ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1274


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ปกิณณกธรรม ตอนที่ ๑๒๗๔

    สนทนาธรรม ที่ กนกรัตน์ รีสอร์ท อัมพวา จ.สมุทรสงคราม

    วันที่ ๒ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๖๑


    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่สามารถกระทบกับสิ่งที่กระทบได้ และเป็นปัจจัยให้ธาตุรู้เกิดขึ้นรู้สิ่งนั้น ตาจะมีประโยชน์ไหม ก็ไม่มีใช่ไหม แต่ว่าสิ่งต่างๆ เหล่านี้ ไม่มีใครไปบังคับบัญชาได้เลยทั้งสิ้น แต่ว่าเกิดตามเหตุตามปัจจัย หลากหลายมาก เพราะฉะนั้นจึงเข้าใจความหมายของคำว่าอนัตตา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น จะห้ามไม่ให้เกิดเห็น ห้ามไม่ได้ จะห้ามไม่ให้ได้ยินก็ห้ามไม่ได้ ห้ามคิดก็ห้ามไม่ได้ เพราะฉะนั้นทุกอย่างที่มีจริง ไม่มีใครไปบันดาลให้เกิด หรือไม่ให้เกิดเลย จะไม่ให้เกิดก็ไม่ได้ จะให้เกิดก็ไม่ได้ แล้วแต่เหตุปัจจัยที่ทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นเป็นไป ฟังแค่นี้ แต่รู้ไหมว่าถ้าเข้าใจจริงๆ ความเข้าใจจะเพิ่มขึ้นเพิ่มขึ้นแต่ละครั้งที่ได้ฟัง จนถึงขณะที่สามารถประจักษ์ความจริงอย่างนี้ ไม่ใช่เพียงฟังชื่อ ฟังเรื่อง ฟังจำนวน จำได้ แต่ไม่สามารถที่จะเข้าถึงความจริงซึ่งกำลังเป็นจริงในขณะนี้ เมื่อสักครู่นี้เราพูดถึงธาตุรู้สภาพรู้มีจริงๆ แล้วเราก็บอกว่า ขณะเห็นก็รู้สิ่งที่กำลังปรากฏ ขณะได้ยินเฉพาะเสียงที่กำลังได้ยิน กลิ่นก็เฉพาะกลิ่นที่ปรากฏ

    เพราะฉะนั้นกำลังรู้แจ้งในสิ่งหนึ่งสิ่งใด ขณะนั้นไม่ใช่ความเห็นถูก เห็นไหม ต้องมีความละเอียด ความเข้าใจถูกเป็นอย่างหนึ่ง แต่การเกิดขึ้นรู้แจ้งสิ่งที่กำลังปรากฏเป็นอีกอย่างหนึ่ง เพราะฉะนั้นสภาพที่รู้แจ้ง ทรงบัญญัติใช้คำว่าจิตตะ คนไทยใช้คำว่าจิต แล้วสภาพซึ่งรู้ เช่นความเห็นถูกต้อง หรือว่าความโกรธ หรือว่าความขยัน หรือว่าความเมื่อย อะไรทั้งหมดที่มีจริง ที่ไม่ใช่ในขณะที่กำลังรู้แจ้งสิ่งที่ปรากฏ ขณะนั้นมีจริงๆ เป็นสภาพรู้ แต่ไม่ใช่จิต ทรงบัญญัติว่าเป็นเจตสิก เห็นไหมความละเอียดแค่รู้แจ้งนั่นอย่างหนึ่ง แต่ว่าความเข้าใจถูกหรือความไม่รู้ ก็เป็นแต่ละหนึ่งแต่ละหนึ่ง ลองถามคนที่เขาฟังธรรมว่าเขาเข้าใจไหม คนหนึ่งก็ตอบว่าเข้าใจ อีกคนหนึ่งก็ตอบว่าไม่เข้าใจจริงไหม จริงทั้งสองอย่างใช่ไหม ไม่เข้าใจก็จริง จะพูดให้เขาเข้าใจก็พูดไม่ได้ เพราะเขาไม่เข้าใจ เขาก็ต้องตอบว่าไม่เข้าใจ เพราะฉะนั้นความเข้าใจก็มีจริงแต่ไม่ใช่จิต จิตก็เพียงรู้แจ้งสิ่งที่กำลังปรากฏ แต่ความไม่รู้ไม่เข้าใจมีจริงๆ เป็นธรรมเป็นสภาพรู้ ไม่ใช่แข็ง อ่อน เย็น ร้อน สภาพธรรมอื่นใดทั้งหมด ที่ไม่ใช่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งซึ่งเป็นจิต สภาพรู้นั้นๆ เป็นเจตสิก เจตสิกหมายความถึงสภาพรู้ที่เกิดในจิต เกิดพร้อมจิต ดับพร้อมจิต รู้สิ่งเดียวกัน ถ้าไม่เห็นจะชอบไหม ไม่ชอบใช่ไหม

    เพราะฉะนั้นเห็นก็เห็น แต่เห็นไม่ได้ชอบ เห็นรู้แจ้งสิ่งที่ปรากฏ แต่ชอบสิ่งที่เห็น เพราะฉะนั้นก็เป็นสภาพรู้ ไม่ใช่รู้แจ้งแต่ติดข้อง เพราะฉะนั้นก็สภาพที่ติดข้องมีจริงๆ ติดข้องหลายระดับเลย ระดับเดี๋ยวนี้ที่ไม่รู้เลยว่าติดข้อง ถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงแสดง จะละได้ไหม ละเสีย ละเสีย ละอย่างไรในเมื่อไม่รู้

    อ.วิชัย เมื่อสักครู่ท่านอาจารย์กล่าวความละเอียดของนามธรรม ซึ่งมีลักษณะที่ต่างกัน ลักษณะของปัญญากับจิต ก็มีความต่างกัน จิตจะไปกระทำหน้าที่อย่างปัญญาก็ไม่ได้ หรือปัญญาจะไปกระทำหน้าที่อย่างจิตก็ไม่ได้ แต่ว่าความละเอียดของนามธรรมที่เป็นไปอย่างเร็ว ค่อยๆ ปรากฏให้เข้าใจได้ ที่จะค่อยๆ เห็นถึงความต่างกันของนามธรรมแต่ละอย่าง

    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้อะไรปรากฏ

    อ.วิชัย ก็มีเห็นบ้าง ได้ยินบ้าง

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเห็นไม่พูดอะไรเลย มีไหม มี รู้แจ้งแล้ว ไม่ใช่แจ้งอื่น เฉพาะสิ่งที่ปรากฏ เพราะฉะนั้นอาจจะดับไฟให้หมดเลย เห็นไหม ตอบให้ตรง ก็เห็น แจ้งไหม แจ้ง ทั้งๆ ที่ดับไฟแล้วยังแจ้ง จึงรู้ว่ามืดไม่เป็นอย่างอื่น เพราะฉะนั้นแต่ละคำเข้าใจสิ่งที่มี ไม่เช่นนั้นเราพูดสิ่งที่ยังไม่ปรากฏว่ามี แล้วเข้าใจได้อย่างไร ด้วยเหตุนี้พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสคำให้คนได้เข้าใจสิ่งที่กำลังมีในขณะนั้น ให้เขาไตร่ตรองให้คิดเอง จนกระทั่งเป็นความเห็นที่ถูกต้อง ดับไฟ มีเห็น แจ้งเลย จะมืดแค่ไหนเปิดไฟทีละดวง แจ้งใช่ไหม ทีละหนึ่งทีละหนึ่ง หลากหลายกัน ไม่ต้องพูดไม่ต้องบอกเลย หลากหลายมาก เพราะฉะนั้นเห็นเป็นอย่างอื่นได้ไหม ไม่ได้ เพราะฉะนั้นเห็นเกิดขึ้นเป็นเห็น เพราะฉะนั้นพอได้ยินอย่างนี้ เข้าใจอย่างนี้ ไม่ว่าในภาษาบาลี ภาษาอะไรก็ตามแต่ เพียงได้ฟังคำว่ารู้แจ้ง คนที่เคยฟังมาแล้ว ไตร่ตรองมาแล้ว เข้าใจมาแล้วไม่สงสัย แต่คนใหม่ๆ ก็จะสงสัยว่า แจ้งระดับไหน ต้องไฟกี่ดวงหรืออะไรอย่างนั้นใช่ไหม แต่ความจริงไม่ใช่เลย จะเป็นมืดหรือสว่างหรืออะไรก็ตามแต่ เห็นเป็นสิ่งที่มีจริงที่เกิดขึ้นเห็นจริงๆ ไม่เห็นเกินกว่านั้น

    เพราะฉะนั้นแจ้งที่เป็นอย่างนั้น มืดแค่ไหนสว่างแค่ไหน นั่นคือธาตุที่กำลังรู้แจ้งคือเห็น ก่อนเห็นมีเห็นไหม ไม่มี ทำให้เห็นเกิดได้ไหม ไม่มีทางเลย อย่าหลงผิดคิดว่าใครจะทำได้ แล้วก็เห็นที่กำลังเห็นเดี๋ยวนี้ ถ้าไม่ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะหลงติดยึดมั่นว่ายังมีอยู่ตลอดไป แต่ความจริงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว ทรงแสดงความจริงว่า เห็นเกิดเห็นแล้วดับ เร็วสุดที่จะประมาณได้ เพราะเหตุว่ากว่าจะเป็นดอกไม้ กว่าจะเป็นโต๊ะ กว่าจะเป็นเก้าอี้ กี่เห็น ใช่ไหม แค่ดูโทรทัศน์คนเดินไปทำอะไรต่างๆ จริงหรือ ต้องมีเห็นตลอดใช่ไหม จึงสามารถที่จะรู้ว่าสิ่งนั้นเคลื่อนไหวเป็นไปได้ นั่นก็คือว่าไม่รู้เลยว่าเห็นเกิดและก็ดับ และก็เกิดแล้วก็ดับ แล้วก็เกิดแล้วก็ดับสืบต่อ จนปรากฏเป็นรูปร่างสัณฐานต่างๆ แล้วก็จำไว้คิดว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ซึ่งเมื่อสักครู่นี้ก็นั่งเดี๋ยวก็ลุกขึ้น แล้วก็ไปทำกับข้าว แล้วก็ทำอะไรๆ หนังทั้งเรื่อง ละครทั้งเรื่องในโทรทัศน์ ก็เป็นแต่ละหนึ่งขณะที่เห็น ฉันใด เดี๋ยวนี้จอกว้างไหม และจะไปดูโทรทัศน์อะไร ใช่ไหม ไม่ชอบหรือจออย่างนี้ ไม่สนุกหรือ เห็นไหมว่าชอบสิ่งที่ไม่จริง

    อ.อรรณพ ชอบสิ่งที่ไม่จริงซ้อนไม่จริง เพราะว่าหนังละครก็ไม่มีจริง ก็แต่งเรื่องขึ้นมา แต่เราก็ชอบสิ่งที่ไม่จริงซ้อนเข้าไปอีก ก็เลยประเมิน เห็นว่าห่างไกลจากการที่จะรู้ สิ่งที่เป็นจริง จริงๆ แล้วก็ไม่ใส่ใจที่จะรู้สิ่งที่เป็นจริง

    ท่านอาจารย์ หนังละครชอบ ชอบดูในสิ่งที่ไม่จริง เพราะเห็นเดี๋ยวนี้ก็เห็น รู้ตัวหรือเปล่าว่าชอบสิ่งที่ปรากฏแล้ว

    อ.อรรณพ ไม่รู้ทั้งนั้น

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นกว่าจะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องฟังด้วยความเคารพในแต่ละคำว่าความไม่รู้มากมายมหาศาล อุปมาเป็นอะไรก็ไม่ได้ เป็นจักรวาลซึ่งปิดกั้นความจริง ซึ่งกำลังเป็นความจริงอย่างนี้ จนกว่าจะได้ฟังแต่ละคำแต่ละชาติ โดยไม่หวังอะไรเลยทั้งสิ้น เพราะรู้ว่าหวังก็ไม่ได้ ไม่ได้เป็นตามหวังเลย เสียเวลาเข้าใจดีกว่าใช่ไหม เพราะฉะนั้นก็ค่อยๆ เข้าใจค่อยๆ เข้าใจ อะไรจะเกิดขึ้น ไม่ใช่ไปห้ามไม่ให้เกิด เกิดแล้วแสดงความเป็นจริงว่า ต้องมีเหตุที่สะสมมาที่จะทำให้สิ่งนี้เกิดขึ้นเป็นอย่างนี้แน่นอน แต่ไม่รู้ใช่ไหม ก็คิดว่าเราทำบ้างคนอื่นทำบ้าง เป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ แต่ความจริงทุกอย่างที่จะเกิดขึ้น ต้องมีเหตุปัจจัยที่จะให้เกิดขึ้นเป็นอย่างนั้น เกินกว่านั้นก็ไม่ได้ น้อยกว่านั้นก็ไม่ได้ ต้องเป็นไปตามปัจจัย เพราะฉะนั้นกว่าจะเข้าใจแต่ละคำ สิ่งที่มีจริงเป็นธรรมในภาษาบาลี แต่ลักษณะก็คือว่ามีจริงๆ หลากหลายมากด้วย แต่ถึงกระนั้นก็ยังจำแนกเป็น ๒ อย่าง เดี๋ยวนี้ก็มี ไม่ใช่ว่าต้องไปหาที่ไหน ไปเปิดตำราเล่มไหน เดี๋ยวนี้ก็มี สิ่งที่มีหนึ่งก็คือเป็นสภาพที่ไม่รู้อะไรเลยทั้งสิ้น แข็ง อ่อน เสียง กลิ่น เกิดแล้วก็ดับไม่รู้อะไรเลย แต่ถ้าไม่มีธาตุที่เกิดขึ้นรู้สิ่งต่างๆ เหล่านี้ก็ปรากฏไม่ได้ เพียงจะปรากฏยังปรากฏไม่ได้เลย ถ้าไม่มีธาตุรู้เกิดขึ้น

    เพราะฉะนั้นธาตุรู้เป็นอีกอย่างหนึ่ง จะมีรูปร่างสัณฐานใดๆ ไม่ได้เลย เพราะว่าแต่ละหนึ่งต้องเป็นหนึ่ง แข็งเป็นเสียงไม่ได้ เพราะฉะนั้นธาตุรู้จะเป็นสิ่งที่แข็งไม่ได้ หรือไม่รู้อะไรไม่ได้ เพราะฉะนั้นเกิดเมื่อไหร่ต้องรู้ แล้วแต่ว่าจะรู้อะไร แต่เร็วมาก เกิดดับสืบต่อเร็วกว่าที่เรามองเห็นเป็นสีสันวรรณะต่างๆ ซึ่งทรงแสดงไว้ว่าเกิดดับรวดเร็ว ปรากฏเหมือนไม่ดับ เป็นรูปร่างสัณฐานต่างๆ นั่นคือสภาพธรรมที่ไม่ใช่สภาพรู้ แต่สภาพรู้เกิดดับเร็วกว่านี้ เดี๋ยวนี้คืออย่างนี้ถูกปกปิดไว้ จนกว่าความเข้าใจ ความเข้าใจเท่านั้น ไม่ต้องคิดว่าเราจะไปทำ เราจะได้ทำให้เข้าใจเร็วขึ้น แต่ความเข้าใจเมื่อไหร่ มากน้อยเท่าไหร่ตรงนั้นกำลังเป็นสังขารขันธ์ สะสมสืบต่อ ที่จะทำให้เข้าใจมั่นคงขึ้นละเอียดขึ้น

    อ.อรรณพ เพียงแค่มีความมั่นคงในขั้นปริยัติการฟังว่า จิตเกิดขึ้นต้องรู้แจ้งอารมณ์ ยกตัวอย่างง่ายๆ ที่ทำงานเมื่อวันก่อน ก็มีการยำอะไรไม่รู้ เขายำ แล้วก็ถามเขาเผ็ดไหม คิดกันไปว่าคงไม่เผ็ด บางคนก็บอกอย่างนี้เผ็ด จิตลิ้มรสยังไม่เกิดขึ้นรู้แจ้งรส ตราบใดก็คิดกันไป แต่พอลิ้มรสแล้วก็จะรู้ว่าอันนี้เผ็ดจริงๆ จะพูดอย่างไรก็ตาม อันนี้เป็นรสอย่างโน้นอย่างนี้ ถ้าจิตยังไม่เกิดขึ้นรู้แจ้งรสนั้น ก็ไม่รู้จริง จนกระทั่งลิ้มรสเมื่อไหร่ก็จะรู้

    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้จิตกำลังรู้แจ้งหรือเปล่า เห็นไหม ถ้าไม่พูดถึงบ่อยๆ ถ้าไม่ฟังบ่อยๆ ก็ลืม แต่ถ้าเข้าใจละเอียดและเข้าใจจริงๆ ก็ไม่ลืม เพียงแต่ว่ามีสิ่งอื่นที่ทำให้นึกถึงมากกว่า เพราะฉะนั้นทั้งวัน ก็นึกถึงแต่เรื่องอื่น จนกว่าจะถึงเวลาได้ยินคำ เพราะฉะนั้นการฟังนี่สำคัญ สุตตมยปัญญา ปัญญาที่สำเร็จจากการฟัง ฟังวันนี้เข้าใจแค่นี้ แล้วไม่ฟังอีกเลย กับแทนที่จะไม่ฟังอีกเลย ฟังอีกฟังอีกฟังอีกก็ต้องต่างกันใช่ไหม

    ผู้ฟัง เริ่มต้นรายการก็ได้ฟังเพลง คือตาก็เห็นก็ติดข้อง เสียงก็ติดข้อง คือติดข้องไปหมดเลยใน ๖ ทางนี้ แล้วก็คิดต่อไปว่าคงอีกนานที่จะอยู่ในสังสารวัฏนี้ ยิ่งไม่ได้ยินได้ฟังธรรมแล้ว ก็ยิ่งแย่ลงไปใหญ่ ก็จะติดข้องมากขึ้น

    ท่านอาจารย์ ตอนที่ไม่รู้เลยกับตอนที่เริ่มเข้าใจบ้าง ต่างกันใช่ไหม

    ผู้ฟัง ต่างกันมากเลย แล้วถ้าปัญญามากกว่านี้ ก็คงจะต่างกันยิ่งกว่านี้อีกมากๆ

    ท่านอาจารย์ แล้วปัญญาอย่างนั้นจะมีได้อย่างไร

    ผู้ฟัง ก็ต้องจากการฟัง

    ท่านอาจารย์ นี่สำคัญที่สุด นี่เป็นเหตุที่เราไม่รู้เลย แต่ละขณะแต่ละนาที แทนที่จะเป็นอย่างอื่นก็เป็นความเข้าใจธรรม ประโยชน์จะมากมายสักแค่ไหน ที่สะสมโดยที่ว่าไม่มีใครไปสั่งไปทำ แต่ธรรมนั่นเองที่เกิดแล้วดับแล้วก็จริง แต่โดยฐานะที่เกิดแล้วก็สะสมสืบต่อ เป็นพืชเชื้อที่จะทำให้เกิดธรรมอย่างนั้นอีก เข้าใจเพิ่มขึ้นอีก ห้ามได้ไหม แล้วแต่ปัจจัย

    ผู้ฟัง ผม ณ ปัจจุบันก็รู้สึกว่าพอเริ่มเข้าใจ อะไรมากขึ้นมากขึ้น ก็รู้สึกปลอดโปร่งกว่าเมื่อสมัยก่อนมาก รู้สึกเป็นอิสระ แล้วก็สะสมความเข้าใจไปเรื่อยๆ

    ท่านอาจารย์ นั่นคือปัญญา ไม่ต้องไปหาที่ไหนเลย ความเข้าใจที่ถูกต้องว่าไม่ใช่เราที่จะไปฝืนทำอะไรด้วยความต้องการ แทนที่จะต้องการอย่างนี้ ต้องการอีกอย่างหนึ่ง ต้องการจะอยู่ในกรอบ ต้องการจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ก็ไม่พ้นจากความไม่รู้ว่านั่นก็คือไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นที่สำคัญที่สุด คือเข้าใจจริงๆ ว่าสิ่งที่เกิดขึ้น ถ้าไม่มีปัจจัยที่จะเกิดขึ้นก็จะเกิดขึ้นไม่ได้เลย และทั้งปัจจัยและสภาพธรรมที่เกิด ก็เป็นสิ่งที่มีจริงๆ บังคับบัญชาไม่ได้ และก็ต้องเป็นไปตามการสะสม นี่เป็นเหตุที่แต่ละคนแต่ละหนึ่งหลากหลายมาก คุณสัมพันธ์ชอบทำกับข้าวไหม เห็นไหม แต่คนอื่นชอบ แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง ก็จะหลากหลายกันมาก บังคับอยากให้เป็นคนดี จะทำดีทุกอย่างแต่เป็นเราถูกไหม เพราะฉะนั้นก็ไม่มีทางที่จะดีที่จะรู้ว่าไม่ใช่เรา แค่ดีก็ยึดถือว่าเป็นเรา และก็ดีนั้นก็หมดไปแล้ว เพราะฉะนั้นก็ไม่ใช่ความเห็นที่ถูกต้อง เพราะฉะนั้นในบรรดาสิ่งที่เป็นกุศลที่ดีงามทั้งหลาย หรือสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด ปัญญาประเสริฐสุด คือรู้ถูกต้องตามความเป็นจริง จะค่อยๆ เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นปกติ

    ผู้ฟัง ทีเรื่องปกติ ปกติเป็นอกุศลก็รู้ว่าเป็นอกุศล ปกติเป็นกุศลก็รู้ว่าเป็นกุศล

    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวก่อน อกุศลเกิดขึ้นแล้วรู้ว่าเป็นอกุศล กับกุศลเกิดขึ้นแต่ไม่รู้ว่าเป็นกุศล อะไรดี

    ผู้ฟัง อกุศลเกิดแล้วรู้ว่าเป็นอกุศลดีกว่า เพราะว่ารู้ความจริง

    ท่านอาจารย์ เพราะบังคับบัญชาได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เริ่มปรากฏ และใครไม่มีอกุศลที่จะเกิด เพราะฉะนั้นอกุศลเกิดแล้วไม่รู้ กุศลเกิดก็ไม่รู้ แต่ว่ากุศลเกิดแล้วไม่รู้ กับอกุศลกำลังเกิดแต่รู้ ต่างกันแล้วใช่ไหม

    ผู้ฟัง ดูเหมือนจะยากมาก ที่บันเทิงเริงรมย์ไปตามกิเลสอกุศล แล้วรู้ว่าอันนั้น

    ท่านอาจารย์ แล้วสะสมมาที่จะบันเทิงเริงรมย์นั้นอยู่ไหน

    ผู้ฟัง ก็สะสมอยู่

    ท่านอาจารย์ แล้วเมื่อไหร่จะหมด

    ผู้ฟัง ก็ต้องความเข้าใจความจริงมากขึ้น

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีความเข้าใจ ก็ไม่มีทางหมดได้เลย ถ้าไม่ปรากฏให้เข้าใจถูกต้องว่าไม่ใช่เรา

    ผู้ฟัง เพราะฉะนั้นรู้ว่าสะสมมา ที่จะชอบร้องเพลง ชอบเล่นดนตรี ชอบอะไรก็แล้วแต่

    ท่านอาจารย์ เป็นไปตามการสะสมซึ่งเป็นธรรมไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นจุดประสงค์คือจะให้เข้าใจถูกต้องว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นจะมีคำว่าธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา การฟังธรรมเพื่อประจักษ์แจ้งธรรมทั้งหลายไม่เว้นเลย กำลังรับประทานอาหารอร่อย จะไม่ให้อร่อยหรือ เห็นสิ่งที่สวยๆ งามๆ ได้ยินเสียงเพราะๆ จะไม่เป็นให้เป็นอย่างนั้นหรือ ห้ามได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ แต่รู้ได้ไหม

    ผู้ฟัง รู้ได้ แต่ปัญญาไม่เกิดก็คือห้ามไม่ได้ แล้วก็ไม่รู้

    ท่านอาจารย์ แล้วปัญญาจะเกิดได้อย่างไร

    ผู้ฟัง ก็ต้องฟังเข้าใจ

    ท่านอาจารย์ ฟังใคร

    ผู้ฟัง ฟังคำของพระพุทธองค์

    ท่านอาจารย์ เท่านั้น เพราะว่าคำจริงทุกคำเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ผู้ฟัง ตรงนี้จะละอย่างไร โลภะอยากจะร้องเพลง แต่มีตัวตนว่า เป็นสิ่งที่ไม่ดีเป็นอกุศล เป็นความติดข้องก็ไม่ร้อง ก็ยากจริงๆ

    ท่านอาจารย์ ก็ลืมอีกแล้ว

    ผู้ฟัง ว่าเป็นธรรม

    ท่านอาจารย์ ว่ารู้สิ่งที่เกิดแล้ว แค่นี้ คิดนานๆ จนกระทั่งจริงไหม รู้สิ่งที่เกิดแล้ว ถ้าสิ่งนั้นไม่เกิดจะรู้ได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ แม้แต่คิดจะร้องเพลงก็เกิดคิดจะร้อง แม้แต่คิดว่าจะไม่ร้องก็เกิดคิดจะไม่ร้อง เพราะฉะนั้นไม่ใช่ไปรู้อะไรเลย มีสิ่งซึ่งเกิดดับอยู่ตลอดเวลา แต่ความเป็นตัวตนแทรกอยู่ตลอดเวลา เดี๋ยวเป็นเรา เดี๋ยวไม่ใช่เรา เสร็จแล้วก็มีความจงใจมีความตั้งใจเกิดขึ้นก็ไม่รู้ใช่ไหม จะร้องหรือไม่ร้อง สงสัยมีไหม สงสัยเกิดแล้วรู้สงสัย ไม่ใช่ไปรู้ตอนไม่สงสัย เพราะฉะนั้นอะไรทั้งหมดไม่เว้นเลย เกิดได้เพราะมีเหตุปัจจัยที่จะเป็นอย่างนั้นในขณะนั้น คุณอรวรรณจะเลี้ยวทางซ้าย หรือจะเลี้ยวทางขวา ยังคิดอยู่ ขณะนั้นรู้สิ่งที่เกิดแล้ว คือคิดใช่ไหม คิดว่าจะเลี้ยวซ้าย ก็จะไปรู้อย่างอื่นไม่ได้เลย นอกจากตรงนั้นแหละที่เกิดนั่นแหละ เพราะฉะนั้นต้องไม่ลืม ซึ่งมักจะลืมเสมอ พยายามจะไปรู้อย่างอื่น คิดว่าจะทำอย่างไรดี จะเอาอย่างไร แต่ความจริงก็คือว่า ขณะนั้นก็เกิดแล้วก็ดับไป ตามเหตุตามปัจจัย คนที่ตัดสินใจเร็ว คนที่ตัดสินใจช้า ก็เป็นสิ่งที่เกิดแล้ว รู้เมื่อเกิด แต่ถ้าไม่เกิดจะรู้ไหม เพราะฉะนั้นส่วนใหญ่ที่ผิดก็คือ ไปทำเพื่อจะรู้สิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นให้มีสิ่งนั้น เพื่อจะรู้ก็ผิด ในเมื่อสิ่งนี้กำลังปรากฏเกิดแล้วไม่รู้ เพราะฉะนั้นทุกอย่างไม่เป็นข้อสงสัยเลย ถ้ามีความเข้าใจที่มั่นคง อะไรจะเกิด เราหรือ มีปัจจัยก็เกิดเห็น มีปัจจัยก็เกิดคิด มีปัจจัยก็เกิดจำ อะไรก็ตามที่ปรากฏทั้งหมดเพราะปัจจัย

    อ.ธิดารัตน์ ลักษณะของปัญญาที่จะค่อยๆ เจริญขึ้น จากขั้นที่เป็นสติปัฏฐานไปวิปัสสนาญาณต่างๆ อย่างนี้ ก็อาศัยการฟังธรรมและความเข้าใจ แต่ปัญญานั้น เจริญเติบโตได้อย่างไร

    ท่านอาจารย์ จริงๆ ธรรมเป็นเรื่องเข้าใจ ต้องไม่ลืมเลย ใครจะพูดอย่างไร พระไตรปิฎกข้อไหนข้อความว่าอะไร สำคัญที่สุดคือเข้าใจ เพราะเหตุว่ามีสิ่งที่มีจริงๆ แล้วก็จะไม่มีใครเข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริงเลยทั้งสิ้น ถ้าไม่ใช่ปัญญาซึ่งเป็นการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงแสดงธรรมโดยประการต่างๆ เพื่อที่จะให้คนฟังได้เข้าใจทีละเล็กทีละน้อย จากแต่ละคำโดยนัยนั้นบ้างโดยนัยนี้บ้าง แต่ว่าภาษาก็เป็นเรื่องที่สำคัญ บางทีพูดจบเข้าใจคนละอย่างมีไหม อย่างนี้เลย พูดกันอย่างนี้ก็ยังเข้าใจคนละอย่างได้ ก็แสดงให้เห็นว่าเป็นเรื่องที่จะต้องเข้าใจจริงๆ ถ้าเราไม่ทบทวนเราไม่ถาม เมื่อสักครู่นี้พูดว่าอะไร เขาก็อาจจะเข้าใจไปอีกอย่างหนึ่งก็ได้ ด้วยเหตุนี้จึงต้องเป็นเรื่องที่ละเอียดอย่างยิ่งโดยเฉพาะภาษา แต่ละภาษาถ่ายทอดไปสู่อีกภาษาหนึ่งจะได้ความเข้าใจที่สมบูรณ์ไหม อย่างผู้ที่ใช้ภาษามคธีซึ่งเป็นภาษาที่ดำรงรักษาพระศาสนาไว้ เราก็ใช้คำว่าภาษาบาลี แต่ก็เป็นภาษาที่ชาวเมืองมคธเขาพูดกันเป็นธรรมดา แต่ว่าเขาเข้าใจหมดเลย เราได้ยินคำของเขาทีละคำ จะเข้าใจมากอย่างนั้นไหม เข้าใจเพียงเล็กน้อยนิดหน่อย ยิ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับสาระสิ่งที่มีจริง ที่ละเอียดที่ลึกซึ้ง เราก็จะรู้ได้เลยว่าไม่ใช่เป็นเพียงคำ แต่ต้องเป็นความเข้าใจ

    เพราะฉะนั้นถ้าเราสามารถที่จะมีความเข้าใจในภาษาไหนก็ได้ เราพูดภาษาต่างประเทศ ไม่เหมือนชาวต่างประเทศที่เขาพูดภาษานั้นตั้งแต่เกิด แต่ว่าก็ยังสามารถทำให้เข้าใจได้บ้าง แต่ไม่ใช่เท่ากับคนที่พูดภาษานั้นตั้งแต่เกิด ด้วยเหตุนี้เราไม่ประมาทแต่ละคำที่เราได้ฟังว่า นั่นคือความหมายในภาษาบาลี นี่คือความหมายในภาษาไทย นั่นคือความหมายในภาษาอะไร แต่ก็หมายความถึงตัวธรรม ซึ่งยากที่จะเข้าใจได้ ธรรมนี่ยากแน่นอน เพียงคำเดียวว่า เห็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ ภาษาไทยแท้ๆ คนฟังเป็นคนไทยเข้าใจทุกคำเลย เห็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ ใครบ้างไม่รู้ แต่สิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้เป็นอะไร

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 188
    13 ก.ค. 2568