ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1287
ปกิณณกธรรม ตอนที่ ๑๒๘๗
สนทนาธรรม ที่ โรงแรมเชียงใหม่ฮิลล์ จ.เชียงใหม่
วันที่ ๑๘ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๖๑
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นพระเถระเป็นพระอรหันต์หรือเปล่า ในครั้งนั้นที่จะกล่าวว่าเถรวาท
อ.อรรณพ เป็นพระอรหันต์ ก็ขออ้างอิงหลักฐาน อย่างการสังคายนาครั้งแรกๆ ครั้งที่๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ก็เป็นพระอรหันต์ทั้งสิ้น ในครั้งที่ ๑ ก็เป็นพระอรหันต์ผู้เลิศด้วยคุณวิเศษ หมายความว่าทั้งอิทธิปาฏิหารย์ ทั้งการดับกิเลสเป็นพระอรหันต์ เป็นพระอรหันต์ปฏิสัมภิทา คือผู้ที่ถึงพร้อมทุกอย่าง ๕๐๐ องค์ มีท่านพระมหากัสสปะเป็นประธานในการสังคายนา
ท่านอาจารย์ พระเถระทั้งหลาย เป็นผู้ที่มั่นคงในคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วก็เราเป็นใคร เราเข้าใจธรรมอย่างพระเถระเหล่านั้นหรือเปล่า แล้วเราคิดที่จะเปลี่ยนแปลงพระธรรมวินัย ใครเป็นผู้ทรงบัญญัติพระธรรมและวินัย ธรรมทุกคำที่ท่านเหล่านั้นได้ฟังทำให้ท่านเป็นเถระ มั่นคงว่าเป็นคำจริง คำอื่นไม่จริง และพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบัญญัติสิกขาบทด้วยพระมหากรุณา เพื่อที่จะให้ผู้ที่ขัดเกลากิเลสได้รู้ว่าการขัดเกลากิเลสในเพศบรรพชิตจะต้องต่าง ห่างไกลจากเพศคฤหัสถ์ ผู้ใดที่ทำได้เท่านั้นจึงสมควรบวช ไม่ใช่ว่าอยากบวชแต่ทำไม่ได้ เพราะฉะนั้นถ้าคิดว่าจะเพิกถอนคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงบัญญัติไว้ ก็เท่ากับเขาเพิกถอนความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเปล่า
อ.อรรณพ ก็ต้องเป็นอย่างนั้น การจะสวดถอนพระวินัยบางข้อ กับการที่จะเปลี่ยนจากพุทธศาสนาเถรวาทเป็นพุทธวาท
ท่านอาจารย์ ก็ต้องคิดก่อน คนที่จะคิดเปลี่ยนเป็นใคร แล้วผู้ที่ดำรงคำสอนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว สืบทอดมาตั้งแต่สมัยสังคายนา พระอรหันต์ทั้งนั้น แต่คนยุคนี้เป็นใคร แล้วพระอรหันต์ในครั้งนั้นไม่มีสักรูปเดียว ที่จะเปลี่ยนหรือจะถอนสิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ดีแล้ว ด้วยความเคารพอย่างยิ่ง เพราะรู้ว่าไม่มีใครสามารถที่จะมีปัญญาเสมอพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ สิ่งที่ทรงบัญญัติ ภิกษุที่เห็นประโยชน์ของการที่จะเป็นพระภิกษุเท่านั้นที่จะประพฤติปฏิบัติตามได้ เพราะเหตุว่าท่านประพฤติปฏิบัติตามแล้วท่านเป็นพระอรหันต์กัน ไม่เดือดร้อนอะไร ใช่ไหม ออกจากบ้าน ท่านยสะกุลบุตรสละบ้าน วงศาคณาญาติ แล้วก็ติดตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไป ทำประโยชน์อย่างยิ่ง คือได้กล่าวคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว ให้คนอื่นได้เข้าใจด้วย ไม่เช่นนั้นแล้วเพียงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์เดียว คนก็มีมากมาย แล้วพระองค์จะเสด็จไปโปรดทุกคนได้อย่างไร นอกจากว่าผู้ใดที่ฟังธรรมเข้าใจแล้ว ก็มีความเป็นมิตร มีความเป็นเพื่อน มีความหวังดี ให้สิ่งที่ดีที่สุดคือความจริง ความถูกต้อง เพื่อเขาจะได้ไม่เข้าใจผิด
อ.อรรณพ อาจารย์คำปั่น พระพุทธศาสนาในประเทศไทย เป็นพระพุทธศาสนาเถรวาท มีคำว่า เถรวาท กับ พุทธวาท คืออย่างไร
อ.คำปั่น คำว่า เถรวาทก่อน "เถรวาทะ" วาทะที่มั่นคง ซึ่งผู้ที่จะเป็นผู้ที่มีความมั่นคง ก็คือ ผู้ที่ได้ฟังได้ศึกษาพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง มีความเข้าใจอย่างถูกต้อง และสามารถดับกิเลสได้หมดสิ้น ถึงความเป็นเถระจริงๆ ก็คือเป็นธัมมเถระ เป็นผู้ที่มั่นคงในพระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นผู้ที่เกิดในพระธรรมวินัยของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างแท้จริง เพราะฉะนั้นคำของท่านเหล่านั้นจะไม่มีทางที่จะผิด หรือว่าคลาดเคลื่อนจากคำจริงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงเลย
เพราะฉะนั้นพระพุทธศาสนา คือคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเถรวาทะ เพราะเหตุว่าสืบทอดมาจากพระเถระทั้งหลาย ผู้ที่มีปัญญาผู้ที่ทรงคุณความดี ที่จะช่วยกันดำรงรักษาพระธรรมคำสอนให้เจริญมั่นคงต่อไป เป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่มีโอกาสได้ฟัง ได้ศึกษาอย่างแท้จริงเลย นี่คือความหมายของเถรวาทะ ถ้าซึ่งจะเป็นวาทะที่มั่นคงได้ ก็เพราะว่ามั่นคงในคำจริงแต่ละคำ ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง อันนี้คือความหมายของเถรวาทะ หรือว่า เถรวาท
อีกคำหนึ่ง พุทธวาทะหรือว่า พุทธวาท ถ้าได้ศึกษาในพระธรรมคำสอน จะไม่มีคำนี้เลยในพระธรรมคำสอน จะมีเฉพาะคำว่า พุทโธวาท (พุท-โธ-วา-ทะ) ก็คือพระโอวาทที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประทานแก่พุทธบริษัท ก็คือพระธรรมคำสอนที่พระองค์ทรงแสดงบ่อยๆ เนืองๆ เพื่อประโยชน์ทั้งผู้ที่เป็นคฤหัสถ์และบรรพชิต เช่น การเกิดเป็นมนุษย์เป็นของยาก การอุบัติขึ้นของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดขึ้นได้ยาก ชีวิตของสัตว์โลกเป็นอยู่ยาก การได้ฟังพระสัทธรรมเป็นของยาก ความถึงพร้อมด้วยศรัทธาเป็นของยาก การบวชเป็นของยาก เป็นต้น อันนี้คือตัวอย่างที่แสดงถึงพุทโธวาท
นอกจากนั้นก็จะมีคำว่า อนุสาสนี ก็คือ พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่พุทธบริษัท เป็นการแสดงบ่อยๆ เนืองๆ ซ้ำแล้วซ้ำอีกในคำจริง เพื่อประโยชน์สำหรับผู้ที่มีโอกาสได้ยินได้ฟัง และคำจริงทั้งหมดที่เกิดจากพระปัญญาตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพุทธพจน์ หรือว่า พุทธวจนะ เพราะว่าเป็นคำที่เกิดจากพระปัญญาตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เพราะฉะนั้นคำว่า พุทธวาทะ ไม่มีในคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าหากว่ามีความเข้าใจว่าจะต้องมีพุทธวาทะ ก็แสดงว่า เข้าใจว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เหมือนกับเจ้าลัทธิอื่นๆ ที่มีวาทะอย่างนั้น มีวาทะอย่างนี้ มีความเห็นอย่างนั้น มีความเห็นอย่างนี้ ซึ่งไม่ตรงเลย เพราะว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นใคร เป็นผู้ที่ทรงตรัสรู้ความจริง พระบารมีทั้งหมดที่พระองค์ได้สะสมอบรมมา เพื่อได้ตรัสรู้สิ่งที่มีจริง ที่ยากที่จะรู้ แล้วพระมหากรุณาที่พระองค์ได้ทรงมี ก็ทรงแสดงธรรมเกื้อกูลแก่สัตว์โลก ทรงแสดงคำจริงแต่ละคำ แต่ละคำ เพื่อประโยชน์แก่ผู้ฟังทั้งหมด เป็นพุทธวจนะ ไม่ใช่พุทธวาทะ ไม่ใช่พุทธวาท คำจริงทุกคำที่แสดงให้เข้าใจถึงความเป็นจริงของธรรม ไม่ว่าจะเป็นใครกล่าว ไม่ว่าจะเป็นพระสาวกกล่าว หรือว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเอง ทั้งหมดคือ พุทธพจน์ หรือว่า พุทธวจนะ
ท่านอาจารย์ ก็เป็นเรื่องที่ละเอียด ที่ต้องคิดแล้วคิดอีก ไตร่ตรองแล้วไตร่ตรองอีก เพราะเหตุว่าเราเป็นผู้ที่ไม่ได้มีเหตุผลครบถ้วนถ้าเราไม่ได้ฟังคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นจริงๆ ต้องคิดละเอียด ทำไมเรานับถือพระพุทธศาสนา เพราะว่าศาสนาอื่นไม่ได้สอนให้เข้าใจความจริง แล้วทุกคนก็รู้ว่าสิ่งที่ไม่ดีมีมาก และสิ่งที่ไม่ดีจะค่อยๆ ลดน้อยลงไปได้อย่างไร ตราบใดที่ยังเป็นผู้ไม่รู้ความจริงว่า อะไรถูก อะไรผิด ก็จะต้องประพฤติไปตามความไม่รู้ คือเข้าใจว่าสิ่งนั้นสมควร
เพราะฉะนั้นลองพิจารณาไตร่ตรอง ภิกษุคือผู้ที่สละชีวิตคฤหัสถ์สู่เพศบรรพชิต เพื่อศึกษาพระธรรม เพื่อธรรมที่เข้าใจนั่นแหละจะขัดเกลากิเลส เพราะฉะนั้นภิกษุจะมีเงินมีทอง เพื่ออะไร การที่คฤหัสถ์ฟังธรรม อบรมเจริญปัญญา ขัดเกลากิเลสในเพศคฤหัสถ์ได้เพราะรู้ความจริง กิเลสเป็นความจริง ไม่ใช่เรา เป็นธรรมเกิดขึ้นและดับไป ไม่ว่าจะสะสมต่างคนต่างมีมากเท่าไหร่ ปัญญาเท่านั้นที่สามารถที่จะรู้ความจริง เข้าใจจนกระทั่งรู้ได้ว่า ไม่ใช่เราเลย เมื่อไหร่ เป็นพระโสดาบัน แต่ไม่ใช่เพียงแต่การไม่รู้อะไร แล้วไปนั่งสำนักปฏิบัติ นั่นก็ข้อหนึ่ง
แล้วอีกอย่างหนึ่ง พระพุทธศาสนาขัดเกลากิเลสได้ เพราะว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริง และรู้ว่าอะไรเป็นกิเลสที่ละเอียด ที่สามารถที่จะนำมาซึ่งกิเลสใหญ่ เพราะฉะนั้นผู้ที่จะละกิเลสใช่ไหมจึงบวช ผู้ที่จะขัดเกลากิเลส ความไม่รู้ก็ฟังธรรม เป็นคฤหัสถ์ก็ได้ แต่ถ้าสละเพศคฤหัสถ์สู่เพศบรรพชิต หมายความว่าผู้นั้น จะสละกิเลสในเพศคฤหัสถ์ เพศคฤหัสถ์มีเงินมีทอง มีทรัพย์สิน นี่คือเพศคฤหัสถ์ สละเมื่อไหร่ บวชเมื่อไหร่ นั่นเป็นเพศบรรพชิต แต่ต้องสละ เพราะฉะนั้นสละทรัพย์ยังง่ายกว่าสละกิเลสหรือเปล่า
เพราะฉะนั้นก็จะเห็นได้ ว่าต้องเห็นโทษเห็นภัยของสังสารวัฎฏ์ที่จะดับกิเลสในเพศคฤหัสถ์ เมื่อเพศคฤหัสถ์มีเงินมีทอง อบรมเจริญปัญญา ขัดเกลากิเลสในเพศคฤหัสถ์ รู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้ ผู้ที่ไม่บวชก็สามารถที่จะเป็นพระอริยบุคคลได้ แต่ถ้าผู้บวช ไม่ใช่เพียงแค่เป็นพระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี ถึงการดับกิเลสเป็นพระอรหันต์ เพราะฉะนั้นผู้ที่คิดจะสละกิเลสแต่รับเงิน สละหรือเปล่า ต้องไตร่ตรอง ต้องคิด สละหรือเปล่า สละคือไม่รับ ตั้งแต่ก่อนบวช สละแล้วเพื่อศึกษาธรรมเพื่อขัดเกลากิเลส แต่พอจะรับ กิเลสหรือเปล่า ขัดเกลาหรือเปล่า เข้าใจธรรมหรือเปล่า ถ้าเข้าใจธรรมจะรับหรือ เพราะเหตุว่าศึกษาธรรมและก็บวชเพื่อขัดเกลากิเลส เพราะฉะนั้นการไม่รับเงินและทอง นั่นแหละขัดเกลากิเลส
อ.อรรณพ คำในพระไตรปิฏกมากมาย ท่านอาจารย์บอกทีละคำ ก็คำว่า ธรรม ซึ่งเมื่อเช้าก็สนทนากันไปแล้ว
ท่านอาจารย์ แล้วถ้าไม่เข้าใจจริงๆ ก็จะคิดว่าขัดแย้งกัน แต่จากการที่ทรงตรัสรู้ และก็ทรงแสดงความจริง ของสภาพธรรมถึงที่สุด ไม่มีการขัดแย้งกันเลย ไม่ว่าจะกล่าวโดยนัยใดทั้งสิ้น โดยอริยสัจจะ โดยอายตนะ โดยธาตุ เราคุ้นหู แต่เราไม่รู้เลยว่าอะไร จนกว่าจะได้เข้าใจว่าธรรมคืออะไรก่อน
เพราะฉะนั้นก็เป็นสิ่งซึ่งเดี๋ยวนี้เลย ใครเคยได้ยินคำว่า อายตนะ พูดชื่อได้ แต่ว่ารู้ไหมว่าเดี๋ยวนี้เป็นอายตนะ นี่คือความต่างกัน ได้ยินแต่ชื่อ จำแต่ชื่อ แต่ไม่ได้เข้าใจเลย ว่าอยู่ไหน ที่ไหนและเมื่อไหร่ ตา มี สิ่งที่กระทบตา มี เห็น มี ต้องในขณะนั้นใช่ไหม ถ้าสิ่งนั้นไม่กระทบตา หรือไม่มีตา เห็นไหม ก็ไม่เห็น ถึงมีสิ่งที่กระทบตา เดี๋ยวนี้ แล้วก็มีตา แต่ถ้าธาตุรู้คือ ไม่ใช่ตาและไม่ใช่สิ่งที่กำลังปรากฏ เป็นธาตุที่เกิดขึ้น เห็น แค่นี้ อายตนะแล้ว เพราะเหตุว่าอายตนะหมายความถึง สิ่งที่มีในขณะนี้ เกิดได้ เพราะมีการประชุมรวมกัน อาศัยกันและกันเกิดขึ้น เราจะไม่รู้เลยว่าทำไมบางคนมีตา แล้วก็บางคนไม่มีตา แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความจริง ของทุกอย่างและทุกคำด้วย
เพราะฉะนั้นไม่ใช่ว่าเราได้ยินคำว่าอายตนะ รูปายตนะ สิ่งที่กำลังปรากฏนี่ไง เป็นสิ่งที่จิตกำลังรู้ และจิตก็เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้ง เป็นมนายตนะ ขณะนั้นก็จะต้องมีเจตสิกเกิดร่วมด้วย เป็นธัมมายตนะ ได้ยินแต่ชื่อ หารู้ไม่ว่า เดี๋ยวนี้คืออายตนะ เพราะฉะนั้นไม่ใช่แสดงธรรมให้ฟังชื่อ แต่ว่าให้รู้ความจริงว่า เดี๋ยวนี้ไม่ใช่เรา เพราะเหตุนี้ เพราะเหตุนี้ เพราะฉะนั้นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จากการที่เกิดมาแล้วก็ไม่รู้สักอย่างเดียว ก็เริ่มเข้าใจถูกต้องในสิ่งที่มีจริงๆ ในชีวิตประจำวัน
อ.อรรณพ ถ้าเป็นผู้ที่ได้ประโยชน์จากพระธรรมวินัย ที่จะเข้าใจความจริงมากขึ้น ก็จะเห็นคุณค่า ประโยชน์ในแต่ละคำ
ท่านอาจารย์ แล้วจะเปลี่ยนคำไหน จะแก้คำไหน คำไหนผิด เห็นไหม ก็ต้องฟังแล้วก็ไตร่ตรองว่าสิ่งที่มีจริงทั้งหมด ซึ่งเราไม่เคยสนใจ ไม่เคยรู้ ไม่รู้ความจริงว่าปรากฏเพียงชั่วคราว แล้วก็หมด แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย แต่ความจริงเป็นอย่างนี้ ซึ่งพิสูจน์ได้ด้วยปัญญาที่ค่อยๆ เข้าใจขึ้น
สนทนาธรรมที่ครัวอิ่มสุข จังหวัดฉะเชิงเทรา วันที่ ๒๕ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๑
อ.วิชัย กราบอาจารย์ ถ้ากล่าวถึงพุทธบริษัท หมายถึงหมู่ชนที่มีความเคารพเลื่อมใสในพระรัตนตรัย แต่ก็มีคำกล่าวที่ว่า พระพุทธศาสนาที่ชาวพุทธไม่รู้จัก ดังนั้นการที่จะเป็นพุทธบริษัทคืออย่างไร
ท่านอาจารย์ ต้องเข้าใจทีละคำ และก็ต้องพิจารณา จนกระทั่งเป็นความเข้าใจของตัวเอง ประโยชน์สูงสุดก็คือว่า เราเกิดมา แล้วเราก็ตายไป จากเกิดมาก็มีการเห็น มีการได้ยิน มีความสนุกสนาน มีความทุกข์ มีเรื่องราวต่างๆ มากมายทุกวัน ทุกขณะ พอถึงเวลาก็จากไป ไม่เหลืออะไรเลยสักอย่างเดียว ถ้าสั้นกว่านั้นอีกก็คือว่า ตื่นขึ้นมีทุกสิ่งทุกอย่างหมด สนุกสนาน อาหารเช้า กลางวัน เย็น มีมิตรสหาย พอถึงตอนกลางคืนก็หลับ หายไปไหนหมด ทั้งวัน ไม่เหลืออะไรเลย และก็เป็นอย่างนี้ ตื่น แล้วก็หลับ แล้วก็ตื่นอีก แล้วก็หลับอีก แล้วก็ตื่นอีก แล้วก็หลับอีก ด้วยความไม่รู้ความจริง เพราะฉะนั้นการที่ได้ยินคำแต่ละคำ ประโยชน์สูงสุดก็คือว่าให้พิจารณาไตร่ตรอง และก็เป็นความเข้าใจ ซึ่งก่อนที่จะได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีแต่คำที่เราไม่เข้าใจทั้งนั้นเลย พูดทั้งวัน แต่ไม่รู้เลยว่าคำนั้นคืออะไร พูดคำที่ไม่รู้จัก ตั้งแต่เกิดจนตาย ถ้ายังไม่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็บอกว่าเราพูดจริง เรารู้จักทุกคำที่เราพูด แต่พอฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว คิด แล้วไตร่ตรองว่า เคยได้ยินคำนี้มาก่อนหรือเปล่า ทีละคำ เช่นคำว่าธรรม บางคนก็บอกว่าคุ้นหู ทำไมจะไม่ได้ยิน เช่นคำว่ายุติธรรม อยุติธรรม เป็นต้น แต่ถามว่าธรรมคืออะไร ตั้งต้นด้วยคำว่าคืออะไร จะตอบได้ไหม ชัดเจนไหม ถูกต้องไหม มีจริงหรือเปล่า
เพราะฉะนั้น "ธรรม" จริงๆ ไม่ใช่ภาษาไทย มาจากภาษามคธี ซึ่งดำรงพระศาสนาไว้ จึงใช้คำว่าภาษาบาลี ปาละ ดำรงสืบต่อให้ยั่งยืนสืบต่อมา เพราะฉะนั้นภาษาไทยเราก็ไม่มีคำว่าธรรมถ้าเราไม่ได้พูดภาษาบาลี แต่คนไทยเอาคำภาษาบาลีมามาก แต่ว่าไม่ได้เอาความเข้าใจที่ถูกต้องมาด้วย เพราะฉะนั้นก็พูดคำที่ไม่รู้จัก ไม่ได้เข้าใจจริงๆ เช่น ธรรม ในภาษาบาลี พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ธรรม แล้วทรงตรัสรู้อะไร เห็นไหม ถ้าเราบอกว่ารู้แล้วว่าธรรมคืออะไร ก็ตอบเลย ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ธรรม พระองค์ตรัสรู้อะไร แต่ถ้ามีความเข้าใจตั้งแต่ต้นทุกคำ ชัดเจนว่าธรรม ในภาษามคธีซึ่งเป็นภาษาบาลี ในภาษาไทยก็คือ สิ่งที่มีจริง ทุกอย่างคำนี้จะไม่เปลี่ยนเลย คำใดที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสแล้ว กล่าวถึงสิ่งที่มีจริง และสิ่งนั้นก็กำลังมีจริงๆ ไม่เปลี่ยน ไม่ว่าที่ไหนเมื่อไหร่ก็ตาม เพราะฉะนั้นพอฟังแล้ว ทุกคำ ทุกสิ่งที่มีจริงเป็นธรรม แต่สิ่งที่มีจริงหลากหลายมาก เป็นแต่ละหนึ่งๆ เห็นก็เป็นเห็น ได้ยินก็เป็นได้ยิน คิดก็เป็นคิด เห็นเป็นคิดได้ไหม ไม่ได้ ได้ยินเป็นเห็นได้ไหม ไม่ได้ เพราะฉะนั้นแต่ละหนึ่ง มีจริงหรือเปล่า มีจริง แต่ก่อนนี้ พูดว่าเห็น รู้จักเห็นไหม ไม่รู้จักใช่ไหม เพราะคิดว่าเราเห็น เวลาได้ยิน ใครจะไม่รู้จักว่าได้ยิน แต่เป็นเราได้ยิน แต่หารู้ไม่ว่าแท้ที่จริงแล้ว เห็นมีจริง เป็นธรรมที่เกิดขึ้นเห็นแล้วก็ดับไป ได้ยิน ก่อนได้ยิน ไม่มีได้ยิน เดี๋ยวนี้กำลังได้ยิน ได้ยินอะไร ได้ยินเสียง เสียงก็ดับ ได้ยินก็ดับ เพราะฉะนั้น ทุกขณะไม่ใช่มีแต่เห็นดับ ได้ยินดับ สิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่มีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นมีความดับไปเป็นธรรมดา นี่คือการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งขณะนี้ไม่ปรากฏการเกิดดับของอะไรเลย ปรากฏแต่ว่ามี โดยที่ว่าไม่รู้เลยว่าไม่ใช่เรา
เพราะฉะนั้นคำว่า อนัตตา ก็เป็นคำที่บางคนอาจจะไม่เคยได้ยินเลย เพราะว่าไม่ใช่ภาษาไทย มาจากภาษาบาลี อัตตา หนึ่งคำ หมายความถึงสิ่งหนึ่งสิ่งใด อนัตตา หมายความว่า ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด นี้คือพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เป็นจริงทุกกาลสมัย ซึ่งถ้าไม่เคยฟังมาก่อนเลย เราไปฟังเรื่องอื่น แต่เข้าใจพระพุทธศาสนาหรือเปล่า ถ้าเราไม่ได้เข้าใจ ๒ คำตั้งแต่ต้น ธรรม อนัตตา ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา และก็ฟังแล้วจะเข้าใจขึ้น แล้วก็พิสูจน์ด้วยตัวเองว่าจริงหรือเปล่า ถ้าเห็นไม่เกิดขึ้น จะมีเห็นไหม ใครทำเห็นให้เกิดขึ้นได้บ้าง นักวิทยาศาสตร์ เทพเทวดาทั้งหลายทำให้เห็นเกิดขึ้นได้ไหม ไม่ได้เลยทั้งสิ้น เห็นเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ถ้าไม่มีตา ไม่มีสิ่งที่กระทบตา ขณะนี้ก็ไม่มีเห็น เพราะฉะนั้น ตาไม่เห็น สิ่งที่กระทบตาที่กำลังปรากฏก็ไม่เห็น แต่เห็นเกิดขึ้นเมื่อ ๒ อย่างกระทบกัน เป็นปัจจัยที่ทำให้เห็นเกิดขึ้น นอกจากนี้ใครจะทำให้เห็นเกิดได้ไหม ไม่ได้ เพราะฉะนั้นธรรมเป็นธรรม มีปัจจัยจึงเกิดขึ้น เป็นไปตามปัจจัย แล้วก็ดับไป ไม่กลับมาอีกเลยในสังสารวัฎฏ์ สิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่เกิด ดับ ไม่กลับมาอีก แต่มีสิ่งอื่นเกิดสืบต่อ ทำให้ปรากฏเหมือนกับว่าไม่มีอะไรดับไปเลย สืบต่อแน่นสนิทรวดเร็ว เดี๋ยวนี้เอง
นี่คือการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นนี่เป็นพุทธศาสนาที่ชาวพุทธไม่รู้จักหรือเปล่า เพราะเหตุว่ารู้จักแต่คำ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ก็พูดกันได้ ก็คิดว่าอนิจจังก็คือว่าชีวิตของคนเรา เดี๋ยวสุข เดี๋ยวทุกข์ เกิดและก็แก่ แล้วก็เจ็บ แล้วก็ตาย เข้าใจแค่นี้เอง นี่คือคนธรรมดา ไม่ต้องเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็รู้ได้ แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ความจริง ของทุกสิ่งทุกอย่าง ทีละหนึ่ง อย่างละเอียดถึงที่สุด โดยประการทั้งปวง จึงทรงแสดงธรรม ธรรมเป็นธรรม ธรรมไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา ไม่ใช่โต๊ะ ไม่ใช่เก้าอี้ แต่ธรรมมีลักษณะเฉพาะ ที่เป็นธรรมนั้นๆ ซึ่งเปลี่ยนแปลงไม่ได้เลย เปลี่ยนแข็งได้ไหม เดี๋ยวนี้มีแข็งไหม แต่ก่อนนี้ไม่รู้เลยคิดว่าแข็งเป็นโต๊ะ แต่พอฟังแล้วแข็งมีจริง แข็งเป็นธรรม ซึ่งเปลี่ยนแปลงไม่ได้เลย นี่คือการตรัสรู้ถึงที่สุดว่า ไม่ว่าจะเป็นดอกไม้ เป็นโต๊ะ เป็นเก้าอี้ เป็นอาหาร สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่กระทบกาย สิ่งที่ปรากฏจริงๆ ก็คือ เย็นบ้าง ร้อนบ้าง อ่อนบ้าง แข็งบ้าง ตึงบ้าง ไหวบ้าง แต่ทำไมปรากฏเป็นโต๊ะ เก้าอี้ เพราะว่าการเกิดดับสืบต่อ เร็วสุดที่จะประมาณได้ ก็มีการลวง การเกิดดับสืบต่อทำให้ปรากฏเป็นนิมิต หมายความถึงรูปร่างสัณฐานต่างๆ ตัวอย่างธรรมดา จุดก้านธูป ๑ ดอก แกว่งให้เป็นวงกลม เป็นแสงไฟที่เป็นวงกลม ใช่ไหม ถ้าเราไม่รู้เราก็คิดว่า หลายดอก หลายจุด หลายไฟ แต่ความจริง ๑ เท่านั้น แต่ว่าแกว่งให้เร็วสุดที่จะประมาณได้ ก็ปรากฏเป็นรูปตามที่แกว่ง เหมือนเดี๋ยวนี้เลย เกิดดับสืบต่อจนปรากฏเป็นนิมิต เป็นสัณฐาน เป็นรูปร่างต่างๆ ยิ่งกว่ามายากล เพราะเหตุว่ามายากลก็ทำได้นิดๆ หน่อยๆ แต่สภาพรู้หรือธาตุรู้ซึ่งกำลังมีในขณะนี้ เกิดดับสืบต่อ ลวงจนปรากฏว่า เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดซึ่งยึดถือมั่นว่าเป็นสิ่งนั้น เพราะฉะนั้นสิ่งหนึ่งสิ่งใดคือ อัตตา แต่ถ้าแยกย่อยสิ่งซึ่งรวมกันเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดออก แต่ละ ๑ จะเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดไม่ได้
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1261
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1262
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1263
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1264
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1265
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1266
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1267
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1268
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1269
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1270
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1271
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1272
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1273
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1274
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1275
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1276
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1277
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1278
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1279
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1280
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1281
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1282
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1283
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1284
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1285
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1286
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1287
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1288
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1289
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1290
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1291
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1292
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1293
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1294
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1295
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1296
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1297
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1298
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1299
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1300
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1301
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1302
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1303
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1304
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1305
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1306
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1307
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1308
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1309
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1310
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1311
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1312
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1313
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1314
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1315
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1316
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1317
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1318
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1319
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1320
