ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1264


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ปกิณณกธรรม ตอนที่ ๑๒๖๔

    สนทนาธรรม ที่ โรงแรมไดมอนด์ พลาซ่า จ.สุราษฎร์ธานี

    วันที่ ๒๕ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๑


    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นก่อนอื่นให้มีความมั่นคงว่า สิ่งที่มีจริงไม่มีใครไปทำให้เกิดขึ้นได้เลย แต่มีปัจจัยเกิด แค่นี้หมดความเป็นเราไปจากขั้นการฟัง แล้วเข้าใจนิดหนึ่งใช่ไหม ไม่มากเลย แต่ถ้าฟังอีกมากๆ ก็รู้ว่าเราคิดถึงบ่อยๆ รู้ความจริงบ่อยๆ เวลาโกรธเกิดขึ้น ถ้ามีกำลังพอความเข้าใจก็เข้าใจได้ว่าขณะนั้นไม่ใช่เราที่โกรธ แต่เป็นธรรมที่มีลักษณะอย่างนั้น ห้ามไม่ให้เป็นอย่างนั้นก็ไม่ได้ ห้ามไม่ให้เกิดก็ไม่ได้ เกิดแล้วก็ดับไป เดี๋ยวนี้ก็ไม่มีแล้ว แต่ละอย่างแสนสั้น แล้วไม่มีใครไปทำทั้งสิ้น นี่คือความหมายของอนัตตา มีจริงไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร ใครจะไปทำให้เกิดขึ้นก็ไม่ได้ ใครจะไม่ให้ดับไปก็ไม่ได้ ทุกอย่างเป็นธรรม ซึ่งเป็นธรรมดาในภาษาไทยธรรมดา ภาษาบาลีคือธรรมตา ใช้ ต เต่า ไม่ใช่ ด เด็ก ตาคือความเป็นไปของธรรม เปลี่ยนได้ไหม ให้เห็นไปได้ยินไม่ได้ ฝนจะตกไม่ให้ตกได้ไหม แดดจะออกไม่ให้ออกได้ไหม นี่คือภาษาไทยใช้คำว่าธรรมดา แต่ไม่รู้ว่าธรรมดานี่ก็คือว่าความเป็นไปของธรรมแต่ละหนึ่งขณะนั้น ซึ่งต้องเป็นอย่างนั้น เห็นต้องเป็นเห็น ได้ยินต้องเป็นได้ยิน ดับแล้วเราอยู่ไหน ก็ไม่มี ก่อนเห็นก็ไม่มีเรา เห็นเกิดขึ้นเห็นก็ดับไป เพราะฉะนั้นเห็นที่ดับไปแล้วไม่เหลือเลย และก็ไม่กลับมาอีก แล้วจะเป็นเราได้อย่างไร ไปหาอีกที่ไหนก็ไม่ได้ เมื่อวานนี้หมดไปแล้วหรือยัง หรือยังเหลืออยู่นิดๆ หน่อยๆ

    ผู้ฟัง ไม่มี

    ท่านอาจารย์ ไม่มีเลยใช่ไหม เห็นเมื่อสักครู่นี้เหลืออยู่บ้างไหม เมื่อสักครู่ต้องไม่ลืมว่าเดี๋ยวนี้กับเมื่อสักครู่นี้ เหมือนเมื่อวานนี้กับวันนี้

    ผู้ฟัง เมื่อสักครู่นี้ก็ผ่านไปแล้ว

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเห็นก็ไม่เที่ยงใช่ไหม สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง สังขารทั้งหลายเป็นทุกข์ เพราะแค่เกิดมาแล้วดับไปมีประโยชน์อะไร ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตาทุกอย่างหมด ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร และไม่มีใครด้วย เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย แต่ละวันที่ได้ฟังในแต่ละชาติพอที่จะค่อยๆ รู้ความจริงขึ้นทีละเล็กทีละน้อย จากการที่กี่ชาติมาแล้วก็ไม่รู้ แต่พอฟังแล้วก็ค่อยๆ เริ่มรู้ สมัยหนึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นใคร สมัยหนึ่ง

    ผู้ฟัง เป็นสัตว์ เป็นคนยากจนเข็ญใจ เป็นพราหมณ์ แล้วก็เป็นพระมหากษัตริย์ด้วย

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้คนเข็ญใจ เดี๋ยวนี้สัตว์เดรัจฉาน ชาติก่อนเป็นใครชาติต่อไปเป็นใคร สามารถที่วันหนึ่งเมื่อได้ฟังธรรมเข้าใจขึ้นเข้าใจขึ้น จะรู้ความจริงได้ไหม

    ผู้ฟัง ได้

    ท่านอาจารย์ ก็เป็นตัวอย่าง

    ผู้ฟัง ถ้าได้ฟังบ่อยๆ มันก็เข้าไปซึ้งอยู่ในจิตใจ

    ท่านอาจารย์ เพราะว่ากว่าเราจะคิดถึงสิ่งที่ได้ฟังอีกนานมาก เพราะเราคิดถึงสิ่งอื่นจนชินใช่ไหม เพราะฉะนั้นที่เราคิดถึงสิ่งอื่นจนชิน พอตื่นมาเราก็คิดถึงสิ่งนั้น แต่ถ้าเราฟังธรรมบ่อยๆ พอ แทนที่จะคิดถึงสิ่งอื่น ตื่นมาก็ยังสามารถจะคิดถึงคำที่ได้ฟัง

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ ไม่ต้องสวดมนต์ใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ เพราะว่ามนต์คือปัญญา สวดคือสาธยาย ทบทวนเข้าใจสิ่งที่ได้ฟัง ไม่ต้องใช้ภาษาบาลีหรือภาษาอะไรเลยทั้งสิ้น ถ้าไม่เข้าใจว่าเห็นไม่ใช่เรา ได้ยินไม่ใช่เรา จะถึงวันเวลาที่สามารถที่จะรู้ความจริงเป็นพระอริยบุคคลได้ไหม เหตุไม่มีผลจะเกิดได้ไหม เพราะว่าการละความติดข้องไม่ใช่ละจากอื่นเลย กำลังเห็นเดี๋ยวนี้แหละ เข้าใจหรือเปล่าว่าเกิดเห็นแล้วก็ดับ ถ้าไม่ประจักษ์แจ้งอย่างนี้ ยังไม่ถึงเวลาที่จะค่อยๆ ละคลายความเป็นเรา เพราะฉะนั้นความเป็นเราลึกมากเหนียวแน่นมาก ถ้าเราใช้สีทาเอาสีดำๆ ป้ายทุกวัน ขัดออกยากไหม เพราะฉะนั้นกิเลสทั้งหลายที่ป้ายอยู่ทุกวัน ถ้าไม่มีปัญญาความเห็นถูกค่อยๆ ขัดเกลาละคลาย สามารถที่จะรู้ความจริงที่ถูกอกุศลห่อหุ้มไว้ นานแสนนานได้ไหม เพราะฉะนั้นธรรมไม่ใช่ว่าเราจะประมาท ฟังคำอะไรก็ได้ ไม่ใช่เลย คำนั้นพูดถึงสิ่งที่มีจริงให้เข้าใจถูกต้องหรือเปล่า ถ้าพูดถึงเรื่องอื่น ให้ทำอย่างนั้น ให้นั่งชั่วโมงหนึ่ง แล้วจะรู้อะไร แล้วจะเข้าใจอะไร เห็นกำลังมีในขณะนั้นก็ไม่รู้ แต่ว่าทุกอย่างที่เป็นธรรม ปัญญาสภาพธรรมที่เริ่มเข้าใจทีละเล็กทีละน้อย จนกระทั่งสามารถค่อยๆ ละความไม่รู้ จึงประจักษ์แจ้งความจริงได้ ก็ทบทวนดีไหม ทีละคำด้วย เดี๋ยวนี้มีธรรมไหม

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ มี อะไรเป็นธรรมเดี๋ยวนี้

    ผู้ฟัง ปัจจุบันขณะ

    ท่านอาจารย์ อะไรเป็นปัจจุบันขณะ

    ผู้ฟัง ที่เกิดขึ้นอยู่

    ท่านอาจารย์ อะไรเกิดเดี๋ยวนี้

    ผู้ฟัง ก็เป็นไปตามเหตุปัจจัย

    ท่านอาจารย์ อะไรเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย เห็นไหม แม้แต่คำว่าธรรมคำเดียว ต้องชัดเจน เพราะฉะนั้นคำว่าธรรม หมายความถึงสิ่งที่มีจริง หลากหลายมากไหม ต่างกันมากมายหรือเปล่า หวานก็ไม่ใช่แข็ง เห็นก็ไม่ใช่เปรี้ยว แต่ละหนึ่งแต่ละหนึ่งหลากหลายมาก ถูกต้องไหม เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้มีธรรมไหม

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ อะไรเป็นธรรมเดี๋ยวนี้

    ผู้ฟัง ความจริง

    ท่านอาจารย์ ก็ยังไม่เจอตัวธรรมอีกใช่ไหม เราก็เอาเรื่องของธรรมมาพูดตลอดเวลา แต่เพื่อที่จะให้มั่นใจจริงๆ ว่าได้เข้าใจแล้วว่าธรรมคืออะไร ต้องตรง จึงจะรู้ว่าได้เข้าใจถูกต้อง อีกครั้งหนึ่งธรรมมีจริงไหม

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้มีไหม

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ กล่าวมาเลย เดี๋ยวนี้อะไรเป็นธรรม

    ผู้ฟัง จิตในขณะนี้

    ท่านอาจารย์ จิตเป็นธรรมใช่ไหม จิตคืออะไร

    ผู้ฟัง เป็นความรู้สึกที่อยู่ในตัว

    ท่านอาจารย์ อันนี้ก็ไม่ชัดเจน ทั้งๆ ที่เราเกิดมาเราก็พูดคำว่าจิต ใครพูดว่าจิตก็เหมือนเรารู้เรื่อง ใช่ไหม แต่ว่าความจริงถ้าไม่ฟังพระธรรมจะไม่รู้เลย เห็นเป็นจิตหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เห็นเป็น

    ท่านอาจารย์ เพราะอะไร

    ผู้ฟัง ก็เกิดขึ้น

    ท่านอาจารย์ และเพราะอะไร ทำไมว่าเป็นจิต

    ผู้ฟัง ปรากฏที่ในประสาทตา เห็นกระทบอยู่

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ เพราะฉะนั้นเราฟังธรรมกว่าจะตรงจริงๆ ต่อธรรมแต่ละหนึ่งแต่ละหนึ่ง เราไปคิดเรื่องอื่นเยอะ เดี๋ยวนี้มีเห็นแน่นอน แต่เราไม่รู้จักเห็น ถูกต้องไหม หรือรู้จัก

    ผู้ฟัง ไม่รู้จัก

    ท่านอาจารย์ ไม่รู้จัก เพราะฉะนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความจริงของสิ่งที่มีแต่ละหนึ่งว่า สิ่งที่ปรากฏให้เห็นมีไหม

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ กว่าเราจะเข้าใจธรรม ไม่ใช่เพียงคำกี่บรรทัด กี่วัน ได้ยินซ้ำแล้วซ้ำอีก แต่กว่าจะเข้าใจจริงๆ ยากไหม แม้แต่เพียงคำว่าสิ่งที่มีที่กำลังปรากฏว่ามีในขณะที่เห็น มีใช่ไหม

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ ปัญญาของเราที่กว่าจะรู้ว่าไม่มีเราไม่ใช่เรา แค่ฟังครั้งเดียวกว่าจะระลึกถึงอีก กว่าจะค่อยๆ ไตร่ตรองอีก กว่าจะมีความเข้าใจที่ค่อยๆ คลายความเป็นสิ่งที่เราเคยคิดเคยจำไว้ จนกระทั่งเป็นเพียงสิ่งหนึ่งที่มีจริงๆ เพราะกำลังปรากฏให้เห็นว่ามี ภาษาไทยคนไทยฟัง เหมือนกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสภาษามคธี กับชาวมคธยังต้องฟังคำของพระองค์ เพื่อที่จะเข้าใจความจริง เพราะฉะนั้นก็แสดงว่าความจริง ถ้าเข้าใจแล้วก็คือว่าภาษาไหนก็ได้ เพราะว่าเปลี่ยนความจริงไม่ได้ แต่ไม่ใช่ว่าไปจำคำแล้วคิดว่าเราเข้าใจแล้ว เพราะฉะนั้นบางคนจำแล้วตอบ ได้คะแนนจบ รู้แล้ว ความจริงไม่ใช่อย่างนั้นเลย กว่าจะรู้จริงๆ มั่นคงจริงๆ นานมาก แต่ก็เริ่มจากการฟังแล้วก็เข้าใจ เพราะฉะนั้นแค่พิจารณาด้วยตัวเอง เพราะว่าประโยชน์ของการสนทนาธรรม อยู่ที่ความเข้าใจของคนที่ฟัง ฟังทุกคน วิทยากรก็ฟัง คนฟังก็ฟัง แต่ว่าความเข้าใจจากคำที่ได้ฟังเป็นสิ่งซึ่งรู้ได้เฉพาะตนว่า ฟังแล้วนี่เข้าใจแค่ไหน เช่นเดี๋ยวนี้มีเห็น ใช่ไหม เห็นจริงๆ เห็นเกิดหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เกิด

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่เกิดไม่มีเห็นใช่ไหม แล้วก็เห็นอะไร เห็นสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น เห็นเสียงได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เห็นแข็งได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เห็นร้อนได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เห็นน้ำแข็งได้ไหม

    ผู้ฟัง เห็นน้ำแข็งได้ เห็นสภาวธรรมของมัน

    ท่านอาจารย์ เห็นน้ำแข็งได้ ไม่ใช่เลย จำว่าสิ่งที่เห็นเป็นน้ำแข็ง แต่เห็นน้ำแข็งเห็นได้หรือ น้ำแข็งเห็นได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เห็นได้เพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นที่สามารถกระทบตา ขยายความออกไปอีกนิดหนึ่งให้เห็นความลึกซึ้ง จะเห็นได้เฉพาะสิ่งที่กระทบตาได้เท่านั้นเอง เสียงกระทบตาไม่ได้ เย็นกระทบตาไม่ได้ แต่สิ่งที่กำลังปรากฏกำลังกระทบตา ถ้าสิ่งนี้ไม่กระทบตาอยู่ข้างหลัง ตาอยู่ข้างหน้าไม่กระทบกัน จะเห็นสิ่งที่อยู่ข้างหลังได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่เห็น

    ท่านอาจารย์ ไม่ได้ เพราะฉะนั้นเราลืมคิดทุกอย่างเลย ตั้งแต่เราเกิดมาไม่มีใครบอกให้คิดถึงความจริงว่า แม้แต่เพียงสิ่งที่ปรากฏนี้ก็ต้องมีเหตุปัจจัย รู้ไหมว่าสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้อยู่ที่ไหน

    ผู้ฟัง ยังตอบไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ยังตอบไม่ได้ ถูกต้อง ถูกต้อง ใครเลยจะคิดว่าสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ อยู่ที่สิ่งที่อ่อนหรือแข็ง ที่เราใช้คำว่ามหาภูตรูป ถ้าไม่มีมหาภูตรูปไม่มีสิ่งที่กระทบตาแต่สิ่งที่กระทบตาไม่แข็ง เพราะฉะนั้นแต่ละหนึ่งแต่ละหนึ่งแต่ละหนึ่ง ที่มีจริงไม่มีใครรู้จักเลย เพราะว่าเกิดดับพร้อมกัน เร็วสุดที่จะประมาณได้ รวดเร็ว สืบต่อกันจนปรากฏเป็นคนเป็นโต๊ะเป็นดอกไม้เป็นหลายๆ อย่าง แต่ความจริงเป็นแต่ละหนึ่ง เช่น หนึ่งที่อยู่ที่แข็ง เป็นหนึ่งที่สามารถกระทบตา และก็เห็นก็เห็นสิ่งนั้นแหละ แต่ว่าส่วนผสมของสิ่งที่แข็งอ่อนเย็นร้อนหลากหลายมาก เพราะฉะนั้นสิ่งที่กระทบตา ก็ปรากฏความหลากหลายของสีสันวรรณะต่างๆ ถูกไหม เป็นธรรมหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เป็น

    ท่านอาจารย์ เป็น เป็นเราหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่ได้เป็น

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง นี่คือค่อยๆ เริ่มเข้าถึงความลึกซึ้งจริงๆ ว่าแต่ละคำต้องมั่นคง ไม่ใช่เราแล้วเป็นอะไร ก็เป็นสิ่งที่เป็นนั่นแหละ มีจริงแค่นั้นเอง เพราะฉะนั้นนี่ทุกคนเห็นใช่ไหม อยู่ที่แข็งถ้าจับ แต่พอเอาออกไป สิ่งที่เราจำได้ว่าแข็งไม่มีตรงนั้น สิ่งที่กระทบตามีไหม ไม่มีใช่ไหม เพราะฉะนั้นสิ่งที่กระทบตาที่เห็นอย่างนี้แหละ ก็อยู่ที่แข็งหรืออ่อน ซึ่งเราใช้คำว่ามหาภูตรูป ได้ยินคำว่ารูปต้องรู้เลยเป็นสิ่งที่มีจริง แต่ไม่ใช่รูปร่างสัณฐาน แต่หมายความถึงอะไรก็ตามที่มี แต่รู้อะไรไม่ได้เลย ไม่สามารถจะรู้อะไรได้ เช่น เสียงก็มี แต่เสียงไม่รู้อะไร เพราะฉะนั้นความเป็นเสียงมีเป็นธรรม และก็เป็นธรรมที่ไม่รู้อะไร จึงใช้คำว่ารูปธรรม ภาษาบาลีก็คือรูปะรวมกับคำว่าธรรม อะไรทั้งหมดที่มีเกิดขึ้นเป็นอย่างนั้น แต่ไม่รู้ ไม่ใช่สภาพรู้ เป็นรูปธรรม เป็นเราหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่เป็น

    ท่านอาจารย์ หูเป็นธรรมหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เป็นธรรม

    ท่านอาจารย์ หูเป็นรูปธรรมหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เป็นรูปธรรม

    ท่านอาจารย์ เพราะอะไร

    ผู้ฟัง มีอยู่

    ท่านอาจารย์ รู้อะไรไหม

    ผู้ฟัง ไม่รู้

    ท่านอาจารย์ ไม่รู้ เพราะฉะนั้นทุกอย่างที่ไม่รู้ทั้งหมด ไม่ว่าจะนอกกายหรือที่กาย ก็เป็นเพียงรูปธรรมที่เกิดขึ้น เป็นอย่างนั้นแล้วก็ดับไป นี่คือธรรมทั้งหมดที่มีที่คนอื่นไม่สามารถจะรู้ได้ เพราะยึดถือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด แท้ที่จริงก็เป็นเพียงหนึ่ง ซึ่งเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยแล้วดับไป แล้วไม่กลับมาอีกเลย เพราะไม่รู้ก็ติดข้องเข้าใจว่ายังมีอยู่ใช่ไหม ต่อเมื่อใดประจักษ์แจ้งความจริง เฉพาะสิ่งนั้นที่ปรากฏเกิดแล้วดับ เมื่อนั้นก็จะรู้จักก็พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้ความจริงและทุกคำของพระองค์ที่ตรัสก็เป็นความจริง เพราะฉะนั้นได้ยินมีไหม

    ผู้ฟัง ได้ยินมีอยู่

    ท่านอาจารย์ ได้ยินอะไร

    ผู้ฟัง ได้ยินเสียง เสียงหลากหลายมาก เรากล่าวว่าเสียงหลากหลาย เพราะได้ยินหลากหลาย ไม่ใช่ได้ยินเสียงเดียวเลย ไม่ใช่ได้ยินเสียงเดียวเลย เสียงหลากหลายไหม

    ผู้ฟัง หลากหลาย

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นได้ยินรู้แต่ละเสียง จึงรู้ว่าหลากหลายไม่เหมือนกัน ไม่ใช่เสียงเดียว เพราะฉะนั้นได้ยินรู้อะไรหรือเปล่า

    ผู้ฟัง คำว่ารู้ ผมคิดว่าไปรู้ธรรม

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเลิกคิดเองเลย ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรงกับคำถามแรก ทำไมชาวพุทธจึงต้องฟังธรรม เพราะเหตุว่าถ้าไม่ฟังก็ไม่ใช่ชาวพุทธไม่รู้ความจริง ไม่รู้ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้อะไร ทรงแสดงอะไร แต่ ณ บัดนี้ที่ได้ฟังไตร่ตรองเป็นความเข้าใจของผู้ที่ไตร่ตรอง พอเข้าใจเปลี่ยนความเข้าใจให้เป็นอย่างอื่นได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ หายไปได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เพราะความเข้าใจเริ่มเกิดขึ้นแล้ว จากความไม่รู้ความไม่เข้าใจในสังสารวัฏ เริ่มได้ยินได้ฟังรู้จักคำว่าสิ่งที่มีจริงในภาษาไทย คือธรรมในภาษาบาลี เพราะฉะนั้นเตชะอำนาจ เดช อานุภาพของคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำให้ความไม่รู้ลดน้อยลง และก็มีความเข้าใจค่อยๆ รู้เพิ่มขึ้น ตรงตามคำที่ได้ฟังจนประจักษ์แจ้งเช่นเดี๋ยวนี้มีเราไหม

    ผู้ฟัง ไม่มีเรา

    ท่านอาจารย์ แล้วมีอะไร

    ผู้ฟัง มีสิ่งที่ปรากฏอยู่

    ท่านอาจารย์ มีธรรมคือสิ่งที่มีจริงใช่ไหม หลากหลายมากเป็นแต่ละหนึ่งแต่ละหนึ่ง เสียงก็มี เสียงเป็นเราหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่เป็น

    ท่านอาจารย์ ได้ยินเป็นเราหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่เป็น

    ท่านอาจารย์ คิดเป็นเราหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่เป็น

    ท่านอาจารย์ จำเป็นเราหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่เป็น

    ท่านอาจารย์ ต่อไปนี้รู้จักธรรมแล้วทั้งวันไม่มีอะไร นอกจากมีแต่ธรรมซึ่งเกิดขึ้นหลากหลายปรากฏแล้วก็หมดไป แต่การเกิดดับเร็วสุดที่จะประมาณได้ ก็เลยไม่มีใครรู้ความจริงว่าแท้ที่จริงก็คือแต่ละหนึ่ง จะเป็นเราไม่ได้เลย แค่เกิดแล้วดับ เกิดแล้วดับอยู่ตลอดเวลา รู้อย่างนี้ดีไหม

    ผู้ฟัง ดี

    ท่านอาจารย์ เป็นบุญหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เป็น

    ท่านอาจารย์ เป็นบุญที่ประเสริฐกว่าบุญอื่นทั้งหมด เพราะว่าใครก็เอาไปไม่ได้ โจรขโมยลักไม่ได้ น้ำไฟทำลายไม่ได้หมดเลย เพราะเหตุว่าเป็นความเข้าใจที่เกิดขึ้น และพอหรือยัง รู้แค่นี้พอไหม

    ผู้ฟัง พอ

    ท่านอาจารย์ ก็ไม่ต้องฟังอีกหรือ

    ผู้ฟัง ถ้าเข้าใจจริงๆ ก็แค่นี้ก็พอแล้ว ก็ไม่ต้อง

    ท่านอาจารย์ ถ้าอย่างนั้นพระพุทธเจ้าก็แสดงกี่คำ พอ หรือว่า ๔๕ พรรษาตลอดชีวิตไม่เกินนั้นเลย แต่ละคำที่ได้ตรัสไว้ดีแล้ว ฟังอีกเข้าใจอีก ทบทวนอีก มั่นคงขึ้นจนกระทั่งไม่เปลี่ยน ความเข้าใจนั้นเริ่มเป็นสัจจญาณ ปัญญาที่รู้ความจริงที่มั่นคง เพราะฉะนั้นแต่ละคำเป็นคำที่จะต้องศึกษาให้เข้าใจ ไม่ใช่เผินพูดทีเดียวก็จบไปเลย ทั้งสูตรก็ไม่ใช่ แต่ว่าความเข้าใจจริงๆ ต้องทีละคำ คำอะไร คำที่กล่าวถึงสิ่งที่มีจริงๆ ด้วย เพราะฉะนั้นแต่ละคำก็คือ คำของสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่งแต่ละหนึ่ง ถ้าไม่มีคำเราก็ไม่สามารถจะรู้ได้ แต่อานุภาพของคำที่ได้ตรัสไว้ดีแล้ว ทำให้สามารถรู้ความต่างของธรรมที่รู้ก็มีที่ไม่รู้ก็มี สภาพธรรมที่มีแต่รู้อะไรไม่ได้เลย แข็ง หวาน รู้อะไรไม่ได้ แต่โกรธ โกรธอะไรรู้สิ่งนั้นแล้ว ชอบอะไรมีสิ่งที่ชอบแล้วรู้ในสิ่งนั้นแล้ว เพราะฉะนั้นจึงมีสภาพธรรมที่ต่างกัน สภาพที่เกิดขึ้นแล้วต้องรู้ ไม่รู้ไม่ได้เป็นนามธรรม เพราะฉะนั้นชาวพุทธเริ่มรู้จักคำว่าธรรม เริ่มรู้จักว่าธรรมถึงแม้ว่าจะต่างกันนับประมาณไม่ได้เลย สิ่งที่เกิดแล้วใน ๕,๐๐๐ ปี ในแสนโกฏกัป ไม่ได้กลับมาอีกเลย แต่เป็นปัจจัยทำให้มีสิ่งต่างๆ ไม่จบสิ้น เพราะว่าเกิดแล้วดับไป ก็เป็นปัจจัยให้สภาพธรรมสืบต่อทันที นี่แสดงให้เห็นว่าเราไม่รู้ใช่ไหมว่า เกิดมาแล้วยังไม่ตายเพราะอะไร เพราะมีสภาพรู้นามธรรมและรูปธรรมเกิดดับสืบต่อ เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ทุกขณะ ไม่ซ้ำและไม่เหมือนเดิมเลย จึงไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เที่ยง ไม่ใช่ยั่งยืน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล เป็นแต่เพียงธรรมแต่ละหนึ่ง ซึ่งมีจริงๆ จนกว่าจะละคลายความเป็นเรา ก็เข้าใจความหมายของคำว่าอนัตตาชัดเจน มีจริงแต่ไม่ใช่เรา และไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของเราด้วย คิดมีไหม

    ผู้ฟัง คิดมี

    ท่านอาจารย์ เป็นนามธรรมหรือรูปธรรม

    ผู้ฟัง นาม

    ท่านอาจารย์ เข้าใจแล้ว นี่เป็นประโยชน์สูงสุด ที่จะรู้ว่าคิดเกิดดับไม่ใช่เรา ถูกต้องไหม เราทุกคนที่อยู่ที่นี่คิดเหมือนกันไหม

    ผู้ฟัง ไม่เหมือนกัน

    ท่านอาจารย์ เพราะต่างกัน จากการเห็นต่างกัน ได้ยินต่างกัน จำต่างกัน ชอบต่างกัน บังคับให้เหมือนกันได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ไม่ได้ เป็นธรรมหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เป็น

    ท่านอาจารย์ เป็นอนัตตาหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เป็น

    ท่านอาจารย์ ต่อไปนี้ จากหลับไม่มีอะไรปรากฏเลย แต่ตื่นขึ้นมามีอะไรหรือเปล่า ปรากฏทางตา ปรากฏทางหูว่ามี ปรากฏทางจมูกว่ามี ปรากฏทางลิ้นว่ามี ปรากฏทางกายว่ามี ปรากฏทางใจว่ามีใช่ไหม เป็นเราหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่เป็น

    ท่านอาจารย์ เป็นอะไร

    ผู้ฟัง เป็นธรรม

    ท่านอาจารย์ จะหาวิธีที่จะละความเป็นเราได้ไหม ด้วยตัวเอง ถ้าไม่ใช่ความเข้าใจ แต่พอเข้าใจแล้ว ความเข้าใจนั่นแหละ เป็นหนทางที่จะรู้ว่าไม่ใช่เรา ตามกำลังของความเข้าใจว่าเข้าใจมากน้อยแค่ไหน แต่ถ้าไม่เข้าใจไม่มีทางที่จะรู้ความจริงว่าไม่ใช่เรา พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้อะไร

    ผู้ฟัง ตรัสรู้ความจริง

    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้ใช่ไหม ทุกอย่างที่มี ทรงแสดงธรรม คือความจริงของสิ่งที่มีจริงทุกอย่าง ถ้าไม่ได้ฟังอย่างนี้ฟังอย่างอื่น เป็นธรรมหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่เป็น

    ท่านอาจารย์ ไม่เป็น เพราะฉะนั้นธรรมคือกล่าวถึงสิ่งที่มีจริง ให้เข้าใจขึ้นจนกระทั่งรู้ว่าไม่มีเรา เป็นธรรมต้องเป็นธรรม เป็นอนัตตาต้องเป็นอนัตตา จะกลับมาเข้าใจว่าเป็นอัตตาได้ไหม ถ้าเข้าใจจริงๆ ก็ไม่ได้

    อ.ธิดารัตน์ ถ้าจะเริ่มเข้าใจถึงว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้อะไร ก็คือการศึกษาคำสอน และศึกษาคำสอนก็เพื่อให้เข้าใจความจริงในขณะนี้ เพราะว่าเป็นสิ่งที่ท่านตรัสรู้

    ท่านอาจารย์ พอได้ยินก็รู้เลยว่านี่คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าแน่นอน ที่จะกล่าวว่าธรรมเป็นธรรมไม่ใช่เรา แล้วธรรมก็คือสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่ง แล้วทรงแสดงความจริงแต่ละหนึ่งให้เข้าใจขึ้นเข้าใจขึ้น จนกระทั่งค่อยๆ ละคลายความเป็นเราได้ คำที่เราได้ยินแต่เราไม่รู้จักเยอะมากเลยใช่ไหม อธิศีล แค่ศีลรู้จักหรือยัง แล้วยังมีคำว่าอธิศีลอีก อธิจิต อธิปัญญา คำทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ใช่ว่าเพียงอ่านเผิน แต่ต้องเป็นผู้ที่ตรงและเคารพอย่างยิ่งว่าแต่ละคำต่างกัน เพราะเป็นธรรมที่ต่างกันอย่างไร เพราะฉะนั้นก็เป็นอีกเยอะมากเลย ที่ได้ยินคำไหน ก็ควรที่จะได้เข้าใจคำนั้นให้ถูกต้อง ไม่ใช่ผ่านไปคิดว่าเข้าใจแล้ว ได้ยินว่าคำว่าสิกขาบทไหม เห็นไหมคืออะไร บทคือข้อเรื่องที่จะต้องศึกษา แต่ศึกษาที่นี่ไม่ใช่เพียงเข้าใจ ต้องประพฤติปฏิบัติตามด้วย มิฉะนั้นจะมีประโยชน์อะไรกับการศึกษา รู้แต่ไม่ประพฤติปฏิบัติตาม เพราะฉะนั้นศีลสิกขามีใช่ไหม หรือว่าสิกขาบทก็มี รู้ว่าอะไรเป็นสิ่งที่ควรทำ ปัญญารู้ เพราะฉะนั้นปัญญานำไปสู่การทำสิ่งนั้น รู้ว่าอะไรควรเว้น ก็ปัญญาอีกนั่นแหละ ที่นำไปสู่การเว้นสิ่งนั้น เพราะฉะนั้นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกคำเป็นเรื่องของปัญญา ความเข้าใจถูกความเห็นถูกซึ่งเป็นธรรมที่ไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นถ้าจะไปเรียกอะไรว่าปัญญา แต่ว่าไม่ได้เข้าใจความจริงของสิ่งที่มี จะเป็นปัญญาได้อย่างไร เพราะฉะนั้นใช้คำนี้ก็หมายความว่า หมายถึงสิ่งที่มีจริงซึ่งเป็นสภาพธรรมที่เห็นถูกเข้าใจถูกในสิ่งนั้น เพราะฉะนั้นเมื่อเข้าใจแล้ว ก็รู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด อะไรเป็นโทษอะไรเป็นประโยชน์ ก็ประพฤติปฏิบัติในสิ่งที่ถูก เพราะฉะนั้นสิกขาบทรู้ว่า อะไรควรทำอะไรควรเว้น ต้องประพฤติตามด้วย โดยเฉพาะสิกขาบทของพระภิกษุ ถ้าไม่ประพฤติปฏิบัติตามก็คือว่า ผู้นั้นไม่ใช่ผู้ที่เห็นภัยในสังสารวัฏ

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 188
    29 เม.ย. 2568