ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1279


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ปกิณณกธรรม ตอนที่ ๑๒๗๙

    สนทนาธรรม ที่ โรงแรมมีพรสวรรค์ จ.พิจิตร

    วันที่ ๕ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๖๑


    ท่านอาจารย์ นามธรรมคือจิตและเจตสิก รูป มีจริงไม่ใช่สภาพรู้ เกิดมาแล้วก็คือจิตเจตสิกรูป เพราะฉะนั้นวิญญาณเป็นปัจจัยให้เกิดนามรูป นามธรรมที่จะเกิดขึ้นอาศัยกันและกันเกิดขึ้น คือทั้งจิตและเจตสิกเกิดขึ้น ถ้าเป็นผลของกรรม ปฏิสนธิเป็นประเภทวิปากะ คนไทยใช้คำว่าวิบาก ถ้าเหตุเป็นกุศล เช่น การฟังธรรมในขณะนี้เข้าใจ ไม่ใช่ไม่เข้าใจใช่ไหม ไม่เข้าใจเป็นอกุศล เข้าใจเป็นกุศล เพราะฉะนั้นขณะที่เข้าใจที่เป็นปัจจัยเป็นปฏิจจสมุปบาท ใช่ไหม อวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร ขณะนี้เป็นกุศลเจตนา ฟังเข้าใจ สังขารเป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ ถ้าเกิดอีกก็เกิดในภพภูมิที่ดี วิญญาณเป็นปัจจัยให้เกิดนามรูป คือเจตสิกและรูปเกิดพร้อมกัน ในขณะปฏิสนธิคือขณะที่เกิด ละเอียดไหม แต่เป็นประโยชน์หรือเปล่า กับไม่รู้เลย ก็แล้วแต่อัธยาศัยใช่ไหม ไม่มีใครสามารถที่จะบังคับใครได้เลย แต่ผู้ที่ไปฟังธรรมในครั้งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับในที่ต่างๆ เป็นผู้ที่ได้สะสมการฟัง และการเห็นประโยชน์ของการฟังมาแล้ว ในขณะที่คนที่ไม่มาฟัง แต่ไปสู่สำนักอื่น เช่นสำนักของเดียรถีย์ เดียรถีย์คือผู้ที่มีความเห็นอย่างอื่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับ ไม่มาเฝ้าไม่มาฟังธรรม เพราะไม่เคยเห็นประโยชน์ของการฟัง แต่ว่าถ้ามีโอกาส มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ ประทับนั่งที่หนึ่งที่ใด การฟังเข้าใจในวันนี้ก็จะเป็นปัจจัย ทำให้ไปสู่สำนักของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และได้ฟังคำจากพระโอษฐ์ ก็เป็นคำเดียวกันกับที่สืบทอดมาจนถึงปัจจุบันนี้

    เพราะฉะนั้นการสะสมความรู้ความเข้าใจไว้ทีละเล็กทีละน้อย ต่อไปก็จะเห็นคุณค่ามากว่า เพราะไม่เข้าใจสัตว์โลกจึงทำกรรมที่เป็นกุศลบ้างอกุศลบ้าง โดยไม่รู้ว่าจะให้ผลอย่างไร ยังไม่ครบปฏิจจสมุปบาททั้งหมดเลยใช่ไหม เพียงแต่เหตุในอดีต อวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดการกระทำในอดีตชาติก่อนเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร สังขารเป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ คือปฏิสนธิจิต พร้อมทั้งเจตสิกและรูป ชีวิตประจำวันทั้งหมด ปฏิจจสมุปบาททั้งนั้น ถ้าได้ยินเพียงชื่อสามารถจะเข้าใจอย่างนี้ไหมว่า ปฏิจจสมุปบาทคือเดี๋ยวนี้ เห็นเดี๋ยวนี้ มาจากชาติก่อน ที่เป็นสังขารที่ได้กระทำกรรมว่า เราจะเห็นดีหรือเห็นไม่ดี เลือกไม่ได้เลย ไม่อยากจะเห็นคนนอนตายกลางถนนเลย ใช่ไหม ใครจะอยากดู ไม่อยากได้ยินเสียงร้องไห้เลย เขาต้องมีความทุกข์แสนสาหัส แต่ก็ต้องได้ยิน เลือกไม่ได้เลยสักอย่าง เพราะฉะนั้นให้ทราบว่าอะไรเป็นกรรม และอะไรเป็นผลของกรรม ผลของกรรมคือเกิดแล้วต้องเห็น เป็นผลของกรรม ได้ยินเป็นผลของกรรม ได้กลิ่นเป็นผลของกรรม ลิ้มรสเป็นผลของกรรม จะเจ็บไข้ได้ป่วยทางกาย เป็นผลของกรรม พ้นจากนี้แล้วไม่ใช่กรรม เป็นเหตุใหม่ที่จะให้เกิดผลต่อไปข้างหน้า คือเป็นกุศลบ้างเป็นอกุศลบ้าง นี่แสดงอย่างคร่าวๆ แต่ว่าพระอภิธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง อภิคือลึกซึ้งอย่างยิ่ง ละเอียดอย่างยิ่ง

    เพราะฉะนั้นธรรมทั้งหมดเป็นอภิธรรม ถ้าไม่รู้ก็ไม่รู้ว่าลึกแค่ไหนใช่ไหม เหมือนกระต่ายที่อยู่ที่มหาสมุทร รู้ไหมว่าน้ำลึกแค่ไหน ข้อความในพระสูตรยิ่งลึกกว่านั้น จงอยปากยุงจุ่มลงในมหาสมุทร นี่คือความรู้ของคนที่ฟังธรรม กับพระปัญญาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นถ้าเราไม่ฟังธรรมเลย เราไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ไปทำอะไรก็ไม่รู้เลย ไม่เข้าใจเลย ปิดกั้นไม่ให้ได้ฟัง ไม่ได้ให้เข้าใจคำที่พระองค์ได้ตรัสไว้ดีแล้ว แม้แต่ปริยัติ ปฏิปัตติ ปฏิเวธก็ต้องรู้ ปริยัติคือฟังพระพุทธพจน์ แต่ไม่ใช่แค่ฟัง รอบรู้ในพระพุทธพจน์ทีละคำ ตอนนี้รอบรู้คำว่าธรรมหรือยัง คำเดียว ทุกอย่างที่มีจริง สิ่งที่มีจริงทั้งหมดเป็นธรรม ซึ่งต่างกันเป็น ๒ ประเภท เป็นรูปธรรมกับนามธรรม นามธรรมก็เป็น ๒ อย่าง คือจิตกับเจตสิก เดี๋ยวนี้เลย ไม่พ้นไปเลย ถ้าเข้าใจละเอียดขึ้น ไม่ต้องไปท่องใช่ไหม

    ผู้ฟัง ตามที่ท่านอาจารย์บรรยายว่าการเห็น การได้ยิน การได้กลิ่นเป็นวิบากกรรม แล้วทำอย่างไรที่จะให้หยุดวิบากกรรมอันนี้ ไม่ให้สั่งสมต่อไปได้

    ท่านอาจารย์ ปฏิจจสมุปบาท เมื่อมีอวิชชาก็ต้องมีสังขาร หยุดได้ไหม เมื่อมีสังขารก็ต้องมีวิญญาณ เมื่อมีวิญญาณก็ต้องมีนามรูป หยุดได้ไหม ถ้ามีอวิชชาแล้วหยุดไม่ได้เลย จนกว่าจะมีวิชชาที่ดับอวิชชาหมดเมื่อไหร่ ก็จะไม่มีอะไรๆ เกิดขึ้นเลย ตรงไหม ใครจะหยุดไม่ให้มีเดี๋ยวนี้บ้าง เมื่อสักครู่นี้หมดแล้ว สิ่งที่จะเกิดเป็นปัจจุบัน ยับยั้งไม่ได้เลย จะไม่ให้มีอะไร

    ผู้ฟัง ความคิดของผม หมายความว่าถ้าได้กลิ่นแล้วเกิดความชอบ ชอบก็สะสมเป็นวิบากที่ต้องชอบต่อไป

    ท่านอาจารย์ ยังไม่เป็นวิบาก ชอบสะสมเป็นอัธยาศัย ซึ่งแต่ละคนชอบหลากหลายกัน แม้แต่บางคนชอบสีเขียว บางคนชอบสีฟ้า เพราะสะสมมาต้องการสิ่งนั้นบ่อยๆ ชอบดนตรี ชอบทำอาหาร ก็เพราะการสะสมมา เพราะฉะนั้นก็ทำให้สะสมเพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้นชอบหรือไม่ชอบ ยังไม่ใช่วิบาก เป็นเหตุที่ค่อยๆ สะสมจนกว่าจะกระทำกรรม ทุกขณะละเอียดอย่างยิ่ง และก็มีเหตุปัจจัยที่จะให้เกิด ไม่ใช่เพียงปัจจัยเดียว แม้แต่เห็นยังต้องอาศัยทั้งตา และสิ่งที่สามารถกระทบตาได้ และต้องอาศัยกรรมที่ได้ทำแล้วว่าจิตประเภทไหนจะเกิด เป็นผลของกุศลหรือว่าเป็นผลของอกุศล เลือกไม่ได้เลย ทั้งหมดต้องมั่นคงว่าธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา เกิดเมื่อมีปัจจัย ถ้าไม่มีปัจจัยที่จะเกิดก็เกิดไม่ได้

    ผู้ฟัง ไม่รู้แจ้งคำว่าสักกายทิฏฐิ แล้วก็ไม่เข้าใจคำว่าเราในเรา ไม่มีความกระจ่างจริงๆ

    ท่านอาจารย์ ทิฏฐิเป็นภาษาบาลี แปลว่าความเห็น เพราะฉะนั้นความเห็นหลากหลายมาก พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นอย่างหนึ่ง พวกเดียรถีย์เห็นอีกอย่างหนึ่ง เพราะฉะนั้นต่างคนก็ต่างความเห็น แต่ความเห็นไม่ตรงตามความเป็นจริง เป็นมิจฉาทิฏฐิความเห็นผิด เพราะไม่ตรงตามความเป็นจริง ถ้าเป็นความเห็นถูกต้อง ก็คือสัมมาทิฏฐิ เพราะฉะนั้นมิจฉาทิฏฐิเป็นอกุศลเจตสิก ๑ ในบรรดาอกุศลเจตสิก ๑๔ และสัมมาทิฏฐิก็เป็นอีกคำหนึ่งของปัญญา เพราะว่าปัญญานั้นเป็นความเห็นที่ถูก ตั้งแต่เริ่มถูกจนกระทั่งประจักษ์แจ้งความจริงว่า ขณะนี้เห็นเกิดแล้วดับ เพราะฉะนั้นเราต้องมีความเข้าใจมั่นคงทีละคำ ไม่ใช่ว่าเขาบอก เขาให้ทำ ไม่ใช่ นั่นไม่ใช่ปัญญา ไม่ใช่มรดกที่ได้รับจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องเป็นความรู้ของเราเอง ที่เกิดจากการไตร่ตรอง เพราะฉะนั้นก็ต้องไตร่ตรองแล้วถึงสามารถจะเข้าใจได้

    ผู้ฟัง คำว่าเราคืออะไร แล้วเราจะปฏิบัติต่อคำว่าเราอย่างไร

    ท่านอาจารย์ ธรรมตรงไปตรงมา เดี๋ยวนี้เห็นไหม กำลังเห็นหรือเปล่า

    ผู้ฟัง กำลังเห็น ถ้านึกถึงตาก็กำลังเห็นรูป

    ท่านอาจารย์ กำลังเห็น

    ผู้ฟัง กำลังเห็นรูป

    ท่านอาจารย์ เป็นเราเห็นหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เป็นสภาวะที่เห็น ความรู้สึกว่า

    ท่านอาจารย์ หมายความว่าเดี๋ยวนี้รู้ว่าเห็นไม่ใช่เราใช่ไหม หรือว่าเห็นยังเป็นเราเห็นอยู่ ต้องตรง ได้ยินไหม

    ผู้ฟัง ได้ยิน

    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้เราได้ยิน หรือว่าได้ยินไม่ใช่เรา ตอบได้อย่างหนึ่งอย่างใดตามความเป็นจริง

    ผู้ฟัง ได้ยินเป็นได้ยิน

    ท่านอาจารย์ ได้ยินเป็นได้ยินไม่ใช่เรา นั่นคือความเห็นถูก สัมมาทิฏฐิ แต่เป็นเราได้ยิน มิจฉาทิฏฐิ ความเห็นผิด เพราะได้ยินเกิดแล้วดับ เป็นของใครอยู่ที่ไหน เอามาเอาได้ยินกลับมาเป็นของเรา ไม่มีทางเป็นไปได้เลย เพราะฉะนั้นจึงเข้าใจได้ว่าสัมมาทิฏฐิคือความเห็นถูกตามความเป็นจริงของธรรม มิจฉาทิฏฐิคือความเห็นผิดไม่ตรงตามความเป็นจริงของธรรม เพราะฉะนั้นความเห็นผิดมีหลายอย่าง ดอกกุหลาบเป็นเราหรือเปล่า ไม่ใช่ แต่ดอกกุหลาบเป็นดอกกุหลาบหรือเปล่า ดอกกุหลาบไม่ใช่เรา แต่ดอกกุหลาบเป็นดอกกุหลาบหรือเปล่า ดอกกุหลาบเป็นดอกกุหลาบ เห็นผิด ใช้คำว่าอัตตานุทิฏฐิ เห็นว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ถ้าเห็นถูก คือไม่มีดอกกุหลาบในขณะที่เห็น มีแต่สิ่งที่กระทบตา แล้วปรากฏเป็นสีสันวรรณะต่างๆ สีต่างๆ ไม่ใช่ดอกกุหลาบ สีแดงจะเป็นดอกกุหลาบ หรือเป็นผ้าปูโต๊ะ หรือเป็นน้ำ เห็นไหม ก็แค่สิ่งที่ปรากฏเป็นสีนั้น นี่คือจิตที่รู้แจ้ง เพราะฉะนั้นถ้ามีความเข้าใจที่มั่นคงจริงๆ ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตาไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของเรา

    ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงความละเอียดอย่างยิ่ง ให้ค่อยๆ เข้าใจ จนกระทั่งรอบรู้ในพระพุทธพจน์ คือปริยัติ ก่อนจะปฏิปัตติ ถ้าไม่มีความรู้ความเข้าใจเลย จะไม่ถึงปัญญาระดับขั้นที่ใช้คำว่าปฏิปัตติ เพราะทรงแสดงไว้ว่าธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา จะมีใครไปปฏิบัติก็ผิดแล้ว แต่ต้องปัญญาที่เข้าใจขึ้น สามารถที่จะค่อยๆ รู้ตรงลักษณะที่กำลังเป็นอย่างนั้นทีละหนึ่ง ยังไม่ประจักษ์แจ้งการเกิดดับ เพราะต้องเป็นปัญญาที่มากกว่านั้นอีก ที่ละคลายความติดข้อง สภาพธรรมที่เราได้ยินได้ฟัง ซึ่งไม่เคยคิดว่าจะปรากฏได้ ปรากฏกับปัญญาที่อบรมแล้ว ไม่ใช่ปรากฏเพราะเราไปอยากให้ปรากฏ ไม่รู้อะไรเลยไปนั่งทำจ้องอยู่ก็ไม่ปรากฏ เพราะว่าปัญญาเป็นสภาพที่เข้าใจถูกตามความเป็นจริง สภาพธรรมปรากฏกับปัญญาตามระดับขั้น ขณะนี้ก็คือว่าฟังไว้ สะสมไว้ เพื่อที่จะรู้จริงๆ ในวันหนึ่งว่าขณะนี้ไม่มีใครเลย ถ้าหลับตามีไหม มีใครสักคนไหม หลับตา มีโต๊ะมีเก้าอี้ไหม หลับตา ไม่มี จริงใช่ไหม

    เพราะฉะนั้นเห็นไม่ใช่เห็นคน เห็นโต๊ะ เห็นเก้าอี้ เห็นเฉพาะสิ่งที่กระทบตาได้ คนกระทบตาไม่ได้ แต่สิ่งที่มีอยู่ที่สิ่งหนึ่งสิ่งใด ที่อ่อนหรือแข็ง เย็นหรือร้อน ตึงหรือไหว ที่เราใช้คำว่ามหาภูตรูป ที่ใดมีมหาภูตรูปที่นั่นมีสิ่งที่กระทบตาได้ ทุกคนเห็นอย่างนี้ใช่ไหม กระทบตาได้มีมหาภูตรูปอยู่ที่นี่แข็ง พอไม่มีมหาภูตรูป สิ่งที่ปรากฏกระทบตาเมื่อสักครู่นี้ไม่มี เพราะฉะนั้นสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ เป็นอีกรูปหนึ่ง รูปทั้งหมดมี ๒๘ รูป สิ่งที่กระทบตาได้เป็นรูปหนึ่ง เสียงเป็นรูปหนึ่ง กลิ่นเป็นรูปหนึ่ง แต่ละหนึ่งแต่ละหนึ่ง แต่ละทางที่สามารถจะปรากฏให้รู้ได้ นี่คือความเห็นถูก แต่ถ้ารวมกันแล้วเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด นั่นคืออัตตานุทิฏฐิ แต่ถ้าสิ่งที่รวมกันแล้ว เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดอยู่ตรงนี้ นี่เป็นสักกายทิฏฐิ ของเราหรือเรา นี่เป็นเพียงสิ่งหนึ่ง นี่ก็สิ่งหนึ่ง แต่สิ่งหนึ่งนี่เป็นเรา เพราะฉะนั้นแต่ละคน สักกายะคือที่ตัวเอง นับถือเฉพาะนามธรรมรูปธรรมที่ตัวเองว่าเป็นเรา นั่นสักกายะ แต่คนอื่นก็เป็นคน ก็เป็นอัตตานุทิฏฐิ เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่ไม่ใช่เรา เราจะไปเป็นคนนั้นได้ไหม ไม่ได้ แต่ตรงนี้สำคัญว่าเป็นเรา

    เพราะฉะนั้นสักกายะเป็นเราหรือของเรา ต้องอยู่ตรงนี้ แต่ตรงอื่นทั้งหมด นอกนั้นเป็นอัตตาสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะฉะนั้นอัตตามีทั้งสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่มีชีวิต หรือไม่มีชีวิตก็ตามแต่ แก้วก็เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดแล้ว แตกย่อยกระจายละเอียดยิบได้ ก็เป็นแต่แข็งหรืออ่อน เย็นหรือร้อนละเอียดมากเลย ไม่เป็นแก้วอีกต่อไป แต่พอรวมกันก็เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด นั่นคืออัตตานุทิฏฐิ แต่แก้วไม่ใช่เรา ไม่ใช่สักกายะใช่ไหม ที่ตรงนี้เท่านั้นที่ยึดถือว่าเป็นเราที่เป็นสักกายทิฏฐิ แต่คนอื่นเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็เป็นอัตตานุทิฏฐิ ผิดหรือถูก เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เป็นแก้วถูกหรือผิด ผิดแล้วเห็นไหม เข้าใจคำว่ามิจฉาทิฏฐิชัดเจนแล้ว อะไรที่ผิดจากความเป็นจริงทั้งหมดเป็นมิจฉาทิฏฐิ เริ่มรู้จักแล้วใช่ไหม ไม่รู้อะไรมากมายตั้งเท่าไหร่ หลงเข้าใจผิดๆ มานานแสนนาน จนกว่าจะได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นสิ่งซึ่งจะติดตามไปได้ทุกชาติ ในเมื่อสิ่งอื่นติดตามไปไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นกุศลและอกุศลแต่ละขณะที่เกิด ดับแล้วก็จริง แต่สะสมสืบต่อในจิตขณะต่อไป ทำให้แต่ละคนมีอุปนิสัยต่างๆ กัน

    ผู้ฟัง หน้าที่ของเราก็คือจบแค่ว่าอันนี้คือแก้ว เราไม่ได้ปรุงแต่งต่อหรือทำให้เกิด ปฏิจจสมุปบาท เราเห็นแก้วเห็นน้ำ เราอยากกินเรากระหาย แต่ว่าเราเห็นแค่เห็นตรงนั้นก็คือจบ อย่างนี้แปลว่าใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ ไม่จบ แก้ว พอเห็นแล้วชอบหรือไม่ชอบ ไม่จบ ไม่มีจบ จนกว่าจะรู้ความจริง จนไม่มีความไม่รู้อีกต่อไป จบความไม่รู้ไม่เหลือเลยเมื่อไหร่ ไม่ต้องมีอะไรอีกต่อไปทั้งสิ้น เพราะทุกอย่างมีเมื่อไม่รู้ ตอนนี้สำหรับทิฏฐิเข้าใจแล้วใช่ไหม

    ผู้ฟัง เข้าใจ

    ท่านอาจารย์ มิจฉาทิฏฐิ สัมมาทิฏฐิ สักกายทิฏฐิ อัตตานุทิฏฐิ ความจริงทิฏฐิมีอีกเยอะ เพราะว่าความเห็นมากมายหลายประเภท แต่ที่สำคัญก็คือ มิจฉาทิฏฐิหรือสัมมาทิฏฐิ และที่เป็นสิ่งที่มีประจำแน่นอน ก็คืออัตตานุทิฏฐิ และสักกายทิฏฐิ เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ผิดแล้ว ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม ถูกใช่ไหม แก้ว ใครก็ต้องเห็นว่าเป็นแก้ว แต่ถ้าฟังพระธรรมคือ ถ้าไม่จำไว้จะมีแก้วไหม ต้องจำรูปร่างสัณฐาน เพราะฉะนั้นสภาพที่จำมีจริงไหม เป็นอัตตาหรืออนัตตา เห็นไหม การสนทนาธรรมซ้ำแล้วซ้ำอีก จนกว่าจะชัดเจน กำลังจำอยู่ใช่ไหม มีจริงๆ เป็นเราหรือเปล่า ถ้าเป็นเราก็คือสักกายทิฏฐิ ยึดถือสภาพที่จำว่าเป็นเรา ทุกคำเป็นเรื่องที่ว่าถ้าไม่เผินและไม่ลืม จะทำให้ที่ไหนก็สามารถที่จะระลึกได้

    ผู้ฟัง ที่เด็กลงไปในถ้ำ ก็ไปทำพิธีขอขมาลาโทษกัน บางคนบอกถ้าไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่ ทำให้คนไทยส่วนหนึ่ง ก็ไปเชื่อพิธีกรรมเหล่านั้น อยากเรียนถามท่านอาจารย์ว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิ หรือว่าเป็นสีลัพพตปรามาส

    ท่านอาจารย์ ข้อตัดสินก็คือว่า สิ่งนั้นตรงตามความเป็นจริงหรือเปล่า ในพระไตรปิฎกมีการกระทำอย่างนี้ไหม ไม่มี เพราะฉะนั้นไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าซักถาม จะมีคำตอบว่าอย่างไร เพราะฉะนั้นไม่ใช่เชื่อ เขาบอกก็เชื่อ ไม่ใช่อย่างนั้น แต่ต้องเป็นผู้ที่ตรงต่อเหตุและผลตามความเป็นจริง ลองคิดดูก็ได้ เป็นไปได้ไหม ไม่ได้ก็คือไม่ได้ จะต้องสงสัยอะไร ถ้าคิดว่าได้ก็คือเห็นผิดใช่ไหม ก็ต้องยอมรับว่าผิด ผิดก็คือผิด ไม่เช่นนั้นเราจะรอดพ้นจากความเห็นผิดหรือ ถ้าเราไม่รู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมท่ามกลางความเห็นผิด ความเห็นผิดมากมาย เหมือนสมัยนี้ เห็นผิดต่างๆ ก็ต้องว่าผิด ใครว่าถูกบ้าง ถ้าใครว่าถูกแสดงเหตุผล ถ้าว่าผิดก็แสดงเหตุผลได้ เป็นไปได้หรือ ถ้าเป็นไปได้ เป็นไปได้อย่างไร คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนให้เข้าใจสิ่งที่มี สิ่งใดเป็นเหตุสิ่งใดเป็นผล เพราะฉะนั้นคนที่ไม่ได้เข้าใจความจริง ก็คิดไปต่างๆ นานา แต่คนที่สะสมมาที่จะมั่นคงในเหตุและผล ก็ไม่เชื่อในสิ่งซึ่งไม่เป็นเหตุเป็นผล ก็จะพ้นจากความเห็นผิด เมื่อสักครู่นี้พูดว่า ถ้าไม่เชื่อก็ไม่ลบหลู่หรืออย่างไร

    ผู้ฟัง คือในสื่อสังคมออนไลน์ พยายามชักจูงคนที่มาได้เห็น ไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่ คนที่จะคัดค้านไว้ ก็ต้องเงียบไปอะไรอย่างนี้

    ท่านอาจารย์ ความจริงเป็นสิ่งที่เปลี่ยนไม่ได้ใช่ไหม ถ้ามีความเข้าใจที่ถูกต้อง และมั่นคงก็จะไม่เปลี่ยนความจริง เพราะฉะนั้นลบหลู่คืออะไร คำพูดทุกคำต้องรู้ว่าคืออะไร ถ้าไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่ ลบหลู่คืออะไร ลบหลู่คือลบล้างคุณความดีของคนที่มีความดี นั่นคือลบหลู่ แต่ถ้าสิ่งนั้นผิดจะให้ว่าถูกหรือ สิ่งผิดก็ต้องผิด ไม่ได้ไปลบหลู่อะไร แต่พูดความจริง สิ่งที่ผิดแล้วเป็นถูก คนนั้นไม่ตรงไม่จริง เพราะฉะนั้นสิ่งที่ผิดก็ต้องผิด สิ่งที่ถูกก็ต้องถูก และถ้ากล่าวให้รู้ว่าอะไรถูก และกล่าวให้รู้ว่าอะไรผิด ลบหลู่หรือ ในเมื่อผิดก็ผิด แต่ลบหลู่คือลบล้างคุณความดี ถ้าใครก็ตามมีคุณความดี แล้วเรากล่าวร้ายให้คุณความดีเขาหมดไป นั่นคือลบหลู่ แต่สิ่งที่ไม่ถูก พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่าเป็นอกุศลหรือเปล่า พระองค์ทรงแสดงธรรมที่เป็นกุศลธรรมและอกุศลธรรมตามความเป็นจริง เพื่อประโยชน์คือความเข้าใจที่ถูกต้อง ถ้าคิดว่าอะไรถูกก็แสดงเหตุผล ถ้าคิดว่าถูก ต้องแสดงได้ แต่ถ้าผิดคือเป็นไปไม่ได้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ข้อความในพระไตรปิฎก ก็ไม่มีใครทำให้เป็นอย่างนั้นได้ เวลากรรมจะให้ผล ใครช่วยได้ นกกี่ตัวช่วยได้ไหม ไม่มีทางที่จะช่วยได้เลย เวลาที่กรรมให้ผล อย่างเห็นเดี๋ยวนี้เกิดแล้ว ใครไม่ให้เห็นได้

    ผู้ฟัง ผมสงสัยเพียงแต่ว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิ หรือว่าเป็นสีลัพพตประมาส

    ท่านอาจารย์ มี ๒ คำ มิจฉาทิฏฐิกับสีลัพพตปรามาส ขอเชิญคุณคำปั่นให้ความหมายภาษาบาลีด้วย

    อ.คำปั่น คำว่าสีลัพพตปรามาส มาจากคำว่า สีละ คำหนึ่งก็คือความประพฤติเป็นไป พรตก็คือข้อที่ยึดถือ เป็นข้อประพฤติปฏิบัติ แล้วก็ปรามาส ก็คือการลูบคลำยึดถือ เพราะฉะนั้นเมื่อรวมกัน ก็จะเป็นสีลัพพตปรามาส ก็คือการลูบคลำยึดถือในข้อประพฤติปฏิบัติที่ผิด นี่คือความหมาย

    ท่านอาจารย์ ก็ชัดเจนตรงตัว เพราะเหตุว่าเห็นผิด แล้วยังทำสิ่งที่ผิดด้วย เพราะว่าบางทีก็มีความเห็นผิดแต่ไม่ได้ทำใช่ไหม เห็นผิดในใจ แต่นี่มีการกระทำตามความเห็นผิด เพราะฉะนั้นเมื่อมีการกระทำ ก็เป็นสีลัพพตปรามาส คำว่าสีละ ในภาษาบาลี ศีลหมายความถึงความประพฤติเป็นไป หรืออาการเป็นไปของจิต เพราะฉะนั้นจิตหลากหลายมาก ถ้าจิตเป็นอกุศล ข้อความในพระไตรปิฎกใช้คำว่าอกุศลศีล คนไทยจะไม่ได้ยินคำนี้เลย ได้ยินแต่ศีลเป็นกุศล ศีล ๕ ศีล ๘ เป็นต้น แต่ว่าความจริงสีละคือความประพฤติเป็นไปของจิต ด้วยเหตุนี้ขณะใดที่จิตเป็นอกุศล ขณะนั้นคืออกุศลศีล

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 188
    19 ก.ค. 2568