ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1283
ปกิณณกธรรม ตอนที่ ๑๒๘๓
สนทนาธรรม ที่ บ้านธัมมะ ลำพูน
วันที่ ๑๗ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๖๑
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นคฤหัสถ์อ่านคำนี้แล้วไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจ ก็จะไปป่าอย่างภิกษุ แล้วก็จะไปตั้งกายตรง ดำรงสติไว้เฉพาะหน้า เข้าใจอะไร ขณะนั้นก็เป็นเราทั้งหมดเลย ไม่ได้รู้เลยว่าขณะนั้นมีธรรมที่เกิดแล้ว เพราะฉะนั้นถ้าเป็นผู้ที่เข้าใจธรรม พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ว่าสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ที่ปรากฏ ดับแล้ว ถูกต้องไหม เร็วสุดที่จะประมาณได้ แล้วก็มีสภาพธรรมเกิดสืบต่อ เร็วสุดที่จะประมาณได้แล้วก็ดับ เกิดดับสืบต่อกัน ไม่ปรากฏการเกิดดับสืบต่อเลย เพราะฉะนั้นทุกอย่างเป็นธรรมแต่ละหนึ่งๆ ๆ ถ้าไม่เข้าใจอย่างนี้ จะเข้าใจลมหายใจไหมว่า ลมหายใจคืออะไร
ผู้ฟัง ไม่สามารถเข้าใจได้
ท่านอาจารย์ แล้วก็ไปนั่งตั้งกายตรง ดำรงสติไว้เฉพาะหน้าที่ลมหายใจ ทำทำไม ก็อยากทำเพราะไม่รู้ ไม่ได้เข้าใจอะไรเลยทั้งสิ้น ถ้าเข้าใจแล้วก็จะรู้ในความเป็นอนัตตา ถ้าเป็นอย่างนั้น เป็นอนัตตาหรือเป็นเรา เห็นไหม แค่นี้ก็สามารถที่จะกลับมาพิจารณาไตร่ตรองว่า ที่เข้าใจนั่นแหละถูกหรือผิด ก็เป็นเราต่างหากที่กำลังไปนั่งตั้งกายตรง แต่เดี๋ยวนี้เป็นธรรมที่เกิดดับ ถ้าไม่รู้ธรรมที่เกิดเดี๋ยวนี้ ดับเดี๋ยวนี้ จะรู้เมื่อไหร่ สิ่งที่มีดับ แล้วไม่ปรากฏอีก รู้ไม่ได้ สิ่งที่ยังไม่เกิดก็ไม่รู้ว่าจะเป็นอะไร แต่สิ่งนี้แหละเกิดดับสืบต่อ ปรากฏนิมิตให้เห็นว่า เป็นหนึ่ง เป็นหนึ่ง เป็นหนึ่ง แต่ละอย่าง เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีขณะนี้ ควรรู้สิ่งที่ปรากฏใช่ไหม และสิ่งที่ปรากฏนี้ ตลอดชีวิต ถ้าไม่รู้สิ่งที่มีตลอดชีวิต แล้วจะไปรู้อะไร เดี๋ยวนี้มีธรรมหลากหลายมากไหม
ผู้ฟัง มากมาย
ท่านอาจารย์ ประมาณไม่ได้เลย และอะไรเป็นสติ อะไรเป็นปัญญา และเกิดขึ้นได้อย่างไร นี่คือความเข้าใจที่ถูกต้อง ในความไม่ใช่เรา เพราะตราบใดที่ยังไม่เข้าใจละเอียดขึ้นๆ ก็ยังคงเป็นเราไปเรื่อยๆ ไม่ลดความเป็นเราเลย เพราะฉะนั้นแม้แต่ขั้นการฟังด้วยดี ด้วยความเข้าใจที่มั่นคงว่าไม่ใช่เรา จึงสามารถที่จะทำให้ค่อยๆ เข้าใจสิ่งที่ปรากฏ ละเอียดขึ้นได้แต่ละหนึ่งเพราะเข้าใจในความไม่ใช่เรา ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด เพียงแต่ว่ามีปัจจัยเกิดขึ้น ปรากฏแล้วก็หมดไป
ผู้ฟัง ผมยังไม่เข้าใจในเรื่องของสภาพธรรม ที่เป็นลักษณะของโทสมูลจิต โทสเจตสิก
อ.คำปั่น ทุกคำที่กล่าวถึงนี้ก็แสดงถึง ความเป็นจริงของธรรม โดยความหมายที่คุณกฤตได้ปรารภถึง ก็คืออย่างเช่น โทสมูลจิต กล่าวถึงจิต ก็คือจิตที่มีโทสะเป็นมูล อันนี้คือโดยความหมาย ซึ่งก็เป็นการกล่าวถึงสิ่งที่มีจริงในชีวิตประจำวันแน่นอน แต่ถ้ากล่าวถึงเฉพาะโทสะ ก็คือ ไม่ได้กล่าวถึงจิต แต่ว่ากล่าวถึง ตัวสภาพธรรมที่เป็นโทสะ ที่เกิดขึ้นเป็นไปในขณะนั้น ซึ่งแน่นอนโทสะก็ต้องเกิดกับจิต เพราะฉะนั้นโทสะเกิดกับจิตที่เป็นอกุศลขณะใด จิตประเภทนั้นก็เรียกว่าเป็นจิตที่มีโทสะเป็นมูล ที่เรียกว่าโทสมูลจิต เพราะฉะนั้นจึงกล่าวถึงสภาพธรรมที่เป็นจิตอย่างหนึ่ง แล้วก็สภาพธรรมที่เป็นเจตสิกอีกอย่างหนึ่ง
ท่านอาจารย์ เพราะว่าเราได้ยินคำ จำคำ คิดคำ แต่เติมความคิดของเรา คือความสงสัยไปด้วยใช่ไหม แต่ว่าตามความเป็นจริงธรรมเป็น ๑ ไม่ใช่ ๒ จะเป็น ๒ อย่างพร้อมกันไม่ได้ ๑ เป็น ๑ โลภะความติดข้อง ต้องการ เกิดเมื่อไหร่ก็คือต้องทำหน้าที่นั้น จะทำหน้าที่อื่นไม่ได้เลย แต่ละหนึ่ง ต้องเข้าใจว่าธรรมแต่ละหนึ่ง เป็นแต่ละหนึ่ง เพราะฉะนั้นเรายังไม่ได้เข้าใจความชัดเจนระหว่างจิตกับเจตสิก โทสะเป็นจิตหรือเปล่า
ผู้ฟัง โทสะเป็นเจตสิก
ท่านอาจารย์ ทำไมว่าโทสะเป็นเจตสิก
ผู้ฟัง เพราะเกิดร่วมกับจิต
ท่านอาจารย์ แล้วเจตสิกมีหลายชนิดไหม
ผู้ฟัง มีเยอะ
ท่านอาจารย์ แล้วเจตสิกทั้งหมดเป็นจิตได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นความต่างก็คือว่า จิตเป็นธาตุรู้ เกิดขึ้นรู้ รู้แจ้งสิ่งที่กำลังปรากฏ แค่นี้ แต่ละคำต้องทบทวน เป็นสภาพรู้ เดี๋ยวนี้มีไหม
ผู้ฟัง มี
ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้มี แต่ไม่เคยรู้สภาพรู้เลย คิดถึงและจำสิ่งที่ปรากฏทางตา โดยไม่รู้ว่าถ้าไม่มีธาตุรู้เกิดขึ้นเห็น สิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้มีไม่ได้เลย เห็นไหม ไม่ใช่ให้ตอบเพียงว่าจิต เจตสิก ต่างกัน จิตเป็นสภาพที่รู้แจ้งอารมณ์ แต่เวลาฟังแล้วจะค่อยๆ เข้าใจความเป็นจิตซึ่งเป็นธาตุรู้หนึ่ง เกิดขึ้นเมื่อไหร่ต้องรู้แจ้ง มีสิ่งที่กำลังปรากฏให้รู้ อยู่ในห้องมืดรู้ไหม
ผู้ฟัง รู้ว่ามืด
ท่านอาจารย์ เห็นไหม รู้แจ้งเลย ไม่สว่าง เห็นไหม แม้มืดยังรู้เลยว่าไม่ใช่สว่าง เพราะฉะนั้นจะสว่างหรือจะมืดสักแค่ไหนก็ตาม จิตเป็นสภาพที่รู้แจ้ง ที่บนโต๊ะมีดอกไม้สีม่วง มีม่วงอ่อนม่วงแก่ ทำไมปรากฏให้เห็นเป็นม่วงอ่อนม่วงแก่ได้ เพราะจิตเป็นสภาพที่รู้แจ้งสิ่งที่ปรากฏ ซึ่งมีลักษณะต่างๆ กันไป สีเข้มกับสีอ่อนใช่ไหม ที่เราใช้คำนี้ได้ว่าเข้ม อ่อน เพราะเหตุว่าลักษณะของสภาพนั้นเป็นอย่างนั้นที่จิตรู้แจ้ง เปลี่ยนลักษณะของสิ่งที่ปรากฏให้รู้ไม่ได้เลย แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าหลากหลาย ก็ต่อเมื่อจิตเกิดขึ้น รู้แจ้งทีละหนึ่ง จึงรู้ว่าไม่ใช่อย่างเดียวกัน จิตรู้แจ้งเสียงได้กี่เสียง
ผู้ฟัง เยอะ
ท่านอาจารย์ ทุกเสียง เพราะฉะนั้นเวลาที่เสียงใดก็ตามปรากฏ จิตเป็นสภาพที่เกิดขึ้นได้ยินเฉพาะเสียงนั้น รู้แจ้งเสียงนั้นว่าไม่ใช่เสียงอื่น เพราะฉะนั้นก็รู้แจ้งทีละหนึ่งๆ จนสามารถที่จะรู้ได้ว่าต่างกัน นั่นคือหน้าที่ของจิต จิตไม่รัก ไม่ชัง ไม่โกรธ ไม่ริษยา ไม่อะไรหมดเลย มีหน้าที่เกิดขึ้นและรู้แจ้งสิ่งที่ปรากฏเท่านั้น เพราะฉะนั้นอีกนัยหนึ่ง จะนับรวมนามธรรมเป็น ๕๓ ก็ได้ คือเป็นเจตสิก ๕๒ แต่ละหนึ่งๆ ก็มีลักษณะเฉพาะของตน แล้วก็มีกิจหน้าที่ของตนๆ ก้าวก่ายกันไม่ได้เลย เกิดขึ้นมีลักษณะอย่างไร ทำกิจอย่างไร เฉพาะเจตสิกนั้นๆ เพราะฉะนั้นเมื่อจิตก็เป็นธาตุรู้ด้วยกัน แต่ไม่ใช่เจตสิก เพราะฉะนั้นนามธรรม ๕๓ ก็คือเจตสิก ๕๒ และ ๑ คือจิต เกิดขึ้นเมื่อไหร่จะเป็นอย่างเจตสิกชนิดหนึ่งชนิดใดไม่ได้เลยทั้งสิ้น นอกจากเป็นสภาพที่รู้แจ้ง เดี๋ยวนี้มีไหม
ผู้ฟัง มี
ท่านอาจารย์ ขณะไหนไม่มี
ผู้ฟัง ไม่มี
ท่านอาจารย์ ถูกต้อง ต้องมั่นคง ขณะสุดท้ายของชาตินี้ ที่เราใช้คำว่าตายคืออะไร
ผู้ฟัง จุติจิต
ท่านอาจารย์ จิตนั้นเกิดขึ้นทำหน้าที่ไม่เหมือนขณะก่อนๆ ขณะก่อนๆ เป็นเห็นบ้าง ได้ยินบ้าง หรือว่าแม้ว่าจะนอนหลับสนิท ไม่เห็น ไม่ได้ยินอะไร จิตก็ยังเกิดขึ้นดำรงภพชาติ ต้องรู้ จิตเกิดขึ้นแล้วต้องรู้ แต่อารมณ์นั้นไม่ปรากฏ เพราะไม่ได้อาศัยตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ถ้าอาศัยตาหู จมูก ลิ้น กาย ใจเมื่อไหร่อารมณ์ก็ปรากฏ แต่ขณะนั้นหลับสนิท เพราะฉะนั้นจิตที่สามารถที่จะเกิดขึ้นรู้อารมณ์โดยไม่ต้องอาศัยทางหนึ่งทางใด ภาษาบาลีจะใช้คำว่า ทวาระ หรือ ทวาร ก็มีขณะปฏิสนธิ คือขณะแรกที่เกิดและดับไปแล้วเร็วมาก เพราะว่าปฏิสนธิจิต ๑ ขณะสืบต่อจากจุติจิตขณะสุดท้ายของชาติก่อน จิตอื่นเกิดไม่ได้เลย โลภะจะเกิด โทสะ อะไรจะเกิดไม่ได้ นอกจากจิตหนึ่ง ซึ่งเป็นผลของกรรมหนึ่งในสังสารวัฎฏ์ ซึ่งสามารถที่จะทำให้จิตนั้นเกิดขึ้นสืบต่อจากจุติจิต เราจึงใช้คำว่า เกิด หลากหลายไหม คน
ผู้ฟัง หลากหลาย
ท่านอาจารย์ เกิดมา จิตที่เป็นปัจจัยที่จะทำให้เกิดก็หลากหลาย เพราะฉะนั้นแม้ว่าจิตที่ทำกิจปฏิสนธิก็มีแสดงไว้ว่าจิตประเภทใด จำนวนเท่าไร แต่ความหลากหลายมีมาก เพราะว่าการสะสมของทุกอย่างอยู่ในจิตทุกขณะซึ่งเกิดดับสืบต่อ เพราะฉะนั้นขณะที่เกิดไม่ได้อาศัยตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ขณะที่ดำรงภพชาติสืบต่อทันทีจากปฏิสนธิจิต ซึ่งเป็นขณะเดียว แล้วก็ดับไป กรรมให้ผลทำให้ปฏิสนธิพร้อมกับรูปซึ่งเกิดจากกรรม แล้วแต่จะเป็นรูปอะไร ทุกคนก็หลากหลาย แล้วก็มีทั้งสัตว์เดรัจฉานด้วย มีทั้งรูปพรหม มีทั้งเทวดา อะไรก็แล้วแต่ ก็เกิดขึ้นตามกรรม จิตที่เป็นเหตุที่ได้กระทำไว้ ทำให้เกิดปฏิสนธิจิตซึ่งเป็นผล จิตที่เกิดขึ้นเป็นผลต้องเกิดเป็นอย่างนั้น พร้อมกับรูปซึ่งต้องเป็นอย่างนั้น เพราะกรรมนั้นเป็นปัจจัยให้เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ๑ ขณะนี้เร็วสุดที่จะประมาณได้ เพราะฉะนั้นถ้ากรรมให้ผลเพียง ๑ ขณะมีประโยชน์ไหม
ผู้ฟัง ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นกรรมให้ผลมากกว่านั้น เพราะว่ากรรมจะสำเร็จไปแต่ละกรรมนั้น จิตก็เกิดดับมาก ยังมีกำไรด้วย คือที่กล่าวว่ามีทุกข์เป็นกำไร เพราะเหตุว่าอกุศลแค่นี้ แต่ตกนรกนานเท่าไหร่ คือกำไรที่เกิดจากการกระทำอันนั้น เพราะฉะนั้นก็จะเห็นได้ว่าถ้าเราเข้าใจ เราก็จะรู้ในความไม่มีเรา ไม่ใช่เรา แต่เป็นจิต เป็นเจตสิก รูป ภวังคจิตเกิดนับไม่ถ้วน เพราะเหตุว่าหลังจากที่ภวังค์ที่เกิดสืบต่อจากปฏิสนธิจิตดับ กรรมนั้นแหละเป็นปัจจัย ทำให้ผลของกรรมที่จะต้องดำรงภพชาติต่อไปเกิดขึ้น จนกว่าจะจุติ คือตาย แต่ระหว่างนั้นก็ต้องมีผลของกรรมที่ทำให้เห็น ทำให้ได้ยิน ทำให้ได้กลิ่น ทำให้ลิ้มรส ทำให้รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส แค่ ๑ ขณะจิต แต่นำมาซึ่งการสะสมในจิต มากมายมหาศาล ประมาณไม่ได้เลย ทำให้เห็นว่าต่างคนก็ต่างคิด เป็นกุศลบ้าง เป็นอกุศลบ้าง หลากหลายมาก ทั้งหมดไม่ใช่เรา แต่มีปัจจัยที่จะเกิดขึ้นเป็นไป เพราะฉะนั้นก็ต้องมีความชัดเจนระหว่างจิตกับเจตสิก แล้วก็จะหมดความสงสัยในเรื่องโลภเจตสิก เกิด มีหน้าที่เดียว ติดข้อง มากไหม
ผู้ฟัง มาก
ท่านอาจารย์ ตั้งแต่อ่อนที่สุด จนกระทั่งแรงที่สุด มีกำลังกล้า จนกระทั่งยางใย ก็ต้องตัดได้ด้วยปัญญา เพราะฉะนั้นก็จะเห็นได้ว่าความรู้สึกทั้งหมด เดี๋ยวนี้กำลังเกิดดับ นามขันธ์ทั้ง ๕ ทั้งจิตและเจตสิก เกิดดับสืบต่อระหว่างเห็นกับได้ยิน มีจิตเจตสิกเกิดคั่นนับไม่ได้ แต่ไม่ปรากฏ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ชาวโลกไม่รู้ แต่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และทรงแสดงธรรมโดยละเอียดลึกซึ้งอย่างยิ่ง คือแสดงถึงจิตแต่ละขณะเกิดพร้อมกับเจตสิกกี่ประเภท เมื่อไหร่ ขณะไหน เพราะฉะนั้นจึงเป็นอภิธรรม ธรรมที่ลึกซึ้ง แสดงโดยละเอียดยิ่ง เพื่อให้เข้าใจถูกต้องว่า ไม่มีเรา ไม่ใช่เรา เป็นธรรมทั้งหมด
อ.วิชัย ขณะนี้มีจิตไหม
ผู้ฟัง มี
อ.วิชัย ขณะนี้มีความโกรธไหม
ผู้ฟัง โกรธ ไม่มี
อ.วิชัย ดังนั้นลักษณะย่อมต่างกันใช่ไหม แต่ว่าที่จะรู้ด้วยความรู้ ขณะนี้ความรู้ก็เพียงนิดๆ หน่อยๆ ฟังว่ามีจิต ฟังว่ามีโทสะ ฟังว่ามีโมหะ แต่เป็นชื่อทั้งหมดเลยใช่ไหม ยังไม่ได้เข้าใจลักษณะของธรรมเลย ถ้าฟังเพิ่มขึ้น ไตร่ตรองว่าจิตเป็นธาตุที่รู้แจ้งสิ่งที่ปรากฏ เห็นถึงความต่างว่าจิตขณะนี้มีการเกิดดับสืบต่อโดยไม่ขาดสาย จิตเห็นก็อย่างหนึ่ง จิตได้ยินก็อย่างหนึ่ง แต่ว่าขณะที่จิตเห็นเกิดขึ้น ไม่มีความโกรธเกิดพร้อมกับจิตเห็น ขณะที่จิตได้ยินเกิดขึ้น ไม่มีความโกรธเกิดพร้อมกับจิตได้ยิน ดังนั้นจะเห็นว่าจิตเป็นธาตุรู้แจ้งสิ่งที่ปรากฏ แต่ว่าแล้วแต่ ขณะจิตใดที่ประกอบด้วยเจตสิกประเภทไหน ขณะที่โกรธนั้น เป็นเราโกรธหรือเป็นธรรมที่โกรธเกิดขึ้น
ผู้ฟัง เป็นธรรมที่โกรธ
อ.วิชัย ดังนั้นกว่าที่จะฟังธรรมจนมั่นคง ที่จะรู้ว่าความโกรธเกิดขึ้น บังคับบัญชาไม่ได้ แต่จากการฟังสามารถเข้าใจตามความเป็นจริงของสิ่งนั้นว่า นั่นเป็นธรรมอย่างหนึ่ง เข้าใจลักษณะของความเกิดขึ้นของความโกรธ ไม่ต้องเรียกชื่อเลยใช่ไหมขณะที่โกรธ แต่มีลักษณะให้รู้ได้ แต่ว่าเมื่อฟังธรรม เริ่มมีความรู้อีกระดับหนึ่งที่จะรู้ว่า นั่นไม่ใช่เรา ก่อนฟังธรรมจะรู้ไหมว่า โกรธไม่ใช่เรา
ผู้ฟัง ไม่รู้
อ.วิชัย ก็เป็นเราโกรธอยู่นั่นแหละใช่ไหม แต่เมื่อฟังธรรมมากขึ้น เริ่มมีปัจจัยของความรู้เกิดขึ้น ไม่ใช่แต่เพียงเรื่องของความโกรธ แต่เห็นขณะนี้ด้วย ได้ยินในขณะนี้ด้วย เพราะฉะนั้นศึกษาธรรมทุกอย่างที่มีจริง แล้วแต่ว่าปัจจัยของธรรมใดเกิดขึ้น ความรู้จากการฟังก็เข้าใจในสิ่งที่ปรากฏนั้นตามความเป็นจริง ตามความรู้ ตามระดับของปัญญา ซึ่งเมื่อมากขึ้นจะเข้าใจจิต เข้าใจเจตสิกละเอียดขึ้นหรือเปล่า
ผู้ฟัง ก็จะค่อยๆ เข้าใจขึ้น แล้วอย่างกรณีจิตเห็น จะมีโทสมูลจิตประกอบไหม
ท่านอาจารย์ จิตเห็นเกิดขึ้น ๑ ขณะ ประกอบด้วยเจตสิก ๗ ซึ่งไม่มีโทสเจตสิก หรืออกุศลเจตสิก หรือกุศลเจตสิกเกิดร่วมด้วย
ผู้ฟัง ก็คือจะไม่มีเหล่านี้เกิดเด็ดขาด
ท่านอาจารย์ หลังจากที่เห็นแล้ว การสะสมที่สะสมมามาก ก็แล้วแต่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไป
ผู้ฟัง ต่อจากนั้นเลยใช่ไหม
ท่านอาจารย์ ก็แล้วแต่ปัจจัย เป็นโทสะก็ได้ เป็นโลภะก็ได้ เป็นสติสัมปชัญญะก็ได้ เป็นการแทงตลอดสภาพธรรม เป็นการรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ก็ได้ ตามเหตุตามปัจจัย
ผู้ฟัง ถ้าจิตเป็นวิบาก จะเกิด..
ท่านอาจารย์ วิบากคืออะไร
ผู้ฟัง ที่เป็นผล
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นจิตเกิดขึ้นเป็นผลของกรรม ทำกิจอะไร แล้วก็ดับ แต่ขณะนั้นไม่ได้ทำกิจรู้ หรือเข้าใจถูกต้อง เพียงแค่ถ้าเห็น ทำทัสนกิจ ทัสนะคือเห็น เดี๋ยวนี้เลย ไม่ต้องแปล ไม่ต้องใช้ภาษาอะไรเลย ขณะนี้มีจิตหนึ่งประเภทเกิดขึ้นแล้วทำกิจเห็นอย่างเดียว แล้วก็ดับไป ที่ละเอียด ที่เป็นอภิธรรมยิ่งกว่านั้นก็คือว่า จิตที่เกิดก่อนจิตเห็น ก็รู้ว่ามีสิ่งที่กระทบตา แต่ไม่เห็น ทำกันคนละหน้าที่ คนละกิจ และทันทีที่จิตเห็นดับไปแล้ว จิตที่เกิดต่อก็ยังมีอารมณ์เดียว เพราะรูปก็ยังไม่ดับ แล้วยังกระทบตาอยู่ แต่จิตที่เกิดต่อจากจิตเห็นไม่ได้ทำทัสนะกิจ นี่แหละ ความไม่ใช่เรา ละเอียดมาก ทรงแสดงมากเพื่อให้เข้าใจยิ่งขึ้นว่าประกอบกันทั้งหมด ไม่ว่าจะฟังนานเท่าไหร่ มากเท่าไหร่ ละเอียดเท่าไหร่ ประโยชน์ก็คือให้เข้าใจถูก ในขณะที่สภาพธรรมกำลังปรากฏ
อ.คำปั่น ก็ต้องอาศัยพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ที่ทรงแสดงถึงความเป็นเหตุเป็นผล แสดงถึงความเป็นจริงของธรรมว่า ตราบใดที่ยังมีความไม่รู้อยู่ ยังมีความติดข้องอยู่ เมื่อละจากโลกนี้ไปก็ยังมีการเกิดต่อไปอีก เพราะเหตุว่ายังไม่ดับเหตุที่จะทำให้มีการเกิด แม้แต่การที่ได้มาเกิดเป็นบุคคลนี้ชาติที่แล้วเป็นใครมาจากไหนก็ไม่สามารถที่จะทราบได้ใช่ไหม แต่มีเคยเกิดแล้วในอดีตเพราะว่ายังมีเหตุที่ทำให้มีการเกิดอยู่ แล้วก็ยังมีเหตุที่ทำให้เกิดในภพนี้ชาตินี้ด้วยเพราะเหตุว่ายังไม่ใช่ผู้ที่ดับกิเลสได้หมดสิ้น
เพราะฉะนั้นในบางพระสูตรนี้ ทรงแสดงไว้ชัดเจนว่า ผู้มีกรรมอันชั่วไปสู่นรก ผู้มีกรรมอันดีไปเกิดในสุคติ ผู้ที่สิ้นกิเลสแล้วย่อมปรินิพพาน ก็คือไม่มีการเกิดอีก เพราะฉะนั้นทั้งหมด แสดงถึงความเป็นเหตุเป็นผล แสดงถึงความเป็นจริงโดยพระปัญญาตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือแม้กระทั่งในการที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าสนทนากันกับกุลธิดาท่านหนึ่ง ธิดาช่างหูกในกรุงอาราวี พระองค์ตรัสถามด้วยคำถาม ๔ คำถาม ว่าเธอมาจากไหน เธอจะไปไหน เธอไม่ทราบหรือ เธอทราบหรือ ๔ ข้อนี้แสดงถึงความเป็นจริงว่า เธอมาจากไหน นางไม่สามารถที่จะตอบได้ว่ามาจากไหน ก็คือไม่รู้ คือไม่รู้ว่าก่อนที่จะมาเป็นบุคคลคนนี้ในอดีตเป็นใคร ก็คือไม่รู้ เธอจะไปไหนก็ไม่ทราบ เพราะว่าเมื่อตายแล้ว จะไปเกิดในภูมิใด ก็ไม่สามารถที่จะทราบได้ เธอไม่ทราบหรือ นางทูลตอบพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า ทราบ ก็คือทราบว่าจะต้องตายแน่ เพราะว่าทุกชีวิตเกิดมาแล้วต้องตาย แล้วคำถามสุดท้ายที่พระองค์ตรัสถามก็คือเธอทราบหรือ นางก็ทูลว่าไม่ทราบ ก็คือไม่ทราบว่าจะตายในเวลาไหน เวลาเช้า เวลาสาย เวลาบ่าย เวลาค่ำ ไม่สามารถที่จะทราบได้ เพราะว่าเป็นธรรมที่เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น เมื่อกล่าวโดยสรุปตามพระธรรมแล้ว ผู้ที่ยังมีอวิชชา ยังมีความติดข้องอยู่ ตายแล้วต้องเกิด
อ.อรรณพ ถ้าเราประเมินจากความไม่รู้ที่มากมาย ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่รู้เลยว่าเห็นเป็นธรรม ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส กระทบสัมผัส คิดนึก จะไปรู้ถึงความเป็นเหตุปัจจัยของสภาพธรรมนี้ว่า ปรุงแต่งแล้วจึงเกิด เกิดแล้วดับ ไม่รู้เลย แสดงว่าอวิชชาสะสมไว้ เป็นพืชเชื้อเต็มไปหมดในจิต ในเมื่อรากเขายังอยู่ ใช่ไหม ต้องขุดได้ด้วยปัญญา อริยมรรค ที่จะค่อยๆ ละคลาย ไถ่ถอนไป ในเมื่อเหตุยังมี ก็ต้องมีผล แต่อย่างไรก็ตามความลังเลสงสัย เป็นสภาพที่ตรึงใจไว้มั่นคงสำหรับผู้ที่สะสมพืชเชื้อของความลังเลสงสัยไว้ ท่านจึงกล่าวถึงเป็นตะปูที่ตรึงใจ ไม่ห่างไปจากความลังเลตรงนี้ เดี๋ยวๆ คิดไปค้างติดใจอยู่อย่างนี้ แต่ถ้าเราค่อยๆ เข้าใจธรรม แล้วก็รู้ขณะนี้ความไม่รู้ สะสมอยู่ในจิตมากมาย เห็นก็ยังไม่รู้ว่าเป็นธรรม ได้ยินก็ยังไม่รู้ว่าเป็นธรรม ก็ต้องฟังไปอย่างนี้
ท่านอาจารย์ ก็เป็นเรื่องยาก เพราะเป็นเรื่องฟัง แต่ที่จะเข้าใจจริงๆ ต้องเป็นการที่รู้ว่าไม่ใช่เรา ถ้ายังเป็นเราอยู่จะชื่อว่าเข้าใจไหม พูดว่าจิต แต่ก็ยังเป็นเรา ก็ชื่อว่าไม่เข้าใจจิต เพราะฉะนั้นต่อเมื่อไหร่ได้เริ่มรู้ว่า ไม่มีเรา เรียกชื่อว่าอาจารย์อู่แก้ว ชาตินี้ แล้วก็แต่ละคน ก็เป็นแต่ละหนึ่งๆ ถ้าไม่มีธรรมเลย จะมีอาจารย์อู่แก้วไหม เพราะฉะนั้นจริงๆ แล้ว ไม่มีอาจารย์อู่แก้ว แต่มีธรรม แล้วใครจะเปลี่ยนแปลงลักษณะของสภาพธรรมได้ อย่างจิต ธาตุรู้ เกิดแล้วดับ ไม่ให้เกิดอีกได้ไหม ไม่มีทางที่จะเป็นไปได้เลย เพราะฉะนั้น “ตาย” ที่เราบอกว่าตาย ก็คือจิตขณะสุดท้ายที่จะทำให้สิ้นสุดความเป็นบุคคลนี้ เพราะกรรมนั้น มีทั้งกรรมเล็ก กรรมน้อย กรรมใหญ่ ใช่ไหม กรรมที่ทำให้อายุสั้น เกิดมาไม่นานก็จากโลกนี้ไป หรือว่ากรรมที่ต้องเกิดบนสวรรค์ มีอายุยืนยาวมาก หรือว่ากรรมที่ทำให้ต้องทนทุกข์ทรมานในนรก ไม่มีใครอยากจะเป็นอย่างนั้นใช่ไหม ไม่อยากเกิดในนรก อยากเกิดบนสวรรค์ แต่ทุกอย่างไม่ใช่เพราะอยากแล้วจะเป็นได้ แต่ต้องเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยทั้งสิ้น
เพราะฉะนั้นความสงสัยนี้ไม่หมด จนกว่าจะรู้ว่าไม่ใช่เรา แล้วก็เป็นธรรม ซึ่งจิตนี้เกิดแล้วดับแน่นอน แต่ทำไมมีวันนี้อีก เดี๋ยวนี้อีก พรุ่งนี้อีก ก็เพราะเหตุว่าจิตเป็นธาตุซึ่งทันทีที่ดับต้องเป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดสืบต่อทันที ยับยั้งไม่ได้เลย ตั้งแต่เกิดไปจนกระทั่งถึงเดี๋ยวนี้ไม่เคยขาดจิตเลย เพราะว่าจิตที่ดับนั่นแหละ ทันทีที่ดับก็เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิด ไม่ใช่คุณอู่แก้ว แต่เป็นจิตและเจตสิกที่เกิดขึ้น เพราะฉะนั้นตราบใดที่ยังไม่รู้ว่า เมื่อมีปัจจัยที่จะให้จิตเกิด เจตสิกเกิด ใครยับยั้งไม่ได้ เพราะฉะนั้นจึงต้องเกิดเป็นไปในสังสารวัฎฏ์ เพราะรู้ว่าทำไมล่ะ เราก็เห็นคนเกิด คนตาย เราเองก็เกิดแล้วก็ต้องตายด้วย จะเป็นอย่างนี้ต่อไปไม่ได้ แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เพราะถึงเวลาที่กรรมจะสิ้นสุดความเป็นบุคคลนี้ จะเป็นบุคคลนี้ต่อไปอีกไม่ได้เลย ที่เราใช้คำว่าถึงแก่กรรม ถึงแต่การสิ้นสุดที่กรรมจะให้เป็นบุคคลนี้ จะเป็นต่อไปอีก ๑ ขณะจิตก็ไม่ได้ แต่กรรมนี่ เราไม่ได้ทำมาเพียงแค่ ๑ กรรม ๒ กรรม แค่ชาตินี้ชาติเดียวก็กรรมก็ประมาณไม่ได้แล้ว ทั้งกรรมเล็กกรรมน้อย แล้วก็ชาติก่อนๆ อีกนับไม่ถ้วน และใครจะรู้ว่ากรรมไหนจะให้ผล แม้แต่เราศึกษา เข้าใจว่าเห็นขณะนี้เป็นผลของกรรม บางคนตาบอดก็เป็นผลของกรรมอีก ที่ทำให้ไม่มีตา จักขุประสาทที่จะเป็นปัจจัยที่จะทำให้จิตเห็นเกิด ทั้งหมดมีเหตุทั้งสิ้น กรรมก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่จะทำให้ธาตุรู้เกิดดับสืบต่อไป ตามเวลาของกรรมว่าขณะไหนเป็นผลของกรรมอะไร ขณะไหนไม่ใช่กรรม ขณะไหนเป็นเหตุ ซึ่งต้องศึกษาและเข้าใจว่าไม่ใช่เราเมื่อไหร่ เมื่อนั้นก็จะรู้แน่นอนว่า ไม่ต้องสงสัยเลย ตายแล้วเกิดแน่ เหมือนเมื่อกี้นี้ดับ แล้วก็ต้องมีขณะนี้ หรือว่าวันนี้มี ก็ต้องมีขณะต่อไป
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1261
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1262
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1263
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1264
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1265
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1266
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1267
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1268
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1269
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1270
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1271
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1272
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1273
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1274
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1275
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1276
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1277
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1278
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1279
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1280
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1281
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1282
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1283
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1284
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1285
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1286
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1287
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1288
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1289
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1290
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1291
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1292
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1293
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1294
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1295
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1296
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1297
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1298
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1299
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1300
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1301
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1302
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1303
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1304
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1305
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1306
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1307
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1308
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1309
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1310
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1311
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1312
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1313
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1314
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1315
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1316
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1317
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1318
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1319
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1320
