ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1290
ปกิณณกธรรม ตอนที่ ๑๒๙๐
สนทนาธรรม ที่ ครัวอิ่มสุข จ.ฉะเชิงเทรา
วันที่ ๒๕ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๖๑
ท่านอาจารย์ จิตทุกขณะเดี๋ยวนี้ เกิดแล้วก็ดับ แล้วก็เกิด แล้วก็ดับ ใครจะให้จิตที่ดับแล้วไม่มีจิตอื่นเกิดต่อ ได้ไหม ฉันใด เพราะฉะนั้นถ้าเราไม่คิดถึงว่าชาตินี้หรือชาติหน้า แม้เดี๋ยวนี้เอง จิตที่ดับไปแล้วก็เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิด เพราะฉะนั้นจิตขณะสุดท้ายคืออะไร จิตขณะสุดท้ายเกิดขึ้นทำกิจพ้นสภาพความเป็นบุคคลนี้ ในขณะนี้จิตนั้นยังไม่เกิด แต่จิตเห็นกำลังเกิดขึ้น ทำหน้าที่เห็น ทำกิจเห็น จิตได้ยินก็เกิดขึ้น ทำหน้าที่ได้ยิน เพราะฉะนั้นจิตแต่ละหนึ่งจิตที่เกิดขึ้น มีหน้าที่ของตนๆ ไม่ใช่เกิดมาแล้วก็ไม่ได้ทำอะไรเปล่าๆ เมื่อเป็นธาตุรู้ กิจของธาตุรู้นั้นคืออะไร ทางตา อาศัยตาจึงรู้สิ่งที่กระทบตาได้ เพราะฉะนั้นจิตนั้นก็เป็นธาตุรู้ ซึ่งใครก็ยับยั้งไม่ให้เกิดไม่ได้เลย เกิดแล้วก็เห็นสิ่งที่เกิดกระทบตา แล้วก็ดับไป เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิด ไม่สิ้นสุดฉันใด จิตขณะสุดท้ายเกิดขึ้นก็ทำหน้าที่ของตน แล้วก็ดับไปเหมือนจิตอื่นๆ เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดขึ้น ทำกิจอื่น ซึ่งไม่ใช่กิจของจิตขณะสุดท้าย เพราะฉะนั้นเราต้องรู้ด้วยว่าจิตแต่ละหนึ่งจิต เกิดขึ้นทำกิจอะไร แสดงความชัดเจนว่าเปลี่ยนไม่ได้ เลือกไม่ได้ บังคับบัญชาไม่ได้ เป็นอนัตตา
เพราะฉะนั้นเวลาที่เราใช้คำว่า ตาย เราบอกว่าถึงแก่กรรมใช่ไหม พอถึงแก่กรรมเราก็รู้ว่าคนนั้นตาย ถึงแก่กรรม ถึงแก่การสิ้นสุดของกรรมที่จะทำให้เป็นบุคคลนี้ แต่กรรมมีมาก ไม่ต้องกล่าวถึงชาติก่อน แค่ชาตินี้ก็กรรมมากแล้ว เพราะฉะนั้นตราบใดที่ยังมีกรรมเป็นปัจจัย ก็จะต้องมีผลของกรรม เพราะฉะนั้นจิตที่เกิดหลังจากที่ตาย ก็เป็นผลของกรรมหนึ่ง ที่ทำให้เกิดพร้อมกับเจตสิก ซึ่งเกิดเพราะกรรมนั้นเอง เพราะฉะนั้นกรรมที่ได้กระทำไปแล้ว วันหนึ่งเมื่อถึงเวลา ซึ่งพร้อมที่จะเกิดใครยับยั้งไม่ได้เลย แต่จิตที่กรรมนั้นทำให้เกิด ไม่ใช่จิตที่เป็นกรรม แต่เป็นผลของกรรมนั้น เพราะฉะนั้นก็ต้องรู้ด้วย ว่าจิตที่เป็นผลของกรรมคืออะไรบ้าง จิตขณะแรกที่เกิดเป็นผลของกรรม เลือกเกิดไม่ได้เลย เกิดมาต่างกันตามกรรม เป็นหญิงเป็นชาย ก็ยังต้องตามกรรม ทุกอย่างหมด จะมั่งมีมหาศาล หรือจะยากจนข้นแค้น จะเป็นคนพิการ หรือจะมีรูปร่างสวยงาม ก็แล้วแต่ แม้แต่ตาก็ยังต่างกันตามกรรมใช่ไหม ตาสีฟ้าก็มี สีน้ำตาลก็มี สีดำก็มี นี่ทั้งหมดไม่มีใครไปทำได้เลย เพราะฉะนั้นมีรูปซึ่งเกิดเพราะกรรมเป็นสมุฏฐาน ตามกรรมที่ได้ทำไว้ เพราะฉะนั้นแต่ละรูปหลากหลาย พี่น้องท้องเดียวกัน พ่อแม่เดียวกัน เหมือนกันไหม คนหนึ่งสูง คนหนึ่งต่ำ คนหนึ่งเตี้ย ก็ได้ ใช่ไหม ทุกอย่างหมด หน้าตาบางคนเหมือนพ่อ บางคนเหมือนแม่ บางคนเหมือนปู่ บางคนเหมือนยาย ก็แล้วแต่ แสดงให้เห็นว่าเราไม่สามารถที่จะไปบังคับบัญชาอะไรได้เลย ทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะกรรมเป็นปัจจัย
เพราะฉะนั้นจิตขณะแรกที่เกิดเป็นผลของกรรม มีเกิดดีเป็นมนุษย์ เกิดไม่ดีเป็นสัตว์เดรัจฉาน นก หนู ปู ปลา จิ้งจก ตุ๊กแก ใครจะอยากเกิดบ้าง เป็นหอยทาก เป็นหนอน แต่กรรมนั่นแหละ ที่ทำให้เกิดเป็นอย่างนั้น เลือกไม่ได้ เพราะฉะนั้นทุกอย่างที่เกิด ต้องถึงความสิ้นสุด คือสิ้นความเป็นบุคคลนั้น เพราะฉะนั้นจิตที่เกิด ๑ ขณะแรกเป็นผลของกรรม และจิตขณะสุดท้ายก็คือกรรมเดียวกันกับที่ทำให้เกิดเป็นบุคคลนี้ สิ้นสุดความเป็นบุคคลนี้ ทำให้จิตขณะสุดท้ายเกิดและดับไป พ้นสภาพความเป็นบุคคลนี้ ใครก็ทำให้ใครตายไม่ได้ แต่ขณะนั้นต้องเกิดเพราะกรรม เพียงขณะเดียว ยากที่จะรู้ได้ใช่ไหม ว่าขณะไหน เพราะเดี๋ยวนี้ที่เห็นกี่ขณะแล้ว นับไม่ถ้วน แต่เพียง ๑ ขณะจิตที่เกิดขึ้น ทำกิจพ้นสภาพความเป็นบุคคลนี้ ก็เป็นผลของกรรมที่ทำให้เกิด ว่าจะให้มีอายุยืนยาว หรือจะให้มีอายุสั้น หรือว่าจะจากโลกนี้ไปวันไหน เมื่อไหร่ นี่เป็นผลของกรรม และระหว่างที่มีชีวิตก็มีจิตเกิดดับสืบต่อ
เพราะฉะนั้นจิตที่เกิดดับสืบต่อ จากจิตขณะแรกที่เกิด ซึ่งใช้คำว่า ปฏิสันธิจิต สืบต่อจากจุติจิตของชาติก่อน ซึ่งเป็นผลของกรรมที่จะต้องทำให้เกิดขึ้นสืบต่อ ขณะนั้นขณะเดียว ขณะต่อไป ไม่ได้สืบต่อจากจุติจิตแล้ว จึงไม่ได้ทำปฏิสนธิกิจ สืบต่อจิตสุดท้ายของชาติก่อน เพราะฉะนั้นปฏิสนธิจิตเกิดแล้วดับไหม ดับ ที่นั่งอยู่นี่มีปฏิสนธิจิตอีกได้ไหมในชาตินี้ ไม่ได้เลย เพราะเหตุว่าเกิดขึ้นในชาติหนึ่งก็ครั้งเดียว คือขณะแรก ดับไป แต่ถ้ากรรมทำให้ผลเกิดขึ้นเพียงขณะเดียว ไม่มีใครเดือดร้อนใช่ไหม แค่ขณะเดียว แต่กรรมให้ผลมากกว่านั้นอีก คือยังตายไม่ได้ เพราะฉะนั้นกรรมเดียวกันที่ทำให้จิตเกิดขึ้น ก็ทำให้จิตขณะต่อไป เป็นจิตประเภทเดียวกัน เป็นเจตสิกประเภทเดียวกัน ที่ทำให้ปฏิสนธิจิตเกิด เกิดสืบต่อ แต่ต้องทำหน้าที่ต่างกัน จะไปเกิดสืบต่อจากจุติจิตไม่ได้ แต่เกิดต่อจากปฏิสนธิ แต่ไม่ได้ทำปฏิสนธิ แต่ทำภวังคกิจ ดำรงภพชาติ
คำว่า ภวังค์ มาจากคำว่า ภะวะ ที่เราใช้คำว่า ภพชาติ และก็ อังคะ คือ องค์ ที่จะทำให้ดำรงความเป็นบุคคลนั้น ต่อไปก็ยังคงเป็นบุคคลนี้ขณะต่อไป พรุ่งนี้ก็ยังเป็นคนนี้ จนกว่ากรรมสิ้นสุดเมื่อใด เป็นคนนี้ต่อไปอีกไม่ได้เลย ขอซื้อด้วยเงินมหาศาล ที่จะอยู่ต่อไปสักหนึ่งขณะได้ไหม ไม่มีทาง เพราะเป็นอนัตตา ทั้งหมดนี้ เราจะต้องพูดถึงจิต จะเชื่อว่าตายแล้วจะเกิดอีกไหม ก็ไม่ใช่ว่า ไม่รู้อะไรเลยแล้วก็เขาบอกก็เชื่อ แต่เหตุผลที่เราได้เริ่มรู้จักว่าจิตคืออะไร เมื่อจิตดับไปแล้ว ก็จะต้องมีจิตเกิดสืบต่อ ทำกิจต่างกัน ทำภวังค์
เพราะฉะนั้นเกิดแล้ว ไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่ลิ้มรสทันที แต่ว่ามีภวังค์คั่นทุกชาติ หลังจากที่ปฏิสนธิจิตดับไปแล้ว จิตที่เกิดต่อ ต้องดำรงความเป็นบุคคลนั้น โดยไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่ลิ้มรส ไม่รู้อะไรเลยทั้งสิ้น รู้ไหมขณะนั้นว่าเป็นใคร รู้ไหม ไม่รู้เลย ชื่ออะไรรู้ไหม ยังไม่มีชื่อด้วยซ้ำไป ใช่ไหม พ่อแม่อาจจะตั้งชื่อไว้ก่อนก็ได้ แต่จะรู้ขณะจิตไหม ว่าขณะไหนเป็นปฏิสนธิ มีชื่ออะไร เพราะฉะนั้นนี่ก็เป็นสิ่งซึ่งละเอียดอย่างยิ่ง จิตเกิด ปฏิสนธิดับไป จิตประเภทเดียวกัน ผลของกรรมเดียวกัน ทำให้จิตประเภทเดียวกันเกิดสืบต่อดำรงภพชาติ เกิดดับทำภวังคกิจ จนกว่าทางใจจะเกิดคิดนึก ไม่ว่าในโลกไหน เกิดเป็นอะไรทั้งสิ้น วิถีจิตแรกที่จะปรากฏว่ามีการเกิดขึ้น ก็คือเป็นการนึกคิดทางใจ รู้ทางใจ ยังไม่เห็น ยังไม่ได้ยินเลย หลังจากนั้นอีกก็แล้วแต่ว่าถ้าเกิดเป็นมนุษย์ ปสาทใดจะเกิด จักขุปสาท โสตปสาท อะไรก็ตามลำดับ จนกระทั่งมีการเห็น ไม่ใช่จิตที่เกิด ไม่ใช่จิตที่เป็นภวังค์ แต่เป็นจิตที่อาศัยทางหนึ่งทางใดเกิดขึ้น ถ้าเวลาที่บอกว่าหลังจากที่ภวังคจิตดับไปแล้ว ที่จะรู้เป็นครั้งแรก ก็อาศัยทางใจ คือมโนทวาร คือคิด ดับแล้ว ไม่รู้ว่าคิดอะไร ใครรู้ เกิดมาแล้วใครรู้ว่าพอเกิดมาแล้วคิดอะไร ใครรู้บ้าง ดับไปโดยไม่รู้เลยใช่ไหม แต่ทุกภพชาติจะต้องเป็นอย่างนี้
หมายความว่า ทั้งหมดที่สะสมมาในสังสารวัฎฏ์ ที่สะสมดีชั่ว พฤติกรรมอะไรต่างๆ ทั้งหมดอยู่ในจิตนี้ ไม่ลืม ใช่ไหม ก็เป็นปัจจัยที่จะทำให้มีการคิด แล้วแต่ว่าจะคิดอะไร รู้อะไร ทันทีที่เกิดแล้ว แล้วก็ดับไป แต่ขณะต่อไป ก็จะเป็นเห็น หรือจะเป็นได้ยิน จะเป็นได้กลิ่น จะเป็นลิ้มรส จะเป็นการรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ก็แล้วแต่ขณะนั้นมีปสาทรูป ที่ตัว มีรูปหลายประเภท ไม่ใช่มีแต่เย็นหรือร้อน อ่อนหรือแข็ง ตึงหรือไหว เพราะเหตุว่าจะต้องมีรูปที่เรียกว่าปสาท รูปที่สามารถกระทบกับรูปอื่น เช่น กระทบเสียง อะไรกระทบ แข็งกระทบเสียงไม่ได้ แข็งเกิดขึ้นแข็ง แข็งไม่สามารถที่จะไปกระทบกลิ่น กระทบรสได้เลย แต่ว่าปสาทรูปนี้ เป็นรูปที่เกิดจากกรรมเป็นสมุฏฐาน ทำให้มีรูปพิเศษ ที่ใช้คำว่า ปสาท คือใส สามารถจะกระทบกันได้กับสิ่งที่กระทบกันได้ เช่น ถ้าเราเดินผ่านกระจกกับเดินผ่านกำแพง นี่เหมือนกันไหม ไม่เหมือน ถ้าผ่านกระจกมีอะไรปรากฏ ใส ใช่ไหม ปสาทรูปที่กระทบกันได้มีอยู่ ๕ รูป จักขุปสาท อยู่กลางตา มองไม่เห็นเลย รูปนี้กระทบเสียงไม่ได้ กระทบกลิ่นไม่ได้ กระทบได้เฉพาะสิ่งที่กำลังปรากฏ เพราะสิ่งนั้นเมื่อกระทบตา เป็นปัจจัยให้ธาตุรู้ซึ่งเกิดขึ้นทำกิจเห็น เห็นนี้เป็นกิจหนึ่งของธาตุรู้
เพราะฉะนั้นธาตุรู้ทำปฏิสนธิ ธาตุรู้ทำกิจภวังค์ ธาตุรู้ทำกิจเห็น ทั้งหมดนี้เป็นกิจการงานของธาตุรู้ ซึ่งเป็นจิตและเจตสิก ซึ่งเกิดพร้อมกัน ดับพร้อมกัน แต่ว่าธาตุรู้ที่เป็นใหญ่เป็นประธาน เราใช้คำว่า จิต หรือจะใช้คำว่า วิญญาณ หรือจะใช้คำว่า มโน มนัส หทย ปัณฑระ ก็ได้ เป็นคำใหม่ซึ่งคนไม่ค่อยได้ยิน เพราะเหตุว่าปัณฑระหมายถึงจิตเท่านั้น เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้ง เพราะฉะนั้นจิตไม่ใช่เจตสิก จิตไม่ดีไม่ชั่ว เพราะว่าจิตเกิดขึ้นเพียงรู้แจ้งสิ่งที่ปรากฏ แต่เจตสิกที่เกิดร่วมด้วย ที่ดีก็มี ที่ไม่ดีก็มี เพราะฉะนั้นเมื่อเกิดกับจิตใด จิตนั้นก็ไม่ดีเพราะเจตสิกที่เกิดร่วมกัน แยกกันไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นจิตกับเจตสิก เกิดดับพร้อมกัน แล้วแต่ว่าเจตสิกที่ไม่ดีเกิด หรือเจตสิกที่ดีเกิด ก็จำแนกไปอย่างละเอียดกว่านี้ นี่ก็เป็นเพียงแต่ว่าวันหนึ่งๆ ที่ปรากฏให้รู้ได้ ที่จะค่อยๆ เข้าใจว่าไม่ใช่เรา แต่เป็นธรรม คืออะไรบ้าง
เพราะฉะนั้นจิตที่เป็นผลของกรรม คือขณะเกิด ขณะที่เป็นภวังค์ ขณะตาย แต่ก่อนตายมีเห็นเป็นผลของกรรม เลือกไม่ได้ อยากจะเห็นเพชรนิลจินดา ดอกไม้สวยๆ ก็กลับไปเห็นสิ่งสกปรกต่างๆ ก็ได้ ใช่ไหม ขณะใดที่เห็นสิ่งที่ไม่ดี เป็นผลของอกุศลกรรม ขณะใดที่เห็นสิ่งที่ดีก็เป็นผลของกุศลกรรม แล้วจะเดือดร้อนไหม ไม่ใช่ใครมาทำให้เลย ทำเองทั้งนั้น เพราะฉะนั้นจิตเกิดขึ้น ทำกิจการงานหลากหลาย มากกว่าที่กล่าวถึง แต่ให้ทราบว่าในชีวิตประจำวัน ที่จะรู้ว่าอะไรเป็นผลของกรรม ก็คือขณะเห็น ขณะได้ยิน ขณะได้กลิ่น ขณะลิ้มรส ขณะรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ขณะคิดนึก นอกจากนี้ไม่ใช่ผลของกรรม เท่าที่สามารถจะปรากฏให้มี ให้รู้ได้ในชีวิตประจำวัน
อ.วิชัย ดังนั้นก็ค่อยๆ เห็นคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยการฟังคำของพระองค์ และที่สนทนาอยู่ในขณะนี้ ก็อยู่ในส่วนของ ๒ - ๓ ใบในกำมือของพระองค์ คิดดูว่าความรู้ของพระองค์นี้ จะนับประมาณไม่ได้สักขนาดไหน แต่ว่าความรู้ ปัญญาในขั้นการฟังก็เพียงระดับหนึ่งเท่านั้นเอง ไม่ใช่เราศึกษาเพียงเรื่องก็จำว่ามีจิตมีเจตสิกต่างๆ แต่ว่าความรู้นี่แหละจะนำไป ที่จะสู่ความรู้ที่ยิ่งขึ้นไปอีก จากปริยัติ ปฏิปัตติ จนถึงปฏิเวธ
ท่านอาจารย์ เข้าใจใช่ไหม เป็นมงคล ไม่เข้าใจ ไม่ใช่มงคล เพราะฉะนั้นอะไรก็ตามที่ทำด้วยความไม่รู้ ไม่เข้าใจทั้งหมด ไม่ใช่มงคล ใครจะเอาตะกรุดมาให้ แต่ไม่เข้าใจกับให้เข้าใจจะเอาอย่างไหน อะไรจะเป็นมงคล ต้องมั่นคง ไม่เช่นนั้นเราก็จะหลงเข้าใจพระพุทธศาสนาผิดๆ เพราะที่จริงแล้วถ้าไม่ศึกษาจริงๆ ให้เข้าใจจริงๆ ก็จะเป็นพุทธศาสนาที่ชาวพุทธไม่รู้จัก เมื่อไม่ศึกษาจะรู้จักไม่ได้เลย
ผู้ฟัง อยากถามเรื่องเจ้ากรรมนายเวร อย่างสมัยพ่อสมัยแม่ เขาก็ให้ทำบุญและอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรด้วยนะอย่างนี้ ก็คืออยากทราบว่ามีจริงหรือเปล่า เจ้ากรรมนายเวร
ท่านอาจารย์ ฟังแล้วก็ต้องคิดใช่ไหม ไม่ใช่เชื่อ สงสัยจึงได้ถาม ก็มีคำว่า เจ้า แล้วก็กรรม แล้วก็นาย แล้วก็เวร
ผู้ฟัง ฟังดูน่ากลัว
ท่านอาจารย์ ที่เราคุ้นหูก็คือเจ้านาย แล้วก็กรรมเวร ก็แยกกัน เป็นเจ้ากรรม และนายเวร ก็พูดตามกันมาตลอด แต่เราต้องพิจารณาทุกคำ กรรมคืออะไร และเจ้าคืออะไร ใช่ไหม เจ้านี่ต้องใหญ่เลยใช่ไหม เพราะฉะนั้นกรรมทั่วๆ ไป ก็เข้าใจกันว่าเป็นการกระทำ ถูกต้องไหม การกระทำมี ๒ อย่าง ดีกับชั่ว เพราะฉะนั้นก็เป็นกรรมดี กรรมชั่ว ทำแล้ว หมดไปเลย ไม่เกิดอะไรขึ้น หรือว่านั่นเป็นเหตุที่จะให้เกิดผล ต้องเข้าใจด้วย เหตุมี ผลก็ต้องมี ถ้าผลเกิดขึ้นบอกว่าไม่รู้เกิดจากอะไร ก็แปลว่าเราไม่ใช่เป็นคนที่มีเหตุผล เพราะฉะนั้นเมื่อผลเกิดขึ้นก็มาจากการกระทำ คือกรรมที่ได้กระทำแล้ว เพราะฉะนั้นใครจะใหญ่ ใครจะไปทำอะไรใครได้ นอกจากกรรมนั้นแหละเป็นใหญ่ ที่สามารถที่จะทำให้แม้เกิดก็ต่างกัน และก็ตลอดชีวิตก่อนที่จะสิ้นชีวิต ไม่ว่าจะเห็นอะไร ได้ยินอะไร ได้กลิ่นอะไร เป็นไปไม่ได้ที่ใครจะทำให้เลย ทุกอย่างเกิดขึ้นต้องมาจากเหตุ คือการกระทำที่ได้ทำแล้ว ทำให้ระหว่างที่ยังไม่ตาย ก็มีการเห็นดีบ้างไม่ดีบ้าง ก็แล้วแต่ว่ากรรมที่ทำไว้ดีหรือชั่ว เพราะฉะนั้นก็คงหมดความสงสัย เรื่องเจ้ากรรม นายเวร ขอเชิญคุณวิชัย
อ.วิชัย ได้ยินคำว่าเวร (เว-ระ) เวร แสดงถึงธรรมที่เป็นอกุศลธรรม ที่มีกำลัง ที่จะเป็นเหตุให้บุคคลนั้นกระทำถึงทุจริตและได้รับโทษภัยจากอกุศลกรรมนั้นๆ อย่างเช่น ตรัสถึงเวรภัย ๕ ประการ อกุศลมีในแต่ละวัน เห็น พอใจ ชอบ แต่ไม่ถึงระดับที่จะเป็นเวร ที่จะเป็นปัจจัยให้บุคคลนั้นได้รับผลของอกุศลกรรมที่ไม่ดี แต่เพราะมีเวระ ก็คืออกุศลที่มีกำลังนั่นเอง ที่จะเป็นเหตุให้บุคคลนั้นกระทำกรรม และก็ได้รับผลจากอกุศลกรรมนั้น
ท่านอาจารย์ ก็แยกใหม่ก็ได้ เวรกรรมเป็นเจ้านาย ไม่มีใครเป็นเจ้านาย นอกจากเวรกรรมที่ได้ทำแล้ว ไม่ทราบคุณธิดารัตน์มีอะไรเพิ่มเติม
อ.ธิดารัตน์ เป็นสภาพของธรรม ที่เป็นลักษณะของความจงใจ ความตั้งใจที่จะทำกุศลก็ได้ หรือว่าทำอกุศลก็ได้ ทำดีก็ได้ ทำชั่วก็ได้ ที่เป็นกรรม เพราะฉะนั้นกรรมมีทั้งฝ่ายดีและฝ่ายไม่ดี แต่ส่วนใหญ่เราคิดว่าเป็นเราทำ แต่จริงๆ เป็นการเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย อย่างเช่นถ้าจะทำบาปอย่างนี้ ก็คือเป็นเพราะมีการสะสมอกุศลมานั่นเอง ที่จะทำให้มีความโลภ ที่จะเป็นเหตุ ที่จะทำให้มีการล่วงทุจริตกรรม ด้วยความโลภ เช่น ไปลักทรัพย์อย่างนี้ หรือว่าความโกรธ ก็ทำให้มีการประทุษร้ายเขา ไปฆ่าสัตว์ อันนี้ก็คือเป็นการ เป็นปัจจัยที่จะทำให้มีการล่วงทุจริตกรรม ทางกาย ทางวาจา หรือการที่เราโกรธใคร แล้วไปว่าเขา ประทุษร้ายเขาทางกายทางวาจา เพราะฉะนั้น มีกิเลส หรือว่ามีอกุศลเป็นปัจจัย ที่จะทำให้กระทำอกุศลกรรม ไม่ได้มีตัวเรา เพราะว่าเป็นไปตามอำนาจของกิเลสและจิต การที่จะทำความดี ก็ต้องมีการสะสมความคิดดีมาใช่ไหม แล้วก็มีการช่วยเหลือผู้อื่น เมตตาผู้อื่น ก็เป็นไปตามกำลังของธรรมฝ่ายดี เพราะฉะนั้นเป็นไปตามกำลังของธรรมฝ่ายดี และฝ่ายไม่ดี รูปทำอะไรไม่ได้ แต่รูปเคลื่อนไหวเพราะมีจิตเป็นปัจจัย กราบเรียนท่านอาจารย์เพิ่มเติม
ท่านอาจารย์ เราก็เคยพูดคำที่เราไม่รู้จักเสมอใช่ไหม จนกว่าจะได้ฟังพระธรรมเช่นเป็นกรรมของเรา พูดบ่อยๆ ใช่ไหม เวลาที่สิ่งที่ไม่ดีเกิดขึ้น ถูกต้องไหม พออะไรเกิดขึ้น
ผู้ฟัง ทำไมถึงต้องเป็นเรา
ท่านอาจารย์ ทำไมถึงต้องเป็นเรา ตอนนี้เปลี่ยน เพราะต้องเป็นเรา เพราะเหตุว่าได้กระทำเหตุไว้แล้ว ผลที่เราได้กระทำแล้ว จะไปเกิดกับคนอื่นได้อย่างไร เพราะฉะนั้นที่เกิดนี่แหละเพราะต้องเป็นเรา ที่ได้กระทำกรรมนั้นแล้ว แต่ว่าเราพูดมานี้ โดยมากเราก็ไม่ค่อยได้เข้าใจชัดเจนใช่ไหม แต่ธรรมละเอียดมาก เพราะฉะนั้นกรรมมีทั้งกุศลกรรม และอกุศลกรรม แต่ว่าคนไทยชอบพูดว่า พออะไรไม่ดีก็เป็นกรรมของเรา หมายเฉพาะอกุศลกรรม แต่เวลาที่ได้ผลดี ทำไมไม่บอกว่าเป็นบุญของเรา เพราะฉะนั้นก็ต้องพูดให้ถูกต้อง ถ้าดีก็เป็นบุญของเรา ถ้าไม่ดี ความจริงบุญก็เป็นกรรมด้วย แต่คนไทยชินที่จะใช้คำว่า ไม่พูดว่าอกุศลกรรม แต่พูดว่ากรรม แต่อะไรที่ไม่ดีที่เป็นผลเกิดขึ้น ก็เพราะกรรมไม่ดี แต่ให้ทราบว่าทั้งดีและชั่ว ก็คือการกระทำ โดยสภาพธรรมที่เกิดขึ้นจงใจที่จะให้สิ่งนั้นเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้น กรรมเป็นธรรมหรือเปล่า ผลของกรรมเป็นธรรมหรือเปล่า กรรมเป็นธรรมอะไร ธรรมมีอะไรบ้าง รูปธรรม มีจริงๆ แต่ไม่รู้อะไร จะทำอะไรได้ เพราะไม่รู้ โต๊ะนี่จะไปทำอะไร ทำดีทำชั่วไม่ได้ ไม่ใช่สภาพรู้ เพราะฉะนั้น สภาพรู้ก็มีจิตและเจตสิก เพราะฉะนั้น กรรมเป็นธรรมอะไร
ผู้ฟัง เป็นเจตสิก
ท่านอาจารย์ ถูกต้อง ตอนนี้ก็ชัดเจน เพราะว่าจิตแค่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้สิ่งที่ปรากฏทางตา ที่เราจะใช้คำว่า เห็น เห็นขณะนี้เป็นจิต เป็นหน้าที่ของจิตที่เกิดขึ้นทำทัสนกิจ กิจของจิตทั้งหมด มี ๑๔ กิจ กิจหนึ่งก็คือกิจเห็น ภาษาไทยเราใช้คำว่ากิจเห็น ภาษาบาลีก็เป็นทัสนะ ที่จะใช้ทัศนาจรอะไรพวกนี้ ทัศนะก็คือเห็น เพราะฉะนั้นขณะนี้จิตกำลังทำกิจเห็น เมื่อเกิด ทำอื่นไม่ได้เลย ต้องเกิดขึ้นทำกิจเห็น เพราะฉะนั้น เจตสิก ที่จงใจที่จะกระทำดีก็ได้ ชั่วก็ได้ ก็เป็นสภาพของเจตสิกชนิดหนึ่ง ภาษาบาลีคือ เจตนาเจตสิก (เจ-ตะ-นา-เจ-ตะ-สิก) แต่คนไทยชอบพูดว่า เจตนา (เจด-ตะ-นา) เช่น ไม่มีเจตนาหรอก ขอโทษทำอย่างนั้นไปเพราะไม่ได้เจตนา แต่ความจริงไม่ใช่ เพราะเจตนาเจตสิกเกิดกับจิตทุกขณะ นี่ก็เป็นความละเอียดขึ้น เพราะฉะนั้นเจตนาที่เป็นเหตุที่เป็นกุศลก็มี เจตนาที่เป็นเหตุที่เป็นอกุศลก็มี เจตนาเกิดกับจิตทุกขณะ แม้จิตซึ่งเป็นผลซึ่งเกิดจากจิตที่เป็นเหตุ ก็ต้องมีเจตนาเกิดร่วมด้วย แต่ว่าสภาพของธรรมหลากหลายมาก สภาพธรรมที่เป็นเหตุ เป็นผลไม่ได้ สภาพธรรมที่เป็นผลก็จะเป็นเหตุไม่ได้ เพราะฉะนั้นผลทั้งหลาย ต้องเกิดจากเหตุ ด้วยเหตุนี้จิตจึงจำแนกเป็น เหตุ คือ กุศลจิตเป็นกุศลเหตุ อกุศลจิตก็เป็นอกุศลเหตุ ผลต้องมีต่างกัน อกุศลกรรมเป็นปัจจัยให้เกิดอกุศลวิบากจิต ถ้าเป็นสภาพที่ไม่รู้จะเป็นผลได้อย่างไร ไม่รู้อะไร แต่ต้องเห็น ต้องได้ยิน ต้องได้กลิ่น ต้องลิ้มรส ต้องรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส นี่คือสภาพธรรมที่เป็นผลและเป็นจิต ส่วนจิตจะเกิดได้ก็ต้องมีเจตสิกอาศัยกันและกันเกิดขึ้นพร้อมกัน
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1261
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1262
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1263
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1264
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1265
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1266
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1267
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1268
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1269
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1270
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1271
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1272
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1273
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1274
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1275
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1276
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1277
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1278
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1279
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1280
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1281
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1282
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1283
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1284
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1285
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1286
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1287
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1288
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1289
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1290
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1291
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1292
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1293
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1294
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1295
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1296
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1297
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1298
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1299
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1300
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1301
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1302
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1303
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1304
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1305
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1306
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1307
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1308
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1309
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1310
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1311
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1312
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1313
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1314
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1315
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1316
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1317
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1318
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1319
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1320
