ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1277
ปกิณณกธรรม ตอนที่ ๑๒๗๗
สนทนาธรรม ที่ โรงแรมมีพรสวรรค์ จ.พิจิตร
วันที่ ๕ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๖๑
ท่านอาจารย์ การที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงว่า ธรรมเกิดเพราะเหตุปัจจัยหนึ่ง ดับไปไม่กลับมาอีกเลย เป็นประโยชน์ไหม ถ้าถามว่าเป็นประโยชน์ไหม แต่ตอบเป็นยังต้องถามอีกว่าเป็นประโยชน์ยังไง คือการที่จะเข้าใจธรรมได้ ต้องไม่จบ หมายความว่าสามารถที่จะเข้าใจละเอียด จนกระทั่งมั่นคงขึ้น ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา สิ่งที่มีจริงบังคับบัญชาได้ไหม ไม่ให้โกรธได้ไหม ไม่ให้เบื่อได้ไหม ไม่ให้ง่วงได้ไหม เบื่อมีจริงเกิดแล้วปรากฏ ก่อนเบื่อไม่มีเบื่อ แต่พอหายเบื่อ เบื่อหมดไปละไม่กลับมาอีกเลยเป็นเบื่อใหม่ เพราะฉะนั้นทุกอย่าง ใหม่ตลอดเวลาโดยไม่รู้เลย เพราะฉะนั้นจึงมีการเปลี่ยนแปลง ถ้าไม่มีการเกิดดับ อะไรๆ ก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นเราไม่รู้ตัว ว่าเราไม่รู้อะไร และก็ติดข้องในความเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ซึ่งเหมือนสิ่งนั้นยังมีอยู่ แต่ว่าความจริงทุกอย่าง มีชั่วคราวที่ปรากฏ จริงไหม เดี๋ยวนี้มีบ้านไหม กำลังเห็นจะเป็นบ้านไหม ไม่ใช่ เดี๋ยวนี้มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น และเวลาคิดถึงบ้านไม่ใช่เห็น ละเป็นคิดเพราะจำ ถ้าไม่จำเรื่องใดไว้ ก็ไม่คิดเรื่องนั้นเลย เพราะฉะนั้นทุกครั้งที่คิดเพราะจำ สิ่งที่เราเคยเห็นบ้างเคยได้ยินบ้าง แต่ทั้งหมดเวลาไม่คิดก็ไม่มี แต่ประโยชน์ของการที่เกิดมาแล้ว มีโอกาสที่จะได้รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่เพียงฟังคำของพระองค์ แต่พระองค์ทรงแสดงธรรม ให้เป็นความเข้าใจของผู้ฟัง เป็นสิ่งที่มีค่ายิ่งกว่าทรัพย์สมบัติใดๆ
เพราะเหตุว่าความเข้าใจอย่างเดี๋ยวนี้ เงินทองซื้อไม่ได้ จะเอาเงินสักเท่าไหร่ไปซื้อความรู้ความเข้าใจ เป็นไปไม่ได้เลย ต้องอาศัยการฟังและการไตร่ตรอง เพราะฉะนั้นก็จะเห็นได้ว่า ถ้ามีการได้ยินได้ฟังธรรมแล้วก็มีความเข้าใจบ้าง เห็นประโยชน์ก็จะสะสมสืบต่อไป เพราะฉะนั้นต้องไม่ลืม ธรรมคือสิ่งที่มีจริงเคยเป็นเรา แต่ถ้าเข้าใจแล้วก็แตกย่อยออกได้ละเอียดยิบ แต่ว่ามีสิ่งที่มีจริง ๒ อย่าง อย่างสิ่งที่มีจริงซึ่งเกิดแต่ว่าไม่สามารถจะรู้อะไรได้ เช่นเสียงไหน มีจริงเป็นธรรม ได้ยินมีจริงแต่ไม่ใช่เสียง เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีจริงทั้งหมดในสากลจักรวาล ไม่ว่าที่ไหนก็ตามแต่ สิ่งหนึ่งมีปัจจัยต้องเกิดให้รู้ว่าสิ่งนั้นมี แต่สิ่งนั้นไม่สามารถจะรู้อะไรได้ เช่นสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาเป็นดอกไม้ เป็นโต๊ะเป็นเก้าอี้ ไม่รู้อะไรเลย เสียงก็กำลังปรากฏว่าเสียงมีจริงๆ เสียงต้องเกิด ถ้าได้ยินไม่เกิดได้ยิน เสียงนั้นก็ไม่ปรากฏว่ามี ถ้าขณะนี้กลิ่นปรากฏ กลิ่นต้องเกิด แต่กลิ่นก็ไม่รู้อะไร ด้วยเหตุนี้ถ้าโลกนี้หรือโลกไหนๆ ก็ตาม มีแต่สิ่งซึ่งเกิดมีแต่ไม่มีใครรู้ใครเห็น ก็ไม่รู้ว่ามีใช่ไหม แต่ว่าที่ปรากฏว่ามีสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะเหตุว่ามีสภาพธรรม ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ ว่าเป็นธาตุหรือเป็นธรรมที่มีจริง ซึ่งเกิดเมื่อไหร่ต้องรู้เมื่อนั้น แม้แต่แต่คำว่ารู้ก็ยาก รู้คือเห็นขณะนี้ เห็นขณะนี้รู้อะไร รู้ว่าสิ่งที่กำลังปรากฏเป็นอย่างนี้ทางตา ไม่เป็นอย่างอื่นเวลาที่เสียงปรากฏ สภาพรู้คือได้ยินก็เกิดขึ้นรู้ว่าเสียงนี่ เป็นเสียงนี้ไม่ใช่เสียงอื่น เพราะฉะนั้นธาตุรู้มีจริง อาศัยกันและกันเกิดขึ้นได้ยินบ้าง เห็นบ้าง คิดบ้าง จำบ้าง ชอบบ้าง ไม่ชอบบ้างทั้งหมดเป็นธรรม
เพราะฉะนั้นโลกไม่ว่าจะโลกไหนก็ตาม รวมกันแล้วเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่ก็เป็นเพียง ๒ อย่างที่หลากหลายต่างกัน คือเป็นสภาพธรรมที่รู้ กับเป็นสภาพธรรมที่ไม่รู้ เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีชีวิต ก็คือสภาพรู้เห็นได้ยินคิดนึก แล้วก็มีรูปร่างหลากหลายด้วย เพราะฉะนั้นนกมีชีวิต คนมีชีวิต ปลามีชีวิตเพราะอะไร เพราะไม่ได้มีแต่สภาพรู้ซึ่งเป็นรูปร่าง แต่มีธาตุรู้คือเห็นบ้าง ได้ยินบ้าง ได้กลิ่นบ้าง คิดนึกบ้างเดี๋ยวนี้ เพราะฉะนั้นเราก็พอที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้ความจริงว่าแท้ที่จริง สิ่งที่เกิดขึ้นชั่วคราวไม่ใช่ของใคร และไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครเลย เกิดขึ้นและก็ดับไป ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่มีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นมีความดับไปเป็นธรรมดา เพราะฉะนั้นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สำหรับพูดตามเป็นเสียงต่างๆ ที่เราใช้คำว่าสวด
ทุกคนได้ยินคำว่าสวดมนต์ รู้ไหมว่ามนต์คืออะไร และสวดคืออะไร มนต์เป็นภาษาไทยหรือเปล่า สวดมนต์ สวดมนต์พระองค์ทรงแสดงธรรมทั้งหมด และเราก็เอาคำที่พระองค์ตรัสแสดงนั่นแหละมาท่องมาสวด แต่เข้าใจหรือเปล่า ซึ่งการพูดกัน แม้แต่ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส ไม่ใช่ตรัสว่างเปล่าลอยๆ แต่ว่าตรัสให้คนที่กำลังฟังเกิดความเข้าใจว่า พระองค์ตรัสว่าอย่างไร และก็ไตร่ตรองว่าคำนั้นเป็นจริงแค่ไหน ด้วยเหตุนี้ถ้าเราไม่เข้าใจคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส เราก็เอาคำในภาษานั่นแหละ มาสวดมาท่องมาจำ แต่ไม่เข้าใจอะไรเลย เพราะฉะนั้นจะไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยการสวดมนต์ แต่ว่าจะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยการที่รู้ว่าคำที่พระองค์ตรัสในภาษาบาลี ภาษาอื่นอื่นเช่นภาษาไทย ที่พูดกันทุกวันนี้ สามารถที่จะใช้คำเหล่านั้นได้ ตรงกันเลย แต่เป็นอีกภาษาหนึ่ง เพราะฉะนั้นธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว สามารถเข้าใจได้ในภาษาของตนของตน แต่ไม่ใช่ไปท่อง ท่องไม่มีทางเข้าใจเลยแต่ต้องรู้ว่าคำแต่ละคำ นั้นหมายความว่าอะไร เพราะฉะนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ทรงแสดงธรรม ไม่ใช่ให้คนไม่เข้าใจ แล้วให้จำให้ท่องโดยไม่รู้เรื่อง แต่ให้คนได้เข้าใจถูกต้องว่าคำของพระองค์ เป็นความจริงหรือเปล่า
เช่นธรรมคือสิ่งที่มีจริง เห็นมีจริงเป็นธรรม ได้ยินมีจริงเป็นธรรม เสียงมีจริงเป็นธรรม และธรรมก็ต่างกันเป็น ๒ อย่างประเภทใหญ่ๆ คือธรรมอย่าง ๑ เกิดมีจริงแต่ไม่รู้อะไร ส่วนธรรมอีกอย่าง ๑ เกิดแล้วต้องรู้ ไม่รู้ไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ที่ว่าเป็นคน จึงมีทั้งธาตุหรือธรรมที่เกิดขึ้นรู้เห็นได้ยิน และมีรูปร่างตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าด้วยทั้งหมดเป็นธรรม เพราะฉะนั้นหาธรรมเจอหรือยัง ทุกหนทุกแห่ง อะไรที่ปรากฏว่ามีจริงสิ่งนั้นเป็นธรรมทั้งหมด แต่ก็ต่างกันเป็นรูปธรรมและนามธรรม เท่านี้พอที่จะเข้าใจคำที่เราสวดไหม ไม่ทราบเป็นเรื่องใหม่ หรือว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจหรือเปล่า แต่ให้รู้ว่านี่แหละที่เข้าใจว่าเป็นเรา วันหนึ่งก็ต้องจากไปไม่เหลือเลย ไม่ว่าจะเป็นสมบัติหรือว่าร่างกาย ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า ติดตามไปไม่ได้เลย เพียงมีปัจจัยเกิดแล้วก็ดับ ระหว่างที่ยังมีชีวิตในสังสารวัฎฏ์ไม่เคยหยุด แต่ละชาติแต่ละชาติสืบต่อ เหมือนเมื่อวานนี้ก็มีวันนี้
เพราะฉะนั้นมีวันนี้พรุ่งนี้ก็มี แต่พรุ่งนี้ก็ไม่ใช่วันนี้ และวันนี้ก็ไม่ใช่เมื่อวานนี้ เมื่อวานนี้ไม่กลับมาอีกเลย เหมือนเดี๋ยวนี้แต่ละขณะไม่ได้กลับมาอีกเลย จนกว่าจะหลับเมื่อไหร่ไม่เหลือ แล้วก็ตื่นมาอีกก็เกิดอีกก็เป็นอย่างนี้เรื่อยไป พอหรือยังหรือว่ายังไม่พอ ก็เป็นเรื่องที่น่าคิดว่าพอหรือไม่พอก็ต้องมี ตราบใดที่ยังไม่รู้เหตุปัจจัยยังไม่ถึงปรินิพพานก็จะต้องมีธรรม คือการเกิดขึ้นและดับไปไม่สิ้นสุด ไม่ทราบรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบ้างไหม ทรงแสดงธรรมทุกหนทุกแห่ง สิ่งใดๆ ที่มีจริงเป็นสิ่งที่มีแต่ละ ๑ พอรวมกันก็เข้าใจว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เช่นดอกกุหลาบมีสีปรากฏให้เห็น เป็นธรรมอย่างหนึ่ง หลับตาไม่ปรากฏเลยปรากฏไม่ได้ ต้องเฉพาะสิ่งที่กำลังปรากฏ และเฉพาะเมื่อกระทบตา ข้างหลังไม่มีใครรู้เลยว่ามีอะไร เพราะสิ่งนั้นไม่ได้กระทบตา แต่สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่กระทบตา เห็นแล้วจะบอกว่าไม่เห็นได้ไหม ไม่ได้ เห็นหมดละจะบอกว่ายังเห็นต่อไปได้ไหม ไม่ได้ เพราะฉะนั้นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกคำเป็นคำจริง แต่ผู้ฟังต้องตรง จึงจะสามารถรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ เห็นที่ดับไปแล้วไปหาอีกสิว่าอยู่ที่ไหน เหมือนแสงไฟดับแล้วไม่กลับมาอีกเลย ได้ยินเมื่อกี้นี้ดับแล้วไม่กลับอีก เสียงเมื่อกี้นี้ก็หมดแล้ว ไม่ได้กลับมาอีกเลย แต่ละ ๑ก็เหมือนวันเวลาซึ่งไม่เคยย้อนกลับไปผ่านไปผ่านไปผ่านไป ใครรู้บ้างว่าพรุ่งนี้จะมีอะไรเกิดขึ้น
ไม่ต้องพรุ่งนี้เดี๋ยวก็ได้จะคิดอะไร แค่เดี๋ยว ๑ ก็ยังไม่รู้เลยว่า เดี๋ยวนั้นน่าจะเป็นอะไร จะเป็นได้ยิน หรือจะเป็นคิด หรือจะเป็นเจ็บ หรือจะเป็นคัน หรือจะเป็นชอบหรือจะเป็นไม่ชอบ แต่ละ ๑ เป็นธรรมซึ่งมีปัจจัยเกิดขึ้น ไม่สามารถที่จะบังคับบัญชาได้ ถ้าบังคับบัญชาได้ก็ไม่ต้องเจ็บไข้ได้ป่วย ไม่ต้องลำบากยากไร้ ไม่ต้องเข้าไปอยู่ในถ้ำใช่ไหม แต่นี่ทุกอย่าง ไม่มีใครสามารถ ที่จะให้เป็นอย่างที่คิดได้เลย เพราะว่าทุกอย่างก็ต้องเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย คงไม่มีใครชอบสิ่งที่ไม่ดีใช่ไหม ความไม่ดีมากมายแต่ก็มีทั่วโลก เพราะไม่รู้เหตุว่าเพราะอะไรจึงเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นถ้าเราไม่สามารถที่จะเข้าใจเหตุ ก็ต้องมีผลที่เกิดเพราะเหตุนั้น ถ้าเหตุไม่ดีผลดีเกิดไม่ได้ ถ้าผลดีแล้วต้องมาจากเหตุที่ดี ถ้าเหตุดีมีแล้วเป็นปัจจัยให้เกิดผลที่ดี ด้วยเหตุนี้ชีวิตแต่ละ ๑ ชีวิตนี่ก็มีความหลากหลายมาก ตามเหตุปัจจัยที่สะสมมา ถ้าไม่มีการทุจริตจะมีการติดคุกไหม ก็ไม่มีใช่ไหม เพราะฉะนั้นความจริงก็คือว่า เหตุกับผลต้องตรงกัน ไม่ว่าเรื่องอะไร มีคำตอบในพระพุทธศาสนา
เพราะเหตุทุกสิ่งทุกอย่าง ก็เป็นแต่เพียงสภาพธรรม ที่มีปัจจัยเกิดขึ้นหลากหลาย แต่ยังไงยังไงก็ตาม ก็ต้องมีธรรมที่เกิดขึ้นไม่รู้อะไร ซึ่งภาษาบาลีใช้คำว่ารูปธรรม มาจากคำ ๒ คำรวมกัน รูปะคือสิ่งนั้นไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย เสียงเป็นรูปธรรมกลิ่นเป็นรูปธรรม รสเปรี้ยวหวานมันเค็มรู้อะไรรึเปล่า ไม่รู้เป็นรูปธรรม แต่สภาพที่กำลังลิ้มรสหวานสภาพรู้รสเป็นนามธรรม เพราะฉะนั้นไม่ว่าโลกใดทั้งสิ้น ก็จะมีธรรมที่ต่างกันเป็นประเภทใหญ่ ๒ อย่าง คือประเภท ๑ เป็นรูปธรรม อีกประเภท ๑ เป็นนามธรรม รูปธรรมจะรู้อะไรไม่ได้เลย และนามธรรมเกิดขึ้นต้องรู้ ไม่รู้ไม่ได้ ไม่มีใครสามารถเปลี่ยน ลักษณะของสภาพธรรมได้เลย และนามธรรมใดรูปธรรมก็ไม่ได้อยู่ที่ไหนเลย อยู่ที่นี่ แต่รู้หรือเปล่าว่าเป็นธรรม ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงว่า สิ่งนั้นต้องเกิดจึงมี เมื่อเกิดแล้วก็ต้องดับไป ไม่กลับมาอีก จะจากโลกนี้ไปวันไหนรู้ไหม ก่อนจากเข้าใจธรรมเสียบ้างดีไหม หรือว่าไม่เข้าใจเลย ไม่มีโอกาสได้ฟังเลยว่าแท้ที่จริงๆ แล้วทั้งหมด เป็นสิ่งซึ่งไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา ของใครเลยทั้งสิ้น จะเกิดเมื่อไหร่จะตายเมื่อไหร่ จะเห็นเมื่อไหร่ จะคิดเมื่อไหร่ จะสุขเมื่อไหร่ จะเจ็บไข้ได้ป่วยเมื่อไหร่ มีเหตุที่ได้กระทำแล้ว
เพราะฉะนั้นจะหวั่นไหวไหม ถ้าเป็นสิ่งที่ดีที่ได้กระทำแล้ว ต้องนำผลที่ดีมาให้ และก็ถ้าไม่ชอบสิ่งที่ไม่ดี ก็จะไม่ทำสิ่งที่ไม่ดี เพราะรู้ว่าสิ่งที่ไม่ดีเท่านั้น ที่จะนำผลที่ไม่ดีมาให้ เปลี่ยนเหตุกับผลได้ไหม ให้เหตุไม่ดีนำมาซึ่งผลดีได้ไหม หรือว่าผลดีให้นำเหตุดีนำมาซึ่งผลที่ไม่ดีได้ไหม ไม่มีทางเป็นไปได้เลย เกิดมาเป็นคน แค่ตายังสีต่างกันไป สีน้ำตาลก็มี สีฟ้าก็มี สีน้ำเงินก็มี ใครทำ มีเหตุที่ได้กระทำแล้วทั้งหมด แต่เมื่อไม่มีใครสามารถจะรู้ได้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความจริง ที่ละเอียดถึงที่สุดโดยประการทั้งปวง แม้แต่ยิ้มหรือหัวเราะก็ต้องเกิดจากจิต เพราะฉะนั้นสภาพรู้หรือธาตุรู้ ภาษาบาลีใช้คำว่าจิตตะ คนไทยก็เรียกสั้นๆ ว่าจิต แต่มีหลายคำบางทีก็ใช้คำว่าวิญญาณะ บางทีก็ใช้คำว่ามโน มนัส หทย เหมือนภาษาไทยเรา คำเดียวก็มีความหมายหลายอย่าง หรือสิ่งเดียวเราก็เรียกหลายอย่าง แต่ก็เป็นสิ่งเดียวกัน สตรี กุมารี พวกนี้ก็คือผู้หญิง เพราะฉะนั้นแต่ละ ๑ แต่ละ ๑ ถ้าเข้าใจแล้ว ทำไมมีชื่อหลากหลายมีตั้งแต่ โลภะความติดข้อง เพลิดเพลิน นันทิราคะ สนุกสนาน จนกระทั่ง สิเนหาเยื่อใยความผูกพันทั้งหมด ก็เป็นสภาพธรรมทั้งหมดเลย แต่ละอย่างแต่ละอย่างตามระดับขั้น ซึ่งเกิดแล้วปรากฏไม่ต้องเรียกชื่อเลย ชัดเจน เพราะว่ากำลังประจักษ์แจ้ง รู้แจ้ง ด้วยเหตุนี้ถามคนทั่วไปว่า จิตมีใช่ไหม ใช่ มี แล้วจิตคืออะไร ตอบหน่อยสิจะตอบว่ายังไง
แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงว่าสภาพรู้ ซึ่งเป็นใหญ่ที่รู้แจ้งสิ่งที่ปรากฏ ดอกกุหลาบนี้สีอะไร ชมพูอ่อนหรือชมพูแก่ ชมพูอ่อน จิตรู้แจ้ง เปลี่ยนได้ไหมไม่ให้เป็นอย่างนี้ เห็นอย่างนี้แล้วให้เปลี่ยนเป็นอย่างอื่นได้ไหม ไม่ได้ เพราะฉะนั้นสภาพธรรมที่รู้แจ้ง เกิดขึ้นรู้แจ้งสิ่งที่ปรากฏ นั่นคือลักษณะของจิต หลากหลายมากไหม รู้แจ้งเสียงก็อย่าง ๑ รู้อื่นไม่ได้เลย รู้แจ้งกลิ่นก็อีกอย่างหนึ่ง รู้แจ้งรสก็อีกอย่างหนึ่ง เพราะฉะนั้นที่ว่าเป็นคนก็คือธาตุรู้เกิดขึ้น หลากหลายมากในวันหนึ่งวันหนึ่ง รู้ไปหมดกระจ่างแจ้งว่าเปลี่ยนแปลงไม่ได้ เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้ง แต่ว่าสภาพรู้ ภาษาบาลีใช้คำว่านามธรรม เพราะฉะนั้นเมื่อกี้นี้ มีรูปธรรมเป็นสิ่งที่มีจริง แต่ว่าไม่สามารถจะรู้อะไรได้ แต่นามธรรมเป็นธาตุที่เกิดขึ้นแล้วต้องรู้ ถ้าไม่มีธาตุนี้โลกไม่ปรากฏ อะไรอะไรก็ไม่ปรากฏเลย แต่ใครก็ห้ามธาตุรู้ไม่ให้เกิดไม่ได้เลยใช่ไหม เกิดแล้วนี่เดี๋ยวนี้ เห็นแล้วไม่เห็นให้เห็นก็ไม่ได้ คิดแล้วไม่ให้คิดก็ไม่ได้ จำไม่ให้จำก็ไม่ได้ ทั้งหมดนี้เป็นนามธรรม
เพราะฉะนั้นแต่ละคนก็คือนามธรรมและรูปธรรม ซึ่งแม้แต่ตาก็เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย หลากหลายมาก ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า และอย่างธาตุรู้ก็ยิ่งหลากหลายมาก ธาตุรู้ที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้ง ใช้คำว่าจิต แต่มีธาตุรู้อื่นซึ่งเกิดกับจิต โกรธไม่ใช่จิต จิตแค่รู้แจ้งสิ่งที่กำลังปรากฏ รส มีหลายรส จิตรู้แจ้งแต่ละรส อธิบายยากไหม กำลังรับประทานอาหาร ถามว่าเค็มไหม คนหนึ่งก็ตอบว่าเค็ม อีกคนก็บอกเค็มมากหรือเค็มน้อยใช่ไหม ก็ยังตอบไม่ได้ว่าที่เค็มเดี๋ยวนี้ บอกให้คนอื่นรู้ไหมว่าเค็มแค่ไหนก็ไม่ได้ เพราะเหตุว่าต้องเป็นธาตุรู้คือจิต ที่เกิดขึ้นลิ้มรสนั้นแต่ถามว่า แล้วชอบไหมรสเค็มนั้น ตอบว่าไม่ชอบ เพราะฉะนั้นมี ๒ อย่าง จิตเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งสิ่งที่ปรากฏ แต่ชอบหรือไม่ชอบเป็นธรรมที่ไม่ใช่รู้แจ้ง แต่เกิดกับจิต จิตรู้แจ้งสิ่งใดชอบสิ่งนั้นหรือไม่ชอบสิ่งนั้น สภาพธรรมที่ชอบหรือไม่ชอบ ภาษาบาลีใช้คำว่าเจตะสิกะ แต่คนไทยใช้คำว่าเจตสิก เพราะฉะนั้นธรรม ๔๕ พรรษา เริ่มเพิ่มขึ้นทีละคำสองคำเพื่อให้รู้ความจริงที่ถูกปกปิดไว้ ในสังสารวัฎฏ์นานแสนนาน
ถ้าไม่มีการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็หลงว่าเป็นเราตั้งแต่เกิดจนตาย แต่ว่าจะเป็นคนนี้ได้ชาตินี้ชาติเดียว ก่อนเป็นคนนี้เป็นใครมาจากไหน และจากโลกนี้ไปแล้ว หมายความว่าสิ้นสุดความเป็นบุคคลนี้ จะกลับเป็นบุคคลนี้อีกไม่ได้เลยสักหนึ่งขณะจิต แต่คนต่อไปเหมือนเมื่อวานนี้กับวันนี้ คนนี้วันนี้ก็มาจากคนนี้เมื่อวานนี้ใช่ไหม เห็นอะไรจำอะไรคิดอะไรทำอะไร วันนี้ก็ทำต่อคิดต่อ ก็มาจากเมื่อวานนี้ แต่ว่าพอสิ้นสุดความเป็นบุคคลนี้แล้ว การกระทำดีหรือชั่วที่ได้ทำแล้วในสังสารวัฎฏ์ สามารถที่จะเป็นปัจจัยให้เกิดขึ้น แล้วแต่ว่าจะเกิดเป็นอะไร ถ้าเป็นผลของกุศลกรรม ก็เป็นมนุษย์ หรือว่าเทวดาหลายชั้น แยกไปตามกำลังของกุศลนั้น ถ้าเป็นอกุศลที่ทำไว้ไม่เกิดเป็นมนุษย์ เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานช้าง มด งู เป็นผลของอกุศลกรรมทั้งสิ้น แล้วก็ถ้าเป็นอกุศลกรรมที่หนักกว่านั้น ก็เกิดในนรก มีจริงหรือเปล่าน่าคิดใช่ไหม ก่อนมาสู่โลกนี้ โลกนี้มีจริงหรือเปล่า ไม่มีทางรู้แต่รู้เมื่อถึงโลกนี้ เพราะฉะนั้นสงสัยเรื่องนรก พอถึงนรกหมดสงสัยเลย หรือว่าเทวดาก็หมดสงสัยอีกเหมือนกันใช่ไหม
แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำไมเป็นชื่อนี้ไม่เป็นชื่ออื่น ทรงตรัสรู้โลกที่เราสวดมนต์ใช่ไหม โลกะวิทู ตรัสรู้ทุกโลก เพราะฉะนั้นเวลาที่พูดถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วไม่เข้าใจธรรม เหมือนอยู่ใกล้ แต่พอเข้าใจธรรมยิ่งเข้าใจ พระปัญญาที่พระองค์ทรงแสดงธรรมจากการที่ทรงตรัสรู้ กับเราซึ่งรู้หรือเปล่า แม้แต่แต่ละคำที่ได้ยิน พระองค์ตรัสอย่างนี้ ทรงแสดงความจริงของสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ ซึ่งลึกและละเอียดมาก แต่ว่ากว่าจะได้เข้าใจและเข้าใจได้แค่ไหน เทียบกับปัญญาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งตรัสว่าธรรมเราก็พูดคำว่าธรรม แต่ปัญญาต่างกันแค่ไหน ด้วยเหตุนี้จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ต่อเมื่อเข้าใจธรรม ตามที่พระองค์ตรัสว่าผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา เรียกชื่อเฉยๆ ว่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ไม่รู้เลยว่าพระองค์ตรัสอะไร และจะรู้จักพระองค์ไหม ความลึกซึ้งของธรรมแต่ละคำ ต่อเมื่อเข้าใจจึงเห็นความห่างไกลอย่างยิ่ง ของผู้ที่ฟังธรรมกับไม่เคยฟังเลย ฟังแล้วเข้าใจมากขึ้น เห็นประโยชน์และก็ศึกษาตลอดชีวิตไม่จบเลย แต่ว่าเริ่มเข้าใจประโยชน์ ของการที่ก่อนจากโลกนี้ รู้ความจริงว่าโลกนี้เป็นอย่างนี้ เป็นธรรมทั้งหมดเลย ไม่มีใครเลยทั้งสิ้น แต่ว่าเป็นธรรมซึ่งเกิดดับสืบต่อเป็นแต่ละ ๑ แต่ละ ๑ รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบ้างไหม หรือว่าสวดมนต์ แต่ไม่รู้ว่าคำนั้นหมายความว่าอะไร เพราะฉะนั้นเมื่อไม่เข้าใจธรรม ก็ยังไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1261
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1262
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1263
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1264
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1265
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1266
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1267
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1268
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1269
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1270
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1271
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1272
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1273
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1274
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1275
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1276
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1277
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1278
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1279
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1280
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1281
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1282
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1283
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1284
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1285
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1286
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1287
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1288
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1289
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1290
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1291
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1292
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1293
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1294
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1295
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1296
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1297
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1298
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1299
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1300
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1301
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1302
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1303
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1304
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1305
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1306
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1307
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1308
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1309
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1310
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1311
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1312
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1313
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1314
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1315
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1316
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1317
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1318
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1319
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1320