ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1284
ปกิณณกธรรม ตอนที่ ๑๒๘๔
สนทนาธรรม ที่ โรงแรมเชียงใหม่ฮิลล์ จ.เชียงใหม่
วันที่ ๑๘ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๖๑
อ.อรรณพ กราบเรียนท่านอาจารย์ก่อนว่า ถ้าเราจะกล่าวถึงวิกฤตพระพุทธศาสนากับประเทศชาติ ไหนก็ตาม ถ้าเราไม่เข้าใจว่าพระพุทธศาสนาคืออะไร ก็เริ่มวิกฤติตั้งแต่ว่าชาวพุทธ ไม่รู้จักว่าพระพุทธศาสนาคืออย่างไร
ท่านอาจารย์ จริงๆ แล้วก็รู้ได้ ว่าเราเกิดมาด้วยความไม่รู้ ไม่เข้าใจตั้งแต่เกิด เราจึงได้มีการเรียนวิชาต่างๆ เพื่อที่จะได้มีความรู้ แต่ว่าวิชาที่สำคัญที่สุด ซึ่งทุกคนสมควรอย่างยิ่งที่จะได้เข้าใจ ก็คือพระพุทธศาสนา เพราะเหตุว่าศาสนาหมายความถึงคำสอน พุทธคือปัญญาที่รู้แจ้งถึง ความเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสรู้โดยผู้ที่ได้บำเพ็ญบารมีมานานมาก ถึงการที่จะรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ แม้แต่เพียงคำว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า วันนี้มีใครกี่คน ที่คิดถึงพระองค์ และถ้าเราเป็นชาวพุทธ ก็หมายความว่าเรารู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า รู้คุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นมีพระองค์เป็นที่พึ่ง เพราะว่าทุกคน ต้องจากโลกนี้ไป อยู่ได้ไม่นาน แล้วแต่ว่าจะจากไปวันไหน มีที่พึ่งอะไรหรือเปล่า หรือว่าเกิดมาเหมือนกันทุกวันเลย หลับแล้วก็ตื่น ตื่นขึ้นมาก็เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรสสารพัดเรื่องปัญหาทุกอย่างแล้วก็หลับ ตอนหลับเรื่องในวันนั้นหายไปไหนหมด ไม่มีเหลือเลยสักนิดเดียว ถ้าจะจากโลกนี้ไป ก็หมดเรื่องโลกนี้ หมดปัญหาทุกปัญหาในโลกนี้ แต่ว่ายังจากโลกนี้ไปไม่ได้ เพราะเหตุว่ายังไม่รู้ว่า เพราะอะไรจึงต้องตื่น และตื่นมาแล้วเหมือนเดี๋ยวนี้เลย ทำอะไร เห็นคิดถึงสิ่งที่เห็น ได้ยินคิดถึงเรื่องที่ได้ยิน ทั้งหมดก็มีการเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การลิ้มรส การรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส การคิดนึกเท่านั้นเอง ในวันหนึ่งวันหนึ่งแล้วก็หมดไปอย่างรวดเร็วด้วย จนกระทั่งบางคนก็บอก ทำไมวันหนึ่งวันหนึ่งหมดไปเร็วเหลือเกิน เดี๋ยวก็หมดเดี๋ยวก็หมด ทุกสิ่งที่มีในวันนี้ประเดี๋ยวก็อีกไม่กี่ชั่วโมงก็หมดสิ้น หลับสนิทไม่มีอะไรปรากฏเลย ตื่นขึ้นมาก็เริ่มใหม่ เป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จนตาย แล้วก็แต่ละ ๑ หลากหลายกันมาก โดยไม่มีใครสามารถที่จะเลือกได้ ว่าวันไหนจะสุขวันไหนจะทุกข์ วันไหนจะมีอะไรเกิดขึ้น โดยไม่รู้ความจริงเลย
เพราะฉะนั้นจากโลกนี้ไปเหมือนเดิม คือเกิดมาด้วยความไม่รู้ แล้วก็จากโลกนี้ไปด้วยความไม่รู้ ถ้าไม่ได้ยินคำว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นผู้ที่มีโอกาสจะได้ยินคำนี้ไม่มาก ไม่ใช่ว่าทุกคนทั้งโลก ลองดูว่ามีใครกี่คนที่จะได้ยินคำว่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ยินแล้วไม่สนใจก็มาก ได้ยินแล้วเริ่มสนใจ แต่พระธรรมละเอียดลึกซึ้งอย่างยิ่ง มิฉะนั้นผู้นั้นซึ่งทรงตรัสรู้ความจริง จะไม่ได้ทรงพระนามว่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มีเพียงพระองค์เดียวที่รู้ความจริงถึงที่สุด แล้วใครรู้คุณค่าอันนี้บ้าง ว่ามีผู้ประเสริฐที่สุดที่ตรัสรู้ความจริง ของทุกสิ่งทุกอย่างถึงที่สุดโดยประการทั้งปวง ตั้งแต่เกิดจนตาย ทุกขณะทุกชาติ เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีโอกาสได้ยินได้ฟังคำของพระองค์ ก็ไม่สามารถที่จะรู้คุณ คือพระปัญญาที่ทรงแสดงให้คนที่เกิดมาแล้วก็ตายไป เกิดมาแล้วก็หลับแล้วก็ตื่น แล้วก็เห็น แล้วได้ยิน แล้วก็จากโลกนี้ไปไม่เข้าใจอะไรเลย ถ้าไม่ได้ฟังคำของพระองค์ เพราะฉะนั้นผู้ที่ได้ยินคำนี้แล้วไม่ผ่านไป เริ่มรู้ว่ามีบุคคลหนึ่งในโลก ในสากลจักรวาล แม้เทวดาและพรหมโลกไหน ก็ไม่สามารถที่จะเปรียบพระคุณได้ ผู้นั้นคือพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งได้ทรงแสดงพระธรรม ๔๕ พรรษานาน เราเรียนวิชาไหน ๔๕ ปี และ ๔๕ ปีไม่จบยังต้องศึกษาต่อไปอีก มีใครกล่าวว่าศึกษาพระพุทธศาสนาจบบ้าง เป็นไปไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นก็จะรู้ได้ว่าโอกาสที่จะได้ยินได้ฟัง ได้เข้าใจความจริงของพระพุทธศาสนา เป็นสิ่งที่มีค่ายิ่งกว่ารัตนะใดๆ เพราะเหตุว่าสิ่งอื่นติดตามเราไปไม่ได้เลย ทรัพย์สินเงินทองรูปร่างชื่อเสียงเกียรติยศทั้งหมดจบสิ้น เมื่อจิตขณะสุดท้ายเกิดแล้วดับ ทำกิจพ้นสภาพความเป็นบุคคลนี้โดยสิ้นเชิง แต่สิ่งที่จะติดตามไปดีและชั่ว และสิ่งที่ประเสริฐกว่านั้นก็คือว่าความเข้าใจถูก ซึ่งถ้าไม่มีโอกาสได้ยินได้ฟัง จะไม่มีการที่จะได้รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย
เพราะฉะนั้นผู้ที่ได้ยินคำนี้ ไม่ประมาท ไม่คิดว่าพระพุทธศาสนาง่าย พระไตรปิฎกอ่านเมื่อไหร่ก็ได้ พอได้ยินได้ฟังนิดๆ หน่อยๆ ก็เชื่อ นั่นไม่มีทางที่จะรู้จักพระสัมมาสัมเจ้า ทรงแสดงธรรม ๔๕ พรรษา เพื่อให้แต่ละคนที่ฟัง ไม่ใช่เชื่อใครไม่ใช่ตามใคร แต่ว่าไตร่ตรองพิจารณา เริ่มเป็นความเข้าใจที่ถูกต้อง นั่นคือปัญญา เพราะฉะนั้นก็ต้องรู้ด้วย ว่าผู้ที่ได้ฟังธรรมแล้ว สิ่งที่มีค่าที่สุดก็คือได้เข้าใจคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าลองคิดดู ๔๕ พรรษา จะเข้าใจไหมหรือว่าจะผ่านไป แต่ถ้าเข้าใจแต่ละคำเริ่มสะสม ก็จะสามารถรู้คุณของพระรัตนตรัย แล้วก็มีพระศาสนาเป็นที่พึ่ง เพราะต้องไม่ลืม แต่ละคำต้องชัดเจน ชาติคืออะไร ไม่มีแต่ละคน มีแต่ภูเขาแม่น้ำต้นไม้เป็นชาติหรือเปล่า ไม่ใช่ เพราะฉะนั้นชาติต้องเป็นคน ในประเทศนั้นแล้วแต่ว่าจะอยู่ประเทศไหน ก็เป็นบุคคลชาตินั้นประเทศนั้น เพราะฉะนั้นเรามีชาติและเรามีศาสนาด้วย ถ้าไม่เห็นความสำคัญว่าคนเรานี่ดีชั่วหลากหลายมาก พฤติกรรมต่างๆ ที่ปรากฏทุกคนก็เห็นว่า ทำไมจึงมีการกระทำที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง ที่จะกระทำอย่างนั้นได้ แต่ก็มีผู้ที่กระทำ ซึ่งผู้ที่กระทำก็ไม่มีความต้องการที่จะกระทำชั่ว แต่ทำไมทำชั่ว เหมือนเราไม่อยากโกรธ แต่ทำไมโกรธ บังคับบัญชาไม่ได้ เพราะฉะนั้นก็แสดงให้เห็นว่า ถ้าไม่ได้รู้ความจริง ไม่มีทางที่จะละเว้นทุจริตกรรมใดๆ ทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นคนในชาติ ซึ่งในปัจจุบันเราเห็นความวิกฤตอย่างยิ่ง คือมีการทุจริตทุกวงการ แล้วก็ไม่มีทางที่จะแก้ไขด้วย เพราะเหตุว่าถ้าไม่รู้ว่าวิกฤตเกิดจากอะไร ย่อมแก้ไขไม่ได้ แต่ถ้ารู้เหตุว่าวิกฤตเกิดจากอะไร จึงจะแก้ไขวิกฤติได้ ด้วยเหตุนี้วิกฤติของประเทศชาติ ก็มาจากวิกฤติของพระพุทธศาสนา ซึ่งไม่มีใครเข้าใจ เพราะเหตุว่าคิดว่า นับถือพระพุทธศาสนา แต่ว่าไม่ได้เข้าใจธรรม เพราะฉะนั้นไม่ได้เข้าใจธรรมจึงเป็นวิกฤต ค่อยๆ เข้าใจเมื่อไหร่ก็จะแก้ไขวิกฤติได้
อ.อรรณพ ก็อยากจะเรียนอาจารย์วิชัย ว่าพระพุทธศาสนา พระธรรมวินัย หรือพระไตรปิฎกนี่คืออย่างไร
อ.วิชัย ได้ยินคำว่าพระพุทธศาสนา ศาสนาหมายถึงคำสอน พุทธะคือผู้รู้ ดังนั้นคำสอนของผู้รู้คือ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นพุทธศาสนา ดังนั้นคำของพระองค์ก็คงไม่เหมือนกับคำของคนอื่นทั่วไป เพราะเรารู้ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากว่าจะทรงบำเพ็ญบารมีมา สมัยที่เป็นพระโพธิสัตว์ ก็อบรมบารมีมานานตลอด ๔ อสงไขยแสน กัปป์ กว่าที่จะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ดังนั้นเมื่อพระองค์ตรัสรู้ความเป็นจริง กิเลสอกุศลทั้งมวลที่สะสมมาเนิ่นนาน จากปัญญาของพระองค์ สามารถที่จะดับอกุศลความไม่ดีทั้งหมด เป็นสมุดเฉทไม่เกิดอีกเลย ถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ดังนั้นเมื่อพระองค์หลุดพ้นด้วยพระองค์เองแล้ว พระองค์ก็มีพระมหากรุณาที่จะประกาศคำสอนของพระองค์ เพราะรู้ว่าหมู่สัตว์ทั้งหลาย ยังมากไปด้วยอกุศล มีความเดือดร้อนใจ มีความไม่สบายใจ มีความทุกข์นานาประการ การที่จะพ้นจากความทุกข์ได้ ก็ต้องอาศัยคำของพระองค์ ด้วยพระมหากรุณานี้ พระองค์ก็แสดงธรรมตลอด ๔๕ พรรษา แล้วก็มีบุคคลที่มีศรัทธาที่จะประพฤติอย่างพระองค์ บวชเป็นภิกษุ
ดังนั้นเมื่อมีภิกษุที่มากขึ้น มีความประพฤติที่ไม่เหมาะควร พระองค์อาศัยเหตุนั้น ในการบัญญัติสิกขาบท ซึ่งเป็นที่มาของพระวินัย ดังนั้นตลอด ๔๕ พรรษาที่พระองค์ประกาศพระศาสนา ก็จะมีทั้งในส่วนของธรรมด้วย และในส่วนของวินัยด้วย หลังจากที่พระองค์ประกาศธรรมวินัยตลอด ๔๕ พรรษา ทรงเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว พระมหากัสสปะเถระ ก็ได้คิดการที่จะดำรง รักษาพระธรรมวินัยไว้ ก็มีพระอรหันต์รวมกันทั้งหมด ๕๐๐ องค์ ที่จะกระทำสังคายนาธรรมวินัย เมื่อกระทำสังคายนาคือการรวบรวมธรรมและวินัย ที่พระองค์ทรงแสดงไว้ตลอด ๔๕ พรรษาให้เป็นแบบแผนให้ควรแก่การที่จะดำรงรักษาสืบไป จึงเป็นพระไตรปิฏก ก็คือพระวินัยปิฏก พระสุตตันปิฏก และพระอภิธรรมปิฏก อาจารย์คำปั่นช่วยขยายความว่า พระไตรปิฎกคืออะไร พระไตรปิฏกมีอะไรบ้าง แล้วก็มีสาระโดยสำคัญๆ คืออย่างไรก่อน
อ.คำปั่น ก็เป็นคำที่ได้ยินอยู่เสมอ ก็คือคำว่าพระไตรปิฎก ไตรคือ ๓ ปิฏกก็คือตระกร้า เป็นการแสดงถึงการรวบรวมพระธรรมคำสอน ให้เป็นหมวดเป็นหมู่ เปรียบเหมือนกับตะกร้า ซึ่งเป็นที่รวมของสิ่งต่างๆ เพราะฉะนั้นพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ก็เช่นเดียวกัน ก็มีการรวบรวมเป็นหมวดเป็นหมู่ เพื่อที่จะเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่มีโอกาสได้ฟังได้ศึกษา เพื่อความเข้าใจอย่างถูกต้อง ตรงตามความเป็นจริง ในปิฏกแรกก็คือพระวินัยปิฏก เป็นส่วนของสิกขาบท ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงบัญญัติไว้ เพื่อประโยชน์แก่เพศบรรพชิต จะได้ศึกษาและก็น้อมประพฤติตาม ด้วยการเว้นในสิ่งที่เป็นโทษ แล้วก็น้อมประพฤติในสิ่งที่ถูกต้องดีงาม อันนี้คือในส่วนของพระวินัยปิฏก ซึ่งเป็นปิฏกที่สำคัญปิฏกหนึ่ง ซึ่งในอรรถกถาได้อธิบายถึงความหมาย ว่าพระวินัยเป็นไปเพื่อกำจัดขัดเกลากิเลส เป็นไปเพื่อฝึกสันดานของสัตว์โลก ไม่ได้ฝึกด้วยอย่างอื่น แต่ว่าฝึกด้วยคำจริงแต่ละคำ ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้ อันนี้คือในส่วนของพระวินัยปิฏก ในส่วนของปิฏกที่ ๒ ก็คือ พระสุตตันปิฏกซึ่งเป็นพระสูตรต่างๆ พระธรรมเทศนา ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ณ สถานที่ต่างๆ ปรารภบุคคลต่างๆ แสดงเป็นธรรมประการต่างๆ เพื่อประโยชน์แก่ผู้ที่มีโอกาสได้ยินได้ฟัง เพราะฉะนั้นเมื่อกล่าวถึงพระสูตรทุกพระสูตร เป็นไปเพื่อประโยชน์ โดยประการทั้งปวง นำมาซึ่งประโยชน์เป็นที่หลั่งไหลออกมา ซึ่งประโยชน์ทั้งหลาย นี่คือพระสุตตันปิฏก ปิฏกสุดท้ายก็คือพระอภิธรรมปิฏก เป็นส่วนที่แสดงถึงความเป็นจริงของธรรมที่ละเอียดลึกซึ้งอย่างยิ่ง ที่แสดงถึงความเป็นจริงของธรรม ที่ไม่ใช่สัตว์ไม่ใช่บุคคลไม่ใช่ตัวตน เพราะว่าแสดงถึงความเป็นจริงของธรรม แต่ละ ๑ แต่ละ ๑ เท่านั้นนี่คือโดยประเภทของปิฏกทั้ง ๓ ที่เรียกว่าพระไตรปิฎก ซึ่งทั้งหมดเป็นพระธรรมคำสอนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ทรงแสดงไว้ทั้งหมด
ผู้ฟัง กราบเรียนท่านอาจารย์ ให้ความกระจ่างคำว่าธรรมคืออะไร
ท่านอาจารย์ คำถามดูไม่ยากและคุ้นหู เพราะเหตุว่าได้ยินคำว่าธรรมบ่อยๆ แต่ว่าต้องเป็นสิ่งที่ตรงและจริง ไม่ใช่แค่คิดเอง ถ้าถามใครทุกคนก็ตอบว่า ธรรมคือคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างที่ได้ฟัง แต่ว่าถ้าเราจะถามต่อไปอีกดีไหม คือถามว่า แล้วพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนอะไร หรือทรงแสดงธรรมอะไร ไม่ใช่ว่าพอได้รับคำตอบก็พอใจละ แต่ความจริงเข้าใจหรือเปล่า เพราะฉะนั้นถ้ามีการไตร่ตรองรู้ว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ได้ตรัสว่าธรรมคืออะไรเท่านั้น แต่ว่าทรงแสดงพระธรรม ๔๕ พรรษา ธรรมทั้งหมดแสดงว่าธรรมลึกซึ้งและก็ยาก เดี๋ยวนี้ก็มี แต่ถ้าถามว่าเดี๋ยวนี้อะไรเป็นธรรม ตอบได้ไหมถ้าไม่ได้ฟัง เดี๋ยวนี้ เดี๋ยวนี้เอง อะไรเป็นธรรมคงต้องคิดนาน และไม่ทราบว่าจะตอบว่ายังไง แต่ถ้ารู้ว่าธรรมคือสิ่งที่มีจริงๆ แค่นี้ค่อยๆ เริ่มรู้ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้สิ่งที่มีจริง เดี๋ยวนี้ก็มีจริง ทุกอย่างที่มีจริงในโลก ไม่ว่าโลกไหนทั้งหมด ผู้ที่มีปัญญาที่จะรู้ความจริง สามารถรู้ความจริงทุกอย่างได้โดยประการทั้งปวง จึงทรงแสดงความจริงของสิ่งที่มีจริง ว่าสิ่งนั้นแหละเป็นธรรม เพราะฉะนั้นแต่ละคำไม่เปลี่ยน ค่อยๆ ลึกซึ้งขึ้น ธรรมคือสิ่งที่มีจริงแค่นี้ จะคิดต่อไหม/
อ.อรรณพ ก็อาจจะคล้อยตาม อาศัยว่าธรรมคือสิ่งที่มีจริง แต่ถ้าก็จะบอกว่าสิ่งที่มีจริงก็คือธรรมก็คือธรรมชาติ ก็ทุกอย่างจริงหมด รอบตัวเรา โต๊ะ เก้าอี้ คนโน้นคนนี้สิ่งต่างๆ รอบๆ ตัวเราก็เป็นธรรมหมด
ท่านอาจารย์ ต้องไม่ลืมว่ามงคล ๑ ในมงคล ๓๘ คือการสนทนาธรรม ประโยชน์ก็คือว่า ทำให้ผู้ที่กล่าวโต้ตอบหรือสนทนากัน ได้มีความชัดเจนแจ่มแจ้ง ไม่ใช่ว่าฟังแล้วก็เงียบๆ แล้วก็ไม่รู้แล้วก็รับไป แล้วก็ทิ้งไป เพราะฉะนั้นถ้าคุณอรรณพ จะกล่าวว่า
อ.อรรณพ ธรรมก็คือธรรมชาติ ทุกอย่างที่มีอยู่ขณะนี้คือธรรม อันนี้ก็รู้สึกว่าเราก็เป็นชาวพุทธเข้าใจแล้วว่า ธรรมคืออะไร
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้ทุกคนยังไม่ต้องลึกซึ้งมาก มีจิตไหม จิตใจมีไหม
อ.อรรณพ มี มีทุกคนต้องตอบว่ามีแน่นอน
ท่านอาจารย์ แล้วจิตเป็นธรรมชาติหรือเปล่า เมื่อกี้ตอบว่าธรรมคือธรรมชาติ โต๊ะเก้าอี้ ต้นไม้ ทุกอย่าง แม่น้ำลำคลอง เพราะฉะนั้นถามว่าจิตนี่เป็นธรรมชาติหรือเปล่า
อ.อรรณพ เป็น
ท่านอาจารย์ เป็นโต๊ะ เป็นต้นไม้ เป็นเก้าอี้หรือเป็นอะไร
อ.อรรณพ จิตก็เป็นจิตเราที่มีความรู้สึกนึกคิดอยู่อย่างนี้
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นคำของคนอื่น ไม่ชัดเจนเท่ากับคำแต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องตรงทุกคำ ธรรมชาติคือคำว่าธรรมกับชาติ ชาติคือการเกิดขึ้น ถ้าไม่มีการเกิดขึ้น ก็ไม่มีใครนั่งอยู่ที่นี่เลยใช่ไหม ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็เป็นชาติ ชาติของสิ่งนั้น เพราะฉะนั้นธรรมที่เกิด ไม่ว่าจะอะไรทั้งหมด ถ้าไม่เกิดก็ไม่มี ด้วยเหตุนี้ที่มีทุกสิ่งทุกอย่างตั้งแต่เกิดจนกระทั่ง ในห้องนี้และต่อไป ก็เป็นสิ่งที่มีจริงทั้งหมดเป็นธรรม ยังไม่ชัดเจนเท่าไหร่ใช่ไหม เพราะฉะนั้นนอกจากจิต ตอนนี้จิตเป็นธรรมชาติหรือเป็นธรรม
อ.อรรณพ ก็เป็นทั้งธรรมชาติ เป็นทั้งธรรม เพราะธรรมก็คือธรรมชาติ
ท่านอาจารย์ ไม่ทราบคุณคำปั่นคิดยังไง
อ.คำปั่น กราบท่านอาจารย์ เพราะว่าถ้าได้เข้าใจ ก็ไม่ใช่ว่าสำคัญที่คำ แต่ว่าสำคัญที่ความเข้าใจ เพราะว่าถ้ากล่าวถึง ธรรมคือสิ่งที่มีจริงๆ สิ่งที่มีจริงๆ นั่นแหละเป็นธรรม และสิ่งที่มีจริงๆ ที่เกิดขึ้นเป็นไปก็คือธรรมชาติ หรือว่าธรรมชาตินั่นเอง ท่านอาจารย์
ท่านอาจารย์ ถ้าเข้าใจแล้วไม่มีปัญหา แต่ถ้าไม่เข้าใจเลย ธรรมคืออะไร และตอบว่าธรรมชาติ ทุกคนไม่คิดถึงจิต ทุกคนจะคิดถึงต้นไม้ภูเขา เราอยู่ในเมืองไปหาธรรมชาติดีกว่า สบายใจใช่ไหม ทุกคนก็เข้าใจอย่างนั้น แต่ความละเอียดต้องตรง แล้วก็ถึงที่สุด เมื่อกล่าวว่าสิ่งที่มีจริงเป็นธรรม อะไรก็ตามที่มีจริงทั้งหมดเป็นธรรม คิดมีจริงหรือเปล่า เป็นธรรมหรือเปล่า นี่คือเริ่มต้นของการที่จะรู้จักธรรม ว่าไม่ใช่พูดว่าธรรมชาติ แต่ไปคิดว่าธรรมชาติคือ ภูเขา แม่น้ำ ลำคลอง แต่ต้องเข้าใจจริงๆ ว่าถ้าพูดถึงธรรมชาติ ก็หมายความมีสิ่งที่มีจริงซึ่งเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นขณะนี้เดี๋ยวนี้เอง มีสิ่งที่เกิดแล้วปรากฏว่ามี เพราะฉะนั้นคือธรรมแต่ต้องเกิด เพราะฉะนั้นก็แยกได้ ๒ คำชาติคือการเกิดกับธรรม เพราะฉะนั้นถามว่าธรรมคืออะไร ธรรมคือสิ่งที่มีจริง ซึ่งขณะนี้เดี๋ยวนี้ก็มี เห็นเป็นธรรมหรือเปล่า มีจริง ก็เป็นธรรม เคยคิดมาก่อนไหมว่าเห็นเป็นธรรม ได้ยินเป็นธรรม ไม่เคยมาก่อนเลย จนกระทั่งได้ฟังวันนี้ เพราะฉะนั้นเคยได้ยินคุ้นหูกับคำที่ไม่ชัดเจน เพราะเป็นแต่เพียงคำ ของคนที่ตรึกไตร่ตรองว่าธรรมกับธรรมชาติ ก็คงจะเหมือนกัน แต่ความจริงแล้วต้องรู้ละเอียด ว่าทุกอย่างที่มีจริงทั้งหมด แม้แต่อร่อย มีจริงๆ ไหม เป็นธรรมหรือเปล่า เพราะฉะนั้นที่นี่เดี๋ยวนี้เป็นธรรมทั้งหมดใช่ไหม แม้แต่ที่เข้าใจว่าเป็นแต่ละคน ก็คือธรรมแต่ละ ๑ ถ้าไม่เกิดก็ไม่มี เพราะฉะนั้นเราไปคิดถึงธรรมอื่นนอกตัว แต่จริงๆ ธรรมอะไรก็ตามที่ปรากฎว่ามีสิ่งนั้นเป็นธรรม มีใครคิดว่าไม่ถูกต้อง หรือไม่เห็นด้วยบ้างไหม ศึกษาธรรมที่จะให้เข้าใจพระปัญญาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย ไม่ประมาทโดยต้องเข้าใจจริงๆ ทีละคำ ต่อไปนี้ชาวพุทธทุกคนที่ได้ฟังก็จะตอบได้ เวลาที่มีคนถามว่าธรรมคืออะไร ตอบได้เลยทุกอย่างที่มีจริงเป็นธรรมทั้งหมด
อ.อรรณพ ธรรมคือสิ่งที่มีจริง ทุกคนอาจจะพูดตามได้แต่ว่าสิ่งที่มีจริงนั้น มีความเป็นจริงอย่างไร และมีความละเอียดอย่างไรท่านอาจารย์
ท่านอาจารย์ ก็ขอทบทวนสั้นๆ แข็งเดี๋ยวนี้มีไหม เป็นธรรมหรือเปล่า เป็น ถ้าตอบว่าเป็นธรรม จะเป็นโต๊ะได้ไหม จะเป็นคนได้ไหม เพราะแข็งต้องเป็นแข็ง สิ่งที่มีจริงแต่ละ ๑ เปลี่ยนสภาพความเป็นสิ่งนั้นไม่ได้เลย หวานเป็นธรรมหรือเปล่า ตอนนี้ยังสงสัยไหมหวานเป็นธรรมหรือเปล่า เป็น เป็นธรรมซึ่งต้องเกิดใช่ไหม ถ้าไม่เกิดจะมีไหม หวานไม่มี เพราะฉะนั้นก็เพิ่มเติมความเข้าใจขึ้น ทีละเล็กทีละน้อย ธรรมคือสิ่งที่มีจริง ก่อนเกิดเป็นสิ่งนั้นไม่มีสิ่งนั้นเลย อย่างเสียงไม่มีเสียงแล้วก็มีเสียง ใครทำให้เสียงเกิดขึ้น ก่อนได้ยินไม่มีได้ยิน แล้วกำลังได้ยิน ใครทำให้ได้ยินเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นนี่คือสิ่งที่มีในโลกทุกโลกซึ่งเป็นความจริง ซึ่งคนไม่ได้เข้าใจว่าถ้าเป็นผู้ที่ตรัสรู้แล้ว สามารถที่จะเข้าใจความจริงนั้นถึงที่สุด ถึงการที่ว่าก่อนจะมีแข็งไม่มีแข็ง ก่อนจะมีเสียงไม่มีเสียงก่อนมีได้ยินไม่มีได้ยิน แล้วได้ยินก็เกิดขึ้น แล้วหวานก็เกิดขึ้น แล้วเสียงก็เกิดขึ้น มีเมื่อเกิด ก่อนเกิดมีไหม แค่นี้คือค่อยๆ เข้าใจความหมายของปัญญา คือความเห็นถูกหรือความเข้าใจถูก ว่าแท้ที่จริงอยู่ในโลก ก็ไม่รู้จักโลก พูดทุกคำไม่รู้จักสักคำ จนกว่าจะได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งต้องอดทนอย่างยิ่ง เพราะเหตุว่ากว่าพระองค์จะได้ตรัสรู้ และทรงแสดงคำที่เรากำลังได้ฟัง ทรงบำเพ็ญพระบารมีนาน ๔ อสงไขยแสน กัปป์ ที่จะกล่าวว่าขณะนี้มีเห็นเกิดขึ้นและก็ดับไป ค่อยๆ เพิ่มความจริงให้ไตร่ตรองเพื่อละการยึดถือ ด้วยความไม่รู้ จึงเป็นเหตุให้เกิดความติดข้อง ในทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นเหตุนำมาซึ่งทุจริต เพราะเหตุว่าเมื่อมีความติดข้อง อยากได้ก็พยายามอย่างยิ่ง ที่จะได้สิ่งนั้นมา โดยประการต่างๆ ในทางที่ชอบ หรือว่าในทางที่ผิดก็ได้
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1261
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1262
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1263
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1264
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1265
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1266
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1267
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1268
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1269
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1270
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1271
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1272
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1273
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1274
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1275
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1276
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1277
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1278
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1279
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1280
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1281
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1282
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1283
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1284
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1285
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1286
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1287
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1288
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1289
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1290
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1291
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1292
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1293
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1294
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1295
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1296
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1297
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1298
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1299
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1300
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1301
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1302
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1303
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1304
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1305
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1306
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1307
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1308
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1309
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1310
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1311
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1312
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1313
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1314
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1315
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1316
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1317
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1318
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1319
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1320