ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1285
ปกิณณกธรรม ตอนที่ ๑๒๘๕
สนทนาธรรม ที่ โรงแรมเชียงใหม่ฮิลล์ จ.เชียงใหม่
วันที่ ๑๘ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๖๑
อ.อรรณพ ท่านเขียนมาว่าใคร่จะขอคำแนะนำ เพื่อจะได้รู้จักอย่างถูกต้องว่า พระพุทธเจ้าท่านสอนอะไรบ้าง และควรจะเริ่มรู้จักพระพุทธศาสนาในทางที่ถูกต้อง
ท่านอาจารย์ พระพุทธศาสนาเป็นเรื่องที่ละเอียดลึกซึ้ง เมื่อกี้ฟังแล้ว หลายคำ ถึงเวลาทบทวนอีก ซึ่งจะเป็นการทบทวนเพื่อที่จะให้คนที่ถามได้เข้าใจ เดี๋ยวนี้ทุกคนที่นั่งอยู่ที่นี่ ที่ตัวนี่มีธรรมไหม มีธรรม ไม่ต้องไปหาที่ไหนเลยทั้งสิ้น ตรงไหนตรงนั้นที่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏ นั่นคือธรรม เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะพูดกับเด็ก พูดกับผู้ใหญ่ พูดกับใครก็ตาม ที่ไม่เคยฟังมาก่อน เริ่มต้นเหมือนกันใช่ไหม ไม่ว่าใคร เพราะฉะนั้นไม่ใช่เฉพาะเด็ก ถ้าเราคิดถึงแต่เด็กแล้วผู้ใหญ่ไม่รู้ แล้วใครจะสอนเด็ก เพราะฉะนั้นเด็กจะเอาความรู้ความเข้าใจมาจากใครที่ไหน เพราะฉะนั้นธรรมไม่ใช่ว่าต้องบุคคลนั้นหรือบุคคลนี้ แต่สำหรับทุกคนที่ไม่รู้ และก่อนฟังธรรม รู้หรือยัง ถ้ารู้แล้วก็ไม่ต้องฟังธรรม แต่ทุกคนก็ต้องเป็นคนที่ตรง ไม่ว่ารู้วิชาการใดๆ ทั้งสิ้น ตั้งแต่เกิดจนตายทุกชาติก็ไม่รู้จักคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่จะเข้าใจสิ่งที่มีทุกขณะ เป็นความจริงทุกขณะตั้งแต่เกิดจนตาย ซึ่งสิ่งนั้นเพราะว่าไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เราเคยจำไว้ เช่น โต๊ะ เก้าอี้ แต่ว่าเป็นเฉพาะแต่ละหนึ่งๆ ที่มีจริงๆ ละเอียดอย่างยิ่ง เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีจริงทั้งหมด เป็นธรรม ต้องแต่ละหนึ่งด้วย เพราะฉะนั้นเคยเป็นเรา แต่เดี๋ยวนี้มีเราไหม หรือว่ามีธรรม เห็นไหม จะให้เด็กฟังหรือว่าจะให้ผู้ใหญ่ฟัง ใครก็ได้ที่ไม่รู้ ควรฟัง เพราะว่าจะได้รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ตรัสคำเดียวว่า ธรรม แต่ต้องกระจ่างชัดเจน มิฉะนั้นถ้าคำเริ่มต้นไม่ชัด จะเข้าใจคำอื่นชัดเจนได้อย่างไร ต้องไม่ประมาทเลย พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงสิ่งซึ่งใครก็ไม่รู้ หรือแม้แต่ได้ยินได้ฟังก็คิดเอาเองเพียงเล็กน้อยก็ไม่ตรงกับความเป็นจริง
ด้วยเหตุนี้ ธรรมเป็นสิ่งที่มีจริงทุกอย่าง เพราะฉะนั้นที่ตัวเป็นธรรมหรือว่าเป็นเรา เป็นธรรม ตอนนี้ตอบถูกแล้วใช่ไหม รู้จักธรรมแล้ว ให้เด็กรู้หรือเราก็ควรรู้ ทุกคนที่ไม่รู้ ควรรู้ เพราะฉะนั้นต่อไปนี้จะได้ยินคำ ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา นี่คือพระพุทธพจน์ ที่ต้องเริ่มเข้าใจทีละคำๆ ถ้าไม่รู้จักธรรมก็ไม่รู้จักอนัตตา แต่เมื่อเข้าใจคำว่าธรรมแล้ว ไม่พอ สิ่งที่มีจริงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ สิ่งนั้นเป็นสิ่งนั้น ไม่เป็นสิ่งอื่น เพราะฉะนั้นจะเป็นอะไรไม่ได้ นอกจากเป็นสิ่งนั้น เพราะฉะนั้น เห็นมีจริง เห็นเป็นธรรม เห็นไม่ใช่เรา เห็นไม่ใช่ของเรา เพราะอะไร เพราะต้องมีปัจจัยที่ทำให้เห็นเกิดขึ้น ถ้าไม่มีตาก็ไม่เห็น และเห็นแล้วก็ดับ ซึ่งอันนี้ยากที่จะรู้ได้ แต่ว่าถ้าฟังคำแล้วค่อยๆ ไตร่ตรองว่าทุกขณะ เห็นไม่ใช่ได้ยิน ได้ยินไม่ใช่คิด คิดไม่ใช่จำ เป็นหนึ่งหมดเลย เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีจริง แต่ละหนึ่งๆ ที่เคยเป็นเราทั้งหมด หรือว่าเคยเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดทั้งหมด พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงว่า เป็นสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่งซึ่งไม่ปะปนกัน ได้ยินเมื่อกี้นี้ดับแล้ว ถ้าเป็นเราได้ยิน ดับแล้วใช่ไหม เราอยู่ไหน จะมีเราไหม ในเมื่อได้ยินดับ แล้วไม่กลับมาอีกเลย ได้ยินที่ดับไปแล้ว ไม่กลับมาอีกเลย เสียงเมื่อกี้นี้ที่ดับไปแล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย นี่คือกว่าจะได้รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา ถ้าผู้ใดไม่เห็นธรรมผู้นั้นไม่เห็นเรา เพราะฉะนั้นถ้าไม่เข้าใจธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่รู้ว่าพระองค์ตรัสรู้ทุกอย่างโดยละเอียดอย่างยิ่ง แล้วแต่ละคำที่ทรงแสดงแล้วเปลี่ยนไม่ได้เลย
เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้ทุกอย่างเป็นธรรม เกิดขึ้นโดยที่ไม่มีใครไปทำให้เกิดได้ เห็น พอพูดถึงเห็น เห็นแล้ว ไม่ได้ทำแต่เห็นแล้ว พูดถึงได้ยิน ได้ยินก็เกิดแล้ว ก็ไม่ได้ทำอีก ได้ยินก็เกิดแล้ว เพราะฉะนั้นสิ่งที่เกิดต้องอาศัยสิ่งที่เกื้อกูลอนุเคราะห์ ทำให้อาศัยกันและกันเกิดขึ้น ที่เราได้ยินบ่อยๆ ปฏิจจสมุปบาท ได้ยินคำนี้ก็พูดเลย แต่รู้ไหมว่าเดี๋ยวนี้ ถ้าไม่มีธรรมจะเป็นปฏิจจสมุปบาทไหม เพราะฉะนั้นทรงแสดงสิ่งที่มีจริง ค่อยๆ ละเอียดขึ้น ค่อยๆ ละเอียดขึ้น จนกระทั่งแสดงว่าธรรมคือสิ่งที่มีจริง ซึ่งเกิดได้เพราะเหตุปัจจัยที่อาศัยกันและกันเกิดขึ้น ไม่มีใครสามารถจะไปดลบันดาล หรือว่าไปทำให้เกิดขึ้นเลย เกิดแล้วก็ดับไป ดับไปแล้ว ไม่กลับมาอีกเลย เพราะฉะนั้นมีเราจริงๆ หรือเปล่า หรือว่ามีแต่ธรรมซึ่งอาศัยเหตุปัจจัยเกิดขึ้น เกิดดับอยู่ตลอดเวลา แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย เพราะฉะนั้นธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ตรงกันข้ามกับคำว่าอัตตา อัตตาคือสิ่งหนึ่งสิ่งใด เราเห็นโต๊ะ เห็นเก้าอี้ โต๊ะเป็นโต๊ะ เก้าอี้เป็นเก้าอี้ แต่ยังไม่ใช่ธรรมใช่ไหม เพราะเหตุว่าถ้าเป็นธรรม ที่เราว่าเป็นเก้าอี้นั้น เห็นใช่ไหม เพราะฉะนั้นเห็นเป็นเห็น สิ่งที่กระทบตาได้ ทำให้จิตเห็นเกิดขึ้นเห็นเฉพาะสิ่งที่กระทบตา สิ่งที่อยู่ข้างหลังไม่ปรากฏเลย จะเป็นรูปร่างอะไรก็ไม่ปรากฏ จะเป็นดอกไม้ หรือจะเป็นกระดาษ หรือจะเป็นอะไร ตัวหนังสืออะไรก็ไม่ปรากฏ เพราะไม่ได้กระทบตา
เพราะฉะนั้นสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาให้เห็น สิ่งนั้นต้องกระทบตาได้ และอยู่ที่ธาตุที่แข็งอ่อนที่เราใช้คำว่ามหาภูตรูป เย็น ร้อน ตึง ไหว ที่ใดมีแข็งมีอ่อน ที่นั่นสามารถที่จะเห็นรูปร่างสัณฐานของสิ่งที่มีอยู่ที่นั่น แต่สิ่งนั้นที่กระทบตา ไม่ใช่แข็งอ่อนเย็นร้อน เหล่านี้ ละเอียดไหม เป็นธรรมหรือเปล่า เป็นเราหรือเปล่า เป็นโต๊ะหรือเปล่า เป็นดอกไม้หรือเปล่า ค่อยๆ เข้าใจความหมายของคำว่า ธรรม จึงเป็นชาวพุทธ เพราะเหตุว่าชาวพุทธต้องรู้จักแม้แต่คำว่าธรรม และคำอื่นๆ ต่อไป เช่น ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ใครคิดว่าธรรมเป็นอัตตาบ้าง อัตตาคือสิ่งหนึ่งสิ่งใด สนทนาธรรมเพื่อความเข้าใจ เห็นสิ่งที่เพียงปรากฏให้เห็นได้ พิสูจน์ทันที หลับตา มีอะไรบ้าง ไม่มีอะไรเลย ลืมตามีสิ่งที่กระทบตาปรากฏเป็นรูปร่างสัณฐานต่างๆ แต่เวลาหลับตาไม่ได้ปรากฏว่ามีอะไรเลยทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นเราอยู่ไหน โต๊ะ เก้าอี้อยู่ไหน สิ่งที่เวลาลืมตาก็คิดว่ามีมากมายก่ายกอง อยู่ไหน
อ.อรรณพ กราบท่านอาจารย์ จำมาแสนนานว่าเห็นคน เห็นสิ่งของ เห็นโต๊ะ เก้าอี้ต่างๆ ก็เหมือนกับ เห็นเพียงสิ่งที่ปรากฏ ที่ไม่ได้เป็นการเห็นคน เห็นโต๊ะ เห็นเก้าอี้ ก็เหมือนเหลือประมาณที่จะเข้าใจอย่างนั้น
ท่านอาจารย์ คุณอรรณพพูดถึงจำ จำมีจริงไหม เป็นธรรมหรือเปล่า
อ.อรรณพ สิ่งที่มีจริงเป็นธรรม
ท่านอาจารย์ แล้ว "จำ" เป็นเราหรือเปล่า
อ.อรรณพ จำก็ต้องเป็นสภาพที่จำ แต่ก็คิดด้วยความเป็นตัวเราว่าเป็นตัวเราที่จำ
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นไม่รู้จึงยึดถือสิ่งที่มี ซึ่งเราพูดบ่อยๆ ยึดถือขันธ์ ๕ ว่าเป็นเรา ได้แต่พูด แต่ก็ไม่รู้ว่าขันธ์แต่ละขันธ์คืออะไร และยึดถือคืออะไร แต่ว่าตามความเป็นจริงคือต้องตั้งต้น ทุกอย่างไม่ว่าวิชาการใดๆ ทั้งสิ้น ถ้าไม่เข้าใจตั้งแต่ต้นก็คือว่าไขว้เขว สับสน ไม่ตรง ไม่ถูกต้อง เพราะฉะนั้นต้องเข้าใจทีละคำ เคยพูดเสมอว่าปัญญาของคนในโลกนี้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นนักวิทยาศาสตร์ หรือใครที่เราคิดว่าเก่ง มีความสามารถ กับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทียบกันได้ไหม ลองคิดดู เทียบได้ไหม ไม่ได้เลย ไม่มีปัญญาของใครจะเทียบเท่ากับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ว่าโลกมนุษย์ โลกสวรรค์ สากลจักรวาล เพราะทรงแสดงความจริงเดี๋ยวนี้ ให้ทุกคนได้ฟังว่าจริงไหม ตรงไหม และกำลังมีจริงๆ ด้วย
ด้วยเหตุนี้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสคำว่าธรรม เราพูดได้ไหมคำว่าธรรม พูดได้ ปัญญาเท่ากันไหม เห็นไหม ความห่างไกลของผู้ที่ทรงตรัสรู้และทรงแสดงพระธรรม แม้แต่คำเดียวว่า ธรรม จากพระโอษฐ์กับคำที่เราพูดตาม หรือจะอ่าน หรือจะคิดก็ตาม ปัญญาไม่เท่ากัน เพราะฉะนั้นประมาทได้ไหมว่าเราเข้าใจธรรมเพียงได้ฟังคำนี้ ต้องรู้ว่ากว่าจะรู้จักพระปัญญาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงให้เราไตร่ตรอง จนเป็นปัญญาของเราเอง ซึ่งไม่อาจจะไปหาได้ที่ไหนเลย เงินทองทรัพย์สมบัติมหาศาลก็ซื้อความเข้าใจไม่ได้ ซื้อปัญญาไม่ได้เลย นอกจากคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกคำเป็นปัญญา นำไปสู่ความเข้าใจถูกต้อง ด้วยเหตุนี้จึงมีคำว่า ธรรมเตชะ ภาษาไทยใช้คำว่า ธรรมเดช เดชนี่ต้องเป็นพลัง มีกำลังใช่ไหม จากความไม่รู้ คำนั้นสามารถทำให้เข้าใจสิ่งที่กำลังมี ทีละเล็กทีละน้อย จนกระทั่งเข้าใจคำที่พระองค์ตรัสไว้ ๔๕ พรรษา เพราะฉะนั้นต้องมั่นคงแต่ละคำ จำมีไหม ทุกคนกำลังจำใช่ไหม ใช้คำว่าทุกคน เพราะเข้าใจว่าจำเป็นคน นกจำไหม ก็ต้องจำได้เหมือนกัน เพราะฉะนั้นจำเป็นนก หรือจำเป็นคน
อ.อรรณพ จำ ต้องเป็นจำ เป็นธรรมอย่างหนึ่ง
ท่านอาจารย์ ถ้าเอารูปร่างออกหมด ไม่รู้เลยว่า นกจำ หรือคนจำ หรือแมวจำ หรือไก่จำ หรือกระต่ายจำ เพราะจำเป็นจำ เพราะฉะนั้นถ้าจำไม่เกิดขึ้น จะมีจำไหม ไม่มี เพราะฉะนั้นสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ ต้องเกิดขึ้น ด้วยเหตุนี้แต่ละคำต้องเข้าใจว่า ธรรมที่เกิดขึ้นไม่มีใครไปทำ เป็นอนัตตา อาศัยเหตุปัจจัยเกิดขึ้นแล้วดับไป แค่นี้เบื่อหรือยัง เบื่อฟัง หรือว่าเบื่อธรรม หรือว่าเบื่อเรา หรือเบื่ออะไร
อ.อรรณพ ถ้าเบื่อก็เพิ่มความวิกฤต แล้วไม่รู้จักธรรมคือจบตั้งแต่แรก
อ.จริยา สำนักปฏิบัติทำลายคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คำนี้ดิฉันอยากให้ท่านอาจารย์ได้กรุณาขยายความ
ท่านอาจารย์ ขณะนี้มีธรรม พระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เข้าใจสิ่งที่มี สิ่งที่น่าอัศจรรย์คือแม้มีก็ไม่มีใครรู้ ไม่มีใครเข้าใจ และจะเข้าใจได้ต่อเมื่อได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี้เป็นสิ่งที่แน่นอนที่สุด ไม่ใช่คำของคนอื่น ฟังแล้วพิสูจน์ได้ พูดถึงอะไร พูดถึงเดี๋ยวนี้ สิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ เพราะฉะนั้นแต่ละคำที่ได้ฟัง ก็พิจารณาว่าเป็นความจริงตามที่ได้ฟังหรือเปล่า เห็นมีจริง ใครรู้จักเห็นบ้าง แค่รู้ว่าเห็นมีจริง แต่ใครรู้จักเห็นบ้าง ใครรู้จักสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นบ้าง ถ้าไม่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคิดว่ารู้จัก แต่ลองคิดดู มีสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น หมายความว่าต้องมีสิ่งที่กำลังเห็น มีทั้งเห็น และสิ่งที่ปรากฏให้เห็น ทั้ง ๒ ต้องเกิด มิฉะนั้นไม่มีทางปฏิบัติธรรม หรือถึงการเข้าใจธรรมได้เลย เพราะว่าไม่มีความรู้อะไร
เพราะฉะนั้นให้ทราบว่า ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นปัญญาตั้งแต่คำแรก ทุกคำหมด ลึกซึ้งขึ้น ลึกซึ้งขึ้น เพราะฉะนั้นกำลังพูดถึงเห็น แล้วจะปฏิบัติอย่างไร ให้รู้ความจริงของเห็น ที่ใช้คำว่าอริยสัจเพราะว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริง ความจริงของสิ่งที่กำลังมี เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีการเข้าใจ ไม่มีทางที่ปัญญาสามารถที่จะประจักษ์แจ้ง ซึ่งใช้คำว่า วิปัสสนา ไม่ใช่ไม่รู้อะไรเลย แล้วก็ไปเห็นอะไร เกิดๆ ดับๆ ไม่ใช่อย่างนั้นเลย แต่ต้องเป็นความเข้าใจที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้น จนละคลายความไม่รู้ จนสภาพธรรมปรากฏตรงตามความเป็นจริงทีละหนึ่ง แค่ทีละหนึ่ง ใครคิดบ้าง ถ้าสิ่งต่างๆ รวมกันอย่างเดี๋ยวนี้ ไม่สามารถจะรู้ความจริงที่เกิดดับได้ ก็รวมกันแล้ว แต่ถ้าทีละหนึ่ง จะเห็นเลยว่าต้องฟัง จนกระทั่งมีความเข้าใจว่าทีละหนึ่ง ไม่ใช่สิ่งที่เราเคยเข้าใจว่าเป็นเรา หรือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด นี่เป็นปัญญาหรือเปล่า ถ้าไม่มีปัญญาอย่างนี้จะไปรู้อะไร จะไปทำอะไรที่ไหนก็ไม่รู้ เพราะเหตุว่าสิ่งที่ควรจะรู้กำลังมีเดี๋ยวนี้ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ควรจะเป็นปัญญาขั้นต้น คือฟังแล้วเข้าใจตามที่ฟังหรือเปล่า ไม่ต้องไปคิดเรื่องปฏิบัติเลย เพราะเหตุว่าความลึกซึ้งของพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ผู้ฟังจะรู้ได้ ๓ ระดับ ปริยัติ ปฏิปัตติ ปฏิเวธ
คนในครั้งพุทธกาลได้ฟังพระธรรมจากพระโอษฐ์ อบรมเจริญปัญญาหรือเปล่าที่จะรู้ความจริง หรือเขาไปนั่งทำอะไร โดยที่ว่าไม่เกิดปัญญา เพราะฉะนั้นต้องรู้ว่าปัญญาคือความเห็นถูก ความเข้าใจถูกในสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ ตั้งแต่ขั้นการฟังว่า สิ่งนี้มีจริงกำลังเกิดดับ จริงไหม เพราะเหตุว่าเห็นไม่ใช่ได้ยิน คิดไม่ใช่หวาน ทุกอย่างที่มีจริงแต่ละหนึ่งเป็นธรรม เกิดขึ้นจึงมี มีแล้วก็ดับไป ไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดซึ่งเกิดแล้วไม่ดับไปเลย ทุกอย่างที่เกิดขึ้นปรากฏเพียงชั่วคราวแล้วก็ดับไป แต่ชาวโลกไม่รู้ จนกว่าจะได้ฟังคำแล้วค่อยๆ พิจารณา เป็นความรู้ถึงความที่ไม่เที่ยงของทุกสิ่งทุกอย่าง เดี๋ยวนี้เห็นก็ไม่ใช่ได้ยิน ถ้าเห็นยังไม่ดับไป ได้ยินก็เกิดไม่ได้ เพราะว่าสภาพรู้คือจิต ต้องเกิดขึ้นทีละหนึ่งขณะ เป็นธาตุรู้ทีละหนึ่ง เพราะฉะนั้นสิ่งที่กำลังปรากฏ ไม่พร้อมกันเลย ต้องทีละหนึ่ง แต่ปรากฏเร็วสุดที่จะประมาณได้ แล้วเราก็สงสัยว่ามีคนตั้งเยอะ มีดอกไม้ด้วย ทำไมเป็นอย่างนี้ ก็เพราะเหตุว่าสภาพธรรมแต่ละหนึ่งเกิดดับสืบต่อเร็วสุดที่จะประมาณได้ เหมือนนายมายากล คนที่ดูกล เขาเล่นกล คิดไม่ออกเลยใช่ไหม ว่าสิ่งนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร ก็เหมือนเดี๋ยวนี้ ทำไมแค่สีสันวรรณะ จะปรากฏเป็นดอกไม้ เป็นใบไม้ เป็นโต๊ะ เป็นเก้าอี้ เร็วยิ่งกว่านายมายากล เพราะฉะนั้นก็ต้องรู้ว่าทั้งหมด เป็นเพราะสภาพธรรมเกิดดับไม่ปรากฏ จนกว่าจะมีผู้ที่ทรงตรัสรู้ความจริง ที่ประจักษ์แจ้งการเกิดดับจริงๆ
เพราะฉะนั้นต้องอาศัยขั้นฟัง ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือเป็นพระโพธิสัตว์มาก่อน นานแสนนาน มีความเข้าใจค่อยๆ เพิ่มขึ้น จนกระทั่งถึงเวลาซึ่งตรัสรู้ความจริง เปลี่ยนเวลาให้เป็นเวลาอื่นได้ไหม ให้เป็นตอนเย็นได้ไหม ให้เป็นตอนค่ำได้ไหม ไม่ถึงเวลาที่จะรู้ก็รู้ไม่ได้ เพราะฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่างที่จะเกิด เกิดเมื่อปัจจัยพร้อมที่จะเกิด อย่างคนที่มานั่งฟังที่นี่ คิดมาก่อนไหม ว่าจะได้ยินคำนี้ ไม่รู้เลย แต่มาแล้วได้ยิน ไม่คาดฝันเลย ได้ยินแล้วก็หมดไป ทุกอย่างเดี๋ยวก็กลับบ้าน ไม่มีอะไรเหลือเลยสักอย่างเดียว เพราะฉะนั้นค่อยๆ ฟัง จนกระทั่งมีความมั่นคงว่า ธรรมเกิดดับ
ก่อนอื่นต้องเข้าใจเพื่อที่จะละคลายว่าไม่มีเรา ลองคิดคำสั้นๆ สิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามคือเดี๋ยวนี้ มีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา คำว่า ธรรมดา มาจากภาษาบาลี ธรรมตา ตา คือความเป็นไปของธรรม เกิดแล้วต้องดับ ไม่มีอะไรเลยซึ่งเกิดแล้วไม่ดับ เพราะฉะนั้นเมื่อสิ่งหนึ่งสิ่งใดมีความเกิดขึ้นและดับไปเป็นธรรมดา สิ่งนั้นจึงไม่ใช่ใคร และไม่ใช่ของใคร ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครด้วย เพราะฉะนั้นประโยคสั้นๆ สิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้ เกิดแล้วดับ แล้วไม่กลับมาอีกเลย ยังมีเหลือไหม ยังอยู่ไหม ยังติดข้องไหม แค่นี้ ความไม่รู้นำมาซึ่งความติดข้อง ก็คิดว่าสิ่งที่ปรากฏขณะนี้ เป็นอันเดียวกับอันก่อน แต่ความจริงไม่ใช่ อย่างเห็นขณะนี้ไม่ใช่ได้ยิน พอได้ยินดับ เห็นขณะใหม่เกิด ได้ยินขณะใหม่เกิด แต่ละหนึ่งเป็นแต่ละหนึ่ง ซึ่งดับไปแล้วไม่กลับมาอีก แต่สืบต่อกันเร็วสุดที่จะประมาณ เหมือนนายมายากล ถ้าไม่รู้อย่างนี้ เป็นปัญญาหรือเปล่า ถ้าไม่มีการฟังเป็นเบื้องต้น สามารถประจักษ์แจ้งการเกิดดับได้ไหม ก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำให้ปัญญาเกิดขึ้นตามลำดับขั้น ขั้นฟังต้องเข้าใจ ถ้าไม่เข้าใจเลย ไปไหนก็ไม่เข้าใจ
เพราะฉะนั้นจะไปสำนักปฏิบัติ ไม่รู้อะไรเลย จะรู้ไหมว่าสภาพธรรมเดี๋ยวนี้เองกำลังเกิดดับ และนี้เป็นสัจจธรรม ที่ไหนก็ตามแต่ สิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้น สิ่งนั้นดับไปเป็นธรรมดา แต่ปัญญาที่จะเข้าใจอย่างนี้ ต้องค่อยๆ เจริญขึ้นตามลำดับ ตั้งแต่ขั้นฟัง จนกระทั่งมีความเข้าใจมั่นคงเป็นสัจจญาณ ที่ใช้คำว่าเดี๋ยวนี้เอง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความจริง ให้คนที่ฟังแล้วประจักษ์แจ้ง เป็นท่านพระอัญญาโกณฑัญญะ เพราะประจักษ์ความจริงที่กำลังเกิดดับ แล้วก็เป็นหลายๆ ท่านที่ทรงแสดงไว้ว่า เพราะปัญญาที่เข้าใจในขณะที่เริ่มฟัง แล้วก็สามารถที่จะประจักษ์แจ้งถ้าได้อบรมความเข้าใจนั้นมั่นคงขึ้น เพราะฉะนั้นสำนักปฏิบัติคืออะไร ทุกคำต้องชัดเจน สำนักคืออะไร คุณคำปั่น
อ.คำปั่น กราบท่านอาจารย์ สำนักก็หมายถึงที่อยู่ธรรมดา ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดที่นั้นก็เป็นสำนักของผู้นั้น นี่คือความหมาย
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นอยู่บ้าน แล้วไปสำนักปฏิบัติ มีเหตุผลอะไร ไปทำไม อยู่บ้านก็เป็นธรรม ปัญญาจะเกิดก็เมื่อได้ฟังเข้าใจ และสามารถจะประจักษ์แจ้งด้วยปัญญาที่เข้าใจขึ้น ไม่ใช่ไม่เข้าใจอะไรเลย แล้วก็จะไปประจักษ์แจ้งการเกิดดับ ซึ่งกว่าปัญญาระดับนั้นจะเกิดขึ้น ถ้าฟังประวัติของอดีตสาวกแต่ละท่าน ท่านบำเพ็ญบารมีมากี่ชาติ นานเท่าไหร่ เพราะฉะนั้นคนไม่รู้ก็หลงคิดว่า จะดับกิเลสโดยการไม่รู้อะไร แต่เป็นไปได้ไหม ท่านอัญญาโกณฑัญญะ ฟังพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขณะนั้นเข้าใจหรือเปล่า ถ้าไม่เข้าใจสามารถที่จะรู้ความจริงได้ไหม เป็นไปไม่ได้เลย และแค่ความเข้าใจทำไมภิกษุอีก ๔ รูปไม่รู้ ในขณะที่ท่านพระอัญญาโกณฑัญญะรู้ก่อน เพราะการอบรมปัญญาไม่เท่ากัน
เพราะฉะนั้นใครสามารถที่จะฟังวันนี้ เข้าใจได้มากน้อยเท่าไหร่ก็เป็นแต่ละคน แต่ไม่สามารถจะประจักษ์ความจริง ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ว่าสิ่งนี้แหละเกิดแล้วก็ดับ เพราะฉะนั้นต้องมีความเข้าใจที่มั่นคงก่อน สิ่งนี้เกิดแล้วดับจริงไหม เพราะอะไร ถ้ามีความเข้าใจมั่นคงจริงๆ ต้องไปที่ไหนไหม ในเมื่อพร้อมเมื่อไหร่ ก็รู้เมื่อนั้น ถ้ายังไม่รู้ เด็กเข้าโรงเรียนวันแรก เขียนหนังสือได้ไหม แต่แต่ละคนจะเขียนได้เมื่อไหร่ เท่ากันไหม บางคนเขียนได้เร็วกว่าอีกคนหนึ่งใช่ไหม อ่านออกเร็วกว่าอีกคนหนึ่ง เพราะฉะนั้นแต่ละคนที่กำลังเข้าใจธรรม ทีละเล็กทีละน้อยก็เช่นเดียวกัน กว่าจะถึงขณะที่เข้าใจเพิ่มขึ้น คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุกคำเปลี่ยนไม่ได้ สิ่งหนึ่งสิ่งใดขณะนี้ปรากฏ เพราะเกิดขึ้น เกิดขึ้นและดับไป มีผู้ที่ประจักษ์แจ้งเป็นพระอริยสาวก ซึ่งเป็นสังฆรัตนะ ซึ่งเราเคารพกราบไหว้ พระพุทธรัตนะ พระธรรมรัตนะ และพระสังฆรัตนะ ไม่ใช่คนที่ไม่ได้รู้ความจริง แต่คนที่มีปัญญาประจักษ์แจ้ง รู้ตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงแล้ว ไม่ว่าจะเป็นคฤหัสถ์หรือเป็นบรรพชิต เป็นสังฆรัตนะ
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1261
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1262
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1263
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1264
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1265
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1266
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1267
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1268
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1269
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1270
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1271
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1272
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1273
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1274
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1275
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1276
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1277
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1278
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1279
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1280
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1281
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1282
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1283
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1284
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1285
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1286
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1287
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1288
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1289
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1290
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1291
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1292
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1293
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1294
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1295
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1296
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1297
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1298
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1299
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1300
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1301
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1302
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1303
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1304
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1305
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1306
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1307
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1308
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1309
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1310
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1311
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1312
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1313
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1314
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1315
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1316
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1317
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1318
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1319
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1320
