ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1281


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ปกิณณกธรรม ตอนที่ ๑๒๘๑

    สนทนาธรรม ที่ โรงแรมมีพรสวรรค์ จ.พิจิตร

    วันที่ ๕ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๖๑


    ท่านอาจารย์ ก่อนเสด็จบิณฑบาต เห็นว่าใครมีอุปนิสัยที่ฟังธรรมแล้วเข้าใจ ก็เสด็จไปอนุเคราะห์ เพื่อให้เขาได้ยินคำที่ทำให้เขาเข้าใจได้ หลังจากที่บิณฑบาตแล้ว เสวยพระกระยาหารแล้ว ก็ยังแสดงธรรม ภิกษุต่างถิ่นก็ไปเฝ้าถามปัญหา ตอนเย็นอุบาสกอุบาสิกาก็ไปเฝ้าเพื่อฟังธรรม ตอนค่ำอุบาสกกลับไปแล้ว ภิกษุก็มีการสนทนากับพระองค์ ตอนดึกเทวดาหรือพรหมก็มาเฝ้า เพราะฉะนั้นทรงพระมหากรุณายิ่งกว่าใคร แล้วเราฟังธรรมวันละกี่ครั้ง หรือไม่ได้ฟังเลย ใช่ไหม ถ้าฟังนี่เข้าใจได้ แล้วก็เข้าใจขึ้น แล้วก็จะละความไม่รู้ ละความติดข้องซึ่งเป็นเหตุให้จิตไม่ดี อกุศลทั้งหลายเกิดขึ้นกระทำทุจริตกรรม ซึ่งเป็นเหตุซึ่งคนอื่นไม่ได้ผลเลย นอกจากผู้กระทำกรรมนั้นเองได้ผล ต้องไปไหว้ต้นกล้วยไหม ถ้าเห็นใครไหว้ต้นกล้วย รู้เลยใช่ไหม ไหว้ทำไม ต้นกล้วยรู้ไหมว่าใครไหว้ เพราะเป็นรูปธรรม

    เพราะฉะนั้นต้องไม่ลืม ศีลคือความประพฤติเป็นไปของจิต ขณะใดเป็นอกุศล จิตเป็นอกุศล ขณะนั้นเป็นอกุศลศีล ขณะใดเป็นกุศลก็เป็นกุศลศีล ขณะใดไม่ใช่กุศลและอกุศล คืออัพยากตศีล เพราะฉะนั้นคำใหม่ นอกจากกุศลและอกุศลก็คือ อัพยากตะ ไม่พยากรณ์ เพราะเหตุว่าสภาพธรรมนั้นไม่ใช่กุศลและไม่ใช่อกุศล ได้แก่ รูปธรรม แล้วก็จิตซึ่งเป็นผล ไม่ใช่จิตซึ่งเป็นเหตุ และจิตของพระอรหันต์ซึ่งไม่เป็นเหตุให้เกิดผลอีกต่อไป ก็เป็นอัพยากตะ

    ผู้ฟัง อยากให้อาจารย์เมตตาอธิบายว่า คนเราตายไป ถ้าเป็นผู้มีความโลภมากก็เป็นเปรต โกรธบ่อย โกรธมากก็สั่งสมเป็นสัตว์นรก อย่างนี้เป็นความเข้าใจที่ถูกต้องหรือไม่

    ท่านอาจารย์ ต้องมีความมั่นคงว่าจิตเกิดแล้วดับ แล้วไม่กลับมาอีกเลย แต่เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิด หลากหลายมาก อกุศล ๑ ขณะเกิด ดับไป เป็นปัจจัยให้อกุศลต่อไปเกิด ซ้ำกัน ๗ ขณะ ในขณะที่เห็นขณะนี้เกิด ดับไป จิตขณะต่อไปไม่ใช่จิตเห็น แต่เป็นจิตอื่น ซึ่งเกิดสืบต่อ รู้อารมณ์เดียวกัน ต้องเป็นเรื่องที่ละเอียด

    เพราะฉะนั้น จะพบอะไร จะเห็นอะไร ต้องตามเหตุที่ได้กระทำแล้ว บางเรื่องบางอย่าง เราก็ต้องรู้เรื่องอื่นเสียก่อน แล้วถึงจะเข้าใจได้ ถ้าเราไปพูดถึงสิ่งที่เบื้องต้นยังไม่รู้ จะไปรู้สิ่งนั้นก็ไม่ได้ เรื่องภพภูมิกำเนิดต่างๆ ก็หลากหลายไปตามเหตุ แล้วแต่กรรมด้วย แต่ต้องไม่ลืมสิ่งที่สำคัญ ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา มีความมั่นคงจนกระทั่งรู้จริงๆ ว่าทำอะไรไม่ได้ ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา ทุกอย่างเกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย เพราะฉะนั้นถ้าเหตุดีมีมาก ผลที่ดีก็ต้องมีมาก

    ในที่นี้ ๑ ขันธ์ มีไหม นี่ไง ๑ ขันธ์ รูปขันธ์อย่างเดียว ไม่มีนามขันธ์เลย กว่าเราจะมั่นคง โดยการที่ว่าธรรมแต่ละหนึ่ง เป็นแต่ละขันธ์ รูปขันธ์เป็นรูปขันธ์ เป็นอย่างอื่นไม่ได้ ความรู้สึกเวทนาขันธ์ก็เป็นความรู้สึก จะเป็นอย่างอื่นไม่ได้ จะเป็นจำ จะเป็นอะไรไม่ได้เลย จะเป็นชอบไม่ได้ เพราะฉะนั้นธรรมแต่ละหนึ่งเป็นหนึ่งจริงๆ จึงจะรู้ว่าไม่ใช่เรา เพราะแยกออกไปแล้ว เป็นหนึ่งๆ ๆ ที่มารวมกัน ซึ่งถ้ามีความเข้าใจจริงๆ ในแต่ละหนึ่ง ก็จะมั่นคงขึ้นว่า ไม่มีเรา แต่ละหนึ่งก็เป็นอย่างนั้น จะเป็นเราได้อย่างไร อย่างเห็นก็เป็นเห็น ไม่ใช่เรา ได้ยินก็เป็นได้ยิน เกิดแล้ว ดับแล้ว ไม่ใช่เรา แข็งอ่อน เกิดเป็นแข็ง ไม่เป็นอย่างอื่น ดับแล้ว เป็นเราก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้นที่เข้าใจว่าเป็นเรา ก็ยึดถืออุปาทาน ขันธ์ทั้ง ๕ ว่าเป็นเรา คือยึดถือรูปตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าว่าเป็นเรา หูเรา แขนเรา ผมเรา ยึดถือนามธรรมคือจิตและเจตสิก เจตสิกทั้งหมดมี ๕๒ เป็นเวทนาเจตสิก ๑ เป็นเวทนาขันธ์ เป็นสัญญาเจตสิก ๑ เป็นสัญญาขันธ์ เจตสิกที่เหลืออีก ๕๐ เป็นสังขารขันธ์ ๓ ขันธ์แล้วใช่ไหม นามธรรม จิตทั้งหมดเป็นวิญญาณขันธ์ ก็ครบขันธ์ ๕

    เพราะฉะนั้นได้ยินขันธ์ ๕ ฟังมาแล้วกี่ขันธ์ ก็ต้องให้จบ ใช่ไหม ขันธ์ ๕ ต้องเป็นแต่ละ ๑ ขันธ์ แล้วแต่ว่าจะเป็นขันธ์ใด ถ้าเป็นรูป เป็นนามขันธ์ไม่ได้เลย เป็นรูปขันธ์ นามขันธ์ คือจิตและเจตสิก จิตเป็นวิญญาณขันธ์ อีก ๓ เป็นเจตสิก และเจตสิกที่สำคัญก็คือ ความรู้สึกกับความจำ ความรู้สึกเป็นเวทนาขันธ์ ความจำเป็นสัญญาขันธ์ เจตสิกอื่นทั้งหมดเป็นสังขารขันธ์ ก็ครบขันธ์ ๕ ดีกว่าท่องขันธ์ ๕ จำชื่อขันธ์ ๕ แต่ไม่รู้ว่าขันธ์ ๕ คืออะไร ใช่ไหม แต่เท่านี้ก็ยังไม่พอ ละเอียดกว่านี้อีก เพื่อที่จะ “ไม่ใช่เรา” เพราะว่าความเป็นเราเป็นมานานแสนนานในสังสารวัฎฏ์ ที่จะให้หมดความเป็นเรา ก็ต้องมีความรู้ทีละเล็กทีละน้อยเพิ่มขึ้น จนกว่าจะประจักษ์แจ้งความจริง ที่ได้ฟังว่า ไม่ใช่เพียงแค่ได้ยิน แต่สามารถประจักษ์แจ้งได้ จากปริยัติ เป็นปฏิบัติ เป็นปฏิเวธ

    นกมีกี่ขันธ์ ไม่เอานก เอางูก็ได้ ไม่เอางู เอาปลาก็ได้ มีกี่ขันธ์ ๕ ขันธ์ รูปขันธ์เป็นรูปขันธ์ นกก็มีเวทนาเจตสิก มีสัญญาเจตสิก และมีเจตสิกอื่นๆ แล้วก็มีจิตซึ่งเป็นวิญญาณขันธ์ ก็ครบ ๕ ขันธ์ ตาเป็นนก หรือว่าตาเป็นปลา หรือว่าตาเป็นคน ทุกคนมีตาใช่ไหม แล้วตาเป็นคนหรือว่าเป็นนก หรือเป็นงู หรือเป็นปลา ตอบง่ายที่สุด ตาเป็นอะไรไม่ได้นอกจากเป็นตา รูปธรรมต้องเป็นรูปธรรม จะเป็นใครหรือจะเป็นของใครไม่ได้ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เป็นแต่สิ่งที่มีเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย แล้วก็ดับไป เพราะฉะนั้น ถ้าไม่มีรูปร่างเลย แค่เห็นแล้วจะบอกได้ไหมว่า คนเห็นหรืองูเห็น หรือช้างเห็น ถ้าไม่มีรูปร่างเลยบอกไม่ได้เลย แต่เห็นเป็นเห็น เพราะฉะนั้น เห็นเป็นธรรม ธรรมประเภทไหน ๑ ๒ ๕ เห็นไหม กล่าวโดยนัยไหนก็ได้ เพราะฉะนั้นเป็นอะไร เดี๋ยวนี้มี ถ้าไม่ฟังไม่รู้ นี่คือคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงความจริงให้คนอื่นได้เข้าใจในความเป็นธรรม สิ่งที่มีจริงเปลี่ยนแปลงไม่ได้เลย ธรรมที่มีจริงเปลี่ยนไม่ได้ จึงมีอีกคำหนึ่งว่า ปรมัตถธรรม มาจากคำว่า ปรม ใครก็เปลี่ยนไม่ได้ ไม่ว่าใครทั้งสิ้น ไม่ว่าเทวดา พรหม ก็เปลี่ยนธรรมให้เป็นอย่างอื่นไม่ได้เลย เป็นปรมัตถธรรม

    ทั้งๆ ที่ฟังแล้ว เวลาจะถามตอบก็ยังต้องคิด ลึกซึ้งใช่ไหม จึงมีอีกคำหนึ่งว่า อภิธรรม เพราะฉะนั้นธรรมทั้งหมด เป็นปรมัตถธรรม และเป็นอภิธรรม กำลังเกิดดับ ไม่ประจักษ์แจ้ง เพราะความลึกซึ้งอย่างยิ่ง แต่ใครบอกได้ไหมว่าไม่เกิด ไม่ดับ เห็นนี่ ไม่ได้ใช่ไหม ถ้าไม่เกิดก็ไม่มีเห็น และก็ไม่ได้เห็นตลอดไป เพราะฉะนั้นความจริงก็คือว่า สิ่งหนึ่งสิ่งใดมีความเกิดขึ้น สิ่งนั้นมีความดับไปเป็นธรรมดา เว้นอะไรหรือเปล่า สิ่งที่เกิดไม่ดับมีไหม ไม่มี แต่ยังไม่รู้ ฟังเข้าใจแต่ยังไม่ประจักษ์แจ้ง

    เพราะฉะนั้นปัญญามีหลายระดับ ด้วยเหตุนี้คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า งามในเบื้องต้น เป็นความจริงปฏิเสธไม่ได้ งามในท่ามกลาง งามในที่สุดคือประจักษ์แจ้งว่าทุกคำที่ได้ฟังเป็นความจริง ที่สามารถจะประจักษ์แจ้งได้ ขณะใดที่ประจักษ์แจ้งด้วยความเข้าใจที่ถูกต้องขณะนั้นเป็นวิปัสสนา อีกชื่อหนึ่งของปัญญา ไม่ใช่ปัญญาธรรมดา แต่ปัญญาที่ประจักษ์แจ้งลักษณะของสภาพธรรมตรงตามที่ได้ฟัง ทีละหนึ่งเพราะไม่ปนกัน ถ้าปนกันอย่างเดี๋ยวนี้ ไม่มีทางที่จะชัดเจนแต่ วิปัสสนา ความเห็นด้วยปัญญาที่ชัดเจนประจักษ์แจ้ง ไม่เป็นอื่น ตรงตามที่ได้ฟัง มิฉะนั้นจะไม่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ดับกิเลส เพราะได้ประจักษ์แจ้งความจริงของสภาพธรรม

    เพราะฉะนั้น กิเลสไม่ใช่สิ่งที่ใครจะดับได้โดยไปนั่งปฏิบัติ ทำอะไรก็ไม่รู้ ไม่เห็น ไม่เข้าใจอะไรเลย แต่ต้องเป็นปัญญาที่ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ค่อยๆ ละความไม่รู้ จนไม่มีสิ่งที่เคยปกปิดไว้ คืออวิชชา สภาพธรรมนั้นก็ปรากฏตามลำดับ ธรรมเป็นเรื่องจริงและเรื่องตรง ใครเคยไปสำนักปฏิบัติบ้าง คำถามว่าไปสำนักปฏิบัติ ทำอะไร รู้อะไร เข้าใจสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้หรือเปล่า และคำถามสุดท้ายคือถูกหรือผิด ต้องตรง ไม่มีใครตัดสิน นอกจากคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว ที่ทำให้รู้ว่าอะไรจริง อะไรไม่จริง อะไรถูก อะไรผิด ถ้าผิดแล้วยังคิดว่าถูก สมควรไหม ก็ไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่แก้ปัญหากันไม่ได้ทุกวันนี้เพราะอะไร ทราบหรือยัง ถ้าจะแก้ต้องรู้ ว่าเพราะอะไรที่แก้ไม่ได้ เมื่อกี้นี้มีปัญหาใช่ไหม ที่จะไม่ต้องเกิดอีก เห็นไหม ถ้าไม่รู้ก็แก้ไม่ได้ ทุกอย่างเพราะไม่รู้จึงมีปัญหา เพราะฉะนั้นจะแก้ปัญหา จะแก้ได้อย่างไร คำตอบก็ชัดเจน ถ้าอยากจะตอบ เพราะไม่รู้ ไม่ว่าเรื่องอะไรทั้งหมดเลย ที่เป็นปัญหาเพราะไม่รู้ ถ้ารู้เมื่อไหร่ก็ไม่มีปัญหา ถ้าความจริงถูกต้อง ควรให้คนอื่นเข้าใจไหม เป็นประโยชน์ไหม เป็นผู้ที่หวังดีไหม ได้ยินคำว่ามิตรบ่อยๆ รู้จักมิตรไหม ผู้ที่หวังดี พร้อมที่จะเป็นประโยชน์เกื้อกูล มาจากคำว่าอะไร คุณคำปั่น

    อ.คำปั่น ก็มาจากคำว่า มิตตะ คือความเป็นเพื่อน ความหวังดี มุ่งประโยชน์เกื้อกูลแก่ผู้อื่น

    ท่านอาจารย์ ทุกคนเข้าใจแล้ว แต่มีอีกคำหนึ่งใช่ไหมคุณคำปั่น เมตตา

    อ.คำปั่น ใช่ เมตตาก็เป็นคำที่มาจากรากศัพท์ว่า มิตตะ มิตตะก็เป็นเมตตา แสดงความเป็นมิตร ความหวังดี ความห่วงใย เป็นประโยชน์ ทำสิ่งดีๆ เกื้อกูลแก่ผู้อื่นโดยตลอด

    ท่านอาจารย์ คนไทยก็ใช้ใช่ไหม ทั้งมิตร ทั้งเมตตา แต่ก็ไม่รู้ว่าเป็นคำเดียวกัน สภาพธรรมอย่างเดียวกัน ไม่ใช่ศัตรู ไม่ใช่คนที่หวังร้าย แต่ว่ามีความหวังดีที่จะช่วยเหลือ เป็นประโยชน์เกื้อกูลพร้อมที่จะช่วย นั่นคือมิตร อย่างเด็กที่ติดอยู่ในถ้ำ ทุกคนมีเมตตาไม่ต้องไปนั่งท่องใช่ไหม พฤติกรรมทั้งหลายที่เราเห็นความหวังดีของแต่ละคน ใกล้หรือไกลทั้งหมด แต่ไม่รู้ว่านั่นเป็นเมตตาก็ไปนั่งท่องเมตตา เมตตาจริงๆ กับนั่งท่องเมตตา เหมือนกันหรือเปล่า ลองคิดดูมีคนหนึ่งอยากมีเมตตามากเลย อยู่ในห้องมืดๆ มุมหนึ่ง นั่งท่องเมตตาตั้งนาน พอออกมาก็โกรธ แล้วอย่างไร ท่องทำไม แต่ถ้ามีเมตตาแม้ไม่ต้องเรียกชื่อเลย อย่างชาวบ้านที่ปรุงอาหารให้คนที่เข้าไปช่วยเด็กที่อยู่ในถ้ำ นั่นแหละเมตตาจริงๆ เป็นมิตรจริงๆ หวังดีจริงๆ ทำแล้วด้วย ด้วยใจ ไม่ต้องนั่งท่องเลยใช่ไหม

    เพราะฉะนั้นธรรมเป็นธรรม ไม่ใช่ว่าเราคิดว่าต้องท่องหรืออะไร แต่ไม่รู้จริงๆ ว่าขณะนั้นเป็นอย่างไร เพียงแค่ช่วยคนอื่น ขณะนั้นถ้าไม่เมตตา ช่วยไม่ได้เลย แต่ความเป็นมิตร แม้ไม่รู้จักแต่เราก็สามารถที่จะสงเคราะห์ช่วยเหลือ ใครก็ได้ แขกแปลกหน้า เพราะขณะนั้นไม่ใช่เรา แต่เป็นธรรมซึ่งเป็นโสภณเจตสิก เจตสิกฝ่ายดีเกิดขึ้น เป็นสภาพธรรมที่เป็นอโทสะ ไม่โกรธ ไม่หวังร้าย ถ้าโกรธ ช่วยไหม ไม่มีทางเลยใช่ไหม แต่เมตตาเมื่อไหร่ก็ทำสิ่งที่ดีเมื่อนั้น เพราะฉะนั้นธรรมเป็นธรรม เราอาจจะเปลี่ยนชื่อเรียกก็ได้ เรียกมิตรก็ได้ เรียกเมตตาก็ได้ แต่สภาพธรรมไม่เปลี่ยน ก็คือเป็นเจตสิกที่เป็นอโทสเจตสิก

    เดี๋ยวนี้มีเจตสิกไหม มีแน่นอน มีจิตเมื่อไหร่ก็ต้องมีเจตสิกด้วยเมื่อนั้น เพราะว่าจิตและเจตสิกเกิดพร้อมกัน ไม่เคยแยกกันเลย ด้วยเหตุนี้นามขันธ์ ๔ ไม่แยก มีขันธ์ ๑ คือรูป และมีนามขันธ์ ๔ เกิดพร้อมกันดับพร้อมกันทั้ง๔ ขันธ์ โลกนี้ที่นั่งอยู่ตรงนี้ ที่ว่าเป็นคน มีกี่ขันธ์ ๕ ขันธ์ บางภพภูมิมี ๔ ขันธ์ บางภพภูมิมี ๑ ขันธ์ จากการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงเหตุไว้โดยละเอียด ว่าจักรวาล อนันตจักรวาล แม้จะพยายามไปค้นหาสักเท่าไหร่ ไม่สิ้นสุด เช่นเดียวกับพระปัญญาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สิ่งที่ไม่สิ้นสุด เพราะฉะนั้นก็แสดงให้เห็นว่าบางโลก มีขันธ์เดียว ใช่ไหม ไม่มีมนุษย์ ไม่มีสิ่งที่มีชีวิต บางโลก เรียกดาวว่าโลกได้ไหม โลกะ คำนี้เป็นภาษาบาลี หมายความถึงสิ่งใดก็ตามที่เกิดดับ ทั้งหมดเป็นโลก ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาเลยสักอย่างเดียว มีโลกไหม ไม่มี แต่พอมี ดวงอาทิตย์ ดวงดาว ดวงจันทร์ มีโลกแล้วใช่ไหม เพราะเกิดขึ้น แล้วก็ดับไป

    เพราะฉะนั้นไม่ว่าอะไรก็ตาม ที่เกิดแล้วดับเป็นโลกทั้งหมด แต่มีเหตุที่จะให้เกิดมากมายประมาณไม่ได้เลย เพราะปรากฏทีเดียวเป็นโลก เป็นทวีป เป็นน้ำ เป็นภูเขา เป็นทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ทั้งหมดต้องเกิดขึ้น และละเอียดมาก ถ้าเป็นรูปธรรมก็มีอากาศธาตุแทรกคั่นอยู่ และสำหรับนามธรรม ทรงอุปมาว่า ความติดข้องในสิ่งที่ปรากฏว่ามี เหมือนอากาศที่แทรกอยู่ทุกกลาป กลาปนี้เป็นภาษาบาลี หมายความถึงรูปหลายรูปที่รวมกันอย่างน้อยที่สุด ๘ รูป มองไม่เห็น โลภะแทรกคั่นอยู่ ลืมตาขึ้นมา ถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงแสดง จะไม่มีการรู้เลยว่ามีความติดข้องในเห็นที่เกิดแล้ว ระดับไหน ใช้คำว่า อาสวะ เพราะฉะนั้นกิเลสมีหลายระดับ จะได้ยินชื่อหลากหลาย อนุสยะก็มี อาสวะก็มี โอฆะก็มี คันถะก็มี นิวรณะก็มี กิเลสก็มี ตามระดับขั้นของสภาพนั้นๆ ที่เกิดขึ้นเป็นไป เป็นอย่างนี้ เป็นโลก เพราะฉะนั้น โลกุตรธรรมคือนิพพาน พ้นจากการเกิดดับ มีไหมนิพพาน มี ถ้าไม่มีนิพพาน ไม่มีอะไรจะดับกิเลสได้เลย

    สนทนาธรรมที่บ้านธัมมะลำพูน วันที่ ๑๗ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๑

    อ.คำปั่น กราบเรียนท่านอาจารย์ว่า จริงๆ ธรรมก็ได้ยินอยู่ตลอดว่า ฟังธรรมบ้าง ศึกษาธรรมบ้าง สนทนาธรรมบ้าง ธรรมสำคัญอย่างไร ทำไมจึงต้องศึกษาธรรม

    ท่านอาจารย์ มี ก็ไม่รู้ เพราะว่าบางคนพอได้ยินคำว่า ธรรม ก็งง ก็พยายามไปหาธรรม ไม่รู้ว่าธรรมอยู่ที่ไหน แต่ถ้าเราใช้ภาษาไทย ธรรม คือ เดี๋ยวนี้ สิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ ใครรู้บ้าง เพราะไม่รู้ แล้วก็มีผู้ที่ทรงตรัสรู้คือพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงแสดงความจริงให้คนที่เกิดมาในสังสารวัฏฏ์ เกิดแล้วก็เป็นอย่างนี้ แต่ละชาติ ตายแล้วเกิด เกิดแล้วก็ตาย ก็เป็นอย่างนี้แต่ไม่รู้

    เพราะฉะนั้น ธรรมก็คือสิ่งที่มีแต่ไม่รู้ จนกว่าจะมีการตรัสรู้ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งก็รู้สิ่งที่มี ซึ่งเราไม่เคยรู้มาก่อน เช่น เดี๋ยวนี้ทุกคนก็กำลังเห็น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ “เห็น” ไม่ใช่รู้อย่างอื่นเลย เพราะว่าก่อนนั้นเราเข้าใจว่า “เราเห็น” มีใครบ้างไหม ที่เห็นแล้วไม่คิดว่าตัวเองเห็น ทุกคนคิดว่าเราเห็น ตั้งแต่เกิดจนตาย เราคิด เราจำ เราชอบ เราโกรธ แต่ไม่รู้เลยว่าความจริงแล้วที่ว่าเป็นเรานั้น มีขึ้นมาได้อย่างไร แล้วก็มีลักษณะอย่างไร ถ้าไม่มีผู้ที่เป็นพระโพธิสัตว์ แล้วก็ใคร่ที่จะรู้ความจริง ว่าสิ่งที่ปรากฏนี้ ความจริงแท้นั้นเป็นอย่างไร ค่อยๆ คิด เพราะเหตุว่าความคิดของแต่ละคนไม่เหมือนกัน เช่น เห็นกับได้ยินไม่เหมือนกัน แล้วเห็นเป็นเรา ได้ยินก็เป็นเรา ตกลงอะไรเป็นเรา กลายเป็นทุกอย่างที่มีจริงเป็นเรา ซึ่งความจริงมีเมื่อเกิด เพราะฉะนั้นฟังธรรม ไม่ใช่ว่าเราจะต้องไปรู้คำยากๆ แต่เริ่มรู้ว่า “ความไม่รู้” นั้น มีตั้งแต่เกิดจนตายถ้าไม่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และเมื่อฟังแล้วก็ไม่ใช่รู้อื่นเลย รู้สิ่งที่กำลังมีตามปกติตามธรรมดา แต่ว่ามีความเข้าใจมั่นคงขึ้น หรือว่าใครอยากจะรู้อย่างอื่น กำลังเห็น กำลังได้ยิน กำลังคิด กำลังชอบ กำลังไม่ชอบ ใครอยากจะรู้อย่างอื่นไหม

    ผู้ฟัง นิพพานที่ว่าไม่เกิดดับ มันจะไม่ขัดกับว่าเป็นสิ่งที่เป็นอนัตตา

    ท่านอาจารย์ ต้องเข้าใจความหมายของคำว่า อนัตตา ถ้าไม่ได้ฟังธรรม ทุกอย่างเป็นสิ่งหนึ่งใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ คำว่า สิ่งหนึ่ง ในภาษาไทยก็คือคำว่า อัตตา

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ โต๊ะ มีไหม

    ผู้ฟัง ถ้าไม่เข้าใจธรรมก็มี

    ท่านอาจารย์ ถามว่า โต๊ะมีไหม

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ มี เป็นอัตตา

    ผู้ฟัง เป็นอัตตา

    ท่านอาจารย์ คือต้องเข้าใจอย่างละเอียดมากเลย แม้แต่คำว่า อัตตา กับ อนัตตา โต๊ะเป็นอัตตา เพราะเหตุว่าเป็นสิ่งหนึ่งแล้ว ใช่ไหม แต่ว่าธรรมไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง เหมือนโต๊ะตัวนี้ก็ตั้งอยู่ตรงนี้ตั้งนาน แต่ว่าตามความจริงก็คือว่า สิ่งหนึ่งสิ่งใดนั้น ก่อนมี ไม่มี ต่อเมื่อมีปัจจัยทำให้เกิดขึ้น จึงเกิดขึ้น เกิดแล้วปรากฏ ก็ไม่มีใครรู้ว่าขณะนี้กำลังดับไปทุกอย่าง ทุกขณะ จนกว่าจะได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเมื่อเป็นความจริง ความจริงนั้นเปลี่ยนไม่ได้ แต่กว่าจะรู้ความจริงโดยประจักษ์แจ้ง ไม่ใช่แค่ฟัง เพราะรู้ว่าฟัง เข้าใจ ก่อนเห็น ไม่มีเห็น เห็นเกิด และเห็นแล้วก็หมด ไม่ใช่เห็นต่อไปแล้ว เพราะฉะนั้นเห็นเกิดขึ้นเพียงเห็น แค่นี้แต่ละคำและก็ดับไป แล้วก็ไม่กลับมาอีก เพราะฉะนั้นจะเป็นอะไรได้ เมื่อเป็นอะไรไม่ได้ จึงเป็นอนัตตา ไม่มีใครเป็นเจ้าของ และก็ไม่ใช่ของใครด้วย เพียงแต่ว่าเป็นสิ่งหนึ่งซึ่งมีจริง เมื่อเกิดขึ้นก็เป็นอย่างนั้น เปลี่ยนให้เป็นอย่างอื่นไม่ได้ แล้วก็ไม่ยั่งยืนด้วย สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เกิดสิ่งนั้นต้องดับเพราะเหตุว่าเกิดเพราะปัจจัย แล้วก็ดับไป เพราะฉะนั้นถ้าไม่ฟังธรรม ก็ทุกอย่างรวมกันเป็นเรา เราเห็น เราได้ยิน แต่เห็นเป็นอัตตาหรือเปล่า ถ้าไม่เข้าใจก็คิดว่าเราเห็น แต่ความจริงเห็นเกิดแล้วดับ เพราะฉะนั้นเราอยู่ไหน จริงๆ แล้วก็ต้องไม่มี มีแต่ธรรมทั้งนั้น เรารู้ไหมว่า เดี๋ยวนี้เห็นเกิดเพราะอะไร

    ผู้ฟัง เห็นเกิดขึ้นเพราะมีเหตุมีปัจจัย

    ท่านอาจารย์ หลายอย่างใช่ไหม ถ้าไม่มีเหตุปัจจัย เห็นเกิดได้ไหม

    ผู้ฟัง เกิดไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีเหตุปัจจัยจะให้นิพพานเกิด

    ผู้ฟัง เกิดไม่ได้

    ท่านอาจารย์ นิพพานก็ไม่เกิด ใครบังคับให้เกิดได้ แต่ไม่รู้จักนิพพาน เพราะเหตุว่าเห็นยังไม่รู้จักเลย คิดก็ยังไม่รู้จัก แล้วจะไปรู้จักนิพพาน ซึ่งขณะนี้ไม่มี ไม่ปรากฏ ได้อย่างไร

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 188
    29 ก.ค. 2568