ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1278


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ปกิณณกธรรม ตอนที่ ๑๒๗๘

    สนทนาธรรม ที่ โรงแรมมีพรสวรรค์ จ.พิจิตร

    วันที่ ๕ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๖๑


    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเมื่อไม่เข้าใจธรรม ก็ยังไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่สามารถที่จะรู้จักได้ มีการฟังธรรมโดยความเคารพอย่างยิ่ง คือทุกคำต้องละเอียดต้องไตร่ตรอง ต้องเข้าใจจริงๆ ไม่ใช่ว่าเขาว่าก็ทำตามเขาว่า แต่ถามได้เลยว่าทำไมต้องเป็นอย่างนั้น เคยได้ยินคำว่าสำนักปฏิบัติใช่ไหม เคยถามหรือเปล่าว่าปฏิบัติคืออะไร และสำนักคืออะไร หรือพอได้ยินก็ไปปฏิบัติ แต่ไม่รู้เลยว่าปฏิบัติคืออะไร แล้วจะมีประโยชน์ไหม ถ้าไปทำอะไรที่ไม่รู้ แต่ถ้ารู้ก่อน รู้เลยคนนั้นรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเปล่า มีใครเคยได้ยินคำว่าปริยัติบ้างไหม ปริยัติ และได้ยินคำว่าปฏิปัตติ และได้ยินคำว่าปฏิเวธ แค่ได้ยิน ใช่ไหม แต่ถ้าเข้าใจขึ้นจะเป็นประโยชน์มาก เพราะว่ามีพระธรรมเป็นที่พึ่ง ที่เรากล่าวว่ามีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง รัตนะที่ ๑ คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงเหนือบุคคลใดทั้งสิ้น แม้เทวดาและพรหมก็มาเฝ้าทูลถามแม้แต่ถามว่าอะไรเป็นมงคล ต่างคนต่างตอบ แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส สิ่งที่เป็นมงคลที่เราสวดมงคลสูตร แต่ว่าไม่ใช่ทรงแสดงธรรมให้เราสวด แต่ให้เราเข้าใจแต่ละคำด้วยความเคารพอย่างยิ่ง ประโยชน์อย่างยิ่งของแต่ละคำ

    เพราะฉะนั้นธรรมสำหรับฟังเข้าใจ เป็นปัญญาของตนเอง แต่ถ้ามีคนบอกให้เราทำอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ไม่ให้เราเข้าใจ จะมีประโยชน์ไหม แม้แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทั้งหมด ๔๕ พรรษาไม่ได้ตรัสให้ใครทำอะไรเลยทั้งสิ้น แต่ให้รู้ว่าธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร อะไรถูก ไปทำด้วยความเป็นเรา หรือรู้ว่าธรรมทั้งหลายไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา ต้องตรงทุกคำ เพราะฉะนั้นต่อไปนี้ ถ้ามีการไตร่ตรองและสอบถาม ก็จะได้ความเข้าใจที่เพิ่มขึ้น เป็นปัญญาของตนเอง เช่นคำว่าปริยัติ ได้ยินบ่อยๆ ความหมายคือรอบรู้ในพระพุทธพจน์ ถ้าได้ยินแค่นี้รอบรู้หรือยัง ยัง เพราะฉะนั้นยังไม่ใช่ปริยัติ

    ผู้ฟัง อยากให้ท่านอาจารย์อธิบายเรื่องปฏิจจสมุปบาท

    ท่านอาจารย์ ขอเชิญคุณคำปั่นให้คำแปล ปฏิจจสมุปบาทด้วย

    อ.คำปั่น คำว่าปฏิจจสมุปบาท ก็คือธรรมที่เกิดขึ้นเพราะอาศัยกันและกัน เพราะอาศัยเหตุปัจจัยสิ่งนั้นจึงเกิดขึ้นเป็นไป นี่คือความหมาย

    ท่านอาจารย์ แค่นี้ฟังมาแล้วใช่ไหมเมื่อสักครู่นี้ สิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้นต้องมีปัจจัย แล้วมาสงสัยคำว่าปฏิจจสมุปบาท เพราะเป็นคนละภาษา แต่ว่าถ้าเราเข้าใจก็คือ เมื่อรู้ว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดตามลำพังไม่ได้เลย อยู่ดีๆ จะให้เกิดขึ้นมาลอยๆ เป็นไปไม่ได้ ต้องอาศัยกันและกันเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นปฏิจจสมุปบาท ทุกคนชินหูใช่ไหม อวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร จะไปสวดหรือว่าจะเข้าใจ จะไปท่องหรือจะเข้าใจ ท่องไม่มีประโยชน์เลย แต่เข้าใจมีประโยชน์กว่าใช่ไหม อวิชชาความไม่รู้มีจริงหรือเปล่า มีจริง เป็นธรรมหรือเปล่า นี่คือการที่จะศึกษาธรรมด้วยความเคารพ ด้วยการเห็นประโยชน์จริงๆ เพราะฉะนั้นไม่รู้อะไรเห็นไหม มีคำว่าอวิชชาไม่รู้ ก็ต้องรู้อีกว่าไม่รู้อะไร ไม่ใช่ไม่รู้เฉยๆ ไม่รู้ทุกอย่างว่าเป็นธรรม เพราะว่าเป็นเราใช่ไหม เป็นโต๊ะ เป็นเก้าอี้ แต่ไม่รู้เลย เพราะเหตุว่าถ้าเข้าใจธรรมจริงๆ สามารถที่จะถึงความเป็นพระอรหันต์ด้วยความเข้าใจ แต่ไม่ใช่ด้วยความไม่รู้ และไปพากเพียรทำอะไรด้วยความไม่รู้ ไปนั่งสวดมนต์นานมากเลยทั้งวันทั้งเดือน แต่ว่าไม่เข้าใจคำที่สวด มีประโยชน์ไหม เพราะฉะนั้นนั่นแหละไม่รู้

    เพราะฉะนั้นเคยทำอะไรด้วยความไม่รู้ไหม เคย ต่อไปนี้รู้แล้วว่า อวิชชาความไม่รู้มีอยู่ จนกว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะแสดงความจริงให้รู้ และความรู้นั้นตรงกับอวิชชาคือไม่รู้ เพราะฉะนั้นมี ๒ คำวิชชากับอวิชชา อวิชชาไม่รู้เลยจริงๆ ว่าเดี๋ยวนี้สภาพธรรมเกิดแล้วก็ดับ แต่วิชชาค่อยๆ ฟัง ไม่มีใครไปบังคับธรรมได้เลย ถ้าไม่มีตาก็ไม่เห็น อย่างไรอย่างไรเห็นก็เกิดไม่ได้ และสิ่งที่กระทบตาถ้าไม่กระทบตา เช่น สิ่งที่อยู่ข้างหลัง เห็นก็เกิดขึ้นเห็นสิ่งนั้นไม่ได้ สิ่งนั้นต้องกระทบจักขุปสาท ภาษาบาลี เป็นปัจจัยให้เกิดจิตเห็น เห็นแล้วเป็นอย่างไร ชอบบ้างไม่ชอบบ้าง ถูกต้องไหม ถ้าชอบก็อยากได้ ถ้าไม่ชอบก็อยากทำลายเพราะไม่ชอบ ด้วยเหตุนี้จึงมีการกระทำที่เป็นการกระทำที่ดี และเป็นการกระทำที่ชั่ว เพราะฉะนั้นสังขารก็คือเจตนาเจตสิก เห็นไหม ค่อยๆ ขยายแต่ละคำ ที่ทรงแสดง ๔๕ พรรษา เมื่อสักครู่นี้เราพูดถึงธรรมและพูดถึงธรรมที่เป็นรูปธรรม กับธรรมที่เป็นนามธรรม ความจริงนับประมาณธรรมไม่ได้เลย เพราะเหตุว่าเกิดแล้วดับ แล้วไม่กลับมาอีกเลย ไม่ใช่ที่นี่เท่านั้น ไม่ใช่ที่คนเดียว ไม่ใช่ที่โต๊ะเดียว ทั้งประเทศทั้งโลก ไม่ว่าที่ไหนที่มีสภาพธรรมใดเกิดขึ้น สภาพธรรมนั้นดับหมด ไม่กลับมาอีก ด้วยเหตุนี้จึงหลากหลายมาก และก็เพิ่มขึ้นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

    ด้วยเหตุนี้จึงต้องเข้าใจว่าธรรมมี ๒ อย่าง นามธรรมและรูปธรรม ไม่รู้มีจริงๆ ใช่ไหม เป็นนามธรรมหรือรูปธรรม ถ้าไม่รู้คือไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่รู้แจ้งสิ่งหนึ่งสิ่งใด ไม่มีจิต แต่ไม่รู้ที่เป็นอวิชชา แม้เห็นก็ไม่รู้ว่าไม่ใช่เรา นี่คืออวิชชา โต๊ะไม่รู้สึก ไม่มีธาตุรู้ไม่สามารถที่จะรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใดได้เป็นรูปธรรม แต่ธาตุรู้ที่เป็นใหญ่เป็นประธาน เช่นเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส คิดนึก ๖ ทาง ตาหูจมูกลิ้นกายใจ ตั้งแต่เกิดจนตายมีแค่นี้ เดี๋ยวเห็น เดี๋ยวได้ยิน เดี๋ยวได้กลิ่น เดี๋ยวลิ้มรส เดี๋ยวรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส เดี๋ยวคิดนึก เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งสิ่งที่ปรากฏให้รู้ เพราะฉะนั้นจิตเป็นใหญ่เป็นประธาน แต่มีเจตสิกนามธรรมซึ่งเกิดกับจิต ซึ่งหลากหลายมาก ความติดข้องพอใจอยากได้เป็นเราหรือเปล่า ตอนนี้ไม่ใช่เรา แต่เป็นธรรม เริ่มรู้จักธรรมจะได้รู้ว่าธรรมใดดี ธรรมใดชั่ว ถ้าเหตุดีผลก็ต้องดี

    ด้วยเหตุนี้ไม่รู้เป็นธรรม แม้มีตาก็ไม่รู้ว่าไม่ใช่เรา แม้มีตากำลังมีสิ่งที่กระทบตาก็ไม่รู้ เห็นเกิดขึ้นและดับไปก็ไม่รู้ ไม่รู้ทั้งหมดคืออวิชชา แต่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นธรรมเตชะ ที่ภาษาไทยใช้คำว่าเดช มาจากภาษาบาลีว่าเตชะ สภาพธรรมที่เผาหรือทำลายสิ่งที่ไม่รู้ ค่อยๆ หมดไปด้วยคำของพระองค์เป็นอานุภาพ หรือว่าเป็นเหมือนปาฏิหาริย์เลย อาเทสนาปาฏิหาริย์ ที่สามารถที่จะทำให้คนฟังเกิดความเข้าใจ จากความไม่รู้มานานแสนนาน ในความมืดสนิท เป็นความเข้าใจขึ้นในสิ่งที่มี แม้เพียงแค่รู้ว่าเป็นธรรมที่เป็นอนัตตา นี่ก็เป็นความเข้าใจถูกในเบื้องต้น แต่ว่าต้องมีความเข้าใจมากกว่านี้อีก เพราะเหตุว่าเห็นแล้วที่จะไม่ให้ชอบหรือไม่ชอบ สิ่งที่เห็นเป็นไปได้ไหม ไม่ได้ ชอบเป็นโลภเจตสิก ไม่ชอบเป็นโทสเจตสิก คนไทยก็ชินกับคำนี้มาก คนนั้นโลภ ตัดสั้นๆ แทนที่จะพูดโลภะ ก็บอกว่าโลภ แต่โลภะมีหลายระดับ ละเอียดที่คนไม่รู้ แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงว่าเดี๋ยวนี้ก็มีไม่รู้เนื้อรู้ตัวเลย เพราะไม่ได้ฟังพระธรรม แต่ว่าเมื่อฟังพระธรรมแล้ว ก็เริ่มเข้าใจตามลำดับ ที่ต้องการรู้เรื่องปฏิจจสมุปบาท เมื่อสักครู่นี้พอรู้แล้วใช่ไหม สิ่งที่อาศัยกันและกันเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นเมื่อมีเห็นขณะนี้กำลังเห็น ไม่มีใครรู้เลยว่าเห็นเกิดขึ้นได้อย่างไร พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า เห็นซึ่งเป็นจิตหนึ่งขณะ จะเกิดขึ้นเห็นได้ต้องอาศัยเจตสิก ๗ ประเภทเป็นปัจจัยพร้อมทั้งรูป จึงสามารถที่จะทำให้จิตเห็นเกิดขึ้นได้ ถ้าไม่มีตาและก็ไม่มีเจตสิก ใครทำให้เห็นเกิดขึ้นได้ไหม ไม่ได้เลย

    เพราะฉะนั้นนี่คือธรรม มีอีกมากใน ๔๕ พรรษา ละเอียดจนกระทั่งทำให้เข้าใจขึ้น เมื่อเข้าใจถูกก็เป็นคนดีขึ้น เพราะเหตุว่ารู้ว่าอะไรเป็นโทษ อะไรเป็นประโยชน์ เพราะฉะนั้นทุกคนมีโลภะทั้งนั้นเลย จริงไหม อาหารก็อร่อย อากาศกระทบร่างกายก็ต้องกำลังสบายดี ไม่ร้อนเกินไป เสียงก็ต้องเพราะ กลิ่นก็ต้องหอมอยู่อย่างนี้ไปเรื่อยๆ อวิชชาความไม่รู้เป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร สังขารที่นี่เป็นกุศลหรืออกุศล ซึ่งเป็นเหตุที่จะให้เกิด อวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร มีสังขารและก็ต้องเป็นปัจจัยให้เกิดอะไรต่อไปอีกเรื่อยๆ ใช่ไหม เพราะฉะนั้นมีอวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร สังขารเป็นปัจจัยให้เกิดอะไร เก่งมากเลย เดี๋ยวนี้วิญญาณคืออะไร เห็นนี่แหละเป็นวิญญาณ เพราะฉะนั้นวิญญาณเป็นอีกคำหนึ่งของจิต มโนก็อีกคำหนึ่ง มโนทวารทางใจ เดี๋ยวนี้เองเริ่มเข้าใจว่าเป็นธรรม และก็เมื่อมีอวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร ชอบเฉยๆ เป็นโทษจริงแต่ว่าน้อยยังไม่ถึงกับไปอบายภูมิ เพราะเหตุว่ายังไม่ได้กระทำทุจริตกรรม แต่เห็นได้เลยว่าถ้ามีมากๆ เป็นมูลเหตุให้เกิดการฆ่าก็ได้ แย่งชิงทรัพย์มรดกหรืออะไรก็แล้วแต่จะเกิดขึ้นด้วยความติดข้อง ด้วยความโลภสามารถกระทำทุจริตกรรมได้ โดยไม่รู้ว่าการเบียดเบียนคนอื่น ผลก็คือว่ามาสู่ตนเอง

    ในสมัยก่อนก็มีเด็กท้าทายกัน ใครจะยิงถูกตานก คิดดู นกจะเจ็บไหม ไม่เคยคิดเลย แค่ความเพลิดเพลิน หรือความสามารถว่าใครสามารถจะทำให้ยิงถูกตานกได้ ยิงถูกจริงๆ เจตนาไม่ใช่ของนก ถูกต้องไหม ความจงใจตั้งใจที่จะให้นกเจ็บตา เป็นของคนที่ทำ เมื่อมีความต้องการอย่างนั้น ผลนั้นก็เกิด แต่เกิดกับตนเอง ด้วยเหตุนี้บางคนก็เกิดมาตาบอดแต่กำเนิด เพราะเป็นผลของกรรม แต่ว่าการเกิดเป็นมนุษย์ก็หลากหลายมาก พรั่งพร้อมด้วยทรัพย์สมบัติ วงศาคณาญาติ เกียรติยศ ชื่อเสียง บางคนก็ตามกรรม ลำบากต่างๆ ก็มากมาย เพราะฉะนั้นเห็นเหตุที่จะทำให้เกิดผลใครบังคับได้ บางตระกูลลูกทุกคนที่เกิดมาตาบอด อันนี้ก็เป็นเรื่องที่ละเอียด แล้วก็มีปัจจัยมาตั้งแต่แสนโกฏกัป ไม่ใช่เราเกิดแค่ชาตินี้ชาติเดียว แต่ที่จะหลากหลายอย่างนี้ได้ ก็ต้องมาจากกรรมเล็กกรรมน้อยกรรมใหญ่ ผสมผสานรวมกัน ทำให้แต่ละคนหลากหลายมาก เพราะฉะนั้นแค่นี้พอไหม ปฏิจจสมุปบาท อวิชชาเพราะไม่รู้ จึงเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร ได้แก่กุศลกรรมและอกุศลกรรม เพราะฉะนั้นเมื่อมีกุศลกรรมและอกุศลกรรมเป็นเหตุ ผลมีไหม มี ต้องกล่าวโดยปฏิจจสมุปบาทไหม หรือเมื่อสักครู่นี้เราก็ฟังแล้ว เจตนาสังขารเป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ พูดได้ แต่ต้องเข้าใจ เดี๋ยวนี้มีวิญญาณไหม มี ใครไม่มีวิญญาณบ้าง ไม่มีใช่ไหม เพราะฉะนั้นตอนเกิดไม่ใช่เราเลย แต่เป็นผลของกรรม

    เพราะฉะนั้นจิตก็หลากหลายมาก จิตที่เป็นเหตุก็มี จิตที่เป็นผลก็มี แค่นี้ไม่พอต้องรู้ละเอียดกว่านี้อีก เหตุมีเมื่อไหร่ตั้งแต่เกิด เป็นเหตุให้หลากหลาย เกิดเป็นสุนัข เป็นแมว เป็นนก เป็นอะไรก็แล้วแต่ เป็นคนชาติต่างๆ แล้วก็เมื่อเกิดมาหลากหลายแล้ว เกิดแล้วต้องเห็นไหม หรือเกิดแล้วไม่ต้องเห็น เกิดมาแค่เกิดมาเฉยๆ ไม่เห็นไม่ได้ใช่ไหม เกิดแล้วต้องเห็น เห็นนั่นแหละเป็นผลของกรรม เกิดมาแล้วก็ต้องได้ยิน เพราะฉะนั้นได้ยินนั่นแหละเป็นผลของกรรม เกิดมาแล้วต้องได้กลิ่น ยับยั้งไม่ได้เลย ถ้ามีกลิ่นเดี๋ยวนี้และก็มีจิตได้กลิ่นเกิดขึ้นเป็นผลของกรรม เพราะฉะนั้นเมื่อรู้เหตุแล้วต้องรู้ผล ไม่อย่างนั้นเราก็สับสน ไปโทษคนโน้นคนนี้ว่าเขาทำให้ ใช่ไหม แต่ความจริงใครก็ทำอะไรให้ใครไม่ได้เลย แต่ต้องเป็นผลที่เกิดจากเหตุที่ได้กระทำแล้ว ด้วยเหตุนี้ผลของกรรมมีตั้งแต่เกิด เกิดมาหลากหลาย และก่อนจะจากโลกนี้ไป ก็มีเห็นบ้าง ได้ยินบ้าง ได้กลิ่นบ้าง ลิ้มรสบ้าง รู้สิ่งที่กระทบกายบ้าง ๕ ทางเป็นผลของกรรม มีตาสำหรับเห็น มีหูสำหรับได้ยิน มีจมูกได้กลิ่น มีลิ้นลิ้มรส มีกายกระทบสิ่งที่สัมผัสเย็นหรือร้อน ถ้าเป็นสิ่งที่ดีเป็นผลของกุศลกรรม ถ้าสิ่งที่เห็นเป็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจ เสียงไม่น่าพอใจ ก็เป็นผลของอกุศลกรรม ใครทำให้หรือเปล่า มีคนหนึ่งเขาขับรถไป เขาก็เปิดกระจก พอดีได้ยินคนจากรถคันอื่น เขาด่าเขาว่ารถอีกคันหนึ่ง เขาไม่ได้ตั้งใจจะว่าคนนี้เลย แต่ก็ได้ยิน

    เพราะฉะนั้นให้รู้ได้เลยว่า ทั้งหมดจะไม่โกรธใคร เพราะเขาไม่ได้ทำอะไรให้เรา การกระทำของเขา เขาต้องได้รับผล แต่สิ่งที่เราได้รับนี่แหละเป็นผลที่เราได้เคยทำไว้ แต่ปางก่อน ชาติไหนก็ไม่รู้ได้ เพราะฉะนั้นเราก็จะไม่มีความไม่ดี ที่ไปโกรธคนอื่นใช่ไหม เพราะรู้ในเหตุในผล แต่จะมีการอภัยให้ เพราะรู้ว่าเขาไม่รู้ ถ้าเขารู้เขาก็ไม่ทำ คนที่รู้ว่าอะไรไม่ดีจะทำไหม แต่ที่ทำกันทุกวันนี้เพราะไม่รู้ เพราะฉะนั้นจึงเป็นเหตุให้เกิดการติดข้องพอใจหรือการไม่พอใจ อกุศลทั้งหมดมีมากกว่าโลภะและโทสะ อกุศลเจตสิกมีทั้งหมด ๑๔ ประเภท อยู่ที่ไหน ของใครหรือเปล่า ของจิตที่สะสมมา เกิดแล้วดับจริงแต่สะสมสืบต่อในจิตทุกขณะ เพราะว่าจิตหนึ่งขณะเกิดแล้วดับ เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดสืบต่อทันที ไม่มีระหว่างคั่นเลย เดี๋ยวนี้เราไม่รู้เลยว่านั่งอยู่ที่นี่เหมือนเป็นคนนั้นคนนี้ แต่เป็นธรรมคือจิตเจตสิกและรูป ซึ่งต้องเกิดตามเหตุตามปัจจัย เกิดแล้วต้องดับ แต่ว่าไม่สิ้นสุด เพราะเหตุว่ามีปัจจัยที่จะให้เกิดดับสืบต่อจากชาติหนึ่ง เป็นอีกชาติหนึ่ง เป็นอีกชาติหนึ่ง เช่นเดียวกับชาดก ชีวิตของพระโพธิสัตว์ก่อนที่จะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็เกิดแล้วเกิดอีก แต่จะเป็นคนเก่าไม่ได้เลย ไม่มีทางที่จะย้อนกลับไปได้เลย

    เพราะฉะนั้นรู้ได้เลยว่าเป็นคนนี้ชาตินี้ ทำดีทำชั่วแค่ไหน ชาติหน้าจะเป็นอย่างไร แล้วยังกรรมเก่าที่ได้ทำไว้อีกมากมาย นี่คือปฏิจจสมุปบาท อวิชชาใช่ไหม ก่อนฟังธรรม เป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร สังขารเป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ คือจิตขณะแรก ใช้คำว่าปฏิสนธิจิตในภาษาไทย แต่ภาษาบาลี ออกเสียงว่า ปฏิสนธิจิต เกิดสืบต่อจากจุติจิตของชาติก่อน ตายแล้วเกิดทันทีไม่มีระหว่างคั่นเลย สงสัยว่าคนนี้ตายแล้วไปไหน เหมือนเดี๋ยวนี้เลย จิตเกิดและก็ดับ ถ้าจิตขณะนี้ยังไม่ดับ จิตขณะต่อไปเกิดไม่ได้ เพราะเหตุว่าจิตหนึ่งขณะต้องดับไปก่อน และการดับไปของจิตขณะนี้ขณะแรก เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดได้ ถ้าจิตนี้ยังไม่ดับจิตอื่นเกิดไม่ได้เลยโดยปัจจัย ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ คัมภีร์สุดท้ายของพระอภิธรรมปิฎก ที่เราได้ยินเวลาเราไปงานศพใช่ไหม เหตุปัจจะโยก็เหตุปัจจัย อารัมมณปัจจะโยตอนนี้รู้เรื่อง อารัมมณะในภาษาบาลี ภาษาไทยใช้คำว่าอารมณ์ แต่ไม่ได้เข้าใจตามความหมายที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ เพราะว่าเราขาดการศึกษาโดยละเอียด ไม่ใช่ภาษาของเรา

    เพราะฉะนั้นเราไม่ได้พูดมาตั้งแต่เกิด เราก็จับเอาความหมายบางความหมายไม่ครบถ้วน เพราะเราไม่ใช่คนที่ใช้ภาษานั้น เพราะฉะนั้นเราก็เข้าใจว่า วันนี้เราอารมณ์ดีใช่ไหม เขากำลังโกรธ อารมณ์ไม่ดีเลย วันนี้เขาอารมณ์ไม่ดีแต่อะไรเป็นเหตุ เห็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจ ได้ยินเสียงที่ไม่น่าพอใจ ไม่ชอบใช่ไหม ก็บอกว่าอารมณ์ไม่ดี แต่ต้องรู้อารมณ์คือสิ่งที่ถูกจิตรู้ เพราะเหตุว่าจิตเป็นสภาพรู้ ต้องมีสิ่งที่ถูกรู้ เพราะฉะนั้นวันนี้เราก็เรียนธรรมหลายคำ ในภาษาบาลีด้วย เช่นจิตตะ เป็นภาษาบาลีใช้คำว่าวิญญาณก็ได้ มโนก็ได้ มานัสก็ได้ หทยก็ได้ เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งเท่านั้น ไม่รักไม่ชังนั่นเป็นเจตสิก แต่ว่าทุกวันเห็นเมื่อไหร่นั่นคือจิต ได้ยินเมื่อไหร่นั่นคือจิต เสียงนั้นหลากหลายอย่างไร เผ็ดแค่ไหน หวานแค่ไหน จิตเป็นสภาพที่รู้แจ้งลิ้มรส ส่วนชอบหรือไม่ชอบนั่นเป็นเจตสิก ซึ่งเกิดกับจิต

    ด้วยเหตุนี้การเกิด ต้องเห็น ต้องได้ยิน ต้องได้กลิ่น ต้องลิ้มรส ต้องรู้สิ่งที่กระทบสัมผัสกาย เป็นผลของกรรม เป็นจิตที่เป็นผล ไม่ใช่จิตที่เป็นเหตุ จิตที่เป็นเหตุก็คือกุศลและอกุศล ถ้าเป็นฝ่ายดีเราก็เรียกว่ากุสละ หรือกุศล หรือว่าใช้ปุญญะ หมายความว่าขัดเกลาจิตก็ได้ เพราะว่าความชั่วมีเยอะ อกุศลมีแยะ ความไม่รู้ก็มาก และเอาอะไรละ ก็ต้องเอาความรู้หรือว่าสภาพธรรมที่ดีงามละ ด้วยเหตุนี้ทั้งหมดเป็นธรรม พอเห็นใครทำไม่ดี ธรรมต่างหากที่สะสมมาที่เป็นอย่างนั้น และเขาจะต้องได้รับผลที่ไม่ดีด้วย จะเมตตาไหม จะเห็นใจไหม จะพยายามให้เขาเป็นคนดีไหม นี่ก็คือแต่ละหนึ่ง ซึ่งความดีความเข้าใจทั้งหมดมาจากความเข้าใจธรรมยิ่งขึ้น เพราะฉะนั้นมีประโยชน์ไหม การฟังพระธรรมและก็เริ่มเข้าใจ และก็รู้ด้วยว่าจะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต่อเมื่อเข้าใจคำของพระองค์เท่านั้น ไม่ใช่ไปทำสิ่งที่เราไม่รู้ หรือว่าพูดคำที่เราไม่เข้าใจ อย่างปฏิจจสมุปบาท เป็นต้น เห็นไหม ต่อไปนี้ทุกคำที่ได้ยิน จะเป็นประโยชน์เมื่อเข้าใจ เดี๋ยวนี้เป็นปฏิจจสมุปบาทหรือเปล่า อวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร เหตุในอดีต สังขารเป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ ชาตินี้เกิดมาเป็นคนนี้ อวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร สังขารเป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ วิญญาณเป็นปัจจัยให้เกิดนามรูป เป็นประโยชน์จากการสวดหรือเปล่า จำได้ ได้ยินแต่ยังไม่เข้าใจ เพราะฉะนั้นพูดแล้วถ้าจะเป็นประโยชน์ยิ่งขึ้น ก็คือเข้าใจด้วย เพราะฉะนั้นวิญญาณเป็นปัจจัยให้เกิดนามรูป เราพูดถึงเมื่อสักครู่นี้เองเห็นไหม นามธรรมคือจิต เจตสิก รูปมีจริงไม่ใช่สภาพรู้ เกิดมาแล้วก็คือจิต เจตสิก รูป

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 188
    16 ก.ค. 2568