ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1295
ปกิณณกธรรม ตอนที่ ๑๒๙๕
สนทนาธรรม ที่ กรมยุทธบริการทหาร
วันที่ ๓๐ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๖๑
ท่านอาจารย์ แต่สิ่งที่ติดข้องไม่เหลือ แต่ความติดข้องยังอยู่ที่จะติดข้องต่อไปอีก สิ่งที่ติดข้องไม่มีให้ติดข้องอีกต่อไป รู้อย่างนี้ก็ยังติดข้องในสิ่งที่กำลังมี เพราะไม่รู้
ผู้ฟัง แม้แต่รู้อย่างนี้เข้าใจอย่างนี้ ก็ยังติดข้อง
ท่านาอาจารย์ ก็นี่อย่างไร คุณนิรันดร์นั่งอยู่ตรงนี้ไม่ติดข้องหรือ ใครนั่งอยู่ตรงนี้
ผู้ฟัง แล้วตราบใดที่จะไม่ติดข้อง
ท่านอาจารย์ ไม่มีเราแต่มีธรรม ซึ่งเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ถ้าคุณนิรันดร์เห็นไฟไหม้หญ้าเดือดร้อนไหม
ผู้ฟัง ไม่เดือดร้อน
ท่านอาจารย์ เพราะหญ้าไม่ใช่คุณนิรันดร์
ผู้ฟัง ใช่
ท่านอาจารย์ แต่ถ้าเป็นคุณนิรันดร์ เดือดร้อนไหม
ผู้ฟัง เดือดร้อนมาก
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้เป็นคุณนิรันดร์หรือเปล่า
ผู้ฟัง ใช่ เป็นผม
ท่านอาจารย์ ก็เดือดร้อนไป เพราะฉะนั้นเมื่อเป็นธรรมซึ่งเกิดแล้วดับ ไม่ว่าจะเป็นอะไรทั้งสิ้น ก็ไม่ใช่เรา เมื่อไม่ใช่เรา แล้วจะเดือดร้อนไหม
ผู้ฟัง ไม่เดือดร้อน นี่ผมก็ไม่ต้องไปแสวงหาวิธีที่จะดับความติดข้อง ความเพลิดเพลินในชีวิตเลย
ท่านอาจารย์ ทำได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้เลย
ท่านอาจารย์ เพราะอะไรไม่ได้
ผู้ฟัง เพราะว่าเป็นอนัตตา บังคับบัญชาไม่ได้
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นคำว่าอนัตตาก็แสดงอยู่แล้วว่า ไม่ใช่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร ไม่ใช่ใคร แล้วยังจะคิดจะไปทำอะไร
ผู้ฟัง ถ้าจะละติดข้องความเพลิดเพลินได้ ก็ด้วยความเข้าใจความจริง
ท่านอาจารย์ ความไม่รู้จะหมดไปได้ ก็ต่อเมื่อมีความรู้ เพราะไม่ใช่เรา แต่ความรู้นั่นต่างหากที่ละความไม่รู้
ผู้ฟัง การมาฟังธรรมคือหนทางเดียว ที่จะนำไปสู่การที่จะดับการติดข้อง แล้วก็ไม่เกิดอีกเลย
ท่านอาจารย์ ที่จะรู้ความจริง
ผู้ฟัง ที่จะรู้ความจริง
ท่านอาจารย์ แล้วที่รู้ความจริง สภาพรู้ความจริงก็ไม่ใช่เรา เป็นธรรมที่เข้าใจถูกตามความเป็นจริง ทุกอย่างไม่เว้นเลย เป็นธรรมคือสิ่งที่มีจริง เกิดได้เมื่อมีเหตุปัจจัย และต้องเป็นไปตามเหตุปัจจัย ที่ทำให้เกิดเท่านั้น ไม่เป็นอย่างอื่น
ผู้ฟัง นี่คือจุดประสงค์ในการฟังธรรม ที่จะเพื่อเข้าใจความจริง
ท่านอาจารย์ ว่า
ผู้ฟัง ว่าสิ่งต่างๆ ที่ปรากฏขณะนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่สัตว์
ท่านอาจารย์ ถูกต้อง จริงไหม
ผู้ฟัง จริง
ท่านอาจารย์ ค่อยๆ เข้าใจไปทีละเล็กทีละน้อย จนมั่นคงกว่าจะเป็นสัจจญาณ เป็นปริยัติไม่ใช่แค่ฟัง รอบรู้ในคำที่กล่าวถึงความจริง สอดคล้องกันทั้งหมด กว่าจะถึงปฏิปัตติซึ่งเป็นกิจจญาณ ถ้าไม่มีความรู้อย่างนี้เลย อะไรจะปฏิบัติอะไร ก็ความไม่รู้ต่างหาก ที่ทำความไม่รู้ให้เพิ่มขึ้น ไตร่ตรองแล้วจริงไหม ผิดหรือถูกนั่นคือเข้าใจ ทุกอย่างไม่เว้นเลยเป็นธรรมเพราะอะไร ธรรมคือสิ่งที่มีจริง ความสุขก็มีจริง ความโกรธก็มีจริง ความริษยาก็มีจริง ความสำคัญตนก็มีจริง ทุกอย่างที่มีจริงเป็นความจริง และก็เป็นสิ่งนั้นไม่เป็นอย่างอื่น โกรธเป็นโกรธ โกรธจะเป็นอะไรไม่ได้ โกรธจะเป็นเราก็ไม่ได้ โกรธจะเป็นของเราก็ไม่ได้ จะบังคับบัญชาก็ไม่ได้ นี่คือความหมายของธรรมคือสิ่งที่มีจริง ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อมีเหตุปัจจัย แล้วก็ต้องเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย มีเหตุปัจจัยที่จะให้เพียงแค่ขุ่นใจ เห็นฝุ่น กับมีเหตุปัจจัยที่จะให้โกรธมากก็ต้องต่างกัน เพราะฉะนั้นทุกอย่างก็เกิดขึ้นเป็นไปตามปัจจัย
ผู้ฟัง ผมก็ยังมีความเข้าใจไม่เพียงพอ เกี่ยวกับสัจจญาณ กิจจญาณ และกตญาณ
ท่านอาจารย์ สัจจะคือความจริง ปัญญาคือความรู้ถูกต้อง ความเห็นถูกต้อง เพราะฉะนั้นรู้ถูกต้องในความจริง ที่มีจริงตามความเป็นจริง การที่จะรู้ความจริงมีหลายระดับขั้น เพียงแต่รู้ว่าเดี๋ยวนี้มีสิ่งที่เกิดขึ้น จึงมีได้ แค่นี้ไม่พอใช่ไหม
ผู้ฟัง ไม่พอ
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นความรู้ของแต่ละคนก็ต่างกัน ความรู้ถึงที่สุดคือความรู้ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ใครจะรู้อย่างพระองค์ได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ ไม่มีทาง เพราะฉะนั้นถ้าจะเริ่มรู้ว่าพระองค์คือใคร และปัญญาที่เหนือบุคคลใดทั้งสิ้นในสากลจักรวาล เป็นอย่างไร จะรู้ได้อย่างไร
ผู้ฟัง ก็ต้องฟังคำของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
ท่านอาจารย์ ต้องฟังคำของพระองค์ ฟังคำของใคร จึงสามารถที่จะรู้ว่าบุคคลที่กล่าวคำนั้น มีความรู้มีความเข้าใจระดับไหน เพราะฉะนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ให้ใครไปทำอะไรเลย แต่ว่าเมื่อสิ่งที่มีจริงกำลังปรากฏ ก็ให้เริ่มเข้าใจถูกต้องในความจริง ซึ่งพระองค์ได้ประจักษ์แจ้ง นี่คือความต่างแล้วใช่ไหม กับคนที่เพียงฟังกับการประจักษ์แจ้ง เพราะฉะนั้นขั้นฟังก็ทำให้สามารถที่จะรู้ได้ว่า ปัญญาของผู้ที่กล่าวคำนี้ ต้องมาจากการประจักษ์ความจริง ไม่ใช่เพียงแต่คิด เพราะว่าความคิดเปลี่ยนแปลงได้ แต่ว่าสิ่งที่ได้ฟัง สามารถที่จะเข้าใจถึงที่สุด เพราะฉะนั้นคำกล่าวของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตลอด ๔๕ พรรษา เป็นสิ่งที่มีจริงที่ปรากฏกับคนที่ไม่รู้เลย แล้วก็เริ่มค่อยๆ เข้าใจขึ้นทีละเล็กทีละน้อย จนนำไปสู่ความเข้าใจที่เพิ่มขึ้นมากขึ้นตามลำดับขั้น เพราะเหตุว่าชีวิตของทุกคนที่เกิดมา เห็นแล้วก็คิดถึงสิ่งที่เห็น บังคับไม่ได้ใช่ไหม ได้ยินอะไรก็คิดถึงคำที่ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ทั้งวันทั้งเดือนทั้งปี ไม่ได้คิดเรื่องอื่นเลย นอกจากคิดเรื่องที่ปรากฏนี่แหละ เป็นเรื่องเป็นราวต่างๆ โดยไม่รู้ความจริงว่าแท้ที่จริงแล้ว ขณะนั้นไม่ใช่เรา แต่พอฟังแล้วเริ่มพิจารณาไตร่ตรอง เข้าใจขึ้นนิดเดียว น้อยมาก แต่ผู้ที่ตรัสคำนี้ประจักษ์แจ้งความจริงทุกประการถึงที่สุด จากคำที่พระองค์ได้ตรัสไว้ ๔๕ พรรษา โดยนัยประการต่างๆ ที่จะทำให้คนที่ไม่เข้าใจ ได้เริ่มค่อยๆ เข้าใจขึ้นตามลำดับขั้นของการที่ได้ฟังคำที่เพิ่มขึ้น จากคำเพียงคำเดียว คือคำว่าธรรม มีจริงแน่นอน แล้วก็ยังแสดงว่าสิ่งที่มีจริงต่างกันจริงๆ เป็น ๒ อย่าง คืออย่างหนึ่งมี แม้ไม่เห็นก็มีใช่ไหม
ผู้ฟัง ใช่
ท่านอาจารย์ แต่สิ่งนั้นไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย เพราะฉะนั้นธรรมนั้นเป็นอย่างนั้น ใครเปลี่ยนแปลงไม่ได้เลย ธรรมซึ่งเกิดขึ้นต้องเป็นไปตามความเป็นจริง เป็นปรมัตถธรรม เพราะเหตุว่าไม่มีใครสามารถเปลี่ยนลักษณะนั้นได้ ปรม ใหญ่ยิ่ง อัตถะ ลักษณะความเป็นจริงของธรรมนั้น ใครเปลี่ยนไม่ได้ เพราะฉะนั้นไม่ว่าฟังคำใดก็ตาม ภาษาไทย เราก็บอกว่าสิ่งที่มีจริง เป็นจริงอย่างนั้น ใครไม่สามารถจะเปลี่ยนความจริงนั้นได้ ก็คือความหมายของคำว่าปรมัตถธรรม อีกภาษาหนึ่ง แล้วก็สิ่งที่มีจริง ถ้าไม่เกิดจะมีไหม ก็ไม่มีใช่ไหม แต่เกิดแล้วก็ไม่ได้มีอยู่ตลอดไป เปลี่ยนไปโดยที่ว่าไม่มีใครรู้เลย เพราะเหตุว่าเป็นไปอย่างรวดเร็วยิ่ง ผู้ที่ตรัสคำนี้โดยไม่ประจักษ์แจ้ง จะกล่าวคำนี้ได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ ไม่ได้ เพราะฉะนั้นก็เห็นปัญญาที่ต่างระดับแล้วใช่ไหม คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงความจริงถึงที่สุดว่า ใครจะรู้หรือไม่รู้สิ่งนี้เป็นอย่างนี้ เพราะคนนั้นสามารถจะเพิ่มความเข้าใจขึ้น เมื่อได้ฟังคำจากผู้ที่ได้ทรงตรัสรู้ ทรงแสดงตามลำดับของแต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง ให้มีความเข้าใจละเอียดขึ้นเพิ่มขึ้นว่า เป็นสิ่งซึ่งไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร ทั้งหมดธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ไม่เว้นเลยสักอย่างเดียว เพราะฉะนั้นก็ทรงแสดงความจริง ให้เริ่มเข้าใจในความเป็นอนัตตา คือไม่ใช่อัตตา ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง คนฟังก็ต้องฟังตามลำดับ ในภาษาของตนของตน เริ่มจากธรรมสิ่งที่มีจริง เป็นปรมัตถธรรมลึกซึ้งอย่างยิ่ง ยากที่จะรู้ได้ว่าขณะนี้สิ่งที่เกิดขึ้นดับเร็วสุดที่จะประมาณได้ แต่สามารถจะรู้ได้ เพราะฉะนั้นความลึกซึ้งอย่างนั้นก็เป็นอภิธรรม ก็หมายความว่าธรรมนั่นแหละ เป็นปรมัตถธรรม เป็นอภิธรรมด้วย เพราะฉะนั้นถ้าได้ยินคำว่าอภิธรรม แต่ไม่รู้ว่าคือสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ที่ลึกซึ้งอย่างยิ่ง ซึ่งใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ก็ไม่สามารถที่จะเข้าใจคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่แต่ละคำที่ได้ยิน ทำให้ไตร่ตรองว่าจริงไหม เพราะว่าพระองค์ทรงแสดงธรรมโดยนัยหลากหลาย โดยนัยของพระสูตร ไม่ได้กล่าวถึงความละเอียดยิ่งของจิตแต่ละหนึ่งขณะ ใช้คำว่าจิต คนทั่วไปก็บอกว่ามีจิตถูกต้องไหม แต่บอกได้ไหมว่าจิตเป็นอย่างไร ไม่มีทางเลย ไม่มีทาง เพราะไม่ได้ประจักษ์แจ้งลักษณะของจิต เพราะฉะนั้นพูดถึงจิตเท่าที่จะคิดว่าจิตคืออะไร แต่ว่าลักษณะที่ประจักษ์แจ้งได้ คือการเกิดขึ้นและดับไปของจิตโดยนิมิตตะ เพิ่มมาแต่ละคำแต่ละคำ ก็ทำให้เราสามารถที่จะรู้ว่า สิ่งที่ถูกปิดบังไว้ไม่รู้เลย หนาแน่นมากมืดทึบ จนกว่าจะมีคำแต่ละคำ ที่ค่อยๆ เหมือนแสงสว่างที่ส่องให้เห็นสิ่งที่มีในขณะนี้ตามความเป็นจริง
เพราะฉะนั้นก็จะเห็นได้ มีจิตก็ไม่รู้ว่าจิตเป็นอะไร โกรธก็ไม่รู้ว่าโกรธเป็นอะไร มีทรัพย์สมบัติก็ไม่รู้มาจากไหน เสื่อมลาภเสื่อมยศก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ทุกสิ่งทุกอย่างไม่รู้เลยว่าคืออะไร และเป็นอย่างนั้นเพราะอะไร จนกว่าจะได้ฟังผู้ที่ทรงตรัสรู้ ไม่ใช่แค่คิด เพราะว่าแสดงความจริงของทุกอย่าง อย่างละเอียดยิ่งโดยนัยของอภิธรรม กล่าวถึงสิ่งที่มีจริงที่หลากหลาย สภาพธรรมที่มีแต่ไม่รู้ เกิดขึ้นแล้วดับไป แล้วไม่กลับมาอีกสักอย่างเดียวเป็นรูปธรรม เพราะฉะนั้นที่เห็นโต๊ะ เหมือนกับว่าโต๊ะยังอยู่ ห้องยังอยู่ คนยังอยู่ ทุกอย่างยังอยู่ เพราะถูกปิดบังด้วยความไม่รู้ความจริงในระดับขั้นของการตรัสรู้ ถึงคิดก็คิดไม่ได้ทั่วถึงโดยละเอียดอย่างยิ่ง แต่คำของพระองค์ทุกคำ กล่าวถึงทุกสิ่งอย่างละเอียดยิ่ง ที่ว่าเป็นคน ที่ว่าเป็นนก ต่างกันตรงไหน
ผู้ฟัง สิ่งที่ปรากฏแล้ว
ท่านอาจารย์ นกก็มี งูก็มี คนก็มี แต่ก็ไม่รู้ ไม่รู้อะไรสักอย่างเดียว เพราะฉะนั้นถ้าถามเพียงแค่ว่า คน นก งู ต่างกันตรงไหน
ผู้ฟัง ต่างกันตรงสีที่ปรากฏบ้าง เสียงที่ได้ยินบ้าง
ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีรูปร่างสัณฐานปรากฏให้เห็น จะบอกได้ไหมว่านกหรืองูหรือคน
ผู้ฟัง บอกไม่ได้
ท่านอาจารย์ บอกไม่ได้ เพราะฉะนั้นเห็นเป็นนกหรือเปล่า
ผู้ฟัง เห็นไม่ใช่นก
ท่านอาจารย์ เห็นเป็นเห็น ใช่ไหม แต่รูปร่างสีสันต่างๆ ที่ปรากฏ ทำให้คิดว่านกเห็น แต่ความจริงเห็นเป็นเห็น สีสันวรรณะที่หลากหลายต่างๆ ต่างหากที่ทำให้คิดและก็จำว่านั่นเป็นอะไร นี่เป็นอะไร ความจริงที่ปรากฏเปลี่ยนไม่ได้ แต่เปลี่ยนชื่อได้ใช่ไหม แต่ละภาษา เรียกสิ่งเดียวกันต่างกันไป แต่เปลี่ยนลักษณะของสิ่งที่ปรากฏไม่ได้ เพราะฉะนั้นพระองค์ทรงแสดงไว้ชัดเจนว่าแต่ละหนึ่งขณะจิตที่เกิดแล้วดับไป และมีจิตซึ่งเกิดสืบต่อใช้คำว่าจิต ที่ชาวบ้านทั่วๆ ไปเข้าใจ แต่ว่าถ้าละเอียดก็คือว่า สิ่งที่มีจริงไม่มีรูปร่างใดๆ เลยทั้งสิ้น แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้ว ต้องรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใด ไม่รู้ไม่ได้ เพราะฉะนั้นธรรมที่ต่างกัน ก็คือธรรมที่เกิดมีจริง แข็ง อ่อน เย็น ร้อน แต่ไม่รู้อะไรเป็นรูปธรรม คำว่ารูปธรรม หมายความว่าธรรมที่ไม่ใช่สภาพรู้ แต่ว่าต่อไปก็จะมีความละเอียดของคำนี้อีก ซึ่งต้องเข้าใจตามลำดับ แต่ที่เปลี่ยนแปลงความเข้าใจ หรือความถูกต้องไม่ได้ ก็คือว่าหนึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นไม่รู้อะไร ใช้คำว่ารูปธรรม หมายให้รู้ว่าหมายความถึงสิ่งที่เกิดมีจริงแต่ไม่รู้อะไร แต่ถ้าโลกนี้มีแต่รูปธรรม อะไรอะไรก็ปรากฏไม่ได้ แต่ใครจะยับยั้งไม่ให้ธาตุรู้เกิดขึ้น มีจริง เมื่อเกิดขึ้นต้องรู้ ไม่รู้ไม่ได้
เพราะฉะนั้นที่เราว่ารู้ ก็คือเห็นทางตา ไม่ต้องเรียกอะไรเลยทั้งสิ้น แต่มีสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น เพราะฉะนั้นการเห็นนั่นแหละเป็นการรู้ทางตา ที่มีสิ่งนี้กำลังปรากฏ แต่สิ่งที่ไม่ใช่ธาตุรู้ แม้อยู่ที่นี่ก็ไม่รู้ แต่พอธาตุรู้เกิด เห็นเลยว่าสิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นอย่างนี้ แค่นี้เคยคิดบ้างไหม ในวันหนึ่งวันหนึ่งเกิดมาจนตายก็ไม่เคยคิดไม่เคยรู้เลย แต่ว่าถ้ามีผู้ที่ทรงตรัสรู้ มีโอกาสที่จะได้ยินได้ฟัง แล้วมีความเข้าใจถูกต้องว่า แท้ที่จริงไม่มีอะไร นอกจากสิ่งที่ต้องเกิดตามเหตุตามปัจจัย เกิดก็เลือกไม่ได้ ตายก็เลือกไม่ได้ เห็นชัดไหมว่าไม่ใช่เราที่จะบังคับบัญชาอะไรได้ และระหว่างที่ยังไม่ตายก็เลือกไม่ได้อีกว่า จะเห็น หรือจะได้ยิน หรือจะคิด หรือจะสุข หรือจะทุกข์ ทั้งหมดคือสิ่งที่มีจริงแน่นอน เพราะเกิดแล้วเป็นไปแล้ว ตามเหตุตามปัจจัยแต่ไม่รู้
เพราะฉะนั้นคำที่ได้ฟังก็รู้ได้เลยว่า ทุกคำไม่ใช่เพียงจากผู้ที่ไตร่ตรองและคิด แต่ต้องเป็นการประจักษ์แจ้ง จึงตรัสไว้ในสิ่งที่ผู้ที่สามารถที่จะเข้าใจยิ่งขึ้น ละคลายความไม่รู้ สิ่งที่กำลังปิดบังความจริงก็ค่อยๆ หมดไป สภาพธรรมขณะนี้ จึงปรากฏการเกิดขึ้นและดับไปได้ เพราะเป็นความจริง เพราะฉะนั้นก็เริ่มรู้ว่ามีผู้ที่ตรัสรู้ เพราะฉะนั้นก็ไปบังคับใครให้ฟังก็ไม่ได้ แล้วแต่การสะสมของแต่ละธาตุว่า สนใจรู้ประโยชน์รู้คุณค่าของการที่เกิดมา แล้วก็จากโลกนี้ไปโดยไม่รู้อะไรเลยทั้งสิ้น แล้วก็ต้องเป็นอย่างนี้ โดยเป็นธรรมซึ่งไม่ใช่เรา แต่ก็หลงยึดว่าเป็นเรา เพราะฉะนั้นมีธรรม มั่นคงหรือยัง เข้าใจถ่องแท้หรือยังว่าเป็นธรรม แค่นี้ไม่พอใช่ไหม จึงต้องฟังต่อไป ธรรมที่ไม่รู้เป็นรูปธรรม แต่ก็มีธาตุรู้ซึ่งเป็นนามธรรม แค่นี้พอไหม
ผู้ฟัง ไม่พอ
ท่านอาจารย์ ยังไม่ได้ละความเป็นเราเลย ก็ยังเป็นเราเห็น ต้องแสดงให้ละเอียดขึ้น แม้แต่ขณะนี้ที่เห็นเป็นธาตุที่เกิดขึ้น จะใช้คำว่าจิตก็ได้ คำที่เราคุ้นหู จะใช้คำว่าวิญญาณก็ได้ จะใช้คำว่ามโนก็ได้ จะใช้คำว่ามานัสก็ได้ แต่มีอีกคำหนึ่งซึ่งไม่ชินหูคือปัณฑระ หมายเฉพาะจิตซึ่งเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งสิ่งที่ปรากฏ ซึ่งขณะนี้เราไม่รู้เลยว่า ไม่ใช่เราแต่เป็นจิต และก็ยังไม่รู้ต่อไปอีกว่า จิตนี้เกิดไม่ได้ถ้าไม่มีธาตุรู้ซึ่งปรุงแต่งอาศัยกันและกันเกิดขึ้น แต่ธาตุรู้นั้นไม่ใช่จิต แต่เกิดพร้อมกันและดับพร้อมกัน หลากหลายมาก เป็นประเภทต่างๆ ๕๒ ประเภท สภาพนั้นก็คือเจตสิก เพราะฉะนั้นแม้เกิดพร้อมกัน เป็นธาตุรู้ด้วยกัน ก็ยังต่างกัน เพราะจิตไม่ใช่เจตสิก และเจตสิกก็ไม่ใช่จิต ค่อยๆ รู้ขึ้น แล้วก็ค่อยๆ เข้าใจว่า จริงไหม จนกว่าสามารถที่จะเห็นความจริง คือการเกิดดับในขณะนี้ได้ แต่ไม่ใช่เพียงปัญญาที่เพียงเริ่มเข้าใจนิดๆ หน่อยๆ ต้องมากกว่านี้มาก เพราะแค่นี้เป็นการฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นปริยัติหรือยัง รอบรู้ทั่วถึงหรือยังว่าในขณะนี้ที่มีคำกล่าวว่า ถ้าไม่มีตาก็ไม่เห็น
เพราะฉะนั้นตาต้องเกิด ถ้าไม่มีสิ่งที่กระทบตาได้ จะปรากฏว่ามีสิ่งนั้นได้ไหม ถ้าไม่มีจิตเกิดขึ้นเห็น สิ่งนี้จะไม่ปรากฏเลย เพราะฉะนั้นคนตาบอดไม่รู้เลยว่า มีอีกโลกหนึ่ง ซึ่งเป็นสีสันวรรณะต่างๆ เป็นสัณฐานต่างๆ ทำให้เกิดการจำว่าสิ่งนั้นเป็นอะไร เพราะฉะนั้นแค่ได้ยินว่าเห็น เท่านั้นไม่พอ ใช่ไหม ที่จะรู้ว่าไม่ใช่เรา บังคับบัญชาไม่ได้ แต่ยังต้องแสดงความจริงว่าทั้งหมด ตาที่เกิดขึ้นต้องยังไม่ดับไป ยังคงเป็นปัจจัยที่จะให้สิ่งที่กระทบตาได้กระทบ ทั้งสองอย่างเกิดและยังไม่ดับไป จึงเป็นปัจจัยให้จิตเกิดขึ้น เห็นแล้วก็ดับไป และเจตสิกที่เกิดกับจิตปรุงแต่งให้ธาตุรู้เกิดขึ้น ซึ่งไม่ใช่จิตก็มี ในขณะนั้นเกิดพร้อมกับจิตเห็น ๗ ประเภท ละเอียดอย่างยิ่งคือเดี๋ยวนี้เอง อภิธรรม ถ้าไม่ใช่การตรัสรู้จริงๆ ไม่สามารถที่จะกล่าวคำอย่างนี้ได้เลย เพราะฉะนั้นแต่ละคำที่ได้ฟัง ก็รู้ว่าฟังคำของใคร และคำอื่นที่ไม่ใช่คำที่กล่าวถึงสิ่งที่มีจริง ก็ไม่ใช่คำของผู้ที่รู้จริง เพียงแต่บอกให้อย่าโกรธ อย่าโลภ ให้ไปนั่ง นอน ยืน เดิน แล้วก็จะรู้ความจริง แล้วก็รู้เอง อย่างนั้นถูกต้องไหม
ผู้ฟัง ไม่ถูก
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเมื่อฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงรู้ว่าไม่มีผู้ใดเปรียบกับพระองค์ได้เลย ในพระปัญญาคุณ ในพระบริสุทธิคุณ เพราะสามารถที่จะดับกิเลสทั้งหมดและความไม่รู้ ซึ่งเป็นเหตุของกิเลสนั้นๆ ไม่เหลือเลย และทรงพระมหากรุณาคุณ ถ้าไม่มีพระมหากรุณาคุณ ขณะนี้เราจะไม่ได้ยินคำที่กำลังได้ฟังเลย เพราะฉะนั้นเป็นผู้รู้คุณ กตัญญู กล่าวคำจริงเมื่อไหร่ เป็นการรู้คุณของความจริงของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กตเวที ดำรงรักษาคำที่พระองค์ได้ทรงพระมหากรุณา ให้ความไม่รู้ของเราที่มีก่อนที่จะได้ฟังธรรม ค่อยๆ หมดไป เพราะฉะนั้นก็เข้าใจในความหมายของคำว่าบุพการี กตัญญูกตเวที เพราะฉะนั้นขณะใดก็ตาม ที่ได้ฟังความจริงเพียงเท่านี้ เห็นคุณหรือยัง ไม่มีทางที่จะรู้อะไรเลยจนตาย ถ้าไม่ได้ฟังคำของพระองค์ และถ้ายิ่งฟังกว่านี้มากกว่านี้ จะเข้าใจมากกว่านี้ เห็นคุณมากกว่านี้ด้วย และความไม่รู้ก็จะค่อยๆ ลดน้อยลง ในขณะที่ค่อยๆ มีความรู้ขึ้น จนกว่าความไม่รู้จะหมดไป
ผู้ฟัง เพราะฉะนั้นการที่จะถึงสัจจญาณได้ ไม่ใช่รู้นิดๆ หน่อยๆ แต่ต้องเป็นความเข้าใจจริงๆ
ท่านอาจารย์ เราก็ข้ามไปถึงญาณ ตอนนี้เป็นญาณหรือยัง เพราะว่าปัญญามีหลายระดับขั้น ถ้าไม่ใช้หลายๆ คำ เราจะรู้ไหมว่าปัญญาต่างขั้นระดับไหน จึงมีคำที่กล่าวถึงปัญญา เช่นปริยัติ คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกคำเป็นปัญญา เพราะฉะนั้นทุกคำที่ได้ฟังแล้วเข้าใจจนรอบรู้ ไม่ใช่งูๆ ปลาๆ ผิดๆ ถูกๆ นั่นคือความประมาทอย่างยิ่ง ซึ่งข้อความในพระไตรปิฎก พระผู้มีพระภาคตรัสว่า คนที่เป็นเถระ มีชื่อเสียงมีผู้นับถือมากแต่เข้าใจผิด ผู้นั้นไม่เป็นประโยชน์และทำลายตนเอง และทำลายผู้อื่นด้วย เมื่อกล่าวคำไม่จริง เพราะฉะนั้นแต่ละคำของพระองค์ ก็เป็นสิ่งซึ่งไม่มีทางที่ใครที่จะปฏิเสธ หรือกล่าวว่าไม่จริงได้ เพราะเหตุว่าความลึกซึ้งของธรรม แสดงให้เห็นว่าประมาทไม่ได้เลย ต้องไตร่ตรอง ต้องละเอียด ต้องสอดคล้องกันทั้งหมด ธรรมเป็นสิ่งที่มีจริงเป็นอนัตตา ตลอดไป ถ้าเมื่อไหร่เกิดการคิดที่จะทำ คิดว่าทำได้ นั่นคือไม่ได้เข้าใจคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นผู้ที่ประมาท เพราะว่าคิดว่าได้เรียนแล้ว ได้มีการเข้าใจคำแปลของคำนั้นคำนี้ แต่พระธรรมไม่ใช่คำแปลแต่มีจริง แต่ต้องอาศัยคำในภาษาต่างๆ ที่เข้าใจกันได้ ให้รู้ว่าคำนั้นๆ หมายความถึงอะไร เช่น ธรรมคือสิ่งที่มีจริงมี ๒ อย่าง สภาพธรรมที่มีจริงเกิดขึ้น แต่ไม่รู้อะไร เป็นรูปธรรม นี่คือภาษาไทย
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1261
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1262
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1263
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1264
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1265
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1266
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1267
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1268
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1269
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1270
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1271
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1272
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1273
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1274
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1275
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1276
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1277
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1278
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1279
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1280
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1281
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1282
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1283
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1284
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1285
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1286
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1287
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1288
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1289
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1290
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1291
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1292
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1293
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1294
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1295
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1296
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1297
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1298
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1299
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1300
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1301
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1302
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1303
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1304
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1305
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1306
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1307
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1308
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1309
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1310
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1311
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1312
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1313
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1314
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1315
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1316
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1317
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1318
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1319
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1320
