ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1928
ตอนที่ ๑๙๒๘
สนทนาธรรม ระหว่างเดินทางไปนมัสการสังเวชนียสถาน ประเทศอินเดีย
วันที่ ๑๕ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๗
อ.คำปั่น วันนี้ก็เป็นโอกาสที่ดีที่มีค่าอย่างยิ่งที่ได้ร่วมกันเดินทางมาที่สังเวชนียสถาน แล้วก็มาที่พระนครสาวัตถีซึ่งเป็นสถานที่ๆ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับ และทรงแสดงพระธรรมอยู่ที่พระวิหารเชตวันซึ่งท่านอาจารย์ได้กล่าวนำบูชาพระวิหารเชตวัน มีข้อความตอนหนึ่ง ว่า
"ข้าพเจ้าขอถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง ขอถึงพระธรรมเป็นที่พึ่ง ขอถึงพระอริยสงฆ์เป็นที่พึ่งเพื่อศึกษาพระธรรมอบรมปัญญาอันเป็นเหตุให้ประพฤติปฏิบัติขัดเกลาละคลายกิเลสจนกว่ากิเลสทั้งปวงจะดับ หมดสิ้นไป"
กราบเรียนท่านอาจารย์ถึงสาระสำคัญของการที่มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง
ท่านอาจารย์ ธรรมคือชีวิตจริงไม่ได้อยู่ในหนังสือเลย เราฟังธรรมมานานและทุกขณะนี้ก็เป็นธรรม แต่ว่าธรรมหลากหลายมากเช่นเมื่อวานนี้ฝนตกซึ่งตั้งแต่มาอินเดียยังไม่เคยได้มีฝนตกที่พระเชตวันเลย
เพราะฉะนั้น ก็เป็นครั้งแรกที่ทำให้นึกถึง เมื่อ ๒๕๐๐ กว่าปีฝนก็ตกที่พระเชตวัน และพระภิกษุท่านก็มีชีวิตของท่านตามปกติ และก็มีเหตุการณ์ต่างๆ ซึ่งถ้าฟังต่อไปก็จะได้ทราบว่าแม้ฝนกำลังตกที่พระเชตวันก็ยังมีเหตุการณ์ที่กล่าวไว้ในพระไตรปิฏกด้วย
แต่ว่า ๒๕๐๐ ปีก็ผ่านไป นานหรือเปล่าก็ไม่ทราบ สำหรับคนที่ได้เคยได้เดินอยู่แถวนั้นเมื่อ ๒๕๐๐ กว่าปีก็จะได้เห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระอรหันต์สาวก เข้าออกที่ประตูพระเชตวันทำกิจปกติ ไม่ว่าท่านจะออกมาเพื่อที่จะเดินบิณฑบาต
ชาวสาวัตถีแถวนี้ก็ได้เห็นได้เฝ้าได้ฟังพระธรรม เพราะฉะนั้น ทางที่เรานั่ง และผ่านไปผ่านมาทั้งหมดไม่ว่าจะนั่งในรถ หรือว่านั่งที่นี่เดี๋ยวนี้ก็เป็นที่บุคคลในครั้งก่อนได้นั่ง นอน ยืน เดินมาแล้วทั้งนั้น
แล้วก็จะเป็นอย่างนี้ต่อไปอีกหลายพันปี แต่ว่าพระธรรมที่ได้ทรงแสดงไว้ที่พระวิหารเชตวันซึ่งได้จารึกเป็นพระไตรปิฏกจะคงอยู่อีกนานเท่าไหร่ ถ้าไม่มีการศึกษาไม่มีการฟังด้วยความเคารพอย่างยิ่ง ด้วยความละเอียดลึกซึ้งอย่างยิ่ง ไม่สามารถที่จะเข้าใจพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงเพราะลึกซึ้ง เป็นสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้แต่ความละเอียดของสภาพธรรมแต่ละหนึ่งเดี๋ยวนี่ทรงแสดงไว้ด้วยเทศนาซึ่งลึกซึ้งมาก
เพราะฉะนั้น การอ่านพระไตรปิฎกประโยชน์ก็คือว่าอ่านแล้วได้อะไร ไม่ใช่ตัวเราได้ แต่ความเห็นถูกเกิดขึ้นที่รู้ว่าถ้าไม่มีพระธรรมสักหนึ่งคำ เพียงแค่หนึ่งคำโลกก็จะมืด เราก็ไม่สามารถที่จะรู้ได้ว่าแม้แต่คำว่าธรรม ก็หมายความถึงสิ่งที่มีจริงๆ เดี๋ยวนี้เอง
เพราะฉะนั้น ธรรมเมื่อวานนี้ที่พระวิหารเชตวันเป็นอย่างไรบ้างชีวิตจริงของแต่ละคนหลากหลายมาก กำลังเดินเข้าสู่พระวิหารเชตวันกว่าจะถึงพระคันธกุฎี ความคิดมากมาย ใครคิดอะไรบ้าง คนอื่นรู้ไม่ได้เลย แต่ก็คิดแล้วเป็นอย่างนั้นแล้ว แล้วก็ดับหมดไปแล้ว
โดยที่ว่าไม่รู้เลยว่าพระธรรมที่ได้ทรงแสดงมาแล้วที่เราฟังบ่อยๆ ขณะนั้นสามารถที่จะเกิดเข้าใจลักษณะของธรรมที่กำลังปรากฏจริงๆ หรือเปล่า ยากมากลึกซึ้งมาก คิดก็เป็นธรรมแล้วคิดเกิดขึ้นโดยไม่ได้เตรียมตัวมาก่อน
บางคนอาจจะคิดว่าขณะที่เดินประทักษิณก็จะคิดถึงธรรมหรือว่าจะกล่าวคำว่านะโม ตัสสะ ภควโต แต่จริงๆ ความคิดเกิด
เกิดแล้วแต่ละคนก็รู้ว่าเมื่อวานนี้เป็นอย่างนี้หรือเปล่า แต่อย่างไรก็ตามไม่ใช่ให้ติดข้อง แต่ให้เห็นความเป็นอนัตตาบังคับบัญชาไม่ได้เลย เตรียมคิดอย่างไร ก็ไม่เหมือนคิดซึ่งเกิดแล้วดับแล้วในขณะนั้น
และขณะนี้ตั้งแต่เช้ามาก็คิดมากมายหลายเรื่องทั้งเห็นด้วยได้ยินด้วยก็ไม่เข้าใจสภาพธรรม ทั้งๆ ที่ได้ยินได้ฟังเสมอทีเดียวไม่เปลี่ยน ว่าทุกขณะเป็นสิ่งที่มีจริงซึ่งเกิดแล้วปรากฏแล้วก็ดับไปไม่ใช่เรา
เพราะฉะนั้น กว่าจะได้ฟังจนกระทั่งสามารถ ที่จะไม่ว่าอยู่ที่พระวิหารเชตวันฝนจะตก หรือว่าวันไหนก็ตามสามารถที่จะรู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏถูกต้องตามความเป็นจริงว่า ไม่ใช่เราแต่ลักษณะของธรรมแต่ละหนึ่งก็คือปกติในชีวิตประจำวัน
เพราะฉะนั้น การที่ปัญญาสามารถที่จะถึงการเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมเดี๋ยวนี้ หรือเมื่อไหร่ก็ตามซึ่งเป็นธรรมทั้งหมดได้ ก็ต้องอาศัยกาลเวลาที่จะต้องฟังแล้วก็มีความเข้าใจ พร้อมทั้งการ ละความติดข้องว่าเป็นเรา
ก็เป็นสิ่งซึ่งเมื่อ ๒๕๐๐ กว่าปีพระธรรมที่ทรงแสดงก็อย่างนี้เอง และต่อมาอีกใครที่เข้าใจก็สามารถที่จะรู้ได้ว่าธรรมเปลี่ยนไม่ได้เลย ก่อนการตรัสรู้ธรรมก็เป็นธรรม ตรัสรู้แล้วก็เป็นอย่างนี้และต่อไปอีก
แต่ที่สำคัญที่สุดคือการได้ยินได้ฟัง แล้วก็การมีโอกาสได้พิจารณา และได้เข้าใจขึ้น จะมากหรือจะน้อยเป็นเรื่องซึ่งใครจะรู้ สภาพธรรมทางตาละคลายความเป็นเรา เพราะรู้ว่าเป็นสภาพธรรมที่เพียงเกิดดับ หรือได้ยินเดี๋ยวทั้งหมดเลยต้องเป็นปกติ
เพราะฉะนั้น ผู้นั้นก็เป็นผู้ที่อดทน พร้อมด้วยบารมีทั้ง ๑๐ เพราะว่าโอกาสที่จะได้ฟังพระธรรมใครจะรู้ว่ามากน้อยเท่าไร ถ้าขณะนี้ตาก็ยังดียังมองเห็น หูก็ยังดี ใจคิดนึกได้ตามที่ได้ฟัง แต่ว่าวันไหนที่ตาก็ไม่เห็น หูก็ไม่ได้ยินก็ไม่มีโอกาสที่จะได้ฟังพระธรรมที่ได้ทรงแสดงไว้แล้ว ๒๕๐๐ กว่าปี บางคนก็บอกว่า ๓๐๐๐ ปีแล้ว ก็อะไรก็แล้วแต่ ตอนนี้ก็ชักจะมีคนเริ่มคิดว่า ๒๕๐๐ ปีจริงๆ หรือเปล่า
อาศัยหลักฐานของสถานที่ของโบราณวัตถุ เพราะฉะนั้น เป็นเพียงความคิดแต่ไม่มีความสำคัญเท่ากับพระธรรมไม่ว่าจะเป็นกาลไหนก็ตาม พระธรรมไม่เปลี่ยน เพราะฉะนั้น ขณะนี้ทุกคนกำลังฟัง เข้าใจสิ่งที่กำลังได้ยินแต่ว่ายังไม่เข้าถึงลักษณะของสภาพธรรมะเดี๋ยวนี้ซึ่งเป็นจริงตรงตามที่ได้ฟัง
เพราะฉะนั้นเมื่อวานนี้ต้องเป็นผู้ที่ตรงจริงใจ ขอถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งไม่ได้พึ่งอย่างอื่นเลย แต่พึ่งเพื่อที่จะได้ เคารพอย่างสูงสุดในขณะที่มีความเข้าใจคำที่ได้ฟัง
เพราะฉะนั้น แต่ละคำที่ได้ฟังแล้วคิดถึงใครทันที พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง มิฉะนั้นก็ไม่มีโอกาสที่จะได้ฟัง สำหรับขอถึงพระธรรมเป็นที่พึ่งถ้าไม่มีการได้ยินได้ฟังธรรมเลยคิดเอง ไม่มีพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง และก็ไม่มีพระธรรมเป็นที่พึ่งด้วย
เพราะฉะนั้น ถ้าเป็นธรรมที่ทรงแสดงต้องเป็นเรื่องของสิ่งที่มีจริงในขณะนี้และทุกขณะ ซึ่งทำให้สามารถที่จะเข้าใจความจริงของสิ่งที่มี ละเอียดยิ่งขึ้น แล้วเมื่อไหร่ที่ยังไม่เป็นอย่างนี้ไม่มีการละคลายความเป็นเราเพราะไม่รู้ความจริงนานแสนนานมาแล้ว
ด้วยเหตุนี้นี่ก็เป็น ณ กาลครั้งหนึ่งในปีนี้ ซึ่ง ณ กาลครั้งหนึ่ง ๒๕๐๐ กว่าปีเป็นมาแล้วแต่ไม่มีใครจำได้แต่ไม่มีใครรู้ แต่ก็มีศรัทธาที่ได้ยินได้ฟังจนกระทั่งสามารถที่มีโอกาสจะได้ฟังอีกแล้วเข้าใจอีก เพราะฉะนั้น มีพระธรรมเป็นที่พึ่งเมื่อเข้าใจธรรม ที่จะสามารถทำให้ละคลายกิเลส และดับกิเลสได้
มิฉะนั้นก็คือฟังทำไม ต้องเป็นผู้ตรง ฟังเพื่อเข้าใจ เข้าใจทำไม ก็มีกิเลสมาตั้งมากมายแล้วจะปล่อยให้กิเลสนั้นเพิ่มพูนไปเรื่อยๆ หรือ และหนทางที่จะค่อยๆ ละคลายก็มีทางเดียว ปัญญาความเห็นถูกเมื่อไหร่ก็ละความเห็นผิดซึ่งเป็นเหตุให้เกิดกิเลสมากมายพิสูจน์ได้เลย
เพราะฉะนั้น ก็ขาดการฟังไม่ได้เพื่อจะถึงความเป็นบุคคลที่ดับกิเลสหมดโดยฐานะของสาวกคือเป็นพระอริยสาวก อีกเมื่อไหร่ไม่สำคัญเลยเพราะนี่คือ ณ กาลครั้งหนึ่งที่มีโอกาสได้มาถึงพระวิหารเชตวัน แม้ว่าเหตุการณ์จะผ่านไปนาน แต่พระเชตวันก็จะมีคนมาอีกเรื่อยๆ แต่ว่าผู้ที่มาก็ขึ้นอยู่กับความเข้าใจ เห็นประโยชน์เห็นคุณของพระรัตนตรัย มากน้อยแค่ไหน
เพราะฉะนั้น การบูชาสูงสุดก็คือการได้ฟังพระธรรม และก็เข้าใจซึ่งจะเป็นการดำรงรักษาพระศาสนาไว้สำหรับบุคคลต่อๆ ไปด้วย เพราะเหตุว่าวันหนึ่งก็จะไม่มีใครเข้าใจพระธรรม ถึงแม้ว่าขณะนี้ยังมีการได้ยินได้ฟัง แล้วก็มีพระไตรปิฎกที่จารึกสืบๆ ต่อกันมา
แต่คนที่ไม่ได้ฟังเลยหรือเข้าใจผิด พระธรรมก็อันตรธานจากคนนั้น ไม่ต้องคอยจนถึง ๕๐๐๐ กว่าปี แต่ว่าเมื่อไรก็ตามที่ไม่มีใครเข้าใจพระศาสนา ก็อันตรธานจากคนคนนั้น
เพราะฉะนั้น ทุกคนรู้สึกว่าเป็นชาวพุทธที่ใคร่ที่จะดำรงพระพุทธศาสนาไว้ ก็มีหนทางเดียวเมื่อเข้าใจพระธรรม และจะเข้าใจพระธรรมได้ต่อเมื่อไม่ขาดการฟัง ที่มาอินเดียนี้กี่ธาตุ นับธาตุถ้วนใช่ไหม แต่ละหนึ่ง และแต่ละหนึ่งก็แตกย่อยเป็นธาตุต่างๆ ธาตุเห็น นับไม่ถ้วน ธาตุได้ยินนับไม่ถ้วนเกิดแล้วดับ ก็เกิดใหม่อีกตามเหตุตามปัจจัยไม่สิ้นสุด
เพราะฉะนั้น จะเห็นได้ทุกวันเปลี่ยน ไม่มีการที่จะย้อนกลับไปได้เลย เพราะฉะนั้น จากวันนี้จะถึงวันหนึ่งข้างหน้าซึ่งก็ไม่รู้ได้ว่ามีโอกาสที่จะได้พบท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีหรือเปล่า ท่านอยู่สวรรค์ชั้นดุสิต
แต่ว่าชั้นดุสิตสามารถที่จะลงมาชั้นต่ำได้แต่ชั้นต่ำ เทวดาชั้นต่ำก็ไม่สามารถที่จะขึ้นไปชั้นสูงได้ เพราะฉะนั้น เราก็ไม่รู้ต่อไปข้างหน้าจะเป็นอะไร โอกาสที่ประเสริฐที่สุดคือขณะที่ได้ฟัง และเข้าใจพระธรรม
อ.กุลวิไล ท่านอาจารย์กล่าวถึงการมีพระพุทธเป็นที่พึ่งพระธรรมเป็นที่พึ่ง แต่พระสงฆ์เป็นที่พึ่งอย่างไร
ท่านอาจารย์ ฟังธรรมเพื่ออะไร
อ.กุลวิไล ความเข้าใจธรรม และความเห็นถูกตามที่ทรงแสดง
ท่านอาจารย์ สาวกคือผู้ฟังแต่ต้องรู้ด้วยฟังเพื่ออะไร เพื่อรู้ความจริงเพื่อถึงการดับกิเลสใช่หรือเปล่า เพราะฉะนั้น ตราบใดที่ยังไม่ถึงการดับกิเลสก็ฟังต่อไป จนธรรมเป็นที่พึ่งเมื่อได้รู้แจ้งอริยสัจธรรมเป็นรัตนะ ๑ ในรัตนะ ๓
มิฉะนั้นก็จะมีแต่พระพุทธรัตนะ มีพระธรรมรัตนะ แต่เมื่อมีพระสังฆรัตนะด้วยก็หมายความถึงพระอริยะบุคคลซึ่งได้สามารถรู้ความจริงตามที่ได้ทรงแสดง ดับกิเลสได้ตามลำดับ
อ.กุลวิไล ยุคนี้ถ้าหากผู้ที่เข้าใจว่าการที่จะมีพระสงฆ์หรือพระสังฆรัตนะเป็นที่พึ่งก็อาจจะไปแสวงหาพระที่เป็นพระอริยบุคคล แต่ท่านอาจารย์ให้ความเข้าใจว่าผู้นั้นจะต้องเป็นผู้ที่เข้าใจธรรมเพื่อเป็นไปเพื่อการขัดเกลากิเลสของตนเองนั่นเอง
อ.คำปั่น ท่านอาจารย์ได้กล่าวเป็นเบื้องต้นว่าการที่จะเข้าใจธรรมได้ก็ต้องมีการฟังมีการศึกษา
ถ้าย้อนไปในสมัยพุทธกาลที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ผู้ที่เป็นอุบาสกอุบาสิกาก็เข้าไปเฝ้าพระองค์ และฟังพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง
พุทธบริษัทในสมัยพุทธกาลเข้าใจธรรมด้วยการฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงฉันใด พุทธบริษัทในสมัยนี้จะเข้าใจธรรมจะเข้าใจความจริงก็ต้องได้ฟังได้ศึกษาพระธรรมตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงเช่นเดียวกัน
เพราะว่าขณะนี้ก็ยังเป็นช่วงเวลาที่พระธรรมคำสอนยังดำรงอยู่ พระธรรมสำหรับผู้ที่สะสมเหตุที่ดีมาแล้ว ที่จะได้ฟังที่จะได้ศึกษาได้สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกต่อไป
เพื่อความเข้าใจยิ่งขึ้นในช่วงต่อมาก็จะขอกราบเรียนท่านอาจารย์ถึงความเข้าใจถึงความเป็นจริงของสภาพธรรม ซึ่งในตอนต้นท่านอาจารย์ได้กล่าวถึงว่าเข้าไปที่พระวิหารเชตวัน ก็มีสภาพธรรมที่กำลังมีกำลังปรากฏ เพราะฉะนั้น ในความเป็นจริงของความหมายของคำว่าธรรมที่แท้จริงแล้วเป็นอย่างไร
เพราะว่าได้สนทนาธรรมกับสหายธรรมบางท่านก็บอกว่าท่านแสวงหาความหมายของคำว่าธรรมมานานแสนนาน
กราบเรียนท่านอาจารย์ในความเข้าใจเบื้องต้นถึง ความเป็นจริงของธรรม
ท่านอาจารย์ ในยุคที่ผ่านมาแล้ว พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ และทรงแสดงความจริง ซึ่งสามารถที่จะรู้ได้แต่ว่าพูดกันคนละภาษา
เพราะเหตุว่าภาษาไทยเราก็ใช้ภาษาไทย แต่ชาวเมืองมคธหรือชาวสาวัตถีก็ไม่ได้ใช้ภาษาไทย
เพราะฉะนั้น คำว่าธรรมไม่ใช่ภาษาไทย แต่ว่าชาวเมืองนั้นพอพูดว่าธรรมเข้าใจเพราะเป็นภาษาที่ใช้อยู่ แต่ถึงแม้ว่าจะพูดภาษาอะไรก็ตาม พระธรรมที่ทรงแสดงต้องฟังให้เข้าใจและศึกษาจริงๆ เช่นภาษาไทยบอกว่าสิ่งที่มีจริงขณะนี้
ภาษาไทยเข้าใจได้ใช่ไหม คนไทยบอกว่าสิ่งที่มีจริงๆ เดี๋ยวนี้ และก็ถามคนที่ฟังแล้วว่าเข้าใจแล้ว และเดี๋ยวนี้สิ่งที่มีจริงมีไหม สิ่งที่มีจริงขณะนี้ แล้วก็เปลี่ยนคำเสียนิดเดียว เดี๋ยวนี้กำลังนั่งอยู่ที่มีสิ่งที่มีจริงๆ ไหม มี แล้วสิ่งที่มีจริงที่ว่ามีอะไรถ้าตอบแล้วต้องบอกได้ ถ้าบอกว่ามี ก็ต้องตอบได้ว่าอะไรเป็นสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้
ถ้าตอบไม่ได้ก็ไปหาธรรม หาไปเถอะแต่ว่าสิ่งที่มีจริงก็ยังคงมีจริงโดยไม่รู้ว่าเป็นสิ่งที่มีจริงนั่นเอง เพราะฉะนั้น เท่าที่ได้ฟังตอนแรกก็จะงงมากเลย
สิ่งที่มีจริงแค่ภาษาไทยก็ยังไม่รู้ว่าเดี๋ยวนี้อะไรจริง แต่พอได้ฟังแล้วไม่ปฏิเสธ ไม่มีใครสามารถที่จะคิดว่าสิ่งที่ได้ฟังนั้นไม่จริง เห็นเดี๋ยวนี้จริงหรือเปล่าเห็นไหม
เห็นเดี๋ยวนี้จริงไหม จริง ภาษาบาลีมคธีก็ใช้คำว่าเป็นธรรม สิ่งหนึ่งที่มีจริง ตรงกันเลย ได้ยินมีจริงไหม แล้วจะไปหาธรรมที่ไหน มีอยู่แล้วทุกวันแต่ไม่เคยรู้ว่าเป็นธรรม
เพราะฉะนั้น ถ้าใครคิดจะไปหาธรรมคนนั้นไม่รู้จักธรรมเพราะธรรมมีแล้ว แต่ถ้าไม่มีการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็จะไม่เข้าใจเลยว่าสิ่งที่มีจริงขณะนี้เป็นธรรม มีจริงๆ เพราะอะไร
เพราะฉะนั้น การฟังธรรมต้องละเอียดมากแล้วก็คิดตามด้วยไม่เอาความคิดของเราเอง ไปอ่านหนังสือเล่มนั้นมาเล่มนี้บอกว่าอย่างนี้อย่างนั้น แต่คิดเองในขณะนี้ว่าเห็นมีจริงเมื่อไหร่เมื่อกำลังเห็น
หมายความว่าเห็นต้องเกิด ถ้าไม่เกิดไม่มีเห็น ถูกต้อง แล้วในขณะที่กำลังเห็นก็มีได้ยินด้วย แล้วก็มีคิดนึกด้วย แต่ได้ยินไม่ใช่เห็น คิดนึกไม่ใช่เห็น
เพราะฉะนั้น เห็นความละเอียดว่าเห็นเป็นสิ่งที่มีจริงหนึ่ง ได้ยินเป็นสิ่งที่มีจริงหนึ่ง คิดนึกก็เป็นสิ่งที่มีจริงหนึ่ง แต่ละหนึ่งต้องมีการเกิดขึ้น แต่ดูเหมือนว่าพร้อมกัน แต่ความจริงพร้อมไม่ได้เลย
จากการที่ทรงตรัสรู้ ตรัสรู้ถึงว่าขณะที่เห็น เห็นเกิดขึ้นทำหน้าที่เห็นแล้วก็ดับไป เห็นใครไปหาตัวเห็นได้ไหม กำลังเห็นไปหาที่อื่นได้ไหมไม่มีทางเลย เพราะว่าจะพ้นจากเห็นที่เกิดเห็นไม่ได้เลย
เพราะฉะนั้น ขณะนั้นก็จะเริ่มมีความเข้าใจที่น้อยมาก ถ้าจะหาธรรม เห็นเป็นธรรมเป็นสิ่งที่มีจริงเกิดขึ้นเห็นแล้วก็ดับไป ไม่ต้องไปหาที่ไหนเลย แต่ยากที่จะรู้ขณะที่เห็นเกิดเห็นแล้วดับ ได้ยินเกิดได้ยินแล้วดับ คิดนึกเกิดคิดนึกแล้วก็ดับ
เพราะฉะนั้น แต่ละขณะสั้นมาก เกิดขึ้นโดยบังคับบัญชาไม่ได้เลย ยับยั้งก็ไม่ได้ เกิดแล้วไม่ให้ดับไปก็ไม่ได้ เกิดแล้วจะไม่ให้เกิดก็ไม่ได้ นี่คือธรรมที่ทรงแสดงว่าเป็นอนัตตา หมายความว่าไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น
เดี๋ยวนี้ธรรมทั้งหมด เกิดแล้วด้วยแล้วก็ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร แล้วจะเป็นอย่างนี้เรื่อยไปในสังสารวัฎไม่มีวันจบสิ้น โดยที่ถ้าไม่รู้ความจริงเมื่อไหร่ก็มีเหตุที่จะให้สภาพธรรมเกิดเหมือนที่เกิดในโลกนี้เพราะมีเหตุคือความไม่รู้จึงทำให้เกิดขึ้นแ ล้วก็อยู่ไปด้วยความไม่รู้จากโลกนี้ไปก็ยังไม่รู้
เพราะฉะนั้น จากโลกนี้ไปแล้วก็มีธรรมที่เกิดขึ้นเพราะความไม่รู้เหมือนตลอดชาตินี้ เพราะฉะนั้น การฟังธรรมต้องไม่คิดเองแล้วก็เริ่มฟังเเล้วก็ค่อยๆ เข้าใจว่ากว่าจะรู้ความจริงต้องอาศัยกาลเวลาที่ยาวนานมาก และก็จะปราศจากการฟังแล้วก็ค่อยๆ พิจารณาตามไม่ได้เลย
เพราะฉะนั้น ไม่ใช่ฟังแล้วลืมแต่ว่าก็ลืม ถึงจะบอกว่าไม่ใช่ฟังแล้วลืม แต่จริงๆ ก็ลืม เพราะว่าต่อไปนี้ถ้าจำได้ก็คือว่าไม่ต้องไปหาธรรมที่ไหนเลย มีแล้ว
เพราะฉะนั้น มีแล้ว ลืมว่าอะไรเป็นธรรมก็สิ่งที่มีจริงๆ กำลังโกรธขุ่นใจเกิดแล้วมีแล้วเป็นธรรม อะไรก็ตามที่เกิดแล้วมีแล้วทุกขณะในชีวิตเป็นธรรมทั้งหมด เห็นเป็นธรรม ได้ยินเป็นธรรม เสียใจเป็นธรรม ดีใจเป็นธรรม ทุกอย่างที่มีที่เกิดขึ้นทั้งหมดเป็นธรรมจะยากหรือ รู้แต่สิ่งที่มีจริงโดยชื่อ แต่ความจริงขณะที่ฟังเริ่มค่อยๆ สะสมความเข้าใจทีละเล็กทีละน้อย จนกว่าเมื่อไหร่ปกติทั้งวันเป็นธรรมอย่างละเอียดยิ่ง
และก็ไม่ใช่ว่าจำว่าเป็นธรรม แต่ลักษณะที่เป็นธรรมปรากฏว่าเป็นธรรมจริงๆ แต่ละหนึ่ง อย่างแข็งมีไหมชีวิตประจำวัน ใครทำให้เกิดขึ้น เกิดแล้วต่างหาก แต่ว่าพอจะหาธรรมก็คือว่าอาจจะไม่รู้ว่าแข็งนี่แหละเดี๋ยวนี้ตามปกติเกิดแล้วเป็นธรรมคือเป็นสิ่งที่มีจริง
เพราะฉะนั้น ไม่ยากใช่ไหม มีแล้วแต่ไม่รู้แต่ที่ยากคือถึงเเม้ก็ไม่รู้ ถึงแม้กำลังกระทบขณะนี้ แข็งทุกคนมีแข็งกระทบ แต่ที่จะรู้ว่านั่นแหละเป็นธรรมเพราะเหตุว่าเพียงปรากฏ และก็ไม่ใช่อะไรเลย
เคยเป็นโต๊ะ เป็นแขน เก้าอี้อะไรทั้งหมดก็คือลักษณะนั้นเปลี่ยนไม่ได้เป็นแข็ง แข็งเป็นแข็ง เห็นเป็นเห็น คิดเป็นคิด จำเป็นจำ ดูง่ายดีใช่ไหม ไม่ว่าอะไรทั้งนั้นเลย
โกรธเป็นโกรธ ชอบเป็นชอบอร่อยเป็นอร่อย คือทุกขณะหมดเลยอาจจะเรียกชื่อ แต่ถึงเวลาเข้าใจจริงๆ ไม่ต้องเรียกชื่อเพราะว่าลักษณะนั้นไม่จำเป็นต้องมีชื่อเพราะปรากฏแล้วหมดไปแล้ว
รับประทานอาหารมีรสต่างๆ เมื่อสักครู่นี้กาแฟหวานไหม ลักษณะที่หวานมีจริงๆ ทันทีที่ปรากฏดับแล้ว ก็เป็นชีวิตซึ่งกว่าจะมีการเข้าใจสิ่งละอันพันละน้อยที่มีจริงในชีวิตประจำวันก็ต้องค่อยๆ สะสมการฟังต่อไป
เพราะแม้แต่ลืมก็ไม่ใช่เราไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา แม้แต่จำหรือคิดได้ขณะนั้นก็เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย
เพราะฉะนั้น เมื่อรู้จักธรรมแล้วก็จะค่อยๆ เห็นความเป็นอนัตตา จะเป็นเราได้อย่างไร แค่ปรากฏนิดเดียว ดับแล้วหมดแล้วไม่เหลือเลย
เมื่อวันก่อนคงจะเคยได้ยินคำว่าไม่มีใช่ไหม เสียงยังไม่มี แล้วเสียงมี แล้วก็หายไปแล้ว เพราะฉะนั้น จากที่ไม่มีเลย ก็เกิดมีขึ้น แล้วก็หมดไป เป็นอย่างนี้ทั้งหมดทุกขณะ ไม่ใช่แต่เฉพาะเสียง
ถ้ามีกลิ่น ตอนแรกกลิ่นก็ไม่ปรากฏ แล้วกลิ่นก็ปรากฏ และกลิ่นก็หายไป
เพราะฉะนั้น ไม่มีอะไรเหลือเลยแม้แต่ที่เข้าใจว่าขณะนี้กำลังเห็น เห็นเกิดขึ้น จากที่ไม่เห็น นอนหลับสนิทนี่ไม่เห็นเลย อย่างไรๆ ก็ไม่เห็นแล้วก็ไม่ได้หลับอีกต่อไป
เห็น แล้วก็ไม่มีเห็น เพราะว่ามีเสียง หรือมีอย่างอื่นที่ปรากฏแทน เพราะฉะนั้น ในขณะที่กำลังเห็น และก็มีได้ยินหรือแข็งปรากฏขณะนั้นสิ่งที่เข้าใจว่ายังเห็นอยู่ต้องไม่มี
เพราะเหตุว่าในขณะนั้นได้ยินกับแข็งทีละอย่าง ต้องทีละอย่าง จึงจะรู้ว่าแต่ละหนึ่งเป็นธรรม เพราะฉะนั้น ท่านใช้คำว่ากิจที่พึงกระทำคือเกิดมาแล้วด้วย เราก็มีกิจมากมายในทางอื่น แต่กิจหนึ่งซึ่งเป็นความเข้าใจถูกก็คือฟังพระธรรมแล้วก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้น โดยที่กิจอื่นก็ยังทำได้ใช่ไหม ไม่ใช่ว่าต้องไม่ทำกิจนั้นๆ แล้วก็มาฟังพระธรรมอีกกิจหนึ่ง
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1921
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1922
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1923
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1924
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1925
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1926
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1927
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1928
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1929
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1930
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1931
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1932
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1933
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1934
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1935
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1936
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1937
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1938
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1939
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1940
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1941
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1942
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1943
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1944
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1945
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1946
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1947
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1948
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1949
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1950
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1951
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1952
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1953
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1954
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1955
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1956
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1957
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1958
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1959
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1960
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1961
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1962
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1963
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1964
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1965
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1966
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1967
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1968
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1969
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1970
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1971
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1972
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1973
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1974
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1975
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1976
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1977
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1978
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1979
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1980
