ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1297
ปกิณณกธรรม ตอนที่ ๑๒๙๗
สนทนาธรรม ที่ บ้านทันตแพทย์หญิงวิภากร พงศ์วรานนท์
วันที่ ๓๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๖๑
ท่านอาจารย์ นอนหลับนี่สงบไหม
ผู้ฟัง ไม่รู้ตัวแล้ว ก็คงสงบเลย
ท่านอาจารย์ เห็นไหม มีแต่ไม่รู้แล้วก็คง แต่ควรจะรู้ไหม ดีกว่าปล่อยให้ไม่รู้กับคงจะไปเรื่อยๆ
ผู้ฟัง ควรจะรู้
ท่านอาจารย์ ดีกว่า
ผู้ฟัง ดีกว่า
ท่านอาจารย์ ใช่ไหม เพราะฉะนั้นตอนนี้ไม่รู้ว่านอนหลับสงบไหม ตื่นขึ้นมาสงบไหม
ผู้ฟัง ไม่สงบ
ท่านอาจารย์ ทำไมบอกว่าไม่สงบ
ผู้ฟัง เพราะว่ามีภาระมากมาย
ท่านอาจารย์ เดี๋ยวก่อน ยังไม่ถึงภาระ แค่ตื่นขึ้นมา สงบไหม
ผู้ฟัง ก็ยังสงบอยู่
ท่านอาจารย์ เพราะไม่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าไม่รู้ขณะที่กำลังไม่รู้นี่สงบไหม กำลังไม่รู้
ผู้ฟัง ก็ไม่รู้อะไรเลย
ท่านอาจารย์ นั่นสงบไหม
ผู้ฟัง ไม่รู้เลย แล้วก็ไม่ได้คิดอะไรเลย
ท่านอาจารย์ สงบไหม คนส่วนใหญ่เข้าใจว่าสงบ ความเข้าใจสงบไหม
ผู้ฟัง เข้าใจ
ท่านอาจารย์ เข้าใจถูกต้องจริงๆ
ผู้ฟัง ถูกต้องก็จะสงบ แต่ถ้าอย่างหนู หนูอาจจะแบบแย้งๆ บ้าง อาจจะเข้าใจนิดหนึ่ง
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นตอนแย้งไม่ใช่ตอนเข้าใจใช่ไหม เพราะฉะนั้นต่างกันแล้ว ตอนแย้งสงบไหม
ผู้ฟัง ไม่สงบ
ท่านอาจารย์ ตอนเข้าใจสงบไหม
ผู้ฟัง สงบกว่า
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นก็จะเห็นได้ใช่ไหมว่า ขณะที่เข้าใจนั่นสงบ ไม่ต้องเรียกก็สงบคือไม่สงสัย แต่เวลาไม่รู้สงสัยไหม
ผู้ฟัง สงสัย
ท่านอาจารย์ สงบไหม
ผู้ฟัง ไม่
ท่านอาจารย์ เพราะว่าต่างกันใช่ไหม รู้กับไม่รู้ ชัดเจนเลย ไม่รู้ สงบไม่ได้ แต่เขาไม่ได้บอกให้เข้าใจ เขาบอกว่านั่นคือสงบ เราก็เชื่อ คือไปนั่งไม่รู้แล้วก็บอกว่าสงบ เพราะฉะนั้นมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น ที่เป็นที่พึ่งสูงสุดเป็นกัลยาณมิตร เป็นมิตรที่ดีหวังดีพร้อมที่จะเกื้อกูลให้ความจริง ไม่ใช่ให้ความไม่รู้ หรือว่าให้ความลวงให้ความหลง เพราะฉะนั้นคนที่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็จะรู้ว่าต่างกับคำของคนอื่น แล้วก็เริ่มรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า พระองค์ทรงตรัสรู้ความจริงถึงที่สุด จากการที่ไตร่ตรองแล้ว เราเริ่มเข้าใจว่าที่เรานั่งนิ่งๆ สงบหรือเปล่า เห็นไหม ถ้าไม่มีความรู้ความเข้าใจ จะสงบได้อย่างไร แต่หลงคิดว่าไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่คิดเรื่องอื่น พอไม่คิดเรื่องอื่นก็เข้าใจว่าสงบแล้ว แต่ความจริงสงบจริงๆ ต้องไม่มีธรรมที่เป็นอกุศล ตอนนี้เรายังไม่ได้แยกประเภทเลยว่า ธรรมที่เป็นกุศลก็มี ธรรมที่เป็นอกุศลก็มี ธรรมที่ไม่ใช่กุศลไม่ใช่อกุศลก็มี เริ่มเห็นพระปัญญาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วว่า เข้าใจนี่ไม่ใช่ไม่รู้แล้วไปนั่งเฉยๆ อย่างนั้น ไม่ต้องทำอะไรเลย ไม่ต้องเรียนอะไรเลย แค่บอกแค่นั่ง แล้วจริงๆ ก็ทำอย่างนั้นก็ไม่ได้ ประเดี๋ยวก็คิดแล้ว แล้วก็คิดเหมือนเดิมด้วยกังวลด้วย ก็เป็นอกุศลต่อไป แต่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละคำ จะนำความสงบจากอกุศลที่ไม่รู้ที่สงสัย
เพราะฉะนั้นก็ต้องเข้าใจให้ถูกต้องว่า เดี๋ยวนี้เห็นดับไปแล้ว ไม่มีใครรู้ว่าอกุศลเกิดแล้ว แต่อย่างบางเบามาก ซึ่งพระอรหันต์ไม่มี แต่คนที่ไม่ใช่พระอรหันต์มี นี่คือความต่างกันใช่ไหม ระหว่างความรู้ จากการไม่รู้อะไรเลย จนกระทั่งถึงความเป็นพระอรหันต์ ถึงได้ด้วยปัญญาที่เข้าใจ แต่ถ้าไม่เข้าใจไม่มีทางเลย ไปนั่งเรียกชื่อกัน คนนั้นเป็นพระอรหันต์คนนี้เป็นพระอรหันต์ เป็นอะไร อรหันต์เป็นอย่างไร รู้อะไร บอกอะไร เข้าใจอะไร ต้องเป็นคนที่ตรง จึงจะได้สาระจากพระธรรม คำสอนตรง ถูกคือถูก ผิดคือผิด
อ.วิชัย เพราะฉะนั้นความไม่รู้ยังมีอีกมากเลย เพราะว่าแม้จะกล่าวถึง แค่ลืมตาตื่นแล้วพอใจก็ไม่สงบแล้วในขณะนั้น เห็นถึงความละเอียดของธรรมที่จะรู้ได้ด้วยปัญญา เพราะว่าศึกษาแล้วก็ต้องมีความมั่นคงว่าไม่มีเรา ที่จะไปทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้ แต่ว่าความรู้ที่เกิดจากการได้ฟังธรรม จึงจะรู้ว่าสิ่งที่เป็นจริงๆ ที่พระองค์แสดงคืออะไร ดังนั้นความสงบกับความไม่สงบแค่นี้ ไม่ใช่เป็นอย่างที่เราเคยคิดมาก่อน ความละเอียดของธรรมต้องยิ่งกว่านั้นอีก ถ้าพอใจที่จะสงบในขณะนั้น พอใจจะไม่คิดอะไรในขณะนั้น สงบหรือเปล่า ถ้าเป็นความพอใจ กับความรู้ตามความเป็นจริงของสิ่งที่มีต่างกัน เพราะว่าเคยไม่รู้มามากมายมหาศาล จึงมีคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคือผู้รู้ ที่จะรู้ว่าขณะนั้นตอนนั้นที่คิดว่าสงบ จริงหรือเปล่า หรือว่าหลงเข้าใจว่าสงบ ก็ไม่ใช่ว่าจะให้ใครไปนั่งนิ่งๆ โดยที่ไม่คิดอะไร เพียงแค่นั้นแล้วก็จะเข้าใจว่าขณะนั้นสงบ แต่ว่าความเป็นจริง ต้องเป็นเรื่องของความรู้ว่า ขณะไหนไม่สงบ ขณะไหนสงบ อะไรเป็นเหตุให้สงบ ต้องเป็นเรื่องของความรู้ทั้งหมดเลย
ผู้ฟัง ที่ปฏิบัติผิด ท่านอาจารย์ได้กล่าวเตือนว่า ทิ้งให้หมด แต่ผมมีความคิดเห็นว่าถ้าพูดว่าทิ้ง โดยไม่พิจารณาไตร่ตรองให้ดีถึงสภาพตามความเป็นจริง ไม่สามารถทิ้งได้ เพราะว่าความไม่รู้ แล้วก็กิเลสโลภะ ทั้งหลอกทั้งลวงเรา บางทีก็คิดไปเองว่าเข้าใจ
ท่านอาจารย์ ต้องเข้าใจแม้แต่คำว่าทิ้ง เราเข้าใจแค่ไหน ไม่เหมือนกันใช่ไหม แต่ว่าถ้าเรามีความสนใจ และคิดว่านั่นยังเป็นประโยชน์ เราไม่ทิ้ง แต่ว่าถึงแม้ว่าเดี๋ยวนี้พูดถึงเห็น เราก็ยังไม่เข้าใจเห็น จนถ่องแท้ที่จะประจักษ์การเกิดดับ แต่เราเริ่มจากการที่รู้ประโยชน์ก่อน สิ่งนี้มีอีกนานเท่าไหร่ กว่าคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่บอกว่าเรียกให้มาดู ไม่ใช่ให้ดูอะไร แต่ให้สนใจเข้าใจและเห็นประโยชน์ว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่มีจริง ซึ่งเราติดข้องมานานแสนนาน เพราะฉะนั้นไม่ใช่ให้มาทิ้งทันที พอบอกว่าทิ้งก็ทิ้งไปเลย เป็นไปไม่ได้ใช่ไหม เพราะฉะนั้นถ้าเรายังเห็นว่าสมาธิก็ดี เราไม่เห็นต้องทำอะไรเลย นั่งๆ แล้วมันก็เฉยดี ไม่ต้องกังวลอะไรใช่ไหม แต่นั่นยิ่งปิดบังแล้วทำให้เรายิ่งติดข้อง เพราะฉะนั้นการฟังธรรมก็คือว่าไม่มีเรา แต่การสะสมที่มีมา ทำให้แต่ละหนึ่งเป็นแต่ละหนึ่ง จะคิดอย่างไร จะเข้าใจระดับไหน จะทำอะไร ไม่มีใครสามารถจะไปเปลี่ยนแปลงได้เลย นอกจากว่าฟังคำ ฟังด้วยกัน แต่ใครจะคิดแค่ไหน ระดับไหนอย่างไร ถ้าใครเห็นว่าเราทำมาแล้วตั้ง ๑๐ ปี ๒๐ ปี ไม่ได้ทำให้เข้าใจสิ่งที่กำลังเกิดดับได้เลย ถ้าตราบใดที่เรายังเป็นอย่างอื่นใช่ไหม อย่างนั่งหลับตาแล้วก็ไปที่โน่นที่นี่
เพราะฉะนั้นก็คือว่าทิ้งเสีย ไม่ได้ให้ละความเป็นตัวตน และก็ให้ด้วยความเข้าใจ เราก็ยังไม่เข้าใจถึงไหน แต่ว่าเพียงแค่เทียบดูก็แล้วกันว่า ระหว่างการนั่งแล้วก็ไม่รู้อะไรไม่เข้าใจอะไร กับการที่แม้นิดเดียวที่เข้าใจแต่เป็นความจริง และความจริงมีผู้ที่ได้ทรงตรัสรู้ถึงที่สุดที่ได้บอกหนทางว่า หนทางเดียว คือพระองค์ไม่สามารถที่จะให้ปัญญาของพระองค์กับใครได้ แต่ทุกคำที่ตรัสมาจากพระปัญญาที่ทรงตรัสรู้ ซึ่งใครที่ฟังก็เป็นประโยชน์ สำหรับคนที่เทียบได้ ไม่รู้กับรู้ จะพอใจในความไม่รู้ แล้วเหมือนสงบนิ่งไปเลย ก็เรื่องของเขา ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ไม่สามารถจะทำอะไรได้ ใครก็ทำอะไรไม่ได้ แต่คำของพระองค์เตือนให้เริ่มคิด ขณะนี้เห็นมีแล้วเมื่อไหร่จะรู้ว่าเห็นไม่ใช่เรา และเริ่มละ ละอย่างไรใช่ไหม ละการที่รู้ว่าอะไรเป็นประโยชน์ และไม่เป็นประโยชน์ อะไรจริง อะไรไม่จริง อะไรถูกต้อง อะไรไม่ถูกต้อง อะไรพาไปสู่ความไม่รู้ขึ้นเรื่อยๆ กับอะไรพาไปสู่ความเข้าใจ แม้เล็กน้อยสักเท่าไหร่ สามารถที่จะเข้าใจเพิ่มขึ้นอีกได้ เพราะว่ามีผู้ที่ได้เข้าใจแล้วมาก จากการที่ไม่ประมาทในการฟัง
เพราะฉะนั้นไม่ใช่ว่ามีตัวเราทั้งตัว เขาบอกให้ทำอะไรก็ทำ เขาบอกให้ทิ้งตัวเรานี่แหละทิ้ง ก็ไม่ใช่อย่างนั้นใช่ไหม ไม่มีตัวเรา ข้อสำคัญที่สุดคือธรรม ต้องเข้าใจจริงๆ สิ่งที่มีจริงเป็นธรรม แต่ทำไมไม่เป็นธรรม เพราะเหตุว่าแค่ฟังเท่านั้นว่าเป็นธรรม แค่จำได้ว่าสิ่งนี้ พระผู้มีพระภาคตรัสว่ามีจริงเป็นธรรม แต่ขณะนี้ไม่ได้คิดถึงเลยสักอย่าง เห็นมีจริง แล้วก็ไม่ได้เคยคิดถึงเห็นใช่ไหม กำลังนึกถึงเรื่องต่างๆ เพราะฉะนั้นกว่าพระธรรมจะเรียกให้มาดู โดยการที่ตรัสแล้วตรัสเล่า เดี๋ยวนี้กำลังเห็น เดี๋ยวนี้กำลังได้ยิน แข็งก็มี แข็งก็ไม่ใช่เห็น ไม่ใช่ได้ยิน แต่ละคำเราไม่รู้เลย ขณะนี้ไม่มีเรา แต่มีจิต มีเจตสิก แล้วก็มีรูป กำลังเกิดดับทำงานตลอดเวลา แต่มันเป็นเราไปหมดเลย กี่ภพกี่ชาติแล้วก็ยังเป็นเราไปอีก เพราะฉะนั้นกว่าจะมีความเข้าใจขึ้นทีละเล็กทีละน้อย เราก็เห็นเลยต้องอาศัยกาลเวลานานเท่าไหร่ ถ้าระดับถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็หลังจากได้รับคำพยากรณ์แล้วว่า จะถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องบำเพ็ญบารมี ๔ อสงไขยแสนกัป บารมีไม่ใช่เราทิ้งเราทำ แต่ว่าบารมีคือรู้ว่าขณะใดที่อกุศลเกิด ขณะนั้นไม่รู้และขณะนั้นก็ปิดกั้น แต่ขณะใดที่กุศลเกิด แม้ว่าไม่มีปัญญาหรือปัญญาน้อยมาก แต่ขณะนั้นอกุศลไม่เกิด ก็ไม่มีอะไรที่จะไปเพิ่มทับถมความไม่ดี
เพราะฉะนั้นยิ่งเข้าใจในความเป็นอนัตตา ซึ่งไม่ใช่เรา โดยอาศัยการฟัง ก็จะรู้เลยว่าแม้กุศลเพียงเล็กน้อยก็ยังดีกว่าอกุศลที่ไปนั่งนิ่งๆ ไม่รู้อะไรตั้งนาน และไม่มีวันจะรู้ด้วย เพราะฉะนั้นถ้าเพียงได้ฟังไม่กี่คำ แต่ก็ไม่ประมาทในแต่ละคำ ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ไม่มีเรา ที่ตรัสไว้ต้องเป็นหนทางสายเดียว ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ทุกครั้งที่มีความเข้าใจอย่างนี้ นั่นก็คือว่ากำลังเริ่มเดินทางในทางที่ถูกต้อง แต่พอคิดว่าต้องขยัน ต้องดู ต้องรู้ ถ้าปัญญาไม่เกิดไม่เห็นเลยว่า ขณะนั้นไม่ใช่หนทาง เพราะมีความเป็นเรา เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่าธรรมเป็นสิ่งที่ละเอียดมาก แล้วก็ความเข้าใจเกิดเมื่อไหร่ ก็จะรู้ตามความเป็นจริงว่า เข้าใจขั้นไหน ขั้นฟังว่า ขณะนี้เห็นจริงเพราะเห็นเกิดขึ้น และเห็นก็ดับไป ขั้นนี้เอง แต่ว่าขั้นประจักษ์แจ้ง ถ้าไม่มีก็ละความเป็นตัวตนไม่ได้
ผู้ฟัง ขณะนี้เห็น ผมไม่ได้เข้าใจเห็น
ท่านอาจารย์ ถูกต้อง
ผู้ฟัง แต่ว่าขณะนี้สามารถเข้าใจได้จากการฟังว่ามีจริงๆ
ท่านอาจารย์ คุณทวีชัยฟังมานานเท่าไหร่ชาตินี้ กี่ปีแล้ว
ผู้ฟัง ก็ ๓๐ ปี
ท่านอาจารย์ อีก ๓๐ ปีก็เป็นอย่างนี้
ผู้ฟัง ใช่
ท่านอาจารย์ เป็นอย่างนี้จริงๆ เพราะว่าเราสะสมความไม่รู้มาแสนโกฏกัป ๓๐ ปีที่เป็นอย่างนี้ และอีก ๓๐ ปี และก็อีก ๓๐ ปี เพราะฉะนั้นไม่มีทางที่จะไปรู้ว่าเมื่อไหร่ใช่ไหม ไม่ต้องคิดเลย เพียงแต่ว่าเดี๋ยวกุศลเกิด เดี๋ยวอกุศลเกิด เข้าใจในความเป็นอนัตตา แล้วไม่เลือก แล้วธรรมค่อยๆ ปรุงแต่ง ไม่ใช่มีตัวเราที่พยายามเหลือเกินด้วยความเห็นผิดคิดว่าทำได้ และควรจะทำด้วย แม้ว่าในพระไตรปิฎกจะมีข้อความที่ว่า พึงก็ตามแต่ เพียรก็ตามแต่ แต่ต้องไม่ลืมไม่ใช่เรา ถ้าเป็นเราเมื่อไหร่ก็ไม่เข้าใจคำที่ตรัสไว้ตั้งแต่ต้น ทิ้งไม่ได้เลยสักคำเดียว ทุกคำไม่ว่าจะฟังตอนต้น ตอนกลาง ตอนปลายก็ตาม ไม่ใช่เราแล้วเป็นอะไร เป็นสิ่งที่มีจริง แล้วก็แค่สิ่งที่มีจริง ยังไม่ได้รู้ตรงนั้นเลยเพราะอะไร ยังไม่ถึงระดับของปัญญาที่จะปรุงแต่งให้ถึงตรงนั้น เพราะฉะนั้นเป็นเรื่องอดทนอย่างเปรียบไม่ได้เลยว่า เราจะอดทนอีกนานเท่าไหร่ เพราะเหตุว่าเมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก่อนที่จะได้ฟังพระพุทธเจ้าทีปังกรพยากรณ์ พระองค์ก่อนนั้นอีกที่รู้ว่าไม่ได้รู้เห็น แล้วก็มีเห็น และก็สามารถจะรู้ได้ แต่ว่าฟังธรรมแล้ว ถึงแม้ว่าในชาติที่สามารถจะถึงความเป็นพระอรหันต์ ก็ยังเห็นประโยชน์ของการเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่สามารถที่จะทำให้คนอื่นได้ฟังคำ เหมือนพระองค์ได้ฟังคำจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ด้วย
เพราะฉะนั้นที่ถามว่า ๓๐ ปี และอีก ๓๐ ปี ก็ต้องเป็นอย่างนี้ เพราะอะไร แสนโกฏกัปสะสมมา เพราะฉะนั้นเป็นเรื่องของการที่ว่า ใครก็ตามที่มีความเข้าใจจริงๆ รู้ความเป็นอนัตตาจริงๆ เป็นปกติแล้วเข้าใจว่าไม่ใช่เรา โดยรู้ว่าขณะนี้เป็นอะไร ถ้าไม่ใช่เรา แล้วเป็นอะไร ถ้าไม่ใช่เราเฉยๆ ก็ยังคงเป็นเราใช่ไหม จนกว่าไม่ใช่เรา แล้วเป็นอะไร เป็นธาตุรู้ แค่นี้ก็นับไปเท่าไหร่ อีกกี่ปีกี่แสนปีจะถึงกัป หรือกี่กัปก็แล้วแต่ เพราะเหตุว่าสะสมความไม่รู้มานานเกินกว่าแสนโกฏกัป แล้วจะอยู่ต่อไปอีกนานมากเลย ถ้าไม่รู้ความจริง เพราะฉะนั้นโอกาสที่จะได้เข้าใจแม้นิดแม้หน่อย เข้าใจไม่ใช่ฟังเฉยๆ แล้วก็ไม่ใช่เป็นตัวตน พยายามจะไปทำอะไรด้วย แต่ว่ารู้ว่าขณะนี้ฟังและก็เข้าใจแค่ไหน เพราะสะสมมาที่จะเป็นอย่างนั้น ไม่เท่ากันเลย แม้ผู้ที่ฟังพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นพระโสดาบันก็มี เป็นปุถุชนก็มี ไม่เข้าใจก็มี ก็สะสมกันต่อไป ต่างกัน จะให้เหมือนกันไม่ได้เลย แต่เห็นคุณไหมว่า ในชีวิตตั้งแต่เกิดจนตายกี่ชาติก็ตาม อะไรเป็นประโยชน์ที่สุด ความไม่รู้ในสังสารวัฏ ต้องการอะไรทุกอย่างหมด รูปทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ อะไรมีติดข้องในสิ่งนั้นเพราะไม่รู้ อย่างถ้าไม่มีอะไรเลยเกิดขึ้นมาในโลก จะไปติดข้องอะไร ไม่มีอะไร แล้วก็ไม่มีสิ่งที่จะติดข้องด้วย คือไม่มีเลย แต่พอมีแล้วไม่รู้ มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิด มีหรือซึ่งจะไม่ติดข้องในสิ่งนั้น เพียงแค่เห็นหนึ่ง สิ่งที่ปรากฏเกิดขึ้นกระทบตา เห็นเกิดขึ้น อยากเห็นใช่ไหม มีใครบ้างที่ไม่อยากเห็น
เพราะฉะนั้นไม่ว่าอะไรทั้งนั้น เสียงแค่มีปรากฏว่ามี มีสภาพธรรม แค่นี้ ดังแค่นี้ เกิดแล้วดับแล้ว ก็ติดข้องแล้ว มีใครบ้างที่ไม่อยากได้ยิน แล้วก็ปรุงแต่งจนกระทั่งเป็นดนตรี เสียงต่างๆ เป็นกวี เป็นคำกลอน เป็นทำนองอะไร สารพัดทับถมไปเรื่อย เพราะฉะนั้นไม่ต้องคิดถึงวันที่จะตรัสรู้ แต่ถ้าไม่มีวันนี้ไม่มีทาง และถ้ามีเพียงวันนี้ก็ไม่มีทาง แต่ถ้ามีวันนี้ที่เข้าใจ แล้วก็เข้าใจขึ้นทีละเล็กทีละน้อย ผู้นั้นเข้าใจความหมายของบารมี ทั้งสัจจบารมี ตรงต่อสภาพธรรมที่เกิดดับมีจริงแต่ยังไม่รู้ ขันติบารมีต้องอดทนแค่ไหน อธิษฐานไม่เปลี่ยนแปลง จากการรู้สิ่งที่มีจริงไปทำอย่างอื่น แสดงให้เห็นว่ารู้อย่างนี้ตรงอย่างนี้ ยังต้องเป็นบารมีเท่าไหร่ กว่าจะรู้ความจริง เพราะเป็นหนทางเดียว ฟังแล้วเบาใจ ไม่ต้องไปอยากอะไร ไม่ต้องไปทำอะไร เข้าใจขึ้น เพราะเข้าใจก็ไม่ใช่เราด้วยใช่ไหม ก็จะเดือดร้อนอะไร เพราะอะไร ปัญญาที่จะดับกิเลสได้ ต้องรู้สิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ตามปกติ ต้องเป็นปกติด้วย เลือกไม่ได้ด้วยว่าอะไร และจะเลือกขณะที่จะเกิดก็ไม่ได้ เพราะเหตุว่าปัจจัยพร้อมเมื่อไหร่จึงเกิดได้ ปัจจัยพร้อมที่จะเกิดชาตินี้เป็นคนนี้ จึงเกิดเป็นคนนี้ชาตินี้ แล้วปัจจัยพร้อมที่จะให้เกิดหลังจากตายแล้ว เป็นใคร ก็เลือกไม่ได้ กรรมมีมากมายเยอะแยะทุกชาติ กรรมเล็กกรรมน้อย แสนโกฏกัปมาแล้ว สามารถจะเป็นปัจจัยทำให้เกิดได้ เราก็เลือกไม่ได้ใช่ไหม แต่ได้ฟังธรรมแล้ว
เพราะฉะนั้นความเข้าใจก็สะสม เหมือนที่เราไม่เคยเข้าใจก็สะสม โลภะก็สะสม ทุกอย่างที่มีมาจากการเกิดขึ้น แล้วก็มากหรือน้อยก็สะสมไป บางคนขี้โกรธใช่ไหม บางคนก็โลภมาก ไปตลาดเห็นอะไรอยากซื้อหมดเลย โน่นก็อร่อยนี่ก็ดี เป็นอย่างนั้นเห็นไหม ทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วกว่าจะเป็นปกติ ที่ขณะนั้นอร่อยก็ธรรมอย่างหนึ่ง ธรรมอย่างหนึ่งทั้งหมด เพราะฉะนั้นก็รู้ก็แล้วกันว่า ถ้าไม่รู้อย่างนี้ ไม่มีทางที่จะละคลายความติดข้อง เพราะแม้จะอยากเป็น อยากดี อยากรู้ ก็เป็นโลภะ โลภะตลอด สิ่งเดียวที่โลภะติดข้องไม่ได้คือโลกุตรธรรม เพราะฉะนั้นก็เห็นกำลังของธรรมแต่ละหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่เรา แต่ตามการสะสม
ผู้ฟัง เมื่อสักครู่นี้ที่ท่านอาจารย์ได้สนทนากล่าวคำจริง ผมไม่ได้ตั้งใจฟังตลอด คิดถึงเรื่องโน้นเรื่องนี้ไป ใจบางทีก็คิดไปถึงเรื่องบ้าน เรื่องอะไรอย่างนี้
ท่านอาจารย์ นั่นคือความจริง
ผู้ฟัง ความจริง
ท่านอาจารย์ ถ้าปัญญาไม่เกิดขึ้นรู้ ไม่มีทางละ ไม่ต้องไปนั่งเตรียมพร้อมให้สติไประลึกนั่นระลึกนี่เมื่อสักครู่นี้หลงลืม นั่นก็ผิด เพราะว่าทุกอย่างเกิดเมื่อมีปัจจัย ถ้าไม่มีปัจจัยเกิดไม่ได้เลย แล้วถ้าไม่รู้สิ่งที่เกิดแล้วเป็นปกติ ละไม่ได้ แต่พอสิ่งนี้เกิดแล้ว ใครจะไปทำอะไรได้ หลงคิดโน่นนี่ไปในขณะที่ฟัง ใครจะทำอะไรได้หมดแล้ว เพราะฉะนั้นความเข้าใจธรรมซึ่งเป็นอนัตตา ตรงนั้นแหละ ที่สามารถจะทำให้ละความเป็นเราได้ ไม่ใช่ตรงที่ไปพยายามทำความเพียรอย่างนั้นอย่างนี้ด้วยความเป็นตัวตน
ผู้ฟัง ก็วันนี้ ก็ได้ประโยชน์จากการมาฟังที่นี่ ตามสติปัญญา ตอนนี้คิดไม่ออกจริงๆ
ท่านอาจารย์ เอาอย่างนี้ ระหว่างที่นั่งนิ่งๆ เข้าใจว่าสงบ เพราะไม่ได้คิดเรื่องอื่นใช่ไหม แต่ไม่เข้าใจอะไรใช่ไหม
ผู้ฟัง ใช่
ท่านอาจารย์ ทีนี้เราไม่ได้นั่งนิ่งๆ สงบๆ เลย สองสามชั่วโมง เราได้ฟังสิ่งที่เราค่อยๆ เข้าใจว่าเป็นประโยชน์ เพราะฉะนั้นแทนที่เราจะมีเวลานั่งนิ่งๆ แล้วไม่เข้าใจ ก็เข้าใจในระหว่างนี้ที่เราก็นั่งนิ่งๆ เหมือนกัน ดีกว่าใช่ไหม
ผู้ฟัง ดีกว่า
ท่านอาจารย์ ดีกว่า สำหรับดิฉันเอง ก็ทิ้งสิ่งที่ไม่มีประโยชน์ จะไปเก็บไว้ทำไม ในเมื่อระหว่างเวลาที่เราจะนั่งนิ่ง เราสามารถเปิดวิทยุฟังธรรมและก็ไตร่ตรอง สนทนาธรรมอะไรได้ตั้งหลายอย่าง ดีกว่าไม่เข้าใจ เพราะว่าวันหนึ่งวันหนึ่งหมดไปเรื่อยๆ และก็ถึงวันที่เราจากโลกนี้ไป ก็คือว่าเราก็ไม่เข้าใจธรรม เพราะว่าระหว่างนั่งนิ่งๆ ไม่มีทางเข้าใจได้เลย แต่เวลาฟังแต่ละคำ เป็นคำใหม่ไม่ชินหู แต่ต่อไปก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ธรรมลึกซึ้งมาก แค่ไม่ลืมคำว่าธรรมคืออะไร เอาแค่คำเดียว ทีละคำ ทุกอย่างที่มีจริง มีจริงๆ แต่เรายังไม่รู้ความลึกซึ้ง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า สิ่งหนึ่งสิ่งใดมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดาคือปกติ สิ่งนั้นดับไป เปลี่ยนคำพูดของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ ไม่ได้ แสดงให้เห็นว่าเรายังไม่รู้อย่างที่พระองค์ตรัสรู้ แต่พระองค์ทรงแสดงหนทางให้ใครที่ฟังแล้วเข้าใจ สามารถที่จะรู้ความจริงอย่างนั้นได้ในวันหนึ่ง ซึ่งเราค่อยๆ เข้าใจขึ้น ตัวความเข้าใจนั่นแหละ จะค่อยๆ ละความไม่รู้ และความไม่ดี เราอยากเป็นคนดี แต่ถ้าไม่มีปัญญาไม่มีทาง และการที่จะเป็นคนดี ละเหตุของความทุกข์คือความไม่ดี ก็ต้องตามลำดับด้วย เวลานี้เราไม่รู้ว่าเราหนักและเป็นทุกข์โดยไม่รู้ตัว เพราะว่ามีเรา ถ้าไม่ใช่เราเดือดร้อนไหม แม้พระผู้มีพระภาคยังตรัสถามภิกษุว่า ไฟไหม้หญ้าที่พระวิหารเชตวันเดือดร้อนไหม
ผู้ฟัง ไม่เดือดร้อน
ท่านอาจารย์ เพราะไม่ใช่เรา
ผู้ฟัง ใช่
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นทั้งหมดถ้ารู้จริงๆ ว่าไม่ใช่เรา ก็ไม่เดือดร้อนเลย ทุกอย่างต้องเกิด ก็เห็นอยู่แล้วว่าเกิดแล้ว คือต้องเกิดตามเหตุตามปัจจัย ยับยั้งไม่ได้ แต่สามารถเข้าใจได้ ค่อยๆ คลายความติดข้อง รู้ว่าเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏชั่วคราว แล้วรู้ไหมว่า แค่ไม่ปรากฏ ดับแล้ว
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1261
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1262
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1263
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1264
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1265
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1266
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1267
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1268
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1269
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1270
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1271
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1272
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1273
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1274
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1275
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1276
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1277
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1278
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1279
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1280
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1281
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1282
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1283
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1284
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1285
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1286
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1287
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1288
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1289
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1290
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1291
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1292
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1293
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1294
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1295
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1296
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1297
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1298
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1299
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1300
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1301
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1302
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1303
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1304
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1305
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1306
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1307
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1308
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1309
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1310
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1311
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1312
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1313
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1314
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1315
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1316
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1317
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1318
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1319
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1320
