื่อมีความเข้าใจเพิ่มขึ้น เห็นไหมว่าทั้งหมดอยู่ที่ความเข้าใจ ที่บ้านของคุณทวีชัยคนในบ้านมีความสุขไหม
ผู้ฟัง ก็ต้องย่อมมี
ท่านอาจารย์ กายดีไหมของคุณทวีชัยทำให้เขามีความสุขไหม
ผู้ฟัง พอสมควรแก่ความเข้าใจ
ท่านอาจารย์ วาจาดีขึ้นไหม
ผู้ฟัง ดีขึ้นมาก
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ก็แสดงว่าได้รับประโยชน์จากความเข้าใจพระธรรม ยังต้องการอย่างอื่นอีกไหมก็ดีขึ้นเรื่อยๆ
ถ้าต้องการเมื่อไหร่ก็คือเป็นคนดีขึ้นเรื่อยๆ และก็ดีไม่ใช่หวังที่จะให้คนอื่นรัก หรือต้องการอะไรจากความดี แต่ปัญญาเห็นถูกว่าดีไม่ใช่อกุศล ไม่ใช่สิ่งที่เลว
แล้วก็ไม่สะสมความชั่วความเลวสักนิดหนึ่ง ไม่ว่าทางกาย ทางวาจา ถ้ามีความเข้าใจอย่างนี้ก็เป็นผู้ที่ช่วยคนอื่นด้วยไม่ให้เขาเดือดร้อนใจ และในขณะนั้นก็เป็นกุศลด้วย ไม่เห็นยากเลยหรือยาก ทุกอย่างอยู่ที่ใจ กลับไปคราวนี้ก็ดีขึ้นอีกใช่ไหม หรือว่าพรุ่งนี้ก็จะดีด้วย วันนี้ก็ดีด้วย เป็นคนดีทุกวัน
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1921
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1922
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1923
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1924
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1925
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1926
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1927
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1928
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1929
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1930
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1931
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1932
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1933
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1934
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1935
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1936
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1937
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1938
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1939
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1940
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1941
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1942
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1943
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1944
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1945
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1946
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1947
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1948
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1949
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1950
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1951
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1952
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1953
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1954
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1955
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1956
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1957
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1958
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1959
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1960
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1961
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1962
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1963
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1964
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1965
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1966
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1967
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1968
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1969
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1970
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1971
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1972
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1973
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1974
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1975
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1976
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1977
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1978
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1979
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1980
