ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1299


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ปกิณณกธรรม ตอนที่ ๑๒๙๙

    สนทนาธรรม ที่ คอนโดพระยาภิรมย์

    วันที่ ๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๖๑


    ท่านอาจารย์ นานแสนนาน แล้วจะต่อไปอีกนานแสนนาน เพราะฉะนั้นระหว่างนานแสนนานที่แล้วมา กับนานแสนนานต่อไป ความไม่รู้จะเพิ่มขึ้นแค่ไหน แต่ละคนก็ตระหนักด้วยตัวเอง ในชีวิตประจำวัน ฟังธรรมเข้าใจ แล้วต้องฟังอีกก็เข้าใจอีก ดูเหมือนเดิมเลย ฟังเรื่องอะไร ก็เรื่องเห็นนี่แหละไม่ใช่เรื่องอื่น เรื่องคิดนี่แหละ เรื่องจำนี่แหละ เรื่องทุกอย่างนี่แหละ ดูเหมือนเดิม แต่หารู้ว่าปัญญาค่อยๆ ซึมไป ทีละน้อยมาก จนไม่ปรากฏอาการของปัญญาเลย จนกว่าความรู้แต่ระดับ จะปรากฏว่าต่างกับก่อน เช่นขณะนี้สติสัมปชัญญะไม่เกิด ถูกต้องไหม จนกว่าถึงขณะที่สติสัมปชัญญะเกิดโดยความเป็นอนัตตา คิดดู ถ้าเราไปนั่งจ้องจะเป็นอนัตตาหรือ ไม่มีทางเลย ก็เรากำลังนั่งจ้อง จะไปเป็นอนัตตาได้อย่างไร อนัตตาก็ต้องเหมือนอย่างนี้ เห็นเกิดแล้ว ใครไปทำ

    เพราะฉะนั้นสตินั่นแหละเกิดแล้วไม่มีใครทำ แต่มีปัจจัยที่สติสัมปชัญญะจะเกิด ซึ่งปรากฏความต่างกับขณะนี้ เพราะมีสติ มีศรัทธา มีวิริยะ เยอะแยะหมดเลย ทุกขณะเกิดดับสืบต่อไม่ปรากฏเลย เพราะฉะนั้นสภาพธรรมทั้งหมด ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงโดยละเอียด โดยประการทั้งปวง ทั้งพระสูตร พระวินัย พระอภิธรรม แต่ละ๑ เกิดขึ้นทำกิจการงานตลอดเวลาไม่หยุดเลย แล้วแต่ว่าโลภะไม่มีทางเห็น อกุศลทั้งหลายไม่มีทางรู้ แต่ปัญญาที่ฟังแล้วค่อยๆ เข้าใจนี่แหละ จะค่อยๆ ปรุงแต่งเพื่อการละ เห็นไหม ถ้าใครไม่ใช่เพื่อการละ ก็ติดกับของโลภะ เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องที่ต้องมีปัญญาความเข้าใจอย่างเดียวว่า รู้เพื่อละ ขณะที่รู้ก็ละความไม่รู้ ขั้นฟังก็เพียงละความไม่รู้ขั้นฟัง ขั้นเข้าใจขึ้นทีละน้อยทีละน้อย จนกว่าสติจะนำมาระลึกได้ เห็นไหม นำมาที่ลักษณะที่กำลังปรากฏ ซึ่งถ้าหวังก็ไม่ใช่สติแล้ว โลภะก็มาพาไปอีก แค่นิดเดียว รวดเร็วมากใครจะรู้นอกจากปัญญา

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์ แล้วทีนี้ความเข้าใจระดับขั้นการฟัง ที่ต้องเข้าใจความเป็นเหตุเป็นผลของธรรม คือถ้าเข้าใจความเป็นอนัตตา ความไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนแล้ว ความเข้าใจตรงนี้ จะละความติดข้องโลภะ อะไรต่างๆ ได้อย่างไร

    ท่านอาจารย์ โลภะมีมากแค่ไหน นานเท่าไหร่

    ผู้ฟัง มหาศาล

    ท่านอาจารย์ ความไม่รู้มีมากเท่าไหร่

    ผู้ฟัง ก็มหาศาล

    ท่านอาจารย์ แล้วอะไรจะละความติดข้องได้

    ผู้ฟัง ปัญญา

    ท่านอาจารย์ เราเรียกว่าปัญญา แต่คือความเข้าใจใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ ชื่อเดียว แต่หมายความถึงสภาพธรรมที่เข้าใจถูกต้อง

    ผู้ฟัง คือความเข้าใจนั้น

    ท่านอาจารย์ ก็ละความไม่รู้กับความไม่เข้าใจ

    ผู้ฟัง ละความไม่รู้ แต่ว่ายังไม่ถึงระดับที่จะละหมด ก็ละไปทีละนิดทีละหน่อย

    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวก่อน ถ้าระลึกชาติได้ แต่ละคนฟังธรรมมาแล้วกี่ชาติ เครื่องพิสูจน์ก็คือชาตินี้มีความเข้าใจแค่ไหน ใครเข้าใจเร็วมากก็แสดงว่าสะสมมามาก ถ้าใครยังไม่เข้าใจ กี่ชาติที่เกิดนับไม่ถ้วนเลย สลับกันไปมา ระหว่างเป็นมนุษย์ เป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นคนเข็ญใจ เป็นพระมหากษัตริย์ ราชาต่างๆ ได้ฟังบ้างไม่ได้ฟังบ้าง คุณความดีบ้าง อกุศลเยอะแยะบ้าง คิดดูเท่าไหร่ แล้วเราจะคิดว่าเราจะละโลภะ เมื่อไหร่ ไม่ต้องคิดเลย ฟังค่อยๆ เข้าใจขึ้นอย่างเดียว

    ผู้ฟัง ตรงค่อยๆ เข้าใจขึ้นตรงนั้น ก็ค่อยๆ ละ

    ท่านอาจารย์ แน่นอน ไม่มีอะไรจะละความไม่รู้ได้ นอกจากความเข้าใจ

    ผู้ฟัง ละนิดๆ หน่อยๆ ก็ละ

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มี ๑ ขณะของนิด จะมีขณะเพิ่มขึ้นเพิ่มขึ้นไหม

    ผู้ฟัง ก็ไม่มี

    ท่านอาจารย์ แต่ละ ๑ ขณะสำคัญยิ่ง อย่าคิดว่าน้อยแสนน้อย น้อยแสนน้อยนั่นแหละจะค่อยๆ เพิ่มขึ้น

    ผู้ฟัง ซึ่งเราไม่ค่อยจะเห็นความสำคัญของขณะนิดๆ

    ท่านอาจารย์ ใช่ นี่คือวิริยารัมภกถา กถาที่กล่าวถึงความเพียร คือไม่ใช่ไปขะมักเขม้นเพียร พระพุทธเจ้าตรัสให้เพียรก็เพียร แต่ความเพียรเองเพราะปัญญา ที่จะรู้ว่าขณะใดก็ตามที่มีการเข้าใจธรรม ขณะนั้นเพียรเกิดร่วมด้วยจึงได้เข้าใจ เพราะฉะนั้นความเพียร ก็ฟังเมื่อไหร่ ความเพียรมีแล้ว ปัญญามีแล้ว น้อยแค่ไหนก็ค่อยๆ สะสมไป จึงสามารถที่จะเข้าใจคำว่าแสนโกฏิกัปป์ แสนกัปป์ แล้วก็กี่กัปป์ แต่ละพระชาติผู้ที่เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยังบำเพ็ญบารมีถึงอย่างนั้น ปัญญาไม่ต้องเทียบ แต่สำหรับคนที่จะรู้อย่างนั้น โดยที่ปัญญาไม่ถึง ก็ต้องค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป ทั้งหมด ปลอดภัยเมื่อรู้ว่าเพื่อละ เพราะว่าอกุศลมีมาก พอฟังเสร็จ โลภะก็ได้ โทสะก็ได้ อะไรก็ได้ แต่ไม่รู้ แล้วก็ไม่รู้ไปทั้งนั้นแหละ กี่ชาติกี่ชาติ จนกว่าปัญญาเกิดเมื่อไหร่ เพราะฉะนั้นผลของการฟัง ก็คือความเข้าใจในขณะที่ฟัง แล้วก็รู้ว่าเป็นเรื่องที่มีสิ่งที่ปรากฏทุกชาติ ไม่รู้ทุกชาติ ฟังแล้วค่อยๆ รู้ทีละนิดทีละหน่อยทุกชาติ

    อ.วิชัย กราบท่านอาจารย์ คำถามกล่าวถึงเรื่องของการศึกษา ในระดับปัญญาที่สูงอย่างยิ่ง ก็คือวิปัสสนาญาณ ทั้งหมดต้องเป็นเรื่องของความรู้และก็ความเข้าใจ ถ้าบุคคลนั้นไม่มีความรู้ความเข้าใจว่าธรรมคืออะไร ไม่มีความรู้ความเข้าใจว่า ปัญญาที่จะรู้ความเป็นธรรมที่จะเจริญขึ้น ที่จะเข้าใจถูกต้อง ตามความเป็นจริงของธรรม ถ้าจะไปศึกษาคำต่างๆ ในวิปัสสนาญาณต่างๆ บุคคลนั้นก็ไม่มีความเข้าใจ แต่ถ้าบุคคลนั้นเริ่มมีความเห็นถูกว่า ความรู้ความเข้าใจที่จะเกิดขึ้นรู้อะไร ก็ต้องรู้ความเป็นธรรมที่ค่อยๆ มั่นคงขึ้น แต่ปัญญาก็มีหลายระดับขั้น ดังนั้นที่พระองค์แสดงวิปัสสนาญาณแต่ละขั้น เพื่อให้เห็นถึงระดับขั้นของปัญญาที่มีระดับที่ต่างกัน ถ้าเป็นผู้ที่มีความเข้าใจตามลำดับ ก็จะไม่หลงเข้าใจผิด เพราะบางท่านเข้าใจผิดได้ใช่ไหมว่า ขณะนี้สีก็เป็นรูป เห็นก็เป็นนาม ก็เหมือนกับหลงว่า นั่นคือการรู้ความต่างกัน ระหว่างนามธรรมกับรูปธรรมแล้ว แต่ว่าไม่ใช่อย่างนั้นเลย เพราะว่าขณะนั้นเป็นเรื่องของความคิด ไม่ใช่เป็นเรื่องของปัญญา ฉะนั้นปัญญาต้องเป็นไปตามระดับขั้นของปัญญา ถ้าไม่มีความเข้าใจถูกในลักษณะของธรรมแต่ละ ๑ จนมั่นคง ที่จะเป็นปัจจัยให้สติเกิด ก็ไม่ต้องพูดถึงเรื่องของวิปัสสนาญาณ แม้จะศึกษาไปก็เป็นแต่เรื่องราวเพียงชื่อ แต่ถ้าเป็นผู้ที่มีความเข้าใจตามลำดับแล้ว ก็สามารถที่จะพิจารณาถึง การเจริญขึ้นปัญญาแต่ละระดับขั้นว่าเป็นอย่างไร

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นแค่ชื่อ บางคนก็บอกว่าเป็นนามรูปปริเฉทญาณ ได้ญาณกันเป็นแถวๆ เพราะว่าพอรู้ว่าเห็นเป็นนามธรรม เป็นสภาพรู้ เขาก็บอกเขารู้ แข็ง แข็งนี่ก็แข็งไม่รู้อะไร แข็งก็เป็นสภาพรู้ นี่คือนามรูปปริเฉทญาณ เพราะฉะนั้นแสดงให้เห็นว่าไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วทำไมไปเรียก แค่เห็นนี่เป็นนามธรรม แข็งนี่เป็นรูปธรรม ก็นามรูปปริเฉทญาณ และจะมีอะไร แต่ว่าทุกคนก็แค่นี้ใช่ไหม เพราะฉะนั้นก็เป็นอันตรายอย่างยิ่ง ด้วยความหวัง ด้วยความไม่รู้ ทำให้ไม่เข้าใจ แล้วก็ตู่ แล้วก็คิดว่าตนเองได้ถึงวิปัสสนาญาณขั้นนั้นขั้นนี้แล้ว บางคนก็นี่เกิดดับแล้ว ถึงโน่น ไม่ใช่ว่าแค่นามรูปปริเฉทญาณ แต่ว่าอุทยัพพยญาณ ประจักษ์แจ้งแล้ว ก็เป็นเรื่องซึ่งแม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว แต่ความไม่รู้คุณของความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แค่นี้เองหรือใช่ไหม แล้วก็ไม่เห็นละอะไร แต่ว่าถ้าศึกษาโดยละเอียด แต่ละคำขยายออกไป เพิ่มความเป็นจริงให้จนกว่าจะรู้จริงๆ ว่าเร็วสุดที่จะประมาณได้ จนลวงว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เป็นดอกไม้ เป็นโต๊ะ เป็นเก้าอี้ แล้ววิปัสสนาญาณประจักษ์แจ้ง ๑ อย่างอื่นไม่ปรากฏเลย เพราะ ๑ อย่างอื่นจะปรากฏได้อย่างไร

    เพราะฉะนั้นจึงต่างกับที่เข้าใจว่า แค่นี้กำลังกระทบก็แข็ง สภาพรู้ก็คือนามธรรม ไม่ใช่เรา ต้องรู้ความต่างของสติขั้นฟัง กับสติสัมปชัญญะ ซึ่งเป็นสติปัฏฐาน สติขั้นฟังมี ถ้าไม่มีไม่เข้าใจ แต่ลักษณะของสติไม่ได้ปรากฏเลย กำลังฟังเข้าใจเมื่อไหร่มีสติ แต่ว่าลักษณะของสติไม่ได้ปรากฏ เพราะฉะนั้นสติปัฏฐาน ต่างแล้วใช่ไหม ปรากฏโดยความเป็นอนัตตา ไม่มีใครทำเลย ก็ขณะนี้ทุกคนก็กำลังมีแข็ง มีเห็น มีคิด ไม่ได้รู้ตรงสักอย่างใช่ไหม ถ้าไม่พูดถึงแข็ง ใครคิดถึงแข็งตรงที่ปรากฏบ้าง

    อ.วิชัย ไม่ได้คิดถึง

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่ได้คิดถึง ความรู้สึกมี มีความรู้สึก กระทบแข็งความรู้สึกก็มีแล้ว แล้วใครจะรู้จักความรู้สึกนั้น เพราะฉะนั้นสติขั้นสติสัมปชัญญะ ต้องเกิดขึ้นเพราะความเข้าใจ ที่จะเข้าใจถูกต้องว่า ลักษณะนั้นเป็นธรรมนั้น ลักษณะนั้นเป็นธรรม เห็นไหม จากโต๊ะจากเก้าอี้มาเป็นธรรม คือลักษณะนั้นเป็นธรรมตามความเป็นจริง แข็งก็คือแข็ง เพราะฉะนั้นแข็ง ขณะที่เรากำลังพูดปรากฏ ยังไม่ใช่สติสัมปชัญญะ

    อ.วิชัย อย่างเช่น จับ ความจำมั่นคงที่จะรู้ว่าเป็นใบไม้

    ท่านอาจารย์ แค่จับก็รู้ใช่ไหม คิดต่อเลย เป็นใบไม้ไปแล้ว สติเกิดหรือยัง

    อ.วิชัย ก็ไม่ได้เกิด

    ท่านอาจารย์ ไม่มี นี่คือชีวิตปกติธรรมดา

    อ.วิชัย แต่ว่าก่อนที่จะคิดถึง ต้องมีลักษณะของธรรมที่ปรากฏ จึงจะคิดถึงในสิ่งนั้น

    ท่านอาจารย์ เป็นธรรมดา สิ่งที่กำลังปรากฏทางตา มีลักษณะปรากฏสีสันวรรณะเป็นนิมิต

    อ.วิชัย แต่พูดถึงว่าในระหว่างนั้นความรู้ไม่ได้เข้าใจถูกตรงนั้นใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นฟังแล้วเข้าใจ ก็ยังเป็นอย่างนี้ แต่ถ้าสติสัมปชัญญะเกิด ต้องต่าง เห็นไหม ความต่างก็คือปรากฏโดยความเป็นอนัตตา ที่ถึงรู้เฉพาะสิ่งที่ปรากฏอย่างเดียว เร็วมากใช่ไหม แค่นิดเดียว และขึ้นอยู่กับความเข้าใจว่าเข้าใจตรงนั้น แค่ไหน

    อ.วิชัย ความเข้าใจที่จะรู้ตรงนั้น ก็ต้องเป็นการเริ่มสะสมการฟัง ในสิ่งนั้นว่าคืออะไรจนมั่นคงที่จะรู้ตรงนั้นได้

    ท่านอาจารย์ ถ้าเข้าใจตรงนั้น หมายความว่า เราต้องการที่จะเข้าใจตรงนั้นหรือเปล่า

    อ.วิชัย ก็มีอกุศลมาคอยแทรกแซง

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นแค่สิ่งที่ปรากฏทางตา ขณะนี้ไม่ใช่ใครเลย ถ้าไม่มีสติสัมปชัญญะที่ค่อยๆ เข้าใจ เกิดขึ้นไม่ได้คิดอย่างอื่นเลย ไม่ได้คิดว่าคุณเต้ยนั่งอยู่ตรงนี้ใช่ไหม แต่ว่าเข้าใจ คิดด้วยความเข้าใจ ในสิ่งที่เพียงปรากฏ แต่ละคำค่อยๆ เพิ่มความเข้าใจที่ละเอียดขึ้นว่า เพียงปรากฏ ก็ต่างกับที่ปรากฏแล้วใช่ไหม แม้แต่คำเล็กๆ คำเดียว เพียงปรากฏ แต่ว่าความใส่ใจที่จะเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ไม่เหมือนเดิม เพราะเดี๋ยวนี้ปรากฏ แต่เพียงปรากฏ เพียงปรากฏด้วยความเข้าใจ ที่เกิดขึ้นขณะนี้ว่า เพียงปรากฏ ต่างกันแค่นิดเดียวไปเรื่อยๆ จนกว่าเพียงปรากฏจะมั่นคงขึ้นอีก กว่าจะเพียงปรากฏโดยไม่มีอย่างอื่นปรากฏ

    เพราะฉะนั้นเป็นเรื่องที่ฟังแล้ว จะเห็นความไม่มีอะไรยากยิ่งเท่า กว่าจะมีการฟัง กว่าจะมีการเข้าใจ กว่าจะเป็นผู้ละเอียดที่จะละ กว่าจะรู้คุณ ถ้าไม่มีคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีทางเลยที่จะรู้ว่าละนี่คืออะไร และรู้นี่รู้อะไร และอีกนานเท่าไหร่กว่าที่ละจะเป็นลำดับขั้น เมื่อสักครู่นี้คุณวิชัยพูดถึงเรื่องจำ จำชื่อ ไม่ลืม จิตมีเท่าไหร่ ชื่อใช่ไหม เจตสิกเท่าไหร่ ก็ชื่อนี่คือจำชื่อ เพราะฉะนั้นจำพร้อมปัญญา เห็นไหม กำลังฟังชื่อทั้งหมด แล้วมีความเข้าใจเมื่อไหร่ จำพร้อมกับความเข้าใจที่เกิดขึ้น เพราะสภาพจำเกิดกับจิตทุกขณะ ด้วยเหตุนี้จำพร้อมเข้าใจอีกนานเท่าไหร่ กว่าจะจำว่าเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏ พร้อมความเข้าใจ ทีละเล็กทีละน้อยจริงๆ เพราะฉะนั้นประมาทไม่ได้เลย ขณะนี้จำพร้อมการฟัง เข้าใจในขั้นการฟัง และสภาพธรรมขณะนี้ปรุงแต่ง ไม่มีใครเลยทั้งสิ้น กว่าคำนี้จะมั่นคงเห็นไหม เป็นสัจจญาณว่าไม่มีใคร เพราะเหตุว่ามีความเข้าใจเข้าใจขึ้น เข้าใจขึ้น จนกระทั่งชีวิตก็รู้ว่าเกิดขึ้นดับไป ไม่ใช่เรา ในขั้นเข้าใจ เห็นไหม ในขั้นเข้าใจ เมื่อสักครู่นี้ก็เราหมดเลย มันหนาเท่าไหร่จนกระทั่งประมาณไม่ได้เลย แต่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เราไม่ประมาทเลย คุณมหาศาลที่จะทำให้ถึงขณะที่รู้ว่ายังมีความเข้าใจกว่านี้ได้อีก อีกไปเรื่อยๆ

    เพราะฉะนั้นก็เป็นผู้ที่ศึกษา ด้วยการที่เคารพในคุณของพระธรรม แต่ว่าไม่ใช่ว่าเพราะหวังให้พระองค์มาช่วย หรือว่าคำนี้จะช่วยไหม คำนั้นจะช่วยไหม คิดอย่างนี้ดีไหม หรืออะไรอย่างนี้ นั่นก็คือทั้งหมดเป็นอกุศล ด้วยความเป็นตัวตน เพราะฉะนั้นทั้งหมดเป็นเรื่องละ เดี๋ยวนี้ที่เข้าใจก็ละนิดหนึ่ง ฟังอีกก็ละนิดหนึ่ง ไม่ได้ฟังแล้วคิดเมื่อไหร่ ค่อยๆ เข้าใจเมื่อไหร่ ก็ค่อยๆ ละไปทีละเล็กทีละน้อย

    อ.วิชัย ที่ท่านอาจารย์กล่าวถึงสมุทัยคือความพอใจ หมายความว่าความรู้ในความเป็นจริงของธรรม ที่จะเข้าใจว่าความรู้ตรงนั้น ไม่ใช่เพื่ออย่างอื่น แต่เป็นการละความติดข้องพอใจ

    ท่านอาจารย์ ความรู้มีบ้าง มั่นคงไหม ว่าทำอะไรไม่ได้

    อ.วิชัย แค่นี้ก็ยากมาก

    ท่านอาจารย์ ใช่ เพราะฉะนั้นกว่าจะมั่นคงแท้ๆ ที่จะขัดเกลา ก็ต้องเป็นผู้ที่แม้ในขั้นการฟังก็รู้ว่า การฟังประโยชน์จริงๆ คือขณะฟังเข้าใจ แล้วถ้าไม่มีการฟังเข้าใจ อะไรจะไปละอกุศลได้ ต้องเห็นถึงอย่างนั้นว่าแม้ในขั้นการฟัง ซึ่งมีอกุศลล้อมรอบตัวหมดเลย เราฟังเรื่องอาสวะ ไม่ใช่อนุสัย อนุสัยไม่มีใครรู้เพราะไม่เกิด แต่เห็นเกิด อาสวะเกิดหลังจากที่เห็นแล้ว เพราะฉะนั้นฟังอย่างนี้เพื่อที่จะรู้ความจริงว่า ไม่ใช่เรา ฟังจนกระทั่งสามารถที่จะเริ่มทีละเล็กทีละน้อยว่า ไม่มีใครขณะนี้ก็ไม่มี เมื่อไหร่ก็ไม่มี ถ้ายังคงไม่ใช่เป็นสัจจญาณที่มั่นคง สติสัมปชัญญะที่จะเกิดขึ้นเข้าใจขึ้น ต้องต่างกับขณะที่เป็นการฟังขั้นรอบรู้โดยปริยัติ แต่เข้าใจขึ้น และขึ้นอีกเท่าไหร่ แล้วก็สภาพธรรมมีเท่าไหร่ แล้วก็เลือกไม่ได้เลยสักอย่าง เลือกเมื่อไหร่ก็คือผิดทันที เรื่องผิดเยอะมาก แต่ว่าปัญญาก็สามารถที่จะเข้าใจได้ ถ้าปัญญาไม่เกิดก็ไม่มีทางก็จมอยู่ใต้น้ำ แล้วก็สัจจญาณนั่นแหละ เพราะมีเพราะเป็น จึงเป็นปัจจัย ให้สติสัมปชัญญะเกิดขึ้น ทำกิจจญาณที่จะเข้าใจในความเป็นธรรม

    ตอนนี้ฟังเรื่องธรรม แต่ยังเป็นเราหมดเลย เป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ จนกว่าจะฟังแล้วก็เข้าใจว่าจริงๆ ไม่มี ไม่ว่าจะนอน พลิกซ้ายพลิกขวาเหยียดเท้าไป ตื่นขึ้นมาเห็นอะไร เห็นไหม ความมั่นคงที่สัจจะจริงในอริยสัจ สัจจญาณแค่ปรากฏ เห็นไหม เมื่อสักครู่นี้เพียงปรากฏ เดี๋ยวนี้แค่ปรากฏ ความเข้าใจลึกซึ้งขึ้นว่าแค่ไหน ปัญญาที่จะเข้าใจ ที่จะแม้แต่จะคลายการที่มีคนอยู่เต็มห้อง ก็คือไม่มีอะไร แล้วจะยิ่งไม่มีกว่านี้ใช่ไหมเมื่อสติสัมปชัญญะเกิด เห็นไหม ตอนนี้ไม่มีในความคิดว่าไม่มี จนมั่นคง แต่ทั้งๆ ที่มีแข็ง มีอ่อน มีเห็น มีได้ยิน ไม่ใช่สติสัมปชัญญะ ขั้นไม่มีอะไรเพราะเพียงเกิดขึ้นปรากฏ แต่พอเป็นสติสัมปชัญญะชัดขึ้นอีกไหม เห็นไหม นี่แสดงให้เห็นว่ากว่าจะปรุงแต่งจนถึงขณะที่เกิดเอง โดยการที่ว่าเป็นสัจจญาณ เพราะมีความมั่นคงอย่างนั้น จึงสามารถที่จะไม่หวั่นไหว เวลาที่สติสัมปชัญญะเกิดขึ้นกระทำกิจ เพราะมีสัจจญาณที่มั่นคง ความเข้าใจตรงนั้นก็เพิ่มขึ้นอีกว่า ตรงนั้นแหละที่จริง

    อ.วิชัย ถ้ากล่าวถึงธรรมอันผู้บรรลุจะพึงเห็นเอง หมายความว่าสิ่งใดก็ตามที่ปรากฏแก่บุคคลนั้น บุคคลนั้นย่อมรู้

    ท่านอาจารย์ อันผู้บรรลุจะพึงเห็นเอง ไม่ใช่แค่ฟังเข้าใจใช่ไหม ฟังเข้าใจกับเห็นต่างกันแล้ว มูลนิธิอยู่ที่ไหน พรรณนาไป เข้าใจยังไม่เห็น มีต้นไม้อะไร มีบันไดตรงไหน มีอะไร ก็พรรณนาไปให้รู้ว่ามี อยู่ตรงนั้นแต่ยังไม่เห็น ไม่ประกอบด้วยกาล เมื่อไหร่ก็ได้ ไม่มีการเลือกว่าต้องเวลานั้นเวลานี้

    อ.วิชัย ก็แสดงความไม่ใช่เรา แล้วก็เป็นอนัตตาแน่นอน

    ท่านอาจารย์ ตลอดหมดทุกคำที่ลึกซึ้งอย่างยิ่ง เพราะเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นคำของพระองค์ต้องไม่เหมือนใคร

    อ.วิชัย ธรรมอันผู้บรรลุจะพึงเห็นเอง ไม่ประกอบด้วยกาล ควรเรียกให้มาดู ควรน้อมนำมาในตน แล้วก็อันวิญญูชนพึงรู้ได้เฉพาะตน

    ท่านอาจารย์ นี่คุณวิชัยกล่าว แต่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส ด้วยพระองค์เอง ปัญญาระดับไหนห่างไกลระดับไหน เพราะฉะนั้นคำก็เหมือนว่าขึ้นอยู่กับความเข้าใจของแต่ละคน แต่ผู้ตรัสพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นแค่คำ เราวัดไม่ได้ ใช่ไหม คำนั้นเป็นคำจริงใครพูดก็ตาม ปัญญาของใครต่างหาก พูดตามกันได้ทั้งนั้นเลย เวลาสวดก็สวดกันพรั่งพร้อมดีใช่ไหม แต่ว่าขณะนั้นเข้าใจอะไร และผู้ที่ตรัสคำนั้น กล่าวคำที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้เลย แม้เพียงคำแรก พึงเห็นเอง ไม่ใช่แค่เข้าใจ

    ผู้ฟัง คือว่าเมื่อเช้าได้สนทนากันเล็กๆ น้อยๆ กับคุณต่อ ถ้าสมมติว่าถามว่าเห็นอะไร แล้วตอบว่าเห็นสี หรือว่าเห็นเพียงสิ่งที่ปรากฏ เขาบอกว่าไม่เหมือนกัน เพราะว่าถ้ารูปมันจะละเอียดลึกซึ้งกว่าคำว่าสิ่งที่ปรากฏ

    ท่านอาจารย์ เราไม่ต้องมาคิดเรื่องคำ ให้มากเรื่อง คิดกันไป เดี๋ยวก็ใช้คำนี้เดี๋ยวก็ใช้คำนั้น วันนั้นพูดอย่างนี้วันนี้พูดอย่างนั้น ไม่มีทาง นอกจากอันผู้รู้จะพึงเห็นเอง เพราะฉะนั้นถ้าเราไม่คิดถึงชื่อ บอกว่าเป็นสี อีกคนบอกปรากฏทางตา อีกคนบอกว่าเป็นรูป อีกคนบอกว่ารูปขันธ์ หลายชื่อ วรรณะก็ได้ นิภาได้หมด แต่กว่าจะรู้ว่าไม่มีใคร แต่ว่ามีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นแน่นอน เมื่อเห็นเท่านั้นด้วย เพียงแค่หลับตาก็ไม่มี เพราะฉะนั้นก็เข้าใจว่ามีสิ่งหนึ่งแค่นี้ สิ่งนี้มีแน่ๆ เท่านั้นเอง ใครก็ไปบังคับบัญชาไม่ให้เกิดไม่ได้ ในขณะนั้นคือไม่ได้คิดถึงคน ไม่ได้คิดถึงโต๊ะ ไม่ได้คิดถึงดอกไม้ แค่สิ่งนี้มีเท่านั้นเอง มีจริงๆ เมื่อเห็นเท่านั้นเห็นไหม มีจริงๆ เมื่อเห็น

    ผู้ฟัง คือให้มั่นคงตรงนี้ก่อนว่าเพียงสิ่งที่ปรากฏ

    ท่านอาจารย์ เข้าใจ กว่าจะถึงการที่สติสัมปชัญญะรู้ขึ้น ละมากขึ้น ก็ต้องมาจากความเข้าใจอย่างนี้ขั้นต้น ถ้าไม่มีความเข้าใจอย่างนี้ในขั้นต้น จะไปละได้อย่างไร ไม่มีทางเลย เป็นเราเป็นเขาอย่างมั่นคงอยู่เรื่อยๆ แต่นี่ไม่มี ไม่มีเลยเดี๋ยวนี้ ลองคิดดู ไม่มี ไม่มีอะไรเลย แต่มีสิ่งที่ปรากฏทางตาเท่านั้นจริงๆ ในขณะที่เห็น เห็นไหม ดับด้วย ไม่เหลือด้วย จะเป็นแข็งก็ไม่ได้ จะเป็นหูก็ไม่ได้ จะเป็นคนจะเป็นใคร ไม่ได้เลยทั้งสิ้น กว่าจะค่อยๆ ชินกับไม่มีเลย แต่มีเมื่อเกิดขึ้น

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 188
    5 ส.ค. 2568