ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1289


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ปกิณณกธรรม ตอนที่ ๑๒๘๙

    สนทนาธรรม ที่ ครัวอิ่มสุข จ.ฉะเชิงเทรา

    วันที่ ๒๕ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๖๑


    ท่านอาจารย์ ในเมื่อไม่รู้กับรู้ ต่างกันใช่ไหม ไม่รู้ก็นำไปสู่ความไม่รู้ ความรู้ที่ถูกต้องก็นำไปสู่ความเข้าใจที่ถูกต้อง อะไรดีอะไรชั่ว อะไรจริงอะไรไม่จริง จนกระทั่งสามารถที่จะประจักษ์แจ้งความจริง คนนั้นก็คือว่ามีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง เพราะว่าพึ่งคำของพระองค์ที่จะเข้าใจ ตั้งแต่ต้นคือมงคลข้อที่ ๑ ไม่คบคนพาล เพราะฉะนั้นรู้จักคนพาลไหม ตะกรุดเป็นมงคลอย่างนี้ เป็นคนพาลหรือเปล่า ผ้ายันต์เป็นมงคลอย่างนี้ เป็นคนพาลหรือเปล่า จริงไหม ถ้าเป็นสิ่งที่จริง กล้าที่จะรู้ความจริงไหม กล้าที่จะละสิ่งที่ไม่จริง แล้วเข้าใจความจริงเพิ่มขึ้นไหม เพราะว่าตราบใดที่ไม่ละความเท็จ หรือความหลอกลวง ความไม่จริง ตราบนั้นก็ไม่สามารถที่จะรู้ความจริงเพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้นต้องเป็นผู้ที่ตรง อะไรเป็นมงคลจริงๆ เห็นไหม ชาวพุทธต้องตอบตามความเป็นจริง อะไรเป็นมงคลจริงๆ ก็ต้องคำที่เกิดจากผู้ที่ไม่ใช่คนพาล คบบัณฑิตถึงจะได้ฟังคำของบัณฑิต เพราะว่าคำของบัณฑิตเป็นคำจริง ก็นำไปสู่การที่จะบูชาสิ่งที่ถูกต้อง ซึ่งควรบูชา แต่ไม่ไปบูชาสิ่งซึ่งไม่เป็นมงคล แล้วก็เข้าใจว่าเป็นมงคล

    อ.กุลวิไล ดังนั้นถ้าเป็นมงคล เหตุนำมาซึ่งความเจริญ ต้องเป็นธรรมฝ่ายดีใช่ไหม แล้วที่สำคัญ ต้องประกอบด้วยปัญญาที่เห็นถูกในธรรมตามความเป็นจริง ที่เมื่อกี้นี้ที่ท่านอาจารย์ให้ความเข้าใจ ตั้งแต่ไม่คบคนพาล คนพาลไม่นำมาซึ่งความเจริญ ใช่ไหม อกุศลธรรมนำมาซึ่งความเจริญไหม ไม่ แน่นอน เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่าที่บอกว่าเป็นวัตถุมงคล ไม่ว่าจะเป็นผ้ายันต์หรือว่าตะกรุด ถ้าผู้ให้บอกว่าสิ่งนี้ดี เป็นมงคลไหม เป็นคำไม่จริง แล้วนำมาซึ่งความติดข้อง แล้วที่สำคัญ ถ้าเราเชื่อ ก็เห็นผิดด้วย จะเป็นมงคลไหม เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่า ถ้าไม่ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ความเป็นบัณฑิตไม่มี นั้นก็คือปัญญานั่นเอง คบปัญญาก็คือขณะที่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั่นเอง

    อ.วิชัย มีท่านใดไม่เคยได้ยินคำว่า จิต บ้างหรือเปล่า คงเคยได้ยิน ได้ยินคำว่า จิต แต่มีจิตไหมแต่ละท่าน มี แต่เข้าใจจิตหรือเปล่า กราบท่านอาจารย์ แม้รู้ว่ามี แต่การที่จะเข้าใจสภาพของจิตจริงๆ จะเริ่มเข้าใจอย่างไร

    ท่านอาจารย์ อีกนาน ต้องอีกนานมาก เพราะเหตุว่าฟังธรรมกี่ปีก็ตามแต่ เห็นก็ยังเป็นเราเห็น สิ่งที่ปรากฏทางตาก็ยังเป็นคน เป็นสัตว์ ในเมื่อความจริงแล้ว สิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นแต่เพียงสิ่งที่มีจริง ที่สามารถกระทบตา แล้วคนจะมากระทบตาได้อย่างไร เพราะฉะนั้นเพียงแค่หลับตา ไม่มีคนสักคนเดียว แต่พอลืมตา ทำไมมีมาก เพราะมีสิ่งที่กระทบตาได้ เพราะฉะนั้นกว่าจะรู้อย่างนี้ ว่าจิตที่กำลังเห็นนั้น ไม่ใช่เรา และเห็นก็ไม่ใช่คิด ไม่ใช่จำด้วย ทุกอย่างเป็นคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เพราะฉะนั้น ยาก ที่จะเข้าใจลึกซึ้งไหม เพราะเหตุว่าทุกอย่าง ทุกคำหมด ไม่ว่าสมัยไหนยุคไหน มีอะไร นั่นคือสิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสรู้แล้ว เพราะฉะนั้น ต้องเป็นผู้ที่มั่นคงจริงๆ ในการที่จะเข้าใจพระพุทธศาสนาซึ่งแต่ก่อนเป็นพระพุทธศาสนาที่ชาวพุทธไม่รู้จัก เป็นพระพุทธศาสนาที่ชาวพุทธเข้าใจถูกตามความเป็นจริง ทีละคำ

    "มงคล" ไม่ผ่านไปเลย เป็นผู้ที่มั่นคงหรือยังว่าอะไรเป็นมงคล คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นมงคล ใครไม่ได้กล่าวคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือเข้าใจคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผิด ไม่ตรงตามความเป็นจริง เป็นมงคลไหม ไม่เป็น แค่นี้ เพราะฉะนั้นต้องเป็นผู้ที่อาจหาญ ที่จะนำชีวิตต่อไปอีกข้างหน้าในสังสารวัฎฏ์ ให้เป็นผู้ที่ตรง เพราะว่าถ้าไม่ตรงตั้งแต่ชาตินี้ ชาติต่อๆ ไปก็ไม่ตรง ไม่รู้ชาตินี้ ไม่มั่นคงชาตินี้ ชาติหน้าก็เปลี่ยนแปลงได้ เพราะฉะนั้น การสนทนาธรรมเป็นมงคล หรือตะกรุดกับผ้ายันต์เป็นมงคล ตะกรุดและผ้ายันต์ไม่มีในมงคล ๓๘ เลย แต่อันดับแรก ไม่คบคนพาล เพราะเหตุว่าถ้าคบคนพาลซึ่งไม่รู้ความจริง ก็จะนำไปสู่ภัยพิบัติ เพราะไม่รู้ความจริง จึงนำสิ่งซึ่งไม่ใช่ความจริง แต่หลงเข้าใจว่าเป็นความจริง เพราะฉะนั้นทุกคนต้องเข้าใจจริงๆ ว่ามงคลทุกข้อ ต้องมีการเริ่มต้นจากการที่ไม่คบคนพาล

    ผู้ฟัง ที่เราบนบานไว้ อย่างเช่นเราเจ็บป่วย ก็บนบานไว้ว่า สาธุ ขอให้หายเร็วๆ นะ จะไปแก้บนอะไรอย่างนี้

    ท่านอาจารย์ รู้หรือเปล่า ว่าทำไมเจ็บไข้ได้ป่วย รู้รึเปล่า ต้องรู้ต้นเหตุ ทำไมเจ็บไข้ได้ป่วย คนอื่นไม่เห็นเขาเป็นเลย แล้วทำไมเป็น เกิดเป็นขึ้นมา เจ็บไข้ได้ป่วย มีอะไรเป็นเหตุ ถ้าไม่แก้ที่เหตุ จะถูกไหม ต้องเป็นผู้ที่ตรงในเหตุผล ถ้าเหตุดี ผลเป็นอย่างไร ก็ต้องดี ถ้าเหตุไม่ดี ผลจะดีได้ไหม ไม่ได้ แต่เรายังไม่รู้จริงๆ ว่าอะไรเป็นเหตุ แล้วก็อะไรจริงๆ เป็นผล ใช่ไหม ก็ยึดถือว่ามีเรา แต่ความจริงก็ต้องแสดงความจริงของแต่ละหนึ่งๆ เช่น ทุกข์กาย ใจทุกข์ไหม พระอรหันต์มีการเจ็บไข้ได้ป่วย แต่ใจไม่ทุกข์ ต้องแยกกันแล้ว ใช่ไหม เพราะฉะนั้นถึงแม้ว่าจะสุขกาย แต่ใจเป็นทุกข์ได้ไหม ก็ได้ เพราะฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่าง ต้องเข้าใจให้ตรงตามความเป็นจริง ถึงเหตุทั้งปัจจุบันและเหตุแสนไกล ซึ่งยังคงสามารถที่จะให้ผลได้ ด้วยเหตุนี้ ถ้าเราไม่เข้าใจว่าที่เราหายเป็นเพราะอะไร แต่เข้าใจว่าเป็นเพราะคนอื่น หรือที่เราไปบน ทำให้เราหาย อย่างนั้นเราจะเห็นผิดต่อไปไหม ได้ผลจริง เหมือนกับหายจริง แต่ไม่รู้ว่าหายเพราะอะไร กลับไปเข้าใจผิดว่าหายเพราะการบนคนอื่น แล้วก็สามารถบันดาลให้หายได้ เราก็ชื่อว่ามีความไม่เข้าใจในเหตุและผลต่อไป แล้วก็หลงเชื่อว่าสิ่งใดๆ ก็ตามที่เกิด เพราะคนอื่นดลบันดาลได้ แต่ความจริงไม่ใช่อย่างนั้นเลย

    เพราะฉะนั้นสามารถที่จะฟังคำ แล้วรู้ว่าคำนั้นเป็นคำของพาล หรือคำนั้นเป็นคำของบัณฑิต ถ้าบัณฑิตก็หมายความว่าให้สิ่งที่ถูกต้องด้วยความหวังดี ไม่ใช่ปลอบใจชั่วครั้งชั่วคราว ใครมีทุกข์ก็พูดไปๆ แต่ไม่จริงหรอก ใช่ไหม เพียงแค่ให้เขาหายความรู้สึกโศกเศร้าไปนิดๆ หน่อยๆ เพราะฉะนั้นก็ต่างกัน ที่เราจะต้องพิจารณาจริงๆ ว่า ทั้งหมดนี้อยู่กับความรู้กับความไม่รู้ ความไม่รู้ มีจริง อวิชชา แต่ความรู้ก็คือ วิชชา หรือปัญญา ที่เข้าใจถูกต้องจริงๆ ว่าขณะเจ็บนั้น อะไร เห็นไหม ถ้าเราไม่ตั้งต้นที่ อะไร แล้วก็ยังเป็นเรื่องเป็นราวว่า ไม่ต้องไปบนนะ เพราะเหตุว่าใครก็บันดาลไม่ได้ แต่ว่าเหตุกับผลต้องตรงกัน แต่ก็ยังไม่รู้ชัดเจน เพราะฉะนั้นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงความจริงทุกประการโดยละเอียดยิ่ง เจ็บคืออะไร ต้องตั้งต้นที่คืออะไร และก็จะน้อมไปสู่ความเป็นธรรม แล้วก็เป็นอนัตตามั่นคงขึ้น

    อ.กุลวิไล เพราะฉะนั้นทุกคนมีกายกันใช่ไหม

    ผู้ฟัง มีกาย

    อ.กุลวิไล มีทุกข์ไหม

    ผู้ฟัง มี มี

    อ.กุลวิไล ต้องมี เพราะฉะนั้นทุกข์กายต้องมี เพราะว่ามีที่ตั้งของทุกข์ ก็คือมีกายนี้ แต่ทุกข์ทางใจมีไหม

    ผู้ฟัง ก็มีบ้าง

    อ.กุลวิไล มี บางคนทุกข์กายนิดเดียว แต่ทุกข์ใจมาก หรือบางคนทุกข์กายก็ยังไม่ทุกข์เลย แต่ทุกข์ใจมาก เพราะฉะนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงความจริง ว่าทุกข์ทางกายเป็นผลของกรรม แต่ทุกข์ทางใจ เวลาที่ไม่พอใจ ขุ่นใจ ไม่สบายใจ ถึงแม้ว่ากายก็ไม่ได้ป่วย สบายดี ใจเดือดร้อน จะเห็นได้ว่านี่คือทุกข์ทางใจที่เกิดจากธรรมฝ่ายไม่ดี ที่เป็นกิเลสนั่นเอง เพราะฉะนั้นเราพูดถึงไม่คบคนพาล อกุศลธรรมหรือธรรมฝ่ายไม่ดีทั้งหมดเป็นคนพาล เพราะฉะนั้นแม้แต่ความเห็นผิด และไม่รู้ในธรรมตามความเป็นจริง ที่ท่านอาจารย์พูดถึงอวิชชา ที่เป็นความไม่รู้ ก็นำมาซึ่งความเห็นผิดและความติดข้อง แล้วก็นำมาซึ่งความทุกข์ใจด้วย เพราะฉะนั้นต้องฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กราบเรียนท่านอาจารย์

    ท่านอาจารย์ กำลังสนทนาธรรม ใช่ไหม ไม่ใช่สนทนาเรื่องตัวเรา ใช่ไหม แต่ที่เข้าใจว่าเป็นเรา ก็เป็นธรรม เพราะฉะนั้นที่ลืมไม่ได้เลย ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม ที่เคยเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความเป็นจริงของสิ่งนั้น ถึงที่สุดโดยประการทั้งปวง เพราะฉะนั้นถ้าเราจะเข้าใจ ถ้าเราจะรู้จักบัณฑิตสูงสุดคือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือฟังคำของพระองค์ แล้วก็พิจารณาไตร่ตรองว่า ที่เราสามารถที่จะเข้าใจขึ้นได้ ก็เพราะคำของพระองค์ พระองค์จึงเป็นที่พึ่ง เป็นรัตนะ แต่ว่าถ้าเรายังไม่เข้าใจในเหตุในผล เราพึ่งคำของคนอื่น ใช่ไหม

    เพราะฉะนั้นก่อนอื่น คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกคำลึกซึ้งอย่างยิ่ง ต้องตั้งต้นทีละเล็กทีละน้อย ทุกอย่างเป็นธรรม เจ็บมีจริงๆ ไหม เป็นอะไร แต่ก่อนนี้ถ้าไม่ถามอย่างนี้ ก็เป็นเรา ใช่ไหม เราเจ็บวันนั้น อาการเป็นอย่างนั้น แต่พอเตือนให้ระลึกว่า เจ็บเป็นอะไร เจ็บเป็นธรรม จนกว่าวันหนึ่งเหมือนท่านพระอัญญาโกณธัญญะ เพียงฟัง ความรู้ที่ท่านสะสมมาตลอด สามารถที่จะเข้าใจความจริงของคำนั้น ลึกซึ้งจนประจักษ์แจ้งได้ เพราะไม่ลืมใช่ไหม แต่ของเรา เมื่อกี้นี้เป็นเราเจ็บ แต่ว่าความจริงก็ต้องย้อนไปว่า เจ็บนั้นไม่ใช่เรา เจ็บมีจริงๆ เจ็บเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ถ้าไม่มีร่างกายตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า จะมีตรงไหนเจ็บไหม ไม่มีใช่ไหม จะเจ็บได้อย่างไร ไม่มีกาย เพราะฉะนั้นเจ็บก็คือทุกข์กาย ทั้งหมดที่อาศัยกายเกิดขึ้นเป็นไป เจ็บเป็นรูปร่างกายหรือเปล่า เจ็บเป็นธรรม แล้วก็เจ็บนี่เป็นตัวเรา เป็นร่างกายหรือเปล่าที่เจ็บ เห็นไหม ความละเอียดเพิ่มขึ้น มีร่างกาย แล้วก็เจ็บตรงนั้นด้วย แต่ถามว่า เจ็บเป็นร่างกายหรือเปล่า หรือว่าร่างกายไม่รู้สึกอะไรเลย ไม่ใช่สภาพรู้ เพียงอ่อนหรือแข็ง เย็นหรือร้อน แต่ความรู้สึกเกิดทุกครั้งที่มีการรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใด ที่เราใช้คำว่าจิต เป็นนามธรรม เป็นสภาพรู้ เพราะฉะนั้นก็มีรูป ซึ่งไม่ใช่รู้อะไร เป็นรูปธรรม และที่เป็นธาตุรู้คือจิต กำลังเห็น กำลังได้ยิน กำลังรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใด เป็นธรรมซึ่งเป็นนามธรรม แต่นามธรรมมี ๒ อย่าง คือ นามธรรมอย่างหนึ่งรู้แจ้งชัดเจนในสิ่งที่ปรากฏ เช่น รับประทานอาหารที่เปรี้ยวมาก คนอื่นก็จะรู้อย่างเราไหมว่าเปรี้ยวแค่ไหน บอกเขา เขาจะรู้ไหม บอกเท่าไรก็ไม่รู้ แต่บอกให้ชิม ทันทีที่ลิ้มรสเขารู้รสนั้น โดยที่ว่าไม่สามารถจะพรรณนาได้เลยว่ารสนั้นเป็นอย่างไร

    เพราะฉะนั้นจิตเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งสิ่งที่ปรากฏ แต่ว่าจิตจะเกิดตามลำพังไม่ได้เลย ต้องอาศัยนามธรรม เกิดพร้อมกัน ดับพร้อมกัน ปรุงแต่งซึ่งกันและกัน แต่ว่าสภาพธรรมที่อาศัยเกิดกับจิต ไม่ใช่จิต แต่เป็นเจตสิก หลากหลายมากเป็นถึง ๕๒ ประเภท ทำให้จิตนั้นต่างกันไป เป็น ๘๙ ประเภท ที่นั่งอยู่นี้ไม่ใช่ ๑ ขณะจิตประเภทเดียว ไม่ใช่มีแต่เห็น ไม่ใช่มีแต่ได้ยิน ไม่ใช่มีแต่ชอบ หลากหลายทั้งหมด เป็นธรรมทั้งหมด เพราะฉะนั้นชีวิตก็คือธรรม ชีวิตประจำวันด้วย เป็นธรรมทั้งหมด ไม่ว่าจะพูดอะไร ถ้ามีความเข้าใจมั่นคงขึ้น ก็จะรู้ว่าขณะนั้นไม่ใช่เราเจ็บ แต่เป็นธรรม ธรรมอะไร เจ็บ มีจริงๆ รู้ไหมว่าเป็นธรรมอะไร เอา ๒ อย่างก่อน สิ่งที่มีจริงทั้งหมดเป็นธรรม เจ็บมีจริงเป็นธรรม แต่ธรรมมี ๒ อย่าง นี้ลืมไม่ได้เลย อย่างหนึ่งมีจริง แต่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย แต่ถ้าไม่มีธาตุรู้ซึ่งเป็นธรรมอีกอย่างหนึ่งเกิดขึ้น อะไรๆ ก็ไม่ปรากฏ เพราะฉะนั้นสภาพไม่รู้ ใช้คำว่า รูปธรรม ง่ายใช่ไหม คนไทยใช้คำนี้ แต่ว่าไม่ได้เข้าใจความหมายจริงๆ ของคำนี้ เพราะฉะนั้นสภาพรู้ก็มีจริง เช่น คิดก็มีจริง เห็นก็มีจริง ก็เป็นนามธรรม เพราะฉะนั้นที่ว่าเป็นเรา ก็คือ นามธรรมและรูปธรรม เดี๋ยวนี้อะไรมีจริง

    ผู้ฟัง อย่างตอนนี้หนูก็เห็น

    ท่านอาจารย์ เห็นมีจริง

    ผู้ฟัง ใช่
    ท่านอาจารย์ เห็นเป็นเรา หรือว่าเป็นสิ่งที่มีจริง

    ผู้ฟัง เป็นสิ่งที่มีจริง

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่เรา

    ผู้ฟัง ไม่ใช่เรา

    ท่านอาจารย์ ภาษาบาลีใช้คำว่าอนัตตา เห็นเกิดขึ้นหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เกิดขึ้น

    ท่านอาจารย์ แล้วเห็นดับไปหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ดับ

    ท่านอาจารย์ นี่คือขั้นความเข้าใจที่ถูกต้อง สิ่งหนึ่งสิ่งใดมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นมีความดับไปเป็นธรรมดา ดับ หมายความว่า ไม่กลับมาอีก เห็นไหม แล้วเราหลงคิดว่ายังมีอยู่ เพราะฉะนั้นความไม่รู้นั้น มากมายมหาศาลระดับไหน จนกว่าจะมีการประจักษ์แจ้งสภาพธรรมที่เกิดดับ เมื่อนั้นก็จะหมดความสงสัย เพราะประจักษ์แจ้งจริงๆ ว่า นี่แหละคือความจริง แต่ว่าต้องเริ่มจากการที่ค่อยๆ เข้าใจอย่างมั่นคงว่า ขณะนี้เห็นมี ไม่ใช่ได้ยิน เห็นเป็นธรรมอะไร

    ผู้ฟัง เห็นเป็นจิต

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง ขณะนั้นมีเจตสิกเกิดไหม

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ ต้องมีเจตสิกเกิดร่วมด้วยทุกครั้ง เพราะเหตุว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตาม ที่จะเกิดขึ้นตามลำพังเป็นไปไม่ได้ รูปธรรมก็ต้องมีปัจจัยทำให้เกิดขึ้น นามธรรมซึ่งเป็นสภาพรู้ก็ต้องมีปัจจัยให้เกิดขึ้น เจตสิกมีปัจจัยให้เกิดขึ้นไหม

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ ต้องมีเหมือนกัน เพราะฉะนั้นมั่นคงว่าไม่ว่าอะไรก็ตามที่จะมีได้ ต้องอาศัยกันและกันเกิดขึ้น ความเข้าใจถูกเป็นจิตหรือเป็นเจตสิก

    ผู้ฟัง เป็นเจตสิก

    ท่านอาจารย์ ก็เก่งแล้ว

    ผู้ฟัง เป็นปัญญา

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น วันหนึ่งๆ ที่เราจะรู้ได้ ก็คือจิตเห็น จิตได้ยิน จิตได้กลิ่น จิตลิ้มรส จิตรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส จิตคิดนึก เราจะรู้แค่นี้ทั้งๆ ที่มีจิตอีกมาก แต่ว่ากว่าจะรู้ ก็ต้องอาศัยการฟัง แม้จิตนั้นไม่ปรากฏ เช่น ก่อนเห็นมีจิตไหม

    ผู้ฟัง อาจจะมีจิตอื่น แต่ไม่ใช่มีจิตเห็น

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง เพราะฉะนั้นก่อนเห็นก็มีจิต แต่จิตก่อนเห็นไม่ได้ปรากฏ

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ ถูกต้องไหม หลังจากที่จิตเห็นดับไปแล้ว มีจิตอื่นเกิดต่อไหม

    ผู้ฟัง เกิดทันที

    ท่านอาจารย์ แต่จิตที่เกิดต่อก็ไม่ได้ปรากฏ เพราะพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ละเอียดอย่างยิ่ง เราจะรู้ได้ในชีวิตประจำวัน แม้ว่ามีจิตอื่นก่อนจิตเห็น และหลังจิตเห็น แต่ที่ปรากฏ ก็แค่เห็น แค่ได้ยิน ซึ่งในระหว่างนั้นจะมีจิตเกิดดับหลายประเภท เพราะฉะนั้นทรงแสดงไว้เพื่อให้เห็นว่า การที่เราจะเข้าใจจริงๆ ว่าไม่ใช่เรานั้น ต้องอาศัยความเข้าใจที่ละเอียดขึ้นๆ ทรงแสดงแม้ปัจจัยของจิตและเจตสิกว่า จิต ๑ ขณะมีเจตสิกเกิดร่วมด้วยโดยเป็นปัจจัย ฐานะใด แต่ละหนึ่งเจตสิกซึ่งหลากหลาย เพราะฉะนั้นการเข้าใจธรรมก็จะทำให้สะสม ค่อยๆ เข้าใจ จนถึงวันที่สามารถประจักษ์แจ้งการเกิดดับของสภาพธรรม ซึ่งในครั้งพุทธกาลก็มีผู้ฟัง ซึ่งได้ประจักษ์แจ้งความจริง เป็นพระอริยบุคคล มากมาย ทั้งหญิงทั้งชายที่เป็นคฤหัสถ์ แล้วก็มีศรัทธาที่จะบวชเป็นพระภิกษุ เป็นบรรพชิตก็มีมาก แต่ทั้งหมดถ้าไม่เข้าใจธรรม แล้วจะบวชไหม

    ผู้ฟัง ไม่บวช

    ท่านอาจารย์ เพราะอะไร

    ผู้ฟัง เพราะว่าบวชไปแล้ว พอไม่เข้าใจก็อาจจะไปปฏิบัติอะไร ที่มันผิดไปจากพระวินัย แล้วก็เป็นการทำให้ศาสนาผิดไปจากที่พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้

    ท่านอาจารย์ เพราะว่าต้องเป็นผู้ที่ฟังธรรมเข้าใจ และรู้ว่าสามารถที่จะอบรมปัญญาเข้าใจในเพศบรรพชิต ขัดเกลากิเลสยิ่งกว่าคฤหัสถ์ได้ จึงอุปสมบท ขออนุญาตที่จะประพฤติปฏิบัติตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ได้วางสิกขาบทไว้ว่า ผู้ใดก็ตามที่จะขัดเกลากิเลส ในเพศบรรพชิตต้องศึกษาพระธรรม และอบรมเจริญปัญญา ในเพศที่พระองค์ได้ทรงบัญญัติสิกขาบทไว้ มิฉะนั้นแล้วก็ไม่เป็นประโยชน์ เป็นโทษด้วย เพราะฉะนั้นนี่ก็เป็นความจริง ที่เราจะต้องค่อยๆ เข้าใจขึ้น พระธรรมมีอีกมาก และก็รับฟังได้ทุกโอกาส

    ผู้ฟัง วันก่อนได้สนทนาธรรมกับลูกชาย แล้วลูกชายเขาถามว่าเมื่อจิตดวงสุดท้ายดับ ก็ต้องเกิดจิตใหม่ที่ไม่ใช่อัตภาพนี้ แล้วก็ถามว่า แล้วถ้าเป็นเช่นนั้น เราต้องศึกษาธรรมเพื่อจะขัดเกลาจิต ให้จิตเป็นกุศล ทำเพื่ออะไร

    อ.วิชัย ดังนั้นแต่ละท่านก็เกิดมานานมากเลย แล้วก็เกิดหลายอัตภาพด้วย แต่ไม่รู้ความจริง ดังนั้นถ้าไม่รู้ความเป็นจริง ก็ต้องเป็นอย่างนี้เรื่อยไป และไม่ใช่เรื่องของการสะสมของจิตเท่านั้น อย่างที่กล่าวว่าเมื่อตายจากอัตภาพนี้ แน่นอน เป็นบุคคลใหม่แน่ แต่การสะสมในแต่ละชาติ สะสมที่ไหน ที่จิต เพราะแต่ละคนเกิดมา มีอุปนิสัยที่เหมือนกันหรือเปล่า บางคนก็คิดดีแต่เด็กก็มี บางคนคิดไม่ดีแต่เด็กก็มี ได้อย่างไร ดังนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงแสดงความจริงว่า จิตแต่ละขณะนี้ เกิดดับ แล้วไม่กลับมาอีกก็จริง แต่ยังมีอำนาจของความเป็นปัจจัย ที่จะสะสมสืบต่อที่จิตต่อๆ ไป ทำให้แต่ละบุคคลมีอุปนิสัยที่ต่างกัน อย่างเช่น ถ้าเราชอบสิ่งนี้ สะสมบ่อยๆ พอเจอสิ่งนั้นอีก แล้วเป็นอย่างไร ก็ชอบอีกได้ ทั้งที่ชอบอันเก่า ก็หมดไปแล้ว ไม่เหลืออีกเลย แต่การสะสมความพอใจในสิ่งนี้ยังสืบต่อ เมื่อเห็น ชอบทันที หรือบางครั้งเราไม่ชอบสีนี้ก็มี รสนี้ก็มี สะสมบ่อยๆ พอเจอรสนี้อีก หรือว่าสีนี้อีก หรือว่ากลิ่นนี้อีก ก็เกิดความไม่พอใจขึ้น ดังนั้น จะเห็นถึงการสืบต่อสะสมที่จิต

    อ.กุลวิไล เพราะฉะนั้นสิ่งใดที่สะสม ก็ต้องเป็นธรรมแน่นอน แต่สะสมทั้งธรรมฝ่ายดีและไม่ดี เพราะฉะนั้นจะเห็นประโยชน์ของการฟังพระธรรม สะสมความเห็นถูก ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรมสะสมอะไรกัน สะสมความติดข้อง สะสมความไม่รู้ และที่น่ากลัวตามมาด้วยความเห็นผิด ผิดจากความเป็นจริง ดังนั้นจะเห็นคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วก็เป็นเหตุปัจจัยให้ขัดเกลาสิ่งที่ไม่ดีนั่นเอง ที่สะสมนอนเนื่องอยู่ ฉะนั้นก็ต้องอาศัยคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั่นเอง

    ท่านอาจารย์ ถึงแม้ว่าจะได้ฟังว่าขณะนี้มีจิต แต่ยังไม่ถึงการรู้แจ้ง ประจักษ์แจ้งสภาพของจิต ถูกต้องไหม ซึ่งเป็นธาตุรู้ซึ่งเกิดขึ้นและดับ การดับไปของจิตขณะก่อน เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้จิตต่อไปเกิดพร้อมกับเจตสิก เพราะฉะนั้นมีใครจะหยุดได้ไหม จิตทุกขณะเดี๋ยวนี้ เกิดแล้วก็ดับ แล้วก็เกิดแล้วก็ดับ ใครจะให้จิตที่ดับแล้วไม่มีจิตอื่นเกิดต่อได้ไหม

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 188
    23 ส.ค. 2568