ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1275


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ปกิณณกธรรม ตอนที่ ๑๒๗๕

    สนทนาธรรม ที่ กนกรัตน์ รีสอร์ท อัมพวา จ.สมุทรสงคราม

    วันที่ ๒ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๖๑


    ท่านอาจารย์ เห็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ ใครบ้างไม่รู้ แต่สิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้เป็นอะไร เห็นไหมพูดคำนี้ แต่ความหมายถึงอะไร ไม่ได้หมายความว่าเห็นคน ถ้าเคยเข้าใจว่าเห็นคนเห็นโต๊ะเก้าอี้มาแล้ว นั่นคือความคิดของเราใช่ไหม ที่ใช้ภาษาพูดออกมาว่าเห็นคน แต่คำนี้ก็แสดงให้เห็นถึงความไม่เข้าใจธรรม เพราะเหตุว่าธรรมไม่ใช่คน สิ่งที่เพียงกระทบตาได้ คิดดู คนมากระทบตาได้ไหม ไม่มีทาง แต่สิ่งที่กำลังปรากฏนี้ต่างหาก ไม่มีใครรู้เลยว่ากระทบตา แต่จะปรากฏต่อเมื่อมีเห็น ถ้าไม่มีเห็นสิ่งนี้จะไม่ปรากฏเลย เพราะฉะนั้นเห็นไหมคำภาษาไทยเรา เข้าใจได้แต่ความหมายลึกซึ้ง เพราะฉะนั้นชาวมคธเขาก็พูดของเขาเหมือนเดิม เหมือนเราพูดภาษาไทย แต่เวลาที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม หมายความถึงลักษณะซึ่งยากที่จะเข้าใจได้ ต้องไตร่ตรอง ทุกคนเข้าใจแล้ว คนไม่มี คนกระทบตาไม่ได้ แต่ขณะใดที่เห็นต้องมีสิ่งที่ปรากฏว่าสิ่งนั้นมีจริงๆ เพียงแค่นี้อีกนานไหม ที่จะรู้ว่าไม่ได้เห็นคน ไม่ได้เห็นโต๊ะ แต่เห็นเพียงสิ่งที่มีและก็เกิดแล้วก็ดับ เพื่อที่จะรู้ความจริงว่าตลอดสังสารวัฏ เราติดข้องเพราะความไม่รู้ในทุกอย่าง แม้แต่คำที่ได้ฟัง ถ้าไม่พิจารณาไตร่ตรองว่า หมายความถึงธรรมอะไร จะใช้ภาษาอะไรก็ตาม อย่างไรก็ตาม แต่เข้าใจธรรมจากคำที่เราได้ยินได้ฟังมากน้อยแค่ไหน อันนี้เป็นสิ่งที่สำคัญ

    เพราะฉะนั้นแม้แต่คำว่าวิเศษ ไม่ใช่ธรรมก็ได้ ใช่ไหม อาหารนี้วิเศษมากเป็นอย่างไร ไม่เคยลิ้ม ไม่เคยรับประทาน รสแปลกอร่อยเลิศ เราใช้คำว่าวิเศษใช่ไหม เพราะฉะนั้นแต่ละคำแต่ละคำก็เข้าใจกันในภาษานั้น แต่ธรรมต้องฟังแล้วเข้าใจในความเป็นธรรม ทุกคำที่เป็นการกล่าวถึงธรรมมาจากภาษาบาลี คือภาษามคธี ซึ่งคนไทยเราก็ไม่ได้พูดคำนั้นเลย ต้องอาศัยการศึกษาการเรียนอย่างมากที่จะรู้ว่า คำนี้หมายความถึงอะไร เหมือนเราเรียนภาษาหนึ่งภาษาใด ภาษาอังกฤษ ภาษาฝรั่งเศส ภาษาลาว ภาษาอะไรก็ตามแต่ ใช่ไหม ฟังเพื่อให้รู้ว่าคำนี้หมายความถึงอะไร เพราะฉะนั้นภาษาบาลีเป็นภาษาที่ไม่ง่ายเลย หลักไวยากรณ์อะไรต่างๆ ก็ไม่เหมือนภาษาอย่างที่เราเคยใช้อยู่

    ด้วยเหตุนี้ต้องอาศัยผู้ที่ศึกษาและมีความเข้าใจในรูปแบบ ในเสียง ในไวยากรณ์ ในทุกอย่าง เพื่อไม่ให้คลาดเคลื่อนแม้แต่สระสั้นกับสระยาว ความหมายผิดกันไหม ใช่ไหม ยาวหรือสั้นความหมายก็เปลี่ยน เพราะฉะนั้นก็แสดงให้เห็นว่า จุดมุ่งหมายคือฟังเพื่อเข้าใจธรรม ได้ยินคำว่าวิเศษ ถ้าเราจะคิดว่า คำว่าวิเศษในภาษาไทยมาจากไหน และความหมายเดิมว่าอะไร สิ่งที่มีจริงต้องมีลักษณะปรากฏให้รู้ว่ามีใช่ไหม หวาน ต้องมี ไม่มีเราจะมีคำนี้หรือ เค็มก็ต้องมีสภาพลักษณะที่เค็ม เราจึงใช้อีกคำหนึ่ง เพื่อให้รู้คำนี้หมายความถึงสภาพนั้น เพราะฉะนั้นแต่ละเสียงนำไปสู่ความหมายของสิ่งที่มีจริง เวลาที่เราใช้คำว่าเสียง เราไม่ได้คิดถึงเห็น เพราะฉะนั้นแต่ละเสียงก็นำไปสู่ลักษณะของสิ่งที่มี ด้วยเหตุนี้ถ้าเป็นภาษาบาลีที่แปลแล้ว ก็จะมีคำว่าวิเสสลักษณะ ภาษาไทยก็ชอบตัดสั้นๆ เสมอเลย วิเศษบ้าง พิเศษบ้างก็แล้วแต่ ว กับ พ ใช้แทนกันได้ ด้วยเหตุนี้ความหมายก็เปลี่ยนแล้วใช่ไหม ถ้าเราไม่ศึกษา

    เพราะฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่าง ถ้าเรารับมาเพียงเผินๆ เราก็จะเข้าใจเผินๆ แต่ถ้าเราเข้าใจว่าสิ่งที่มีแต่ละหนึ่ง มีลักษณะเฉพาะของตน เปลี่ยนไม่ได้เลย อย่างรสที่รู้ว่ามีก็เพราะเหตุว่ากระทบลิ้น กระทบอย่างอื่นรสไม่ปรากฏเลย หยิบน้ำตาลขึ้นมา ตรงที่หยิบหวานไหม หยิบพริกเผ็ดไหม ก็ไม่เผ็ดใช่ไหม เพราะฉะนั้นลักษณะเฉพาะของแต่ละหนึ่ง วิเศษลักษณะ ลักษณะเฉพาะคือเปลี่ยนไม่ได้เลย แต่ละธรรมก็มีลักษณะเฉพาะของตนของตน แต่ถ้าจะใช้ในความหมายว่าวิเศษ ก็คือว่าใครก็เปลี่ยนลักษณะนั้นไม่ได้ใช่ไหม พิเศษวิเศษจริงๆ คือต้องเป็นอย่างนั้นแหละ แค่ไหนก็แค่นั้น เผ็ดก็ต้องเผ็ด ขมก็ต้องขม เค็มก็ต้องเค็ม เป็นลักษณะเฉพาะของสภาพธรรมนั้น ซึ่งใครเปลี่ยนแปลงไม่ได้ เพราะฉะนั้นจริงๆ แล้วจะใช้คำว่าพิเศษ หรือจะไม่ใช้คำว่าพิเศษ จะใช้คำว่าวิเสสลักษณะ หรือจะใช้คำว่าลักษณะเฉพาะของแต่ละหนึ่งก็แล้วแต่ แต่ขอให้รู้ว่าหมายความถึงสิ่งที่มีจริง แล้วสิ่งที่มีจริง ถ้าเราไม่ศึกษาโดยละเอียด อย่างเมื่อเช้านี้จะได้ยินคำว่าอารมณ์ คนที่ไม่ศึกษาธรรมก็เข้าใจอีกอย่างหนึ่ง เพราะเหตุว่าคำนี้มาจากภาษาบาลีว่า อารัมมณะ แต่คนไทยก็เรียกสั้นๆ ว่าอารมณ์ คนไทยก็บอกว่าวันนี้อารมณ์ดี อารมณ์เสีย อารมณ์ไม่ดี เข้าใจกันเลยใช่ไหม หน้าเขาก็บึ้ง วันนี้เขาอารมณ์ไม่ดีแน่ วันนี้เขาก็ยิ้มแย้มแจ่มใสดีใช่ไหม เราก็เข้าใจเลยคนนี้อารมณ์ดี แต่คำนี้มาจากภาษาบาลีจากคำว่าอารัมมณะ หมายความถึงสิ่งที่จิตรู้ เมื่อจิตเป็นสภาพรู้ต้องมีสิ่งที่ถูกรู้ โดยเหตุโดยผล จะเกิดมีสภาพรู้ไม่มีสิ่งที่ถูกรู้ได้อย่างไร ใช่ไหม ก็ต้องมี ๒ คำ จิตเป็นสภาพที่รู้ สิ่งที่ถูกจิตรู้ไม่ว่าอะไรทั้งหมด คำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้วเปลี่ยนไม่ได้เลย

    เพราะฉะนั้นอารัมมณะ หรืออารมณ์ในภาษาไทย หมายความถึงสิ่งที่ถูกจิตรู้ เพราะฉะนั้นถ้าเรามีความเข้าใจจริงๆ ใครจะไปพูดเป็นภาษาพม่า ภาษาเขมร ภาษาฝรั่งเศส ภาษาญี่ปุ่น เราก็รู้ว่าก็หมายความถึงสิ่งที่จิตรู้ เพราะเมื่อมีจิตเกิดขึ้นแล้วต้องรู้ หมายความว่าต้องมีสิ่งที่ปรากฏ ที่จิตกำลังรู้ด้วย ถ้าจิตไม่รู้สิ่งนั้นปรากฏไม่ได้เลย รู้ไหมว่าตั้งแต่เกิดจนตายไม่เคยขาดอารมณ์ เพราะว่าไม่เคยขาดจิต เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้เอง อะไรอะไรที่ปรากฏให้เห็นก็เป็นอารมณ์ เสียงเวลาที่ปรากฏก็เฉพาะจิตที่กำลังได้ยินเสียงนั้นเสียงเดียวทีละเสียง เพราะฉะนั้นเสียงก็เป็นอารมณ์ของจิต ด้วยเหตุนี้ถ้าวันไหนหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส วันนั้นก็เห็นดี ได้ยินดี ได้กลิ่นดี ลิ้มรสดี อากาศก็สบายดี เรื่องราวต่างๆ ก็ไม่ใช่เรื่องเดือดร้อนเลย หน้าตาก็ยิ้มแย้มแจ่มใสก็อารมณ์ดี แต่ลืมว่าจิตต่างหากที่รู้สิ่งนั้นแล้วดับ แล้วไม่กลับมาอีกเลย เพราะฉะนั้นฟังธรรมเพื่อเข้าใจสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ เพื่อจะนำไปสู่ความลึกซึ้งอย่างยิ่งที่ว่าไม่มีเรา แล้วมีอะไร ก็มีสิ่งที่มีจริงคือมีธรรม แต่สิ่งที่มีจริงนั้นก็ไม่ใช่เรา ด้วยเหตุนี้ก็คือมีแต่สิ่งที่มีปัจจัยเกิดขึ้น ถ้ามีไฟเกิดขึ้นก็ดับไป ก็ไม่เดือดร้อน มีลมเย็นๆ พัดมาแล้วก็พัดไป ก็ไม่เดือดร้อน ก็มีสิ่งที่มี แต่ความลึกซึ้งก็คือว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ว่าสิ่งที่มีแต่ละหนึ่ง มีอะไรเป็นปัจจัยอาศัยกันและกันอย่างไร จึงเกิดขึ้นเป็นอย่างนั้นได้ ซึ่งไม่มีใครรู้เลย

    ด้วยเหตุนี้แม้แต่ได้ยินคำว่าจิต เราก็เผิน เด็กๆ มีจิตไหม นกมีจิตไหม หนอนมีจิตไหม ก็รู้แค่นี้ใช่ไหม แต่ว่าจิตคือธาตุรู้สภาพรู้ ไม่มีใครเป็นเจ้าของเลย ใครก็ไปทำให้เกิดไม่ได้ ฝนจะตกฟ้าจะร้อง ใครห้ามได้ เพราะฉะนั้นจิตจะเกิดจิตจะดับใครห้ามได้ ก็คือเป็นธรรมคือสิ่งที่มีจริง ซึ่งถ้าไม่เข้าใจอย่างนี้ ในสังสารวัฏนานแสนนานมาแล้วก็หลงว่าเป็นเรา แต่ละชาติ แต่ละชาติ แต่ละชาติ แล้วเป็นเราได้นานแค่ไหน แค่วันนี้ก็ได้ พรุ่งนี้ก็ได้ เดือนหน้าก็ได้ ก็ต้องหมดสิ้นความเป็นเรา เพราะฉะนั้นทั้งหมดที่ผ่านมาด้วยความเป็นเรา อยู่ไหนสำคัญแค่ไหนไม่เหลือเลย และในที่สุดก็ต้องจากไป ขนาดที่ว่าจำไม่ได้เลย ตื่นขึ้นมามีทุกอย่าง หลับไม่มีอะไรปรากฏเลยลืมหมด พอรุ่งขึ้นก็เห็นใหม่ ได้ยินใหม่ จำใหม่ คิดใหม่ พอถึงตอนหลับ เมื่อตอนกลางวัน วันนี้เป็นอะไรอยู่ที่ไหน ตอนเช้าตอนเย็นตอนบ่ายทำอะไรบ้างไม่รู้เลย เมื่อสักครู่นี้รับประทานอะไรบ้าง ยังไม่ทันข้ามวัน ยังไม่ทันหลับเห็นไหม แล้วใครไปบังคับได้ว่าให้จำไว้ให้หมด บอกได้หมดเลยทุกอย่างรสชาติเป็นอย่างไร เป็นสิ่งซึ่งไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครเลยจริงๆ ฟังธรรมเพื่อรู้จริงๆ ว่าเป็นอนัตตา หนึ่งคำแล้ว ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา สิ่งที่ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา ถ้าไม่เกิดจะมีไหม ก็ไม่มี ใครไปทำให้เกิดได้ไหม ไม่ได้ เกิดแล้วก็ต้องหมดไป ใครจะทำให้ยังอยู่ได้ไหม ก็ไม่ได้

    เพราะฉะนั้นเริ่มเห็นความไม่มีสาระของการที่ไม่ใช่เราเลย แต่มีจริงๆ ตามเหตุตามปัจจัย เกิดขึ้นแล้วก็ดับไปไม่สิ้นสุด ใครจะห้ามไม่ให้จิตเกิด ไม่มีทางเป็นไปได้เลย จนกว่าจะได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จนกว่าความเข้าใจในความไม่เป็นสาระ ของสิ่งที่เพียงเกิดขึ้นแล้วหมดไป เพราะรู้ ต้องประจักษ์แจ้งการเกิดดับ ถ้ายังไม่ประจักษ์แจ้ง ใครมาบอกสักเท่าไหร่ ก็ไม่เห็นจะเป็นอย่างนั้นเลย ใช่ไหม เพราะว่าไม่รู้ แต่ปัญญาที่จะรู้อย่างนั้นได้ รู้ได้เริ่มจากการฟังไตร่ตรองว่าจริงไหม เมื่อจริงแล้วยังไม่ปรากฏก็คือ ไม่ได้ปรากฏกับความไม่รู้หรือความรู้ขั้นฟัง แต่ต้องปรากฏที่ความเข้าใจที่เพิ่มขึ้นเพิ่มขึ้น และก็ละคลายความไม่รู้ ละคลายความติดข้อง ไม่มีเครื่องกั้น ถึงเวลาซึ่งเป็นอนัตตา สภาพธรรมก็ปรากฏกับปัญญาที่อบรมเจริญแล้วเท่านั้น

    เพราะฉะนั้นการฟังพระธรรม ปัญญาก็มีหลายระดับขั้น ถ้าฟังไม่รู้เรื่องจะนำไปสู่ปฏิปัตติได้ไหม ที่จะถึงเฉพาะลักษณะนี้ ตามที่ได้ฟังด้วยความเข้าใจ คือเห็นเป็นธาตุรู้ และสิ่งที่ปรากฏก็ไม่ใช่ใครเลย เป็นแต่เพียงสิ่งที่กำลังมีลักษณะที่ปรากฏให้เห็นได้ แต่การเกิดดับต้องมีแน่นอน เพราะว่าชีวิตจริงๆ เราก็มองเห็นใช่ไหมว่า เห็นไม่ใช่ได้ยิน ไม่ใช่คิด แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง สิ่งที่ไม่ปรากฏระหว่างเห็นกับได้ยิน จิตเกิดดับกี่ขณะไม่ปรากฏเลย เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องของไม่ใช่เรา แต่ว่ามีโอกาสให้ธรรมที่เป็นความเข้าใจถูกเห็นถูกเกิดขึ้น เมื่อมีการได้ฟังและเห็นคุณค่าและรู้ประโยชน์ว่า มืดด้วยอวิชชา เหมือนฝันไหม ต่างกันตรงไหนกับฝัน ตอนฝันก็มีหมดเลยทุกอย่าง ตื่นขึ้นมาหายไปไหน หายไปเลย

    เพราะฉะนั้นวันนี้ก็มี แต่พรุ่งนี้ก็ไม่มีแล้ว เหมือนฝันไหม เพราะฉะนั้นยังไม่ตื่น ตราบใดที่ยังไม่ประจักษ์แจ้งความจริงว่า ขณะนี้ไม่มีเรา แต่มีธรรมแต่ละหนึ่ง เพราะฉะนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อทรงตรัสรู้แล้ว เห็นความลึกซึ้งอย่างยิ่งของธรรม แต่ทรงแสดงพระธรรม เพราะรู้ว่ามีผู้ที่สามารถเข้าใจได้ เพราะฉะนั้นทรงแสดงพระธรรม เพราะรู้ว่าคำของพระองค์ สามารถจะทำให้คนที่ได้ยินได้ฟัง แล้วก็ไตร่ตรอง ค่อยๆ มีความเข้าใจขึ้น เพราะฉะนั้นก็เป็นอานุภาพ เป็นปาฏิหาริย์ เป็นเตชะ พลังของธรรมคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สามารถทำให้เกิดความเข้าใจสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ ทีละเล็กทีละน้อย มีสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นได้ในขณะเห็น เพราะฉะนั้นวิเสสลักษณะเฉพาะแต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง เราจะคิดว่าพิเศษวิเศษก็ได้ เพราะไม่เหมือนใครใช่ไหม เป็นธรรมที่ใครก็บังคับบัญชาไม่ได้

    เพราะฉะนั้นคำอะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับที่จะเข้าใจความจริงของธรรมว่า มีจริง เกิดขึ้นและก็ดับไปตามเหตุตามปัจจัย แล้วก็ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร และไม่ใช่ใครเลยทั้งสิ้น ถ้าเข้าใจอย่างนี้มั่นคง นี่เป็นทางเดียวที่จะทำให้รู้แจ้งอริยสัจธรรม คือเข้าใจถูกต้องว่าเป็นสิ่งที่มีจริง ซึ่งไม่ใช่เราและก็ไม่ใช่ของเรา และก็ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น คำสำคัญตรงที่ทำให้เข้าใจสิ่งที่มีจริงได้ถูกต้อง จะพูดผิดพูดถูกอย่างไรก็ตาม แต่ถ้าสามารถเกื้อกูลอนุเคราะห์ให้คนต่างชาติต่างภาษา เขาสามารถที่จะไตร่ตรองด้วยความคิดปัญญาของเขาเอง ในคำที่เขาคุ้นเคยเขาก็สามารถที่จะเข้าใจได้

    ผู้ฟัง ผมอยากจะรู้ความต่างในลักษณะของสิ่งที่ถูกรู้ กับอาการรู้

    ท่านอาจารย์ คงไม่ลืม เราจะเข้าใจได้ คือสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้นรู้โดยวิญญาณคือธาตุรู้ว่า มีสิ่งที่กำลังปรากฏ รู้โดยสัญญาความจำ แต่ถ้ามีความเข้าใจถูกต้องว่าไม่ใช่เรา รู้โดยปัญญา แต่ส่วนใหญ่จะรู้โดยสัญญา นั่นใคร

    ผู้ฟัง สังคมเขาก็รู้ว่าเป็นอาจารย์

    ท่านอาจารย์ ก็ใช่ แต่เขาไม่รู้ว่าไม่ใช่เรา ที่สำคัญที่สุดคือทุกอย่างเขารู้หมดเลย นักวิทยาศาสตร์ นักอะไรก็ตามรู้หมด แต่รู้ไหมว่าขณะนั้นคืออะไร

    ผู้ฟัง คือความคิด

    ท่านอาจารย์ รู้จักคิดไหมว่าคืออะไร

    ผู้ฟัง คิดก็คือสภาพคิดที่มีอารมณ์

    ท่านอาจารย์ เขารู้จักจิตไหมว่าจิตมีเท่าไหร่ ก่อนจิตเห็นมีอะไร

    ผู้ฟัง ก่อนจิตเห็น ก็มีจิต

    ท่านอาจารย์ ซึ่งไม่ใช่จิตเห็น นักวิทยาศาสตร์บอกไหม

    ผู้ฟัง ไม่บอก

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นจะกล่าวว่าเขารู้ไหม ทั้งหมดส่วนใหญ่รู้โดยสัญญาที่จำ จำ จำ หมดเลย ไม่มีใครที่เดินเข้ามาแล้วไม่รู้อะไรใช่ไหม บันไดก็ต้องรู้ ไม่อย่างนั้นจะเดินถูกหรือ เพราะฉะนั้นส่วนใหญ่จะรู้โดยสัญญา โดยความเป็นสัญญาวิปลาส เป็นเราหรือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ไม่ได้รู้ความจริงว่า เพียงแค่ปรากฏแล้วหมดไป เพราะฉะนั้นกว่าสัญญาวิปลาสจะหมดสิ้นไปได้ก็ด้วยปัญญา เพราะฉะนั้นจึงมีรู้โดยวิญญาณคือจิต และรู้โดยสัญญาคือจำ และรู้โดยปัญญาคือเข้าใจถูก เพราะฉะนั้นถ้าเราใช้คำว่าเข้าใจ แล้วก็จำและก็รู้ เราก็แยกออกได้ใช่ไหมว่า อันนี้เป็นธาตุรู้คือว่าไม่ใช่โต๊ะเก้าอี้ นั่นไม่รู้อะไรเลย ใครจะจับจะถูกจะต้องจะทุบอย่างไรก็ไม่รู้ แต่ธาตุรู้ใครบังคับไม่ให้รู้ไม่ได้ ต้องรู้ทุกครั้งที่เกิดขึ้น เป็นธาตุรู้ก็ต้องรู้ เกิดมารู้เท่านั้นแล้วก็ดับ เกิดมาเห็นเท่านั้นแล้วก็ดับ เกิดมาได้ยินแค่ได้ยิน ดับแล้ว คนละจิต ที่กำลังคิดก็ไม่ใช่จิตที่ได้ยิน เพราะฉะนั้นจิตนั้นเกิดขึ้นรู้เสียง โดยความเป็นวิญญาณรู้แจ้งในเสียงแค่นั้นแล้วดับไป แล้วไม่กลับมาอีกเลย แต่การดับไปของจิตขณะก่อน ก็เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไป เกิดสืบต่อไม่หยุด โดยเป็นปัจจัยที่จะต้องสืบเนื่องต่อไป จนกว่าจะถึงจุติจิตขณะสุดท้ายของพระอรหันต์ ที่เราใช้คำว่าปรินิพพาน

    เพราะฉะนั้นฟังแล้ว แต่ละคำแต่ละคำ เพื่อที่จะเข้าใจในความไม่ใช่เรา และก็ต้องชัดเจน เพราะส่วนใหญ่จะตอบรู้โดยสัญญา คือความจำทั้งนั้นเลยใช่ไหม แล้วก็ใกล้เข้าไปอีกหน่อย ธาตุรู้ที่กำลังเห็นก็ยาก เพราะว่าเห็นทุกวัน จนไม่ต้องไปจำไปสังเกตอะไรหมด เหมือนกับว่าเป็นเราที่เห็นอยู่ตลอดเวลา แต่ปัญญาไม่ใช่รู้อย่างนี้ ความเข้าใจถูกต้อง ตามความเป็นจริงของสิ่งนั้น เพราะฉะนั้นฟังแล้วก็ต้องรู้ว่าแต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง คืออะไร ทั้งหมดเพื่อไม่มีเรา

    ผู้ฟัง เพราะฉะนั้นที่ถูกที่สุด ก็คือรู้ด้วยปัญญา

    ท่านอาจารย์ ในบรรดาสิ่งทั้งหลายที่เกิดขึ้น ปัญญาประเสริฐสุด

    ผู้ฟัง คือเราจะปฏิบัติอย่างไรให้เห็นสภาพธรรมแบบนั้น

    ท่านอาจารย์ มีเราจะปฏิบัติ ไม่ได้เข้าใจว่าไม่มีเรา อะไรถูก ต้องเริ่มจริงๆ ว่าอะไรถูกต้อง มีเราหรือว่าไม่มีเรา

    ผู้ฟัง ขณะที่เห็นนั่นก็คือไม่มีเรา

    ท่านอาจารย์ ทุกขณะเลยตั้งแต่เกิดจนตาย ทุกชาติด้วย เป็นธรรมแต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง จนกว่าจะเข้าใจถูกต้องอย่างนั้น

    ผู้ฟัง แต่เราไม่เคยทราบมาก่อน

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นอาศัยคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงโดยละเอียดอย่างยิ่งทุกอย่าง ให้มีความเข้าใจที่ถูกต้องว่า สิ่งที่มีเมื่อเกิดตามเหตุตามปัจจัยแล้วก็ดับไป เป็นเราไม่ได้

    ผู้ฟัง แล้วเราจะต้องการให้เขาปรากฏขึ้นมาอีกก็ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ก็เราต้องการ แต่ต้องการก็คือต้องการ เป็นธรรมอย่างหนึ่ง ทุกอย่างที่มีจริงเป็นธรรมแต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง ให้เข้าใจให้ถูกต้องว่าไม่ใช่เรา ไม่เช่นนั้นเราจะทำอย่างไร วันนั้นเราเห็นอย่างนี้ แล้วเราก็คิดอย่างนั้น ก็เต็มไปด้วยเรา ซึ่งความจริงคิดมีจริง แต่คิดก็เกิดแล้วก็ดับ ไม่ทราบไปสำนักไหนมา

    ผู้ฟัง ก็ไปสวดมนต์ที่วัด และก็ปฏิบัติเองคล้ายๆ กับเจริญสติ

    ท่านอาจารย์ สติคืออะไร

    ผู้ฟัง สติคือการระลึก

    ท่านอาจารย์ ระลึกอย่างไร

    ผู้ฟัง ระลึกรู้ถึงสภาพธรรม

    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้สติเกิดได้ไหม

    ผู้ฟัง ได้

    ท่านอาจารย์ มีอะไรเป็นปัจจัยให้สติเกิด

    ผู้ฟัง การระลึกรู้ในขณะปัจจุบัน

    ท่านอาจารย์ เวลาสติเกิด สติรู้อะไร

    ผู้ฟัง รู้ตัวเองว่ากำลัง

    ท่านอาจารย์ นั่นคิด ไม่ใช่รู้ลักษณะที่เป็นธรรม ไม่ใช่สติ

    ผู้ฟัง รู้ถึงสิ่งที่ปรากฏ

    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้อะไรกำลังปรากฏ

    ผู้ฟัง ความรู้สึกเย็น

    ท่านอาจารย์ ความรู้สึกเย็น หมดหรือยัง

    ผู้ฟัง หมดแล้ว แล้วก็เกิดขึ้นให้รับรู้อีก

    ท่านอาจารย์ คิดหรือว่า สติสัมปชัญญะเริ่มประจักษ์ลักษณะของเย็น

    ผู้ฟัง เมื่อระลึกรู้ก็จะ

    ท่านอาจารย์ ใช้คำว่าระลึกรู้ แต่ถ้าไม่มีความเข้าใจเลย จะรู้ไหมในขณะนั้นว่าเป็นธรรมหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่เรา เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ได้ เป็นปกติตามความเป็นจริง

    ผู้ฟัง เพราะฉะนั้นสิ่งสำคัญก็คือ เราจะต้องเข้าใจปัจจุบันอย่างเดียว

    ท่านอาจารย์ ปัจจุบันคืออะไร

    ผู้ฟัง ปัจจุบันคือสิ่งที่ปรากฏ

    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้จะเข้าใจอะไรที่เป็นปัจจุบัน

    ผู้ฟัง การเห็น

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นกำลังเริ่มเข้าใจเห็นหรือยัง ขณะที่กำลังเริ่มเข้าใจเห็น ไม่มีอย่างอื่นปรากฏใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ และขณะที่กำลังเริ่มเข้าใจเห็น ขณะนั้นเข้าใจอะไร

    ผู้ฟัง เข้าใจว่าการเห็น เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเองตามเหตุและปัจจัย

    ท่านอาจารย์ เกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย จึงจะรู้ว่าไม่ใช่เรา ข้อสำคัญที่สุดคือเมื่อสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่มีเกิดขึ้นและก็ดับไป ก็ไม่ใช่เรา แต่ไม่ใช่ขั้นคิด ค่อยๆ เข้าใจเห็น นอกจากเข้าใจเห็น แล้วเข้าใจอะไรอีก

    ผู้ฟัง ได้ยิน

    ท่านอาจารย์ แล้วเข้าใจอะไรอีก

    ผู้ฟัง เข้าใจถึงความรู้สึกเบา

    ท่านอาจารย์ นั่นคือคิด ไม่ใช่เข้าใจสภาพที่กำลังคิด ต้องแยกให้ออก ฟังเรื่องสิ่งที่มีจริงๆ แต่ยังไม่ได้รู้เฉพาะตรงนั้นจริงๆ แต่ถ้าไม่มีความเข้าใจเป็นพื้นฐาน จะไปเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏทีละหนึ่งไม่ได้เลย ต้องเข้าใจในความเป็นอนัตตา ถึงจะละความเป็นอัตตาได้ ถ้าเป็นอัตตาไปเข้าใจ ก็ไม่ละความเป็นอัตตา เพียงแต่เริ่มเข้าใจว่าเห็นไม่ใช่ได้ยิน แต่เห็นเกิดจริงๆ ดับจริงๆ เท่านั้น ยังไม่ได้ปรากฏ

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 188
    15 ก.ค. 2568