ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1938


    ตอนที่ ๑๙๓๘

    สนทนาธรรม ระหว่างเดินทางไปนมัสการสังเวชนียสถาน ประเทศอินเดีย

    วันที่ ๑๕ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๗


    ท่านอาจารย์ ทุกอย่างอยู่ที่ใจ กลับไปคราวนี้ก็ดีขึ้นอีกใช่ไหม หรือว่าพรุ่งนี้ก็จะดีด้วย วันนี้ก็ดีด้วย เป็นคนดีทุกวัน

    พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ต้องการดอกไม้เครื่องบูชาทรัพย์สินเงินทองใดๆ เลย แต่ให้ผู้ที่ได้รู้จักพระองค์ได้เฝ้า ได้ฟังพระธรรม และมีความเห็นถูก มีความเข้าใจถูกเพื่อตัวของเขาเอง

    ผู้ฟัง คือผมก็ทำคล้ายๆ กันก็คือช่วงเย็นๆ ก็นั่งพิจารณาตัวเองว่า วันนี้ได้ทำอกุศลอะไรไปบ้าง ก็จะได้ปรับปรุงตัว อย่างนี้ทำได้ไหม

    ท่านอาจารย์ ปรับปรุงตัวก็ยังเป็นเรา แต่ปรับปรุงจริงๆ เมื่อปัญญาเกิดขึ้นสามารถที่จะรู้อกุศลขณะนั้นทันที ไม่ต้องทำแล้ว จบแล้ว ตอนเย็นมานั่งคิด แก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว เพราะฉะนั้น ทุกครั้งที่สภาพธรรมที่ดีงามเกิดจะมีสภาพธรรมอย่างหนึ่งซึ่งเราได้ยินบ่อยๆ คือสติ ไม่ใช่จิต

    จิตเป็นใหญ่เป็นประธานในการที่ขณะนี้เห็นบ้าง ได้ยินบ้าง แต่เจตสิกที่เกิดร่วมด้วยก็มีลักษณะต่างๆ กันไป เจตสิกที่ต้องเกิดกับจิตทุกประเภทก็มีทั้งดีทั้งชั่ว และเจตสิกที่เป็นฝ่ายอกุศลเป็นอกุศลเจตสิกจะเกิดพร้อมกับสภาพธรรมที่ดีงามไม่ได้เลย และสภาพธรรมที่ดีงามก็ไม่ปะปนกันกับอกุศล เรียกว่าเป็นโสภณเจตสิก เพราะสามารถที่จะเป็นกุศลซึ่งเป็นเหตุก็ได้ เป็นผลก็ได้ หรือเป็นกิริยาเพราะโสภณเจตสิกที่ดีงามไม่เป็นเหตุให้เกิดผล เพราะฉะนั้น จึงเป็นกิริยา อย่างที่เราเคยได้ฟังว่ากุสลาธัมมา อกุสลาธัมมา อัพยากะตาธัมมา

    เพราะฉะนั้น ความดีมีหลายขั้น ความดีที่คุณหมอคิดว่าเราทำมาแล้วมากไหมวันนี้ ทำอะไรบ้าง พวกนี้ก็ยังคงเป็นตัวเรา ไม่ใช่ปัญญาที่สามารถรู้ว่าขณะนั้นไม่ใช่เราในขณะที่สภาพนั้นกำลังปรากฏ เวลานั้นยังไม่มาถึง

    แต่ขณะนี้กำลังฟังเพื่อเข้าใจขึ้นๆ สำหรับเป็นปัจจัยที่จะให้เมื่อมีสิ่งใดปรากฏก็สามารถที่จะเข้าใจได้ในขณะนั้นทันที ในความเป็นธรรมที่ไม่ใช่เราตามลำดับขั้น เพราะขั้นนั้นยังไม่มี ต้องอาศัยปัญญาอีกระดับหนึ่ง ซึ่งไม่หวั่นไหวมั่นคงเป็นสัจญาณว่าขณะนี้เป็นธรรมแน่นอน เกิดแล้วแน่นอน จนกระทั่งขณะนั้นเมื่อพร้อมที่จะเข้าใจธรรม ซึ่งเราไม่รู้ว่าธรรมอะไร กะเกณฑ์ไม่ได้ ทั้งหมดเป็นอนัตตา คำนี้ลืมไม่ได้เลย เพราะว่าเป็นคำที่จริงแท้สูงสุดที่ว่าจะทำให้ละกิเลสทั้งปวงได้ คือทุกอย่างที่มีจริงเป็นธรรม แล้วก็เป็นอนัตตา แต่เรากำลังเป็นอัตตาไปนั่งทบทวน

    เพราะฉะนั้น ความเป็นอนัตตาก็คือว่า ฟังจนกระทั่งมั่นคงว่าไม่มีเรา แต่ขณะนี้เป็นธรรม และก็จนถึงขณะซึ่งไม่ว่าจะเป็นกุศลและอกุศลเกิด ปัญญาสามารถรู้ว่าขณะนั้นไม่ใช่เราว่าเป็นกุศลหรือเป็นอกุศลซึ่งไม่มีใครสามารถรู้ได้เพราะหมดแล้ว

    เพราะฉะนั้น ถ้าถามว่า เมื่อสักครู่นี้คิดอะไร คิดก็ไม่รู้หมดแล้ว ทางตาก็คิด ทางหูก็คิด ทางใจก็คิด แล้วจะถามว่าคิดอะไร เร็วมากจนบอกไม่ถูก เมื่อครู่นี้คิดอะไร เพราะแม้เดี๋ยวนี้ก็กำลังคิดจากสิ่งที่ปรากฏทางตาว่าเป็นใคร

    เพราะฉะนั้น ธรรมละเอียดมากขอเพียงฟังแล้วก็ไม่ต้องคิดเองเลยทั้งหมด ทุกคำมีอยู่ในพระไตรปิฏกละเอียดยิ่ง แม้แต่ข้อความที่เวลาที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะทรงแสดงพระธรรมจะตรัสเรียกเรียกในภาษาไทยว่า ดูกรภิกขุ มีคำอธิบายด้วย ไม่ต้องไปนั่งคิดเองว่าแม้แต่จะแสดงธรรมก็เรียกก่อนว่า ดูกรภิกขุ เพราะเหตุว่าเพื่อบุคคลนั้นจะได้รู้สึกตัว ไม่ฟุ้งซ่าน เพราะว่าขณะใดก็ตามที่พระผู้มีพระภาคยังไม่ได้ตรัสแสดงธรรม กำลังคิดอะไรกัน ทุกคนที่มานั่งที่นี่ก่อน และยังไม่มีคำพูดใดๆ เรื่องธรรมเลยต่างคนก็ต่างคิด ถ้าพระสัมมาสัมเจ้าจะตรัสไปเลย เลยไปแล้ว ไม่ได้ฟัง แล้วตรัสว่าอะไรตั้งแต่ต้น

    ด้วยเหตุนี้ ขณะที่กำลังจะแสดงธรรม ทอดพระเนตรลง เพราะว่าประทับในที่สูงกว่าพระหฤทัยเปี่ยมด้วยพระมหากรุณาตรัสเรียก ดูกรภิกขุ เพื่อให้ตั้งใจฟัง เพราะเหตุว่าถ้าไม่ตั้งใจฟัง เสียง และพยัญชนะก็คลาดเคลื่อน จะทำให้ไม่สามารถที่จะเข้าใจในธรรมและเทศนาซึ่งลึกซึ้ง ใครเล่าที่จะตรัสแต่ละคำจากการที่ตรัสรู้ความจริงของสิ่งนั้น จากการที่ได้บำเพ็ญบารมี ดับกิเลสหมดประกอบพร้อมด้วยพระญาณต่างๆ ถึงความเป็นพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้า

    เพราะฉะนั้น แต่ละคำไม่ต้องไปคิดเองมีแล้วในพระไตรปิฏกทั้งหมด อยากรู้คำไหนอ่านเลย แล้วก็เข้าใจได้จากการที่เรามีพื้นฐาน ที่เข้าใจว่าสิ่งที่มีในขณะนี้มีจริงๆ แต่ไม่ใช่เรา เป็นธรรมซึ่งเป็นอนัตตา คำนี้อีกกี่ชาติกว่าที่คำนี้จะไม่เปลี่ยน พอได้ยินคำนี้เข้าใจได้ทันที เหมือนอย่างผู้ที่ได้สะสมมามากแล้ว และปัญญาก็เคยอบรมมาแล้วมาก พอได้ยินคำนี้สามารถเข้าใจ เมื่อฟังพระธรรมเทศนาแล้วก็ได้เป็นพระโสดาบันบุคคลเป็นพระอริยะบุคคล

    ที่คยาก็มีเหตุการณ์ในครั้งอดีตเมื่อครั้งที่พระผู้มีพระภาคยังไม่ปรินิพพาน ก็มีหญิงทาสีคนหนึ่งชื่อรัชชุมาลา ชื่อนี้มีคำแปล ขอเชิญคุณคำปั่น

    อ.คำปั่น ชื่อรัชชุมาลา ก็เพราะเหตุว่าถูกเจ้านายทำร้ายจิกผม เพื่อที่จะมีการตีเข่าสับศอกได้สะดวก แสดงถึงความใจร้าย นางรัชชุมาลาก็คิดว่า ถ้ามีผมก็จะเป็นเหตุให้เจ้านายจิกแล้วทำร้ายได้สะดวก จึงไปโกนศีรษะทั้งหมดเป็นคนหัวโล้น

    แต่ถึงอย่างนั้นก็ตามเจ้านายก็หาวิธีเพื่อที่จะจับให้กระชับให้มั่นด้วยการเอาเชือกมาพันศีรษะ เพื่อที่จะจับแทนผม เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่ารัชชุมาลา รัชชุแปลว่าเชือก มาลาก็คือเป็นพวง เพราะฉะนั้น ชื่อของนางก็คือเป็นผู้ที่มีเชือกพันเป็นพวงอยู่บนศีรษะ

    ท่านอาจารย์ บางคนไม่เข้าใจคำแปล ชอบมากเลย ชื่อรัชชุมาลา คิดว่าเพราะดี แต่ว่าอดีตชาติหญิงนี้เคยเป็นนาย และนายเคยเป็นทาสหรือทาสีของหญิงนี้ กระทำอย่างเดียวกันเลย เพราะฉะนั้น การกระทำใดๆ ที่เราคิดว่าเล็กน้อยมาก แต่ความจริงเราไม่สามารถที่จะรู้ได้เลยว่าจะให้ผลเมื่อไหร่ ถ้ามีพระอรพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับอยู่ และเราจะถามถึงผลที่เราได้รับในปัจจุบัน จะทรงแสดงอดีตกรรมในอดีตชาติได้หมด เพราะผลนี้เกิดจากอะไร

    เพราะฉะนั้น ชาดกทั้งหลายที่ผู้มีพระภาคตรัส ส่วนใหญ่ที่พระวิหารเชตวัน ที่แสดง เมื่อมีผู้คนเดินทางผ่านแล้วก็แวะไปที่พระเชตวันดื่มน้ำบ้างอะไรบ้าง พระภิกษุท่านเห็นอากัปกิริยาต่างๆ ท่านก็สงสัยก็กราบทูลถามถึงอดีตชาติจึงได้มีเรื่องราวของชาดกมากมาย

    นี่เราก็ชาดกเหมือนกันอีกพันปีไป อีกร้อยปี อีก ๕๐๐๐ ปี ใครทำอะไรบ้างเมื่อวานนี้ และวันนี้ และต่อไปผู้ที่เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุธเจ้าถ้าได้พบก็สามารถที่จะแสดงอดีตกรรมได้ แต่เราไม่ต้องคอยใช่ไหม เรารู้เองชาตินี้ชัดเจน ว่าเราทำอะไร เพราะฉะนั้น ทำดีศึกษาพระธรรมเพื่อที่จะได้เข้าใจ

    สำหรับรัชชุมาลาถูกนายทรมานจนทนไม่ไหวเลย ก็คิดที่จะผูกคอตายที่คยานี่แหล่ะแต่ไม่รู้ว่าตรงไหนแถวๆ นี้ เพราะว่าทั้งหมดนี้ก็เป็นที่ๆ ผู้มีพระภาคเสด็จจาริกประทับอยู่ ด้วยพระมหากรุณา และรู้ว่านางสามารถที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรมได้ ก็เสด็จไปแล้วก็แสดงธรรมโปรด นางก็ได้เป็นพระโสดาบัน นางนั้นชาติก่อนๆ เป็นนางไหนก็ไม่รู้ แต่ว่าสะสมความเข้าใจ

    เราจะไปคิดเอง อะไรเอง แต่ฟังพระธรรมอย่างละเอียด และรู้ว่าขณะไหนที่เข้าใจขณะนั้นเป็นกุศล ไม่ต้องอยาก เป็นแล้ว เป็นกุศลอย่างดีด้วยที่ได้มีโอกาสได้เข้าใจ เพราะฉะนั้น ก็สะสมเช่นนี้แหล่ะ เพื่อที่ว่าวันหนึ่งเมื่อเหตุปัจจัยพร้อม แม้ชีวิตของรัชชุมาลาทนไม่ไหวเลยต่อการที่ได้รับความทรมานก็ยังสามารถที่จะพ้นจากกิเลสทั้งหลายถึงความเป็นพระโสดาบันได้ เพราะว่าอย่างมากอีก ๗ ชาติก็จะถึงความเป็นพระอรหันต์ อย่างมากอีก ๗ ชาติ แต่ละชาติจะยาวนานสักเท่าไหร่ หรือจะสั้นสักเท่าไรก็แล้วแต่ ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้

    เพราะฉะนั้น ฟังให้เข้าใจเท่านั้น แล้วก็เบิกบาน ไม่ว่าอะไรจะเกิดสะสมความเห็นถูกว่าเป็นธรรม เป็นสิ่งที่เกิดแล้ว แต่ไม่ใช่หวังไว้แล้วเราจะทำอย่างไร แล้ววันนี้กุศลมากไหมไปทำอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ว่าสำคัญที่สุดคือกุศลและอกุศลก็ไม่ใช่เรา

    ผู้ฟัง จิตเกิดแล้วก็ดับเร็ว เพราะฉะนั้น เพียงแค่คิดแล้วก็พูดในสิ่งที่ไม่ดี พอกล่าวไปแล้วความไม่รู้ก็กลับคืนไม่ได้

    ท่านอาจารย์ อนัตตาใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ จะบังคับหรือเปล่าให้กลับมา

    ผู้ฟัง ไม่บังคับ

    ท่านอาจารย์ สำนึกทันทีได้ไหม ปัญญาสามารถที่จะเกิดทันทีได้ไหมว่าจะไม่ทำอย่างนี้ ทั้งๆ ที่อาจจะทำ แต่ก็มีความตั้งใจในขณะนั้นในความคิดอย่างนี้ก็เป็นสัมมัปปทาน คิดที่จะละอกุศล เพราะว่าส่วนใหญ่เราทำแล้วเราไม่คิดว่าขณะนั้นเป็นอกุศล แล้วก็ไม่คิดแม้แต่ว่าจะละอกุศลนั้น

    ได้ยินคำว่าสัมมัปปธานก็คิดถึงโพธิปักขิยธรรม หมายความว่าเป็นธรรมที่เป็นฝ่ายที่จะทำให้รู้แจ้งอริยสัจธรรม อกุศลไม่มีทางเลยที่จะทำให้รู้แจ้งความจริงของสภาพธรรมในขณะนี้ ต้องเป็นกุศลระดับที่ประกอบด้วยปัญญาทั้งหมด เพราะฉะนั้น ที่คิดว่าจะไม่พูดอย่างนี้อีก ขณะนั้นก็ต้องเป็นปัญญาที่เห็นความไม่ดีใช่ไหม แล้วก็เกิดความตั้งใจแม้ชั่วขณะหนึ่ง ไม่ว่าทางกายหรือทางวาจา คนนั้นก็เริ่มคิดที่จะละอกุศล แต่ว่ายังไม่ได้ประกอบด้วยปัญญา เป็นแต่เพียงการเริ่มต้นของธรรมที่จะเป็นสัมมัปปทาน เพราะต้องอดทนอีกมากกว่าจะข้ามพ้นการที่เคยยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเรา เพราะเหตุว่าได้ยินคำว่าธรรมไม่ใช่เรา แต่เวลาโกรธ ไหนล่ะที่เคยฟังมาแล้ว

    แม้แต่คำว่าธรรมไม่ใช่เรา ขณะนั้นก็ไม่เกิด แค่นี้ยังทำไม่ได้ แล้วที่จะรู้จริงๆ ว่าไม่ใช่เรา ก็ลองคิดดู ต้องอาศัยการอบรมอีกมาก แต่ก็เป็นสิ่งซึ่งไม่ควรท้อถอย เพราะเหตุว่ามีพระธรรมที่ได้ทรงแสดงไว้ดีแล้วเป็นที่พึ่ง โดยนัยต่างๆ มากมายที่จะทำให้ค่อยๆ เข้าใจถูกขึ้น

    ผู้ฟัง วาจาที่ประทุษร้ายหรือให้ร้าย

    ท่านอาจารย์ เกิดแล้วดับแล้ว

    ผู้ฟัง คือทุกสิ่งเป็นธรรมหมด

    ท่านอาจารย์ ธรรมที่สะสมมาน้อยมาก แต่ถ้ามีมากเท่าๆ กันหรือมากกว่า ก็สามารถที่จะรู้ความต่างได้ใช่ไหม จากการที่เคยปล่อยวาจาโดยที่ไม่คิดเลย กับค่อยๆ รู้ว่าไม่ควร ทีละเล็กทีละน้อย เพราะฉะนั้น กุศลก็ค่อยๆ เพิ่มขึ้นทีละเล็กทีละเล็กทีละน้อย ไม่ใช่จะเกิดไม่ได้ แต่ปัญญานำไปในกิจทั้งปวง

    อ.คำปั่น ท่านอาจารย์ได้กล่าวถึงสิ่งที่มีจริงในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือ กล่าวถึงการชำระจิต เป็นการกล่าวถึงสภาพธรรมที่มีจริงๆ เพราะว่าจิตมีจริงๆ แต่ว่าสะสมอกุศล สะสมกิเลสมานานแสนนาน แล้วจะชำระขัดเกลาให้สะอาดได้อย่างไร ก็ต้องด้วยอาศัยการศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เพราะว่าความเข้าใจพระธรรมก็จะเป็นเครื่องอุปการะเกื้อกูลให้คุณความดีค่อยๆ เจริญขึ้น และที่สำคัญความเข้าใจพระธรรมจะอุปการะเกื้อกูลให้ความดี ทุกระดับขั้นเจริญขั้น ก็เป็นสิ่งที่น่าพิจารณาถึงคุณประโยชน์ของปัญญา คือความเข้าใจธรรมตามความเป็นจริง

    ขอเรียนอาจารย์ธิดารัตน์ได้สนทนาเพิ่มเติมที่แสดงถึงว่ามีใครอยากจะเก็บกิเลสไว้มากๆ หรือไม่ แต่ว่ากิเลสก็มากจริงๆ ในชีวิตประจำวัน

    อ.ธิดารัตน์ ไม่อยากเก็บ แต่กิเลสเวลาเกิดขึ้นแล้วไม่ได้ดับไปเฉยๆ ไม่ได้หมดไปเฉยๆ สะสมแล้วก็สืบต่อภายในจิต

    จิตทุกขณะมีกิเลสเหล่านี้สะสมเนิ่นนานมากเลย แล้วก็เป็นปัจจัยที่จะทำให้กิเลสเกิดขึ้นใหม่อีก แต่ไม่ใช่เฉพาะฝ่ายกิเลสหรือว่าฝ่ายอกุศลเท่านั้นที่สะสม ความเข้าใจแต่ละครั้งที่มีการฟังธรรมก็จะเพิ่มขึ้นเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้เข้าใจเพิ่มขึ้นๆ เพราะฉะนั้น ปัญญาจึงมีหลายระดับ ความเข้าใจในขณะที่ฟังก็เป็นปัญญาขั้นการฟังที่ค่อยๆ สะสมขึ้นมีกำลังเพิ่มขึ้น ก็จะเป็นปัจจัยที่ทำให้ปัญญานั้นสามารถจะรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏได้เป็นลำดับ

    ท่านอาจารย์ ธรรมเป็นธรรมดา แค่นี้คำเดียว มาจากคำภาษาบาลีว่าธัมมตา คือความเป็นธรรมดาของธรรมซึ่งใครก็เปลี่ยนไม่ได้

    เพราะฉะนั้น กว่าเราจะมีการที่เข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริงตั้งแต่ขั้นฟัง ก็ต้องพิจารณาว่าธรรมเป็นธรรมดา เพราะเหตุว่าใครก็ไปทำให้ธรรมเกิดไม่ได้เลย แต่มีเหตุแล้วที่ธรรมเกิดแล้วเป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้น ก็เป็นธรรมดาของธรรมที่เกิดเมื่อมีเหตุปัจจัยที่จะให้เกิดเป็นอย่างนี้ไม่เป็นอย่างอื่น จนกระทั่งถึงธรรมเป็นธรรมดาก็คือขณะนั้นปัญญาสามารถที่จะเห็นถูกเข้าใจถูกในลักษณะของสิ่งที่ กำลังเป็นธรรมแต่ละหนึ่ง แล้วก็รู้ว่าธรรมนั้นเป็นธรรมดาคือไม่ใช่เรา

    เพราะฉะนั้น แค่ธรรมเป็นธรรมดาก็หมายความว่าธรรมดาไม่ไช่เรา ไม่ใช่ธรรมดาที่เป็นเราเหมือนเคย จากการที่ไม่เคยรู้เลยว่าเป็นธรรมอย่างนั้นอย่างนี้ ก็มีความเข้าใจแม้แต่คำว่าธรรมที่เราได้ยินแล้วได้ยินอีก ก็ถึงความเข้าใจในความเป็นธรรมดาของธรรมในขณะนี้ ต้องในขณะนี้ด้วย ธรรมเป็นธรรมดา

    อ.คำปั่น ถ้าไม่มีขณะนี้ ก็จะไม่มีอริยสัจธรรม

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีขณะนี้ก็ไม่มีอริยสัจธรรม เพราะเหตุว่าถ้าไม่มีขณะนี้หมายความว่าไม่มีอะไรเลย แล้วอะไรจะเป็นอริยสัจธรรม ก็ธรรมดาตรงไปตรงมาความจริงคำในพระธรรมที่ได้ทรงแสดงไว้แล้ว ตรงไปตรงมาแล้วก็ธรรมดาจริงๆ แต่ว่าความไม่รู้ปิดบังไม่สามารถที่จะเข้าถึงความหมายที่เป็นจริงของสิ่งนั้น ถ้าไม่มีขณะนี้ คือไม่มีอะไรเลยทั้งสิ้น แล้วอะไรจะเป็นสัจธรรม แล้วอะไรจะเป็นอริยสัจธรรม แต่สิ่งที่มีในขณะนี้เองที่เกิดแล้วเป็นธรรมบังคับบัญชาไม่ได้ ไม่ใช่ของใคร เกิดแล้วดับไปทุกขอริยสัจข้อที่ ๑

    จะไปหาที่อื่นได้ไหมนอกจากเดี๋ยวนี้เอง เพราะฉะนั้น ขณะนี้ไม่เคยเห็นว่าเป็นทุกข์เลย แต่ว่าถ้าได้ฟังพระธรรมโดยละเอียด เข้าใจ แต่ไม่ใช่ไปเป็นทุกข์เพราะเราเป็นทุกข์หรือว่าจะไปแสวงหาทางเป็นทุกข์ไม่ใช่เลย เพียงแต่เข้าใจให้ถูกต้อง คำว่าสัมมาทิฏฐิ ทิฏฐิแปลว่าความเห็น สัมมาคือตรงตามความเป็นจริง เห็นชอบไม่ใช่เห็นผิด เห็นถูกตามความเป็นจริงของสิ่งนั้นจึงเป็นสัมมาทิฏฐิ เพราะฉะนั้น ขณะที่ฟังถ้ามีความเข้าใจแต่ละคำเพิ่มขึ้น เราก็จะรู้ได้ว่าคำอื่นๆ นอกจากนี้ถูกหรือผิด บอกให้ทำอะไร แต่ไม่ได้ให้เข้าใจอะไรเลย ถูกหรือผิด รู้ได้เลยนั่นไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดถึงสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ แล้วไม่เคยรู้ความเป็นธรรมดาของสิ่งนี้ เราก็ฟังให้รู้ว่าธรรมดาคือต้องเป็นอย่างนี้ ไม่เป็นอย่างอื่น คือจากไม่มี ก็เกิดมี แล้วก็ดับไป แล้วสิ่งนั้นกลับมาอีกไม่ได้เลย หายไปจริงๆ ลองคิดดูสิมีแน่ๆ แต่มีเพียงชั่วขณะที่ปรากฏแล้วก็หมดไปแล้วก็ไม่กลับมาอีก ถ้ามีความเข้าใจอย่างนี้จริงๆ เห็นว่าสิ่งที่เพียงเกิดขึ้นและดับไปไม่น่ายินดี

    เพราะฉะนั้น ความหมายของทุกข์ที่นี่ไม่ได้หมายความว่า เจ็บไข้ได้ป่วย หรือว่าเสียใจ หรือว่าร้องไห้คร่ำครวญหรือพลัดพราก อะไรทั้งสิ้น แต่หมายความว่าสิ่งนี้ต่อหน้าต่อตานี ที่กำลังมีนี่เกิดขึ้นและดับไป ทุกข์ไหม คือหมายความว่าไม่เป็นที่ตั้งของความยินดีอีกต่อไป เพราะฉะนั้น ทุกข์หมายความว่าไม่ยินดี เพราะว่าส่วนใหญ่เรายินดีในสุข แต่เมื่อไม่ยินดีในสิ่งหนึ่งสิ่งใดสิ่งนั้นไม่ใช่สุข ก็ต้องเป็นทุกข์ ยังไม่เห็นใช่ไหม ฟังก่อนจริงหรือเปล่า แค่นี้ ไม่ต้องทำอะไรเลย จริงหรือเปล่า สัจจะ แล้วก็ค่อยๆ สะสมความเข้าใจไปด้วยความเบิกบาน ไม่ใช่ด้วยความเศร้าหมอง

    เพราะฉะนั้น ผู้ที่ฟังธรรมแล้วไม่ใช่ฟังแล้วไปนั่งร้องไห้เศร้าหมอง เราจะต้องเกิดอีกนานแสนนาน ออกจากสังสารวัฏฏ์ไม่ได้เลย จะต้องเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ไม่ใช่ปัญญา

    แต่ปัญญาคือเริ่มเห็นถูกตามความเป็นจริง จนกระทั่งรู้หนทางที่จะไม่มีทุกข์อย่างนี้อีกต่อไป เพราะว่าทุกข์นี้ใครก็เปลี่ยนหรือแก้ไขไม่ได้เลย หมอไหนก็รักษาไม่ได้ เพราะเหตุว่าสภาพธรรมเป็นอย่างนี้แน่นอนไม่เป็นอย่างอื่น บางคนก็อาจจะบอกว่าแปลกๆ เห็นทุกข์แล้วบอกว่าเบิกบาน ก็เบิกบานที่รู้ความจริงไง ไม่ถูกหลอกอีกต่อไป เพราะเหตุว่าถ้าไม่รู้ความจริงก็คิดว่ามาสอนให้เป็นทุกข์ ไม่ใช่ ไม่ได้สอนให้เป็นทุกข์

    ทุกข์เป็นทุกข์อยู่แล้ว แต่ว่าสามารถที่จะมีความเห็นถูกเข้าใจถูกตามความเป็นจริงว่าเป็นทุกข์ ขณะที่มีความเข้าใจถูกเบิกบานไหม พ้นจากความไม่รู้ พ้นจากความติดข้อง พ้นจากการหลง ต้องการในสิ่งซึ่งปรากฏแล้วก็ดับไป แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย ก็เป็นธรรมทั้งหมด และได้ทราบว่าหลายท่านได้ยินได้ฟังไม่มาก เพราะฉะนั้น ก็ยากที่จะเข้าใจว่าพูดถึงอะไร แต่ให้ทราบว่าพูดถึงสิ่งที่มีจริงๆ แล้วก็เดี๋ยวนี้ก็สามารถที่จะรู้ได้ว่าจริงแน่นอน จากการที่ไม่เคยเข้าใจเลยพระธรรมที่ทรงแสดง ทรงแสดงความละเอียดยิ่งของสิ่งที่มี ซึ่งวันหนึ่งเมื่อปัญญาอบรมเจริญแล้ว ละคลายความไม่รู้และความต้องการซึ่งปิดบังสิ่งที่กำลังเป็นจริงอย่างนี้สนิท ค่อยๆ เข้าใจขึ้นทีละเล็กทีละน้อย จนกระทั่งรู้ว่าทุกคำที่ได้ฟังเป็นความจริงทั้งหมด เมื่อได้ประจักษ์ด้วยตัวเองว่าเป็นอย่างนั้น ก็จะรู้ว่าพระธรรมที่ทรงแสดงไว้แล้วเท่านั้น ที่จะทำให้สามารถเข้าถึงความจริงแต่ละคำ เช่น ขณะนี้สิ่งใดสิ่งหนึ่งก็ตาม ยังไม่เกิดก็ไม่มี เกิดแล้วก็มี แต่มีแล้วก็ดับไป ค่อยๆ เก็บสะสมไว้

    ผู้ฟัง ขอเรียนท่านอาจารย์เล่าเรื่อง ๒ เหตุการณ์ซึ่งเป็นที่มาของคำถามนี้ก็คือเมื่อวานตอนที่กลับจากพระมหาเจดีย์ที่พุทธคยา คือ มีเด็กน้อยมาขอเงิน แล้วก็มีเด็กชายหนุ่มมาขายของ ก็ไม่ได้ให้เงิน แล้วก็ไม่ได้ซื้อของเขา พอตื่นเช้า ภาพนั้นก็เกิดขึ้น แล้วในจิตก็รู้สึกว่าเศร้าหมองว่า ทำไมเราไม่ให้เงินเขา คำถามก็คือว่าความจริงที่มันเกิดขึ้นใน ๒ เหตุการณ์ เมื่อคืนกับเมื่อเช้านี้ อะไรคือความจริงที่ควรจะรักษาใจ

    ท่านอาจารย์ เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ และเมื่อเช้านี้ใช่ไหม แต่ไม่ใช่เดี๋ยวนี้ เพราะฉะนั้น อะไรจริงเดี๋ยวนี้ เห็นไหมหายาก ถ้าไม่ได้ฟังคำตอบเดี๋ยวนี้คิดอย่างไรจริงไหม

    คิดถึงเมื่อวานนี้กับเมื่อครู่นี้ หรือเมื่อเช้านี้ ก็คือ คิด เพราะฉะนั้น มีสิ่งซึ่งปิดบังไว้สนิทหมดเลย เช่นเรื่องราวต่างๆ พอถามก็หาคำตอบไม่พบ แต่ความจริงก็คือว่าเดี๋ยวนี้ไงที่จริง คือ คิด คิดถึงสิ่งที่ล่วงแล้ว เคยคิดถึงตอนเป็นเด็กๆ ไหม

    ผู้ฟัง คิดบ่อย

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น จะเห็นได้ว่าคิดได้ทุกอย่าง อยากคิดอย่างนั้นหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่อยาก

    ท่านอาจารย์ ไม่อยากแต่ก็คิด ไม่อยากคิดแต่ก็คิด แล้วอยากคิดจะคิดอย่างที่อยากคิดไหม อยากคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ บางคนหลับไปฝันไม่อยากตื่นเลย ในฝันก็สนุกตื่นมาไม่สนุกเหมือนในฝัน เพราะฉะนั้น อยากไม่ตื่นไหม อยากให้ฝันต่อไหม เพราะฉะนั้น ถ้าอยากจะคิดถึงอย่างหนึ่งอย่างใด แล้วจะคิดอย่างที่ต้องการไหม มีงานค้างอยากจะทำให้เสร็จ แล้วไปคิดเรื่องงานหรือยัง ถ้าไม่มีปัจจัยก็ไม่คิด เพราะฉะนั้น ให้ทราบว่าจริงๆ แล้วไม่มีเรา แต่มีเรื่องต่างๆ เพราะไม่รู้ สิ่งที่ปรากฏทางตา สั้นมาก เล็กน้อยมาก แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย แต่ทันทีที่จิตหนึ่งขณะเกิดแล้วดับไป การดับไปของจิตขณะก่อนเป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไป เกิดสืบต่อทันที ไม่มีระหว่างคั่น อย่างรวดเร็วมาก เหมือนไม่มีการเกิดดับอะไรทั้งสิ้น จึงจำไว้หมด แต่ตอนหลับสนิท เมื่อคืนนี้นอนหลับสนิทไหม

    ผู้ฟัง หลับสนิท

    ท่านอาจารย์ อยู่ที่ไหนตอนนั้น ตอนหลับสนิท

    ผู้ฟัง ไม่ทราบ

    ท่านอาจารย์ และในเรื่องเมื่อวานนี้กับที่ผ่านมาเรื่องเด็กขายของขอเงินแล้วไม่ให้ มีไหมขณะที่หลับสนิท

    ผู้ฟัง ไม่ทราบ

    ท่านอาจารย์ ไม่มีเลย ไม่เหลืออะไรเลย เพราะฉะนั้น ตื่นมาแล้วเห็นคิด ตื่นมาแล้วได้ยิน คิดจนกว่าจะหลับ


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 202
    30 ต.ค. 2568

    ซีดีแนะนำ