ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1288


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ปกิณณกธรรม ตอนที่ ๑๒๘๘

    สนทนาธรรม ที่ ครัวอิ่มสุข จ.ฉะเชิงเทรา

    วันที่ ๒๕ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๖๑


    ท่านอาจารย์ แต่ถ้าแยกย่อยสิ่งซึ่งรวมกัน เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดออกแต่ละ ๑ จะเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดไม่ได้ เป็นอนัตตา ไม่ใช่สิ่งใดสิ่งหนึ่งอีกต่อไป ดอกไม้ดอกเดียว แตกย่อยได้ไหม ละเอียดยิบแล้วเป็นดอกไม้หรือเปล่า แต่ละ ๑ ส่วน ไม่ใช่เลยใช่ไหม แข็ง อ่อน เย็นร้อน ตึง ไหว สีต่างๆ กลิ่นต่างๆ รสต่างๆ แต่ละ ๑ แยกละเอียดยิบ ยังไม่รวมกันก็จะไม่ปรากฏว่าเป็นดอกไม้ หรือสิ่งหนึ่งสิ่งใดเลย แม้แต่ละคนที่นั่งอยู่ตรงนี้ แตกย่อยได้ไหม ละเอียดยิบเลย แล้วตอนที่แตกย่อยละเอียด เป็นแต่ละ ๑ เล็กๆ เป็นคนหรือเปล่า ก็ไม่ใช่ แต่เป็นธรรม คือสิ่งที่มีจริงแต่ละ ๑ เพราะฉะนั้นฟังธรรมเพื่อเข้าใจถูกต้อง และยิ่งฟังก็ยิ่งรู้ความจริงถูกต้องขึ้น เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง จากการที่ไม่เคยรู้มาเลยว่าสิ่งที่เกิดคืออะไร และสิ่งที่แก่ที่เจ็บที่ตายแล้วทุกวันที่ปรากฏคืออะไร ลองตอบสิ เห็นไหมฟังเหมือนจะเข้าใจ พอจะเข้าใจ แต่เครื่องทดสอบว่าที่ฟังมาแล้วทั้งหมด ตอบแค่คำถามคำเดียวว่าคืออะไร ธรรม ถูกต้อง นี่คือความเข้าใจธรรมตั้งแต่เริ่มต้น ก็ขอเป็นคำถามทบทวน จะตอบดังๆ จะตอบในใจก็ได้ แต่ขอให้ตอบเพราะว่าฟังแล้ว คำถามก็คือว่าเดี๋ยวนี้มีธรรมไหม เก่งมากเลย ถูกต้อง เป็นพุทธศาสนาที่ชาวพุทธเริ่มเข้าใจ ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีจริง เว้นได้ไหมที่จะไม่เป็นธรรม ไม่ได้เลย เพราะว่าสิ่งที่มีจริงภาษาไทยก็มีจริง แล้วจะไปไม่มีจริงได้อย่างไร เพราะฉะนั้นทุกอย่างตรงชัดเจนมั่นคงไม่เปลี่ยน เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้ มีคนไหม ไม่มีคน แต่มีแต่ธรรมถึงจะถูก เพราะเรายืนยันแล้ว เพราะว่าธรรมเป็นอนัตตา ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดเลย ไม่มีใครเป็นเจ้าของด้วย เห็นเป็นเห็นได้ยินเป็นได้ยิน ถ้าเห็นไม่เกิดจะมีเราเห็นไหม แต่พอเห็นเกิดไม่รู้ความจริง ก็เข้าใจว่าเป็นเรา ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า สามารถแตกย่อยทำลายได้ เพราะมีอากาศธาตุ อากาศธาตุคือสิ่งที่มีจริงที่เป็นช่องว่าง ไม่มีอะไรที่จะกระทบได้ อากาศเราเข้าใจกันอยู่แล้วใช่ไหม มีจริงๆ ซึมซาบอยู่ทั่วกาย อย่างละเอียดยิบ จึงสามารถที่จะทำให้ทั้งตัว แตกย่อยออกไปอย่างละเอียด ไม่ว่าจะเป็นโต๊ะ เป็นเก้าอี้ เป็นอะไรก็ตามทั้งหมด รูปใดๆ สิ่งที่มีจริงที่มองเห็น เป็นสีสันวรรณะ หรือว่ากระทบสัมผัสอ่อนหรือแข็ง ขณะนั้นก็เป็นแต่ละ ๑ ใช่ไหม ถ้ากระทบสัมผัสแข็ง แต่ถ้ามองเป็นสีสันวรรณะต่างๆ สีสันวรรณะแข็งหรือเปล่า ไม่แข็ง เพราะฉะนั้นเป็นรูปแต่ละ ๑

    เพราะฉะนั้นที่เราบอกว่า ร่างกายของเราก็คือธรรมที่มีจริง สภาพธรรมใดที่มีจริง แต่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลยทั้งสิ้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบัญญัติ รวมเรียกสภาพธรรมเหล่านั้นรูปธรรม เพราะฉะนั้นแข็งมีจริง เป็นรูปธรรม เย็นมีจริงเป็นรูปธรรม หวานก็มีจริงไม่รู้อะไร สภาพที่ไม่รู้ทั้งหมดเป็นรูปธรรม ที่ตัวมีไหม มี กระทบสัมผัสแข็งเป็นเราหรือเป็นแข็ง เป็นแข็ง เริ่มตรงและเริ่มเข้าใจคำว่าอนัตตา หมายความว่ารู้ความจริง ของสิ่งที่หลงเข้าใจผิดว่าเป็นเรา หรือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ซึ่งภาษาบาลีใช้คำว่าอัตตา แต่ความจริงไม่มีอัตตา มีสิ่งที่เกิดขึ้นเป็น ๑ เป็น ๑ รวมกันหลงเข้าใจผิดคิดว่า เป็นโต๊ะบ้าง เป็นเก้าอี้บ้าง เป็นคนบ้าง แต่ทุกอย่างที่มีจริง แตกย่อย เกิดแล้วดับอยู่ตลอดเวลา นี้ยิ่งเพิ่มความลึกซึ้งพุทธศาสนาที่ชาวพุทธไม่รู้จัก เพราะว่าไปรู้จักพิธีกรรมต่างๆ ใช่ไหม อย่างวันสำคัญที่ใกล้จะมาถึงวันอาสาฬหบูชา พิธีกรรมแล้วใช่ไหม จะไปเวียนเทียน ไม่หรือจะกราบอะไรก็ตามแต่พระพุทธรูป พระบรมสารีริกธาตุ คิดไหมว่าความสำคัญของวันนั้นอยู่ที่ไหน อยู่ที่ดอกไม้ธูปเทียน หรือว่าอยู่ที่ไหน ความสำคัญในวันนั้น อยู่ที่ความเข้าใจ ของท่านผู้หนึ่งซึ่งสะสมปัญญา ที่จะฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วสามารถจะรู้ความจริงที่พระองค์ตรัส ดับกิเลสได้ ไม่ยึดถือสภาพธรรมที่เคยยึดถือมานาน ว่าเป็นเราเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะสามารถที่จะประจักษ์แจ้ง การเกิดดับของสภาพธรรม ที่กำลังปรากฏไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ตาม

    เพราะฉะนั้นกว่าจะถึงปัญญาระดับนั้น ท่านผู้นั้นคือท่านพระอัญญาโกณธัญญะ ท่านก็สะสมปัญญามา ฟังแล้วรู้แจ้งสัจจธรรม ประจักษ์แจ้งความจริงในขณะที่ปัญจวัคคีย์ภิกษุหมู่ ๕ อีก ๔ ท่านไม่ได้รู้ความจริง ในขณะที่ท่านพระอัญญาโกณธัญญะรู้ความจริงได้ เพราะฉะนั้นความรู้มาจากไหน อยู่ดีๆ เกิดขึ้นไม่ได้แน่ใช่ไหม และถ้าได้อ่านประวัติของท่านแต่ละท่าน ที่ได้รู้แจ้งสภาพธรรมตามความเป็นจริงแต่ละชาตินานแสนนาน เดี๋ยวเกิดเป็นอย่างนั้น เดี๋ยวเกิดเป็นอย่างนี้ ได้พบพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ฟังคำทำอย่างนี้เลย ที่เคยฟังมาแล้ว และก็ความเข้าใจเพิ่มขึ้นมากขึ้น อีกมากมหาศาล กว่าจะรู้ว่าเดี๋ยวนี้สิ่งหนึ่งสิ่งใด ที่ปรากฎดับไม่ใช่เรา ดับแล้วไม่กลับมาอีก จะเป็นเราได้อย่างไร หลงยึดถือสิ่งที่เกิดสืบต่อ ตั้งแต่เกิดจนตายเรื่อยๆ ว่าเป็นเราทั้งหมด เห็นก็ว่าเป็นเรา สุขก็ว่าเป็นเรา ทุกข์ก็ว่าเป็นเรา แต่นั่นคือสิ่งที่มีจริงแต่ละ ๑ ซึ่งต้องเกิดขึ้นเป็นไป ตามเหตุตามปัจจัย ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรม ๔๕ พรรษาเพิ่มขึ้นละเอียดขึ้น เพื่อที่จะให้คนได้เข้าใจถูกขึ้น จนสามารถจะค่อยๆ เข้าใจว่าความจริงคือความจริง เพราะฉะนั้นก็เป็นผู้ตรง ว่าขณะนี้กำลังฟังความจริงซึ่งก่อนนี้เคยฟังหรือเปล่า

    อ.วิชัย ท่านอาจารย์กล่าวถึงความสำคัญ ของวันอาสาฬหบูชา ซึ่งพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงธัมมจักกัปปวัตตนสูตร แก่พระปัญจวคีย์ ซึ่งในใจความสำคัญ ก็จะแสดงหนทางที่ควรละ ไม่ควรเสพ ก็คือหนทางในการที่จะบำรุงบำเรอตนด้วยกาม และก็เป็นไปเพื่อการทรมานตน ทรงแสดงมัชฌิมาปฏิปทา แล้วก็ทรงประกาศอริยสัจจะ หลังจากที่ท่านพระอัญญาโกณฑัญญะ ได้ฟังธรรมปัญญาญาณได้เกิดแก่ท่านว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวลมีความดับไปเป็นธรรมดา กราบเรียนท่านอาจารย์ว่า กว่าถึงกาละที่จะรู้แจ้งจากการฟังธรรม ที่จะเห็นอย่าง ท่านอัญญาโกณฑัญญะ จะมีการอบรมอย่างไร

    ท่านอาจารย์ ก็ต้องเข้าใจตั้งแต่คำแรกคือคำว่าธรรม สิ่งหนึ่งสิ่งใด ไม่ใช่คนใช่ไหมแต่ธรรม ๑ ธรรมใด สิ่งที่มีจริงไม่ว่าอะไรทั้งหมด ๑ เกิดแล้วมีความดับเป็นธรรมดา เดี๋ยวนี้ไม่ปรากฏอะไรเกิดอะไรดับ แต่เพราะตั้งแต่เกิดมา ดับและก็มีสิ่งอื่นเกิดสืบต่อ และก็ดับและก็เกิดสืบต่อไม่ขาดสายเลย แล้วจะรู้ได้อย่างไร จะเข้าใจได้อย่างไรว่าไม่มีเรา เพราะไม่มีการประจักษ์การเกิดดับเลย แต่คำจริงของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องเริ่มเข้าใจตั้งแต่การฟัง เห็นเป็นได้ยินหรือเปล่า ไม่ใช่ ถ้าเห็นไม่เกิดจะมีเห็นไหม ถ้าได้ยินไม่เกิดจะมีได้ยินไหม เพราะฉะนั้นใครไปทำให้เกิด ไม่มีใครทำให้เกิดเลย ใครไปทำให้ดับ ไม่มีใครทำให้ดับ เพราะฉะนั้นไม่มีใครสักคน ที่จะสามารถบันดาลให้สิ่งหนึ่งสิ่งใดได้ เพราะที่เข้าใจว่าเป็นคน ก็คือธรรมแต่ละ ๑ ซึ่งเกิด ๑ ขณะไม่มีใครรู้ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร และใน ๑ ขณะนั้นมีธรรมอะไรบ้าง แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงโดยละเอียดยิ่ง เพื่อให้เห็นความจริง ตามคำที่พระองค์ตรัสว่า ธรรมทั้งหลายที่เกิดขึ้นทั้งหมดเลย ไม่เว้นเลยมีการดับไปเป็นธรรมดา เมื่อวานนี้เป็นวันนี้หรือเปล่า เห็นเมื่อกี้นี้เป็นเห็นเดี๋ยวนี้หรือเปล่า คิดเมื่อกี้นี้เป็นคิดเดี๋ยวนี้หรือเปล่า เมื่อกี้นี้เองสั้นที่สุดดับแล้ว สิ่งที่กำลังปรากฏ ไม่ใช่ขณะก่อนสักขณะเดียว

    เพราะฉะนั้นการฟังพระธรรม ก็คือว่าไตร่ตรองและพิจารณาว่าเป็นความจริง ที่สามารถจะประจักษ์แจ้งรู้จริงๆ ได้แน่นอน เพราะเหตุว่าสิ่งใดที่เป็นจริง สิ่งนั้นเป็นจริงตลอด เพราะฉะนั้นเมื่อไหร่ก็ตาม ที่เข้าใจถูกตามความเป็นจริง ละคลายความไม่รู้ ที่หลงคิดว่าเดี๋ยวนี้เป็นเราทั้งหมดเลยตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า เห็นก็เป็นเรา ชอบก็เป็นเรา คิดก็เป็นเรา ได้ยินก็เป็นเรา ให้เริ่มเข้าใจถูกว่าไม่มีเรา แต่เป็นธรรมแต่ละ ๑ แต่ละ ๑ ซึ่งเกิดขึ้นและก็ดับไป สืบต่อรวดเร็วไม่มีการประจักษ์การเกิดดับ จึงยึดถือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง แต่เมื่อสิ่งนั้นเกิดจริงๆ ดับจริงๆ ปัญญาก็สามารถที่จะรู้ตามความเป็นจริงได้ นี่คือผู้ที่เป็นพระโพธิสัตว์ก่อนที่จะได้ตรัสรู้เป็น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ประจักษ์แจ้ง และก็ทรงแสดงธรรมให้คนฟังเข้าใจ แล้วกำลังเข้าใจทีละเล็กทีละน้อย เป็นสาวกโพธิสัตว์ สัตว์หมายความว่าผู้ข้อง เราติดข้องในรูป เสียง กลิ่น รส ติดข้องในโลก ในกามโลก ในความสุขความทุกข์ แต่ว่าโพธิคือปัญญา ความเห็นที่ถูกต้อง ผู้ที่เป็นโพธิสัตว์ ไม่สนใจอย่างอื่นเลย นอกจากรู้ว่าสิ่งที่มีจริง ความจริงแท้ๆ ทุกขณะของสิ่งนั้นคืออะไร การที่จะเริ่มเป็นโพธิสัตว์ จะต้องมีความข้องในการที่จะรู้ความจริง ละอีกนานเท่าไหร่ กว่าคุณความดีทั้งหลาย ที่จะทำให้ความเห็นแก่ตัว เพราะว่าเข้าใจว่ามีตัว จะค่อยๆ ลดละคลาย จนกระทั่งสามารถที่จะเข้าใจความจริง ของสิ่งที่ปรากฏเมื่อถึงเวลา ก่อนนั้นก็ไม่ได้หลังนั้นก็ไม่ได้ เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขณะใด ไม่มีใครกั้นยับยั้งได้ ที่จะให้ปัญญารู้ความจริงแทงตลอด ถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เหนือบุคคลใดในสากลจักรวาล ไม่มีใครเปรียบได้ ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ เทวดาหรือพรหมโลกไหนก็ตาม ทั้งจักรวาลกี่จักรวาล ก็ไม่สามารถจะเทียบกับปัญญาของพระองค์ได้

    มีคำกล่าวซึ่งพระองค์ตรัสว่าใบไม้ ๒ ๓ ใบในกำมือ ก็คือสิ่งที่พระองค์แสดงตรัสกับผู้ฟังชาวโลกพุทธศาสนิกชน แต่ว่าพระปัญญาของพระองค์ เปรียบดุจใบไม้ในป่า เพราะฉะนั้นแต่ละคำประมาทไม่ได้เลย มีบุญที่ได้สะสมมาแต่ปางก่อน ทุกอย่างต้องเกิดเพราะเหตุปัจจัย ทำไมเราไม่ได้ไปฟังเพลง ฟังข่าวฟังเรื่องราวต่างๆ เหมือนคนที่อยู่ข้างนอกห้องนี้แต่คนที่อยู่ในห้องนี้ มีเสียงมีคำที่กล่าวถึงสิ่งที่มีจริงในขณะนี้ ซึ่งสืบทอดมาจากการที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ดีแล้ว ซึ่งสามารถที่จะพิสูจน์เข้าใจได้ทุกกาลสมัย เพราะฉะนั้นขณะใดก็ตาม ที่มีโอกาสได้ฟังคำจริงของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขณะนั้นก็เป็นบุญที่สะสมไว้แต่ปางก่อน ชาติหน้าต้องมีแน่ เพราะว่าเราจะอยู่ในโลกนี้ต่อไปตลอดไปไม่ได้เลย ใช่ไหม จากโลกนี้ไปแต่ว่าจิตเกิดดับสืบต่อไม่ขาดสาย เพราะฉะนั้นทันทีที่ จิตธาตุรู้ขณะสุดท้ายดับ พ้นสภาพความเป็นบุคคลนี้ จะเป็นบุคคลนี้ต่อไปอีกสักหนึ่งขณะก็ไม่ได้ แต่กรรม ๑ ในสังสารวัฎฏ์ ที่ได้ไปทำแล้ว ไม่มีใครรู้เลยว่ากรรมใดถึงเวลา ที่จะทำให้จิตที่เกิดขึ้นในชาติต่อไปขณะแรกเกิดสืบต่อ จากจิตขณะสุดท้ายของชาตินี้ ซึ่งเราใช้คำว่าตาย เพราะฉะนั้นปฏิสันธิที่เกิดสืบต่อจากตาย ตายแล้วเกิดทันที โดยปัจจัย ไม่ให้เกิดได้ไหม

    เพราะฉะนั้นเรามาจากใครชาติก่อน เป็นใครก็ไม่รู้ฉันใด พอถึงวันที่จากโลกนี้ไป ทันทีนั่นก็ไม่รู้เลย โลกนี้เหมือนประตูที่ปิดสนิท ไม่สามารถที่จะเปิดขึ้นให้เห็นว่า โลกนี้ที่เพิ่งจากมาเป็นยังไง แต่มีโลกไม่ปรากฏด้วยความไม่รู้ แต่การได้ฟังธรรมในชาตินั้น ก็เป็นปัจจัยที่จะให้ได้ยินได้ฟังธรรมในชาติต่อไปอีก เพราะฉะนั้นขณะนี้ก็สืบต่อมาจากชาติไหนก็ไม่รู้ หลายๆ ชาติที่มีโอกาสได้ยินได้ฟัง ทำให้ได้ฟังคำซึ่งคนจำนวนมาก ไม่มีโอกาสที่ได้ฟัง ก็ไม่มีใครไปบังคับบัญชาได้ จะให้สนใจมาฟังก็ไม่มา กำลังฟัง บางแห่งบางสถานที่ในการก็เล่นไลน์ดูโน่นดูนี่ ก็บังคับบัญชาก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้นแต่ละ ๑ เป็นธรรมแต่ละ ๑ กุศลธรรมธรรมฝ่ายดีจะเป็นอกุศลไม่ได้ และอกุศลธรรมซึ่งไม่ดีเกิดแล้วไม่ดี และดับแล้วจะเปลี่ยนเป็นธรรมที่ดีก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้นแต่ละ ๑ เกิดดับตลอดเวลา ไม่มีใครเป็นเจ้าของ ไม่ใช่ใครเลย นกเห็นไหม แมวเห็นไหม คนเห็นไหม เห็นเป็นนกหรือเปล่า ไม่ใช่ เห็นเป็นเห็น เห็นเป็นแมวหรือเปล่า ไม่ใช่ เห็นเป็นเห็น เห็นเป็นคนกำลังเห็นหรือเปล่า ไม่ใช่ เห็นเป็นเห็น เพราะฉะนั้นที่ว่าเป็นคนก็คือธรรม ทั้งนามธรรมด้วยรูปธรรม ได้ยินสองคำนี้ ธรรมสิ่งที่มีจริง ธรรมที่เกิดมีจริงๆ แต่ไม่รู้อะไรทั้งหมดเป็นรูปธรรม เสียง กลิ่น รสพวกนี้เป็นรูปธรรม แต่ถ้าไม่มีธาตุรู้เกิดขึ้นรู้สิ่งต่างๆ เหล่านี้ก็ปรากฏไม่ได้ แล้วก็ไม่มีอะไรก็ไม่ปรากฏว่ามี แต่ใครจะยับยั้งไม่ให้ธาตุชนิดนี้เกิดก็ไม่ได้ เหมือนแข็งเดี๋ยวนี้ ไม่ให้แข็งเกิดสิใครทำได้ เกิดแล้วเป็นแข็ง เพราะฉะนั้นเกิดแล้วเป็นธาตุรู้ ใครจะไปยับยั้งไม่ให้ธาตุรู้เกิดก็ไม่ได้

    เพราะทั้งหมดเป็นธรรมที่เป็นอนัตตา แต่ต้องรู้จักความเป็นจริงไหมที่ว่าเป็นสิ่งที่มีชีวิต ไม่ใช่มีแต่รูปธรรม แต่มีนามธรรมคือธาตุรู้เกิดด้วย จึงต่างกับรูปธรรมเพราะว่ารูปธรรม ไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย แต่เพราะไม่รู้ เราก็ไปเรียกรูปธรรมหรือนามธรรมซึ่งเกิดมีพร้อมกัน ว่าเป็นสัตว์บ้าง เป็นคนบ้าง ตามรูปร่าง แต่ธาตุรู้เป็นธาตุรู้ และรูปธรรมที่แข็งที่อ่อน ไม่ว่าจะรูปร่าง นิมิตเป็นอย่างไรก็ไม่ใช่สภาพรู้ เพราะฉะนั้นทั้งหมด ที่เป็นธรรม ก็จำแนกเป็นประเภทใหญ่ๆ ได้ ๒ อย่าง คือนามธรรมกับรูปธรรม ไม่มีคนจริงๆ แต่มีนามธรรมและรูปธรรม ถ้าไม่มีนามธรรมรูปธรรม คนสัตว์ก็มีไม่ได้ สิ่งที่มีชีวิต ปลา นกก็มีไม่ได้ แต่ต้องรู้ว่าที่บัญญัติว่าเป็นปลา เป็นนกที่เข้าใจว่าเป็นปลาเป็นนก ถ้าไม่มีรูปร่าง เห็นเป็นเห็น เป็นนกได้ไหมไม่ได้ แต่รูปร่างของขณะที่เห็นมีเกิดขึ้น มีจักขุปสาท ไรูแต่ว่าร่างส่วนอื่นๆ ปรากฏเป็นนก เป็นแมว เป็นปลา เป็นลิงก็เข้าใจว่าเป็นสิ่งที่เป็นอย่างนั้น แต่ความจริงก็คือว่าเป็นธรรมทั้งหมด

    อ.กุลวิไล หัวข้อที่ท่านผู้จัดเขียนเอาไว้ ท่านอาจารย์ว่า สนทนาธรรมเป็นมงคล ก็จะกราบเรียนท่านอาจารย์ เพราะทุกคนอาจจะชอบมงคลใช่ไหม แต่รู้จักมงคลหรือเปล่า แล้วที่สำคัญขณะนี้ กำลังสนทนาธรรมเป็นมงคลอย่างไร

    ท่านอาจารย์ ก่อนที่อื่นที่จะพูดเรื่องอะไร ต้องถามว่าคำที่ได้ยินนั้นคืออะไร ไม่ใช่พูดเรื่องมงคลไปหมดเลย แต่ไม่รู้ว่ามงคลคืออะไร เพราะฉะนั้นต้องเป็นผู้ที่ละเอียดจึงสามารถที่จะเข้าใจธรรม ซึ่งละเอียดอย่างยิ่งได้ โดยการที่ว่าไม่ว่าจะได้ยินคำอะไรอย่าเพิ่งตามไป ต้องถามก่อนว่าคืออะไร เพราะฉะนั้นมงคลคืออะไรคุณวิชัย

    อ.วิชัย ดังนั้นมงคลคือเหตุแห่งความเจริญ เราพิจารณาถึงความเจริญว่าเจริญอย่างไร เพราะบางคนก็คิดว่าเพียงแค่ มีความเป็นอยู่ที่สุขสบาย เจริญร่ำรวยก็คิดว่านั่นคือความเจริญแล้ว แต่ตามความเป็นจริง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสมงคลไว้ถึง ๓๘ ประการ สูงสุดคือการรู้แจ้งอริยสัจธรรม ดังนั้นการที่จะเป็นมงคล คือเหตุแห่งความเจริญ ที่จะนำไปสู่ถึงการรู้แจ้งอริยสัจธรรม ตั้งแต่ประการแรก การไม่คบคนพาล ประการที่ ๒ การคบบัณฑิต ประการที่ ๓ บูชาบุคคลที่ควรบูชา แต่ที่อาจารย์กุลวิไลกล่าวถึง คือการสนทนาธรรม ทั้งการฟังธรรม ทั้งการสนทนาธรรม ก็เป็นมงคล การที่จะสนทนาธรรม ที่จะเป็นความเจริญ จนถึงการรู้แจ้งธรรมอย่างไร

    ท่านอาจารย์ ต้องละเอียด ก่อนฟังธรรม ไม่เข้าใจธรรม ไม่รู้จักธรรม ความไม่รู้เป็นมงคลหรือเปล่า แค่นี้ก็พิจารณาได้ใช่ไหม ความไม่รู้จะเป็นมงคลได้อย่างไร เพราะฉะนั้นมงคล ต้องตรงกันข้าม ความรู้ต่างหากที่เป็นมงคล แต่รู้อื่นไม่ใช่มงคลที่แท้จริงเพราะเหตุว่า ไม่ได้เข้าใจสิ่งที่กำลังมี จะชื่อว่ารู้ไหม รู้สารพัดรู้ แต่สิ่งที่กำลังปรากฏต่อหน้าต่อตาไม่รู้ และนั่นหรือคือความรู้ที่แท้จริง เพราะฉะนั้นก็แสดงให้เห็นว่า ความรู้จริงๆ ก็คือว่าสามารถที่จะรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริง ที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้นจะรู้ได้ตั้งแต่มงคลข้อที่ ๑ ไม่คบคนพาล นำไปสู่ความรู้แจ้งอริยสัจธรรม ดับกิเลสได้ เพราะฉะนั้นที่มาของมงคล เพื่ออะไร เพื่อการรู้ความจริง และจะรู้ความจริงได้อย่างไรถ้าไม่มีการคบ คือฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นคนพาลไม่กล่าวคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วจะเป็นมงคลไหม ผ้ายันต์อย่างนี้มงคลหรือ ใครที่บอกว่าผ้ายันต์เป็นมงคล กล่าวคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเปล่า เพราะฉะนั้นจะไม่นำไปสู่การรู้แจ้งความจริง คืออริยสัจธรรมซึ่งสามารถที่จะละความไม่รู้ ที่เคยไม่รู้มาทุกอย่าง ในแสนโกฏกัปป์ชาติ จนกระทั่งความไม่รู้นั้นหมดไป ตามคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ดีแล้วทั้งหมด จนกระทั่งถึงการดับกิเลส เช่นเดียวกับพระองค์ แต่ไม่ถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพียงเป็นสาวกหรือสังฆรัตนะ ซึ่งเป็นสิ่งที่ประเสริฐ เพราะว่าถ้าไม่มีการได้ยินได้ฟังคำจริงเลย จะไปเอาปัญญาของใคร มาบอกให้รู้สิ่งที่มีจริงในขณะนี้ได้ ตระกรุดเป็นมงคลหรือเปล่า ใครยังคิดว่าเป็นมงคล ไม่ได้นำไปสู่การรู้แจ้งอริยสัจธรรมเลย นำให้หลงไม่รู้ต่อไปอีก เพราะฉะนั้นไม่ใช่มงคล สิ่งใดที่ถูกต้องต้องถูก สิ่งที่ผิดต้องผิด ตรง สัจจธรรมแสดงให้เห็นว่า แม้บารมี ๑๐ ก็ยังต้องมีสัจจบารมี เพราะว่าผู้ตรงเท่านั้นที่จะได้สาระจากคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นแต่ละคำ ต้องพิจารณา ทำไมเป็นมงคล จากความไม่รู้และค่อยๆ เข้าใจขึ้น จนไม่สามกระทั่งสามารถที่จะรู้ความจริง จะไม่เป็นมงคลหรือ ในเมื่อไม่รู้กับรู้นี่ต่างกัน ไม่รู้ก็นำไปสู่ความไม่รู้

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 188
    16 มิ.ย. 2568