ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1293


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ปกิณณกธรรม ตอนที่ ๑๒๙๓

    สนทนาธรรม ที่ กรมยุทธบริการทหาร

    วันที่ ๓๐ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๖๑


    ท่านอาจารย์ แต่ความจริงแค่หลับตา ไม่มีอะไรเหลือเลยในห้องนี้ ลืมตาทำไมมีมากสุดที่จะกล่าวได้ว่าอะไรบ้าง มีทั้งไฟฟ้า มีทั้งดอกไม้หลายสี มีคนตั้งหลายคน เพียงแค่หลับตาหายไปหมดได้อย่างไร แต่นี่คือความจริง ซึ่งไม่เคยมีใครคิดมาก่อนเลย จนกว่าจะได้ฟังคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสไว้ว่าขณะนี้เพราะธาตุรู้เกิดขึ้นเห็น จึงมีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น ถ้าไม่มีธาตุรู้เกิดขึ้นเห็น ขณะนี้จะไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏเลย เช่นขณะที่หลับสนิท ไม่มีอะไรปรากฏเลยทั้งสิ้น เพราะไม่มีเห็นแต่มีหลับ เพราะฉะนั้นหลับมีจริง เห็นก็มีจริง แต่หลับไม่ใช่ขณะที่เห็น และเห็นก็ไม่ใช่ในขณะที่หลับ ฉะนั้นว่าแต่ละ ๑ ต่างกันหลากหลาย และเกิดได้เพียงทีละ ๑ เท่านั้น เพราะฉะนั้นในขณะที่หลับจะมีเสียงปรากฏ จะมีสิ่งต่างๆ ปรากฏไม่ได้เลย แล้วทำไมตื่น และอะไรคือตื่น หลับไม่มีอะไรปรากฏเลย แต่พอบอกว่าตื่น หมายความเห็นบ้าง ได้ยินบ้าง ได้กลิ่นบ้าง ลิ้มรสบ้าง รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสบ้าง หรือคิดนึกบ้าง ใครบังคับให้เกิด ใครทำให้เกิด ไม่มีใครสามารถที่จะทำได้เลย ทั้งหมดเป็นธรรม ซึ่งมีปัจจัยที่จะให้เกิดขึ้นเป็นอย่างนั้นไม่เป็นอย่างอื่น นี่คือทุกชาติตั้งแต่เกิดจนตาย ตั้งแต่ขณะนี้และก็ต่อๆ ไปอีกไม่มีวันจบสิ้น ตราบใดที่ยังไม่รู้ว่าทำไมจึงมีการเห็น และเห็นนี้ดับไปจริงๆ หรือ ถ้าเห็นไม่ดับไปได้ยินได้ยินได้อย่างไร เพราะว่าได้ยินไม่ใช่เห็น และได้ยินกับเสียงก็มีพร้อมกันไม่ได้ด้วยเพราะเหตุว่าได้ยินมีเสียงปรากฏ ไม่ใช่มีสิ่งที่ปรากฏทางตา ขณะที่มีสิ่งปรากฏทางตา เสียงก็ไม่ปรากฏ แต่เสมือนว่าทั้งเห็นด้วย ทั้งได้ยินด้วย ทั้งคิดด้วย

    เพราะความรวดเร็ว ถ้าศึกษาพระธรรม ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ความละเอียดยิ่งของแต่ละ ๑ ขณะ ๑ ขณะก็ยังยาวไป ขณะที่ย่อยเล็กกว่านั้นอีก ที่พระองค์ได้ทรงแสดงไว้ ก็จะแสดงให้เห็นความต่างว่า แต่ละ ๑ ขณะนี้ เหมือนขณะนี้ ๑ ขณะ แต่เราคิดถึงว่ากี่นาที แล้วมีอะไรบ้าง ใน ๑ นาทีใน ๑ วินาที แต่ ๑ ขณะจริงๆ เดี๋ยวนี้คาดไม่ได้เลย คะเนไม่ได้เลย เพราะเหตุว่าเดี๋ยวนี้เห็นกี่ขณะ ไม่ใช่ขณะเดียว เห็นกี่ขณะกว่าจะเป็นดอกไม้สักหนึ่งดอก ดอกไม้ก็มีหลายกลีบ ดอกไม้บางประเภทบางชนิดสีแดงสีฟ้าสีเขียว ๒ กลีบ ๓ กลีบ ๘ กลีบมาจากไหน นี้คือความรวดเร็วอย่างยิ่งของสิ่งที่ปรากฏจากทีละ ๑ ขณะ จนกระทั่งทำให้ปรากฏเหมือนกับมีโลก ซึ่งไม่เคยแยกออกไปได้เลย เพราะว่าเหมือนกับยั่งยืนอยู่ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นคำที่ไม่เหมือนคำของใครทั้งสิ้น เพราะแต่ล่ะคำไม่ได้เกิดจากความไม่รู้ แต่เกิดจากการประจักษ์แจ้งความจริงของสิ่งที่มี ซึ่งสามารถที่จะแสดงความจริงนั้นแต่ละคำ ให้คนที่ได้ฟังพิจารณาไตร่ตรอง ไม่ใช่เชื่อไม่ใช่บอกให้เคารพนับถือ แต่ให้เข้าใจความจริงนี่คือพระมหากรุณา ที่ทำให้คนที่ไม่สามารถที่จะรู้ความจริงด้วยตนเอง สามารถที่จะเข้าใจได้ทีละเล็กทีละน้อย เดี๋ยวนี้พูดถึงเห็น ยังไม่ได้พูดถึงอย่างอื่นเลย เพราะฉะนั้นความจริงของสิ่งที่มีในชีวิต อีกมากมายมหาศาล พระองค์ทรงแสดงไว้ด้วยความละเอียดยิ่ง ทุกประการถึงที่สุด เพราะฉะนั้นจึงมีพระองค์เป็นที่พึ่ง ให้ความรู้ถูกต้องตามความเป็นจริง ของสิ่งซึ่งไม่เคยรู้มาก่อน

    เพราะฉะนั้นแต่ละคำก็ต้องพิจารณาไตร่ตรอง แม้แต่ธรรมคือสิ่งที่มีจริงธรรมรัตนะ สิ่งที่มีจริงที่จะเป็นหนทางนำไปสู่การรู้แจ้งความจริง ซึ่งผู้ที่ได้ตรัสรู้แล้วทรงแสดง เพราะฉะนั้นสิ่งที่ได้ฟังทั้งหมดไม่ไร้ผล และก็รู้ว่าสามารถที่จะถึงการประจักษ์แจ้ง ถึงความเป็นสาวก ถึงความเป็นสังฆรัตนะได้ ด้วยปัญญาที่ค่อยๆ เข้าใจขึ้น เพราะฉะนั้นประโยชน์จริงๆ ในชีวิตที่เกิด เกิดมาสนุกสนานเพลิดเพลิน มีเกียรติยศ มีคนนับถือ มีชื่อเสียง มีทรัพย์สมบัติ แต่แล้วก็ไม่มีทันทีที่จากโลกนี้ไป ก็ไม่มีสำหรับบุคคลนี้อีกต่อไป แต่ว่าตามความจริงแม้ขณะนี้ก็กำลังเป็นอย่างนั้นทุกขณะ จึงไม่มีใครคิดเลยว่าเหมือนกัน สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เกิดขึ้นสิ่งนั้นดับแล้วหมดแล้ว เมื่อเช้านี้หมดแล้ว เมื่อกี้นี้หมดแล้ว ทุกอย่างหมดแล้ว สิ่งที่มีถ้าไม่คิดก็ไม่มี มีแต่สิ่งที่ปรากฏเกิดขึ้นและก็ดับไป นี่คือความลึกซึ้งอย่างยิ่ง ซึ่งยิ่งฟังยิ่งมีความเข้าใจและเห็นคุณ ที่สามารถจะเข้าใจสิ่งซึ่งไม่เคยเข้าใจมาก่อน ด้วยเหตุนี้กตัญญูคือผู้รู้คุณ เพราะฉะนั้นคุณของพระธรรมแต่ละคำ ผู้ใดกล่าวหมายความผู้นั้นรู้คุณของธรรมนั้น เพราะฉะนั้นการสนทนาธรรม เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง เพราะเหตุว่าพระธรรมเป็นสิ่งที่ลึกซึ้งต้องศึกษากัน บางคนบอกว่าฟังครั้งแรกไม่เข้าใจเลย ฟังเป็นปีๆ บางคนก็บอกว่าหลายปี แต่ถึงอย่างไรก็ตามแม้ตลอดชีวิตก็ยังไม่พอ เพราะรู้ความลึกซึ้งยิ่งขึ้นทุกขณะที่เข้าใจ เหมือนยืนอยู่ริมฝั่งมหาสมุทร มหาสมุทรไม่ใช่ลำธารเล็กๆ ลึกมาก แต่ถ้าไม่หยั่งลงไปจะรู้ไหมว่าลึกแค่ไหน และถ้าไม่มีปัญญาที่จะหยั่งก็หยั่งได้เท่ากับ หางกระต่ายหรือว่าจงอยปากยุง แล้วแต่บุคคลที่เมื่อได้ฟัง แล้วก็สามารถเข้าใจขึ้น ว่าสิ่งนี้ไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน แต่กล่าวถึงสิ่งที่มีจริงจริง ไม่พูดถึงสิ่งที่ไม่มี ไม่ต้องไปแสวงหา ไม่ต้องไปทำอะไรค้นคว้า เหนื่อยยากเลย เพียงแต่ว่ามีแล้วไม่รู้ จนกว่าจะได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเป็นธรรมเตชะ ทำให้สามารถเกิดสิ่งซึ่งเหมือนปาฏิหารย์ จากความไม่รู้มาเป็นความค่อยๆ เข้าใจสิ่งที่ดีขึ้น เพราะฉะนั้นการสนทนามีในครั้งพุทธกาล เพราะเหตุว่าต่างคนต่างฟัง ต่างคนต่างคิด เพราะฉะนั้นถ้าได้สนทนากัน ก็จะได้พิจารณาสิ่งซึ่งต่างคนต่างคิดต่างคนต่างฟังว่า คำใดที่สามารถจะทำให้เข้าใจขึ้นเรื่อยๆ ก็เป็นประโยชน์ เพราะฉะนั้นในมงคล ๓๘ การสนทนาธรรมเป็นมงคล เพราะว่านำมาซึ่งความเข้าใจขึ้น ความถูกต้องยิ่งขึ้น

    ผู้ฟัง กราบเรียนท่านอาจารย์ ถามคำถามหนึ่งคำถาม จุดประสงค์ของการฟังธรรม ก็เพื่อความเข้าใจความจริง แล้วก็เป็นคนดีด้วย เหตุการณ์ที่เราต้องตัดสินใจที่จะเป็นคนที่ดี เป็นคนที่จะช่วยเหลือคนอื่น เราจะเข้าใจว่ามันเป็นความจริง แล้วจะตัดสินใจอย่างไรหรือไม่ตัดสินใจอย่างไร

    ท่านอาจารย์ การฟังธรรม ต้องเข้าใจทีละคำ ชัดเจนมั่นคง ทุกอย่างที่มีจริงเป็นธรรม คิดก็เป็นธรรม จะเปลี่ยนใจไม่เปลี่ยนใจ จะทำอะไรจะมาไม่มา เป็นธรรมทั้งหมดแล้วก็เกิดแล้วด้วย ตามเหตุตามปัจจัย ห้ามความคิดให้เปลี่ยนได้ไหม ในเมื่อเกิดแล้วคิดแล้วอย่างนั้นแล้ว กลับไปคิดใหม่ได้ไหม ให้เป็นอย่างอื่นเป็นไปไม่ได้เลย แต่ละ ๑ ขณะที่เกิดคิดดับแล้ว สิ่งที่เกิดแล้วดับแล้ว ใครจะแก้ไข ใครๆ จะเปลี่ยนได้ แต่ว่าสามารถที่จะรู้ความจริงได้ ว่าแต่ละ ๑ เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ไม่มีอะไรพ้นไปจากว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เกิดขึ้น ต้องมีสิ่งที่อาศัยกันและกันปรุงแต่ง ทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น เช่นเห็นเดี๋ยวนี้แม้ ๑ ขณะ ถ้าไม่มีตาคือจักขุปสาท ไม่ใช่แข็ง ไม่ใช่หวาน ไม่ใช่เค็มแต่เป็นสิ่งที่มีจริง ที่สามารถกระทบกับสิ่งที่กำลังปรากฏ แล้วเราเรียกว่าตา ถ้าไม่มีตาก็คือไม่เห็นไม่มีสิ่งใดปรากฏ เพราะฉะนั้นตาไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏให้เห็น และตาก็ไม่ใช่เห็นด้วย แต่เห็นต้องอาศัยตาเกิดขึ้น รู้สิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้ โดยไม่ต้องมีใครบอกเลยว่าเดี๋ยวนี้มีอะไร ก็กำลังเห็นอยู่นี่แหละ เพราะฉะนั้นเวลาที่เสียงเกิดขึ้น ก็ไม่ต้องมีใครมาบอกว่านี่เป็นเสียง เสียงเป็นอย่างนี้ แต่ขณะที่เสียงปรากฏ ลักษณะของเสียงนั้นชัดเจน เป็นลักษณะที่ปรากฏด้วยตนเอง ด้วยเสียงนั้นเอง ว่าเสียงนั้นเป็นอย่างนั้น ไม่เป็นอย่างอื่น จะไปพรรณาอย่างไร ก็ไม่เหมือนขณะที่กำลังได้ยิน และเสียงนั้นกำลังปรากฏ

    เพราะฉะนั้นแต่ละขณะนี้ เหมือนแว่นส่อง ซึ่งไม่เคยเห็นมาก่อน ขยายจนกระทั่งสามารถจะเห็น สิ่งที่มีในขณะนั้นได้ แต่ละอย่างละเอียดถึงที่สุด ที่สามารถจะรู้ได้ว่า ขณะนี้สิ่งใดสิ่งหนึ่งก็ตามที่กำลังปรากฏ สิ่งนั้นต้องเกิด เกิดแล้วดับไป ไม่มีอะไรเหลือเลย เพราะฉะนั้นการที่จะค่อยๆ ละคลายความติดข้อง ที่มีตลอดชีวิต ติดข้องในทุกอย่าง ก็ต่อเมื่อมีการเข้าใจอย่างมั่นคงว่า ไม่มีถ้าไม่เกิดขึ้น เพราะฉะนั้นเมื่อเกิดขึ้นมีแล้วก็ดับไป เพราะฉะนั้นก็ไม่เหลืออะไรเลย ว่างเปล่าจากการที่จะยึดถือว่า เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่มั่นคง จึงมีคำว่าอนัตตาและสุญญตา ไม่ใช่ไม่มีเลย ว่างเปล่า จากการที่เคยเข้าใจว่า เป็นสิ่งที่ยั่งยืนมั่นคงและยังเหลือ แต่ความจริงไม่เหลือเลย ทันทีที่สิ่งนี้ปรากฏอย่างอื่นปรากฏพร้อมกันไม่ได้เลย แต่ไม่เคยคิด ไม่เคยสนใจ เพราะเสียงก็ดับไปแล้ว คิดก็ดับไปแล้ว ทุกอย่างก็ดับไปแล้ว แต่ต่อกันสนิท เหมือนไม่มีอะไรดับไปเลย เหมือนเป็นเรื่อง เป็นคน เป็นสิ่งที่ปรากฏว่าเป็นอย่างนี้ แต่ความจริงเพราะสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้ความจริงถึงที่สุด เริ่มจากสมัยที่เป็นพระโพธิสัตว์ ความคิดของพระองค์ ก็ต่างกับความคิดของคนอื่น สิ่งที่มีจริง ทุกคนก็สนุกสนานรื่นเริง หมดแล้วก็หมดไปมีอีก และก็หมดอีก และก็มีอีกแล้วก็หมดอีก ก็ไม่เดือดร้อนอะไร เพราะยังมีอยู่

    แต่ว่าพระโพธิสัตว์ สัตว์คือผู้ข้อง โพธิคือปัญญา ที่จะเข้าใจความจริง เพราะฉะนั้นความจริงเดี๋ยวนี้ที่มีอยู่ ถ้าไม่มีพระโพธิสัตว์ที่บำเพ็ญบารมี ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงความจริง เราก็ไม่สามารถรู้ได้เลย ว่าขณะนี้สิ่งหนึ่งสิ่งใดมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นมีความดับไปเป็นธรรมดา เร็วมากเลยดับแต่ไม่ปรากฏ จนกว่าจากโลกนี้ไป ก็คิดว่าหมดแล้วไม่เหลือแล้ว แต่ทุกขณะนี้ก็เหมือนอย่างนั้นเลย เป็นขณิกมรณะ มรณะคือความตาย แต่ที่เราเข้าใจกันเรียกสัมมติมรณะ สมมติว่าตาย แต่ว่าตายแล้วก็ต้องเกิดอีก และก่อนตายใช่ไหม ก็ยังมีขณิกมรณะ ตายอยู่เรื่อยๆ จนถึงขณะสุดท้ายที่สิ้นสุดความเป็นบุคคลนี้ ก็เปิดเผยชัดเจนว่าไม่มีอะไรทั้งหมด แต่ระหว่างที่ยังไม่ถึงการตายที่เป็นสัมมติมรณะ ขณะนี้ก็เป็นอย่างนั้นทุกขณะก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องที่ต้องฟัง และก็ไตร่ตรองว่า คำที่ได้ยินถูกต้องไหมทุกคำ ตั้งแต่สิ่งนี้มีเมื่อเกิดจริงไหม เกิดแล้วไม่ได้ยั่งยืน เพราะเห็นแล้วก็มีได้ยิน และได้ยินแล้วก็มีเห็นสลับกัน แล้วก็คิดพร้อมทั้งสิ่งทั้งปรากฏให้เห็น และเสียงที่ปรากฏให้ได้ยิน เป็นอย่างนี้หรือเปล่า แต่ละ ๑ แต่ละ ๑ ไม่ใช่อย่างเดียวกัน และไม่ใช่อันเดียวกันด้วย ไม่ใช่ว่าสิ่งนั้นและหกลับมาเกิดอีก แต่ไม่ว่าสิ่งใดก็ตามเหมือนไฟ ดับแล้วไม่กลับมาอีก แต่มีไฟอีก เมื่อมีสิ่งที่จะทำให้เกิดไฟ ไฟก็เกิดอีก แต่ไม่ใช่ไฟเก่าที่ดับไปแล้วกลับมาเกิด

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์บอกว่า ควรจะที่เข้าใจความจริง ทุกๆ ขณะที่มีที่เกิดขึ้น

    ท่านอาจารย์ ฟังแล้วคนที่ไม่สนใจเลยก็มี คนที่คิดว่าก็ดีเหมือนกัน แต่ฟังครั้งเดียวไม่ฟังอีก กับคนที่ติดตามรู้ว่า ไม่เคยได้ยินอย่างนี้มาก่อนเลย และเป็นประโยชน์ไหมที่เข้าใจความจริง เพราะทุกคำจริงพิสูจน์ได้ทันที เดี๋ยวนี้เห็น ไม่ใช่ได้ยิน ไม่ใช่คิดนึก ปะปนกันไม่ได้ เกิดจากเหตุปัจจัยต่างกัน เป็นแต่ละ ๑ ซึ่งเมื่อดับไปก็ไม่กลับมาอีก แต่มีปัจจัยใหม่ต่างหาก ที่ทำให้เสียงใหม่เกิดขึ้น ได้ยินใหม่เกิดขึ้นไม่ใช่เก่า เพราะฉะนั้นเราอยู่ที่ไหนมีแต่ธรรม ซึ่งเกิดดับสืบต่อเหมือนมายากล ในมายากลที่ลวงให้เห็นว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่สภาพธรรมเก่งกว่านายมายากล ไม่ว่าจะเป็นคนที่ทำได้เก่งสักเท่าไหร่ก็ตาม เพราะว่าตัวนายมายากลก็ยังไม่รู้เลย ยังคิดว่ามีตัวเขา ขณะเห็นขณะได้ยินเขาไม่สามารถที่จะรู้ความจริงได้ เพราะฉะนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้ความจริงถึงที่สุดโดยประการทั้งปวง ทั้งหมดในสากลจักรวาล อนันตจักรวาล แม้เทวดาพรหมทั้งหลายก็มาเฝ้ากราบทูลถาม เพราะว่าจะเกิดเป็นใครที่ไหนก็ตามแต่ แต่ว่าก็ไม่ได้รู้ความจริงที่กำลังปรากฏ ต้องในขณะที่กำลังปรากฏ จึงจะสามารถรู้ได้สิ่งนั้นเกิดขึ้นและดับไป

    ผู้ฟัง ทุกๆ ขณะในประจำวัน เป็นสิ่งที่ควรจะรู้ความจริงว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา สิ่งที่มีจริง

    ท่านอาจารย์ รู้กับไม่รู้ก็แล้วแต่ พอใจอย่างไหน พอใจที่จะไม่รู้ ก็ไม่รู้ว่าทำไมเกิดมาเป็นคนนี้ จากโลกนี้แล้วไปไหน แล้วทำไมแต่ละวันที่เกิดมาไม่เหมือนกัน เดี๋ยวร้อน เดี๋ยวหนาว เดี๋ยวสุข เดี๋ยวทุกข์ เดี๋ยวได้ลาภ เดี๋ยวเสื่อมลาภ เดี๋ยวได้ยศ เดี๋ยวเสื่อมยศ แล้วสิ่งต่างๆ เหล่านั้น อยู่ไหนไม่เหลือเลย เพราะฉะนั้นติดข้องในสิ่งที่ไม่มี เพราะทันทีที่เกิดก็ดับ แต่ว่าสะสมความไม่รู้ไปอีกมากตลอดชาติ กับสะสมความเริ่มเข้าใจถูกต้อง ว่าไม่มีเราแต่มีธรรมนี่แน่นอน เพราะถ้าไม่มีธรรมจะมีสิ่งที่ยึดถือว่าเป็นเราหรือ ถ้าไม่มีเห็นจะเข้าใจว่าเห็นเป็นเราหรือ ในขณะที่กำลังเห็น ถ้าได้ยินไม่เกิดขึ้นจะมีการคิดว่าเราได้ยินหรือ แต่เมื่อได้ยินเกิดก็ได้ยินดับก็ไม่รู้ ก็เป็นเราได้ยิน และเราก็เปลี่ยนไปเดี๋ยวคิด เดี๋ยวจำ เดี๋ยวทำอย่างอื่นอย่างเรื่องที่ถามใช่ไหม ตั้งแต่เริ่มเรื่องจนถึงถึงกระทั่งขณะนี้ ก็มากมายหลายขณะจิต อยู่ไหนไม่เหลือเลย มีแต่ความจำ ความจำมีจริงไหม

    ผู้ฟัง มีจริง

    ท่านอาจารย์ มีจริง และก็เป็นเราหรือเป็นความจำ

    ผู้ฟัง เข้าใจผิดว่าเป็นเรา แต่จริงๆ เป็นความจำ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเป็นเราหรือเป็นจำ

    ผู้ฟัง จริงๆ แล้วเป็นจำ

    ท่านอาจารย์ จำคือจำไม่ใช่เรา จำจะเป็นเราได้อย่างไร เพราะว่าจำเกิดขึ้นจำ ไม่ให้จำก็ไม่ได้ ห้ามไม่ให้เกิดก็ไม่ได้ เกิดแล้วไม่ให้ดับไปก็ไม่ได้ แต่ว่าเพราะไม่รู้จึงยึดถือว่าจำนัั่แหละเป็นเรา ยึดถือหมดเลยทุกอย่าง ที่ไม่ใช่เราว่าเป็นเรา เมื่อวานนี้มีไหม

    ผู้ฟัง เมื่อวานนี้มี

    ท่านอาจารย์ เมื่อวานนี้นะ เมื่อวานนี้อยู่ไหน

    ผู้ฟัง ตอนนี้ไม่มีแล้ว

    ท่านอาจารย์ เห็นไหม แต่ในความจำเมื่อวานนี้ ทำไมจะไม่มีเราไปที่นั่น เรามาที่นี่เราทั้งหมด ของเมื่อวานนี้ทั้งๆ ที่ไม่มีเลย แต่ก็ยังเป็นเราเมื่อวานนี้ พอถึงวันนี้เดี๋ยวนี้เราอยู่ไหน

    ผู้ฟัง นั่งอยู่ที่นี่

    ท่านอาจารย์ อยู่ที่นี่ พรุ่งนี้จะอยู่ที่นี่ไหม

    ผู้ฟัง จะไปอยู่ที่บ้านสายลม

    ท่านอาจารย์ ขณะนี้ใครก็คือขณะที่เกิด แล้วก็ปรากฏแล้วก็หมดไป แต่จำว่าเป็นวันนี้ พอถึงพรุ่งนี้ ก็ไปจำอีกว่าเมื่อวานนี้ เรานั่งอยู่ตรงนี้ ก็มีแต่ความจำในสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว รู้ไหมว่าอะไรจะเกิดขึ้นข้างหน้า

    ผู้ฟัง ไม่ทราบไม่รู้เลย

    ท่านอาจารย์ ไม่รู้ แต่คิดว่าพรุ่งนี้จะทำอะไรใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ ก็เป็นเราไปหมด แม้แต่คิดขณะนั้นก็เป็นเรา ซึ่งความจริงก็ยังไม่เกิดขึ้นเลย เพียงแต่ไปคิดว่าขณะนั้นเราจะทำ แต่พรุ่งนี้จะมีเราไหม

    ผู้ฟัง ก็มีพรุ่งนี้จะมีเราที่จะไปที่บ้านสายลม

    ท่านอาจารย์ ไม่รู้

    ผู้ฟัง ไม่รู้หรือ

    ท่านอาจารย์ รู้หรือ พรุ่งนี้ยังไม่มาถึง

    ผู้ฟัง ก็คิดว่าจะไป

    ท่านอาจารย์ แม้แต่เดี๋ยวนี้ยังไม่รู้เลยว่า ขณะต่อไปจะเป็นอะไร

    ผู้ฟัง หมายถึงว่ามันมีความไม่แน่นอน

    ท่านอาจารย์ คิด คิดได้ คิดเป็นคิด จำเป็นจำ แล้วก็คิดว่าพรุ่งนี้และจำว่าเป็นพรุ่งนี้ แต่ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย ที่จะเป็นพรุ่งนี้ เพราะฉะนั้นต้องเข้าใจเดี๋ยวนี้ แล้วก็จะรู้ว่าไม่ว่าขณะไหนก็เหมือนกัน มีแต่สภาพที่เกิดและดับไป และก็ไปจำไว้ว่าเป็นวันนี้ เมื่อวานนี้ เดือนก่อน ปีก่อน จำไว้หมดเลยแต่ไม่มี มีแต่คิดในขณะนั้น และคิดเพราะจำ

    ผู้ฟัง พรุ่งนี้ก็ไม่มีหรือ

    ท่านอาจารย์ พรุ่งนี้คืออะไร

    ผู้ฟัง ก็พรุ่งนี้ จากวันนี้ก็เป็นพรุ่งนี้

    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้มีไหม

    ผู้ฟัง เดี๋ยวนี้ก็นั่งอยู่ที่นี่

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้เป็นพรุ่งนี้หรือเปล่า

    ผู้ฟัง เดี๋ยวนี้ไม่ใช่พรุ่งนี้

    ท่านอาจารย์ แล้วพรุ่งนี้มาหรือยัง ถึงหรือยัง และจะรู้ได้ยังไงว่าจะมีหรือเปล่า จำว่าพรุ่งนี้

    ผู้ฟัง จำว่าพรุ่งนี้

    ท่านอาจารย์ แต่ขณะที่จำว่าพรุ่งนี้ ไม่ใช่พรุ่งนี้ เป็นเดี๋ยวนี้

    ผู้ฟัง ก็คือการคิดนึก ที่เป็นธรรมอย่างหนึ่ง

    ท่านอาจารย์ มีจริง และคิดตามที่เคยเห็น เคยได้ยิน เคยจำ เคยคิดมาก่อน แต่ละคนคิดไม่เหมือนกัน เพราะเห็นไม่เหมือนกัน ได้ยินไม่เหมือนกัน เห็นแล้วชอบบ้างไม่ชอบบ้าง ก็ไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นการปรุงแต่งของสภาพธรรมละเอียดอย่างยิ่ง เป็นเพียง ๑ ขณะแล้วไม่กลับมาอีกเลย ไม่มีซ้ำไม่มีเหมือนเดิม

    ผู้ฟัง คือวันๆ หนึ่งเราก็มีชีวิตอยู่อย่างนี้ด้วยความไม่รู้ แล้วก็ไม่รู้ความจริง อยู่ไปวันๆ อย่างนี้แล้วก็ตาย

    ท่านอาจารย์ ทุกชาติ

    ผู้ฟัง ถ้าไม่ได้มาฟังพระธรรม ณ ตอนนี้ของพระพุทธเจ้า เราก็จะไม่รู้ความจริงเลย

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ฟังแล้วรู้ว่าสิ่งที่มีจริง บังคับบัญชาได้ไหม ทำได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ไม่ได้ก็คือว่า ไม่ใช่เราใช่ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ใช่เรา

    ท่านอาจารย์ ก็เป็นธรรมแต่ละ ๑ ซึ่งเกิดใช่ไหม แล้วก็ดับหมดไปใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นไม่มีเรา แต่มีการหลงยึดติด ไว้มากมายมหาศาล ไม่ว่าอะไรที่มี ยึดมั่นในสิ่งนั้น ว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะไม่รู้

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์ บอกว่าต้องเป็นการเข้าใจธรรม ในขณะแต่ละ ๑ ทีละ ๑ เท่านั้น

    ท่านอาจารย์ เกิดมาแล้ว ถ้าไม่มีอะไรเกิดจะมีเราไหม

    ผู้ฟัง ไม่มีอะไรเกิด ก็ไม่มีเรา

    ท่านอาจารย์ เกิดมาแล้วจึงเข้าใจว่าสิ่งที่เกิดเป็นเรา ใช่ไหม

    ผู้ฟัง เข้าใจว่าเป็นเรา

    ท่านอาจารย์ รักเราไหม

    ผู้ฟัง รักมาก

    ท่านอาจารย์ ที่สุดไหม

    ผู้ฟัง ที่สุด

    ท่านอาจารย์ ทำชั่วเพื่อเราได้ไหม

    ผู้ฟัง ที่ผ่านมาก็เคยทำ

    ท่านอาจารย์ เห็นไหม ทำสิ่งที่ไม่ดี เพื่อสิ่งที่เข้าใจว่าเป็นเรา ทั้งๆ ที่ไม่มีเรา เพราะฉะนั้นถ้ารู้อย่างนี้ ปัญญาก็สามารถที่จะเข้าใจได้ชัดเจน มั่นคงว่า อะไรดีอะไรชั่ว อะไรเป็นเหตุอะไรเป็นผล เพราะมีความหลากหลายของผลที่ปรากฏ ซึ่งมาจากเหตุ ถ้าผลดีเหตุต้องดี แต่ไปเข้าใจผิด ใช่ไหม เพราะฉะนั้นบางคน ถ้าอย่างเป็นนักการเมือง เขาก็คิดหวังที่จะให้มีพรรคพวก เพื่ออะไร เพื่อตนเองและหมู่คณะ แต่ว่าตามความเป็นจริงเลย มีใครบ้างที่คิดว่าเพื่อประเทศชาติ ไม่ใช่เพื่อเรา บางคนก็อาจจะคิดอย่างนั้น เพื่อประเทศชาติไม่ใช่เรา แต่ว่าเราใช่ไหม ที่จะทำเพื่อประเทศชาติ ใช่ไหม ก็ยังมีความยึดมั่นในเรา แต่ว่ารู้ไหมว่าที่เป็นเรา ยึดมั่นที่จะทำและเข้าใจว่าเพื่อประเทศชาติ แต่เป็นสิ่งที่ถูก หรือเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีปัญญา ที่เกิดจากการเข้าใจเหตุและผลธรรม ตรงไปตรงมาอย่างแท้จริง ไม่สามารถที่จะแก้ปัญหาอะไรได้เลย เพราะว่าปัญหาอยู่ที่เหตุ คือตัวของแต่ละคน เพราะฉะนั้นถ้าสามารถที่จะมีความมั่นคง ในเหตุในผลในความดีความชั่ว ก็รู้ได้เลยว่าทั้งหมดที่ไม่ดี จะแก้ได้ด้วยความดี แต่ความดีจะเกิดขึ้นได้ ก็เพราะมีความเข้าใจที่ถูกต้อง เพราะฉะนั้นต้องเป็นเรื่องที่ละเอียด ไม่ใช่พูดตามความคิดชั่วคราว หรือว่าคิดสั้นๆ แต่ไม่รู้จริงๆ ว่า เหตุนั้นมาจากความไม่รู้ เพราะฉะนั้นถ้ามีความรู้ขึ้น ทุกอย่างก็จะถูกต้องขึ้น เป็นไปในทางที่ดีขึ้น

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 188
    4 ก.ค. 2568