ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1300
ปกิณณกธรรม ตอนที่ ๑๓๐๐
สนทนาธรรม ที่ โรงละครวังหน้า
วันที่ ๒ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๖๑
อ.คำปั่น ความสำคัญของการศึกษาพระพุทธศาสนา หรือว่าศึกษาพระธรรมคำสอนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงว่าเป็นประโยชน์อย่างไร และประเด็นสนทนาที่กล่าวถึงก็คือวิกฤติพระพุทธศาสนา ความที่พระพุทธศาสนาเกิดวิกฤติจะนำความเสียหาย จะนำความเสื่อมเสียมาสู่ประเทศชาติอย่างไร
ท่านอาจารย์ ทุกคนก็คงจะเห็นวิกฤติ คงไม่มีใครไม่เห็น แต่ว่าไม่รู้ว่าวิกฤติเกิดจากอะไร เพราะเหตุว่ามีการทุจริตทุกวงการ ก็แสดงถึงความวิกฤติอย่างยิ่งของประเทศชาติ ประเทศชาติถ้าไม่มีบุคคลในประเทศนั้นก็ไม่มีชาติ แต่ว่าประเทศชาติที่วิกฤติทั้งหมด ไม่ว่าเฉพาะประเทศหนึ่งประเทศใด ก็มาจากการไม่รู้ ถ้ามีความเข้าใจที่ถูกต้อง ความไม่รู้ไม่มีหรือน้อยลง ประเทศชาติและทุกอย่างที่วิกฤติก็จะลดน้อยลงด้วย ด้วยเหตุนี้เราเห็นความวิกฤติมากมาย ทุกคนก็คิดว่าจะแก้ไขกันอย่างไร คงไม่มีใครปล่อยวางเฉย เพราะจะยิ่งวิกฤติยิ่งขึ้นโดยไม่รู้ แต่ว่าถ้าไม่มีการเข้าใจต้นเหตุของความวิกฤติ ก็ไม่สามารถที่จะแก้อะไรได้เลย แก้วิกฤติด้วยความไม่รู้ก็ยิ่งวิกฤติ เพราะฉะนั้นทุกคนก็มีโอกาสได้ยินได้ฟังคำหนึ่ง คือพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่แก้วิกฤติเฉพาะคนหนึ่งคนใด แต่ทั้งโลก เทวโลก สวรรค์โลก พรหมโลกทั้งหมดที่มีความไม่รู้และมีปัญหา เพราะเหตุว่าวิกฤติคือปัญหาซึ่งไม่รู้ว่าเกิดจากอะไร แต่ว่าปัญหาแต่ละหนึ่งคนแต่ละหนึ่งคนรวมกัน ก็เป็นเหตุให้วิกฤติต่อไปเรื่อยๆ ด้วยความไม่รู้
ด้วยเหตุนี้ที่สำคัญที่สุดก็คือว่าได้ยินคำว่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ว่าเพียงแค่ได้ยิน แต่ทุกคำมีความหมาย พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พุทธะคือผู้รู้ ผู้ตรัสรู้ เพราะเหตุว่ารู้ธรรมดาธรรมดาของชาวโลก ไม่ว่าจะเก่งมีความสามารถสักเท่าไหร่ก็ตาม ความรู้นั้นก็ไม่ได้เป็นประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่ ที่สามารถที่จะแก้ปัญหาได้จริงๆ โลกจึงได้มีปัญหาอยู่ตลอดไป เพราะฉะนั้นแต่ละหนึ่งคนมีปัญหาแน่นอน และหลายๆ คนก็รวมกันเป็นประเทศชาติ เพราะฉะนั้นจะแก้ประเทศชาติทั้งประเทศ โดยไม่มีคนแต่ละหนึ่งคนที่รู้เหตุของปัญหาก็เป็นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้นทุกคนก็ควรที่จะได้ทราบว่า ทุกคนมีปัญหามากน้อยต่างกัน เพราะความไม่รู้ แต่พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เนื่องจากที่พระองค์ได้ทรงตรัสรู้ความจริง ถึงที่สุดโดยประการทั้งปวง แต่ละคำจะค่อยๆ นำให้แก้ปัญหาที่ตัวของแต่ละคน นั่นก็คือแก้ปัญหาของประเทศชาติ คงจะไม่มีใครคิดว่ามีใครที่ประเสริฐกว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ในพระปัญญาคุณ ในพระบริสุทธิคุณ ในพระมหากรุณาคุณ แล้วรู้จักพระองค์ที่ทรงปัญญาเหนือบุคคลใดทั้งสิ้น ทรงบริสุทธิ์อย่างยิ่ง เป็นพระอรหันต์ผู้ดับกิเลส และเหนือบุคคลใดคือมีพระมหากรุณาแสดงให้สัตว์โลกได้ฟังคำ ที่พระองค์ได้ตรัสรู้แล้ว จนกระทั่งคนนั้นเห็นพระคุณสูงสุด และนับถือพระองค์เป็นที่พึ่ง
เพราะฉะนั้นการพึ่งพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่พึ่งโดยประการอื่นเลย แต่พึ่งในคำสอน ซึ่งทำให้บุคคลนั้นเกิดความเข้าใจ ซึ่งในสังสารวัฏฏ์ไม่ได้เคยเข้าใจมาก่อนเลย และคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะนำให้มีความเจริญในทางปัญญายิ่งขึ้น จนกระทั่งสามารถที่จะดับกิเลส ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดปัญหาได้ เพราะฉะนั้นยาก ไม่ใช่ง่ายเลย ต่อการที่จะแม้มีศรัทธาที่จะฟัง เพราะว่าถ้าถามหลายๆ คนสนใจอย่างอื่น แต่ว่าความสนใจคำสอนของ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าน้อยมาก แม้แต่เพียงจะฟังก็ยังยาก เพราะเหตุว่าพอถึงวันสำคัญ ทุกคนก็คิดถึงเวียนเทียน เป็นต้น แล้วเข้าใจคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเปล่า เพราะฉะนั้นต้องเป็นผู้ที่ตรง จึงจะได้สาระเป็นประโยชน์อย่างยิ่งจากพระธรรม แต่ว่าพระธรรมลึกซึ้งอย่างยิ่ง ประมาทไม่ได้เลย ใครก็ตามที่ฟังธรรมแล้วคิดเองผิดทุกคน แม้แต่ข้อความในพระไตรปิฎกที่ว่า มีผู้ที่เป็นเถระ มีชื่อเสียงมีบริวารมาก มีผู้เคารพนับถือแต่เห็นผิด ก็ไม่ได้นำประโยชน์มาให้แก่ใครเลย แสดงให้เห็นว่า แม้ว่าจะมีการได้ยินได้ฟังธรรม ไม่พอ ต้องไตร่ตรองในเหตุผล เพราะเหตุว่าจะได้ยินได้ฟังว่า ประเทศไทยมีพระพุทธศาสนารุ่งเรืองมาก ใครๆ ก็มาศึกษาที่เมืองไทย เพื่อที่จะศึกษาธรรมหรือว่าปฏิบัติธรรม แต่ว่าต้องพิจารณาว่าถ้าประเทศไทยคำสอน ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารุ่งเรือง จะมีวิกฤติของประเทศชาติอย่างนี้ได้ไหม
เพราะฉะนั้นก็เป็นสิ่งที่ทุกคน ต้องควรที่จะพิจารณาไตร่ตรอง เพราะว่าความเข้าใจนั้น นอกจากจะเป็นประโยชน์แก่ตนเอง เป็นประโยชน์แก่คนอื่น เป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติด้วย แต่ว่าต้องเป็นผู้ที่เคารพที่จะไม่คิดเอง ไม่ใช่ว่าเพียงได้ยินคำว่าปฏิบัติ คิดเองเลย ทำ มีสำนักปฏิบัติ แต่ถามว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่าอย่างไร ปริยัติ ปฏิปัตติ ปฏิเวธ แล้วหยิบเพียงคำเดียวมาพูดคือปฏิบัติ ซึ่งปฏิปัตติในภาษาบาลี ภาษามคธี ไม่ได้หมายความว่าทำ อย่างที่สำนักปฏิบัติทำ ไม่ได้มีความเข้าใจอะไรเลย ถ้าถามว่าธรรมคืออะไร ผู้ที่ไปสำนักปฏิบัติตอบได้ไหม แต่ว่าไปปฏิบัติ นี่ก็แสดงให้เห็นว่า ไม่ได้มีการเข้าใจธรรมตามที่ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดง จึงเกิดวิกฤติทั้งพระพุทธศาสนาและประเทศชาติ สำหรับการสนทนาธรรมเป็นมงคล เพราะเหตุว่าต่างคนต่างคิด ต่างคนต่างเชื่อ ต่างคนต่างเห็น ถ้าได้มีการสนทนาและเป็นผู้ตรงต่อความจริงก็จะได้สาระ เพราะว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมไว้ทั้งหมด โดยประการทั้งปวงถึงที่สุด
อ.วิชัย เพราะฉะนั้นผู้ที่จะดำรงรักษาพระศาสนา ก็คือผู้ที่มีความรู้ความเข้าใจในพระศาสนา ซึ่งความวิกฤติของพระพุทธศาสนาไม่ใช่มีในบัดนี้เท่านั้น แม้ในกาลก่อนผู้ที่ไม่มีความเคารพในพระธรรมวินัย ไม่มีความรู้ ก็มีการแสดงในสิ่งที่พระองค์มิได้แสดง มีการบัญญัติในสิ่งที่พระองค์มิได้บัญญัติ มีการเพิกถอนในสิ่งที่พระองค์บัญญัติแล้ว ดังนั้นทั้งหมดจะเห็นถึงความไม่รู้และก็ไม่เข้าใจ แล้วก็ไม่เคารพในความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ท่านอาจารย์กล่าวถึง ความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นสิ่งที่ยากที่จะเห็นคุณของพระองค์ จึงมีการที่จะคิดในการกระทำสิ่งต่างๆ ซึ่งไม่ตรงกับคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อย่างเช่น เรื่องของการปฏิบัติธรรม ซึ่งจริงๆ แล้ว ถ้าฟังเผินๆ ก็ดูเหมือนกับเป็นสิ่งที่ดีงาม แต่ที่ท่านอาจารย์กล่าวว่าการที่ชักชวนกันไปปฏิบัติ หรือไปปฏิบัติ ๕ วัน ๗ วันบ้าง นั่นมิใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะมีเหตุผลที่จะให้เกิดความเข้าใจอย่างไร
ท่านอาจารย์ ได้ยินคำว่าธรรม รู้จักธรรมหรือเปล่า
อ.วิชัย ถ้าเพียงแต่ชักชวนกันไปปฏิบัติ ก็ยังไม่มีความรู้ความเข้าใจว่าธรรมคืออะไร
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นไปปฏิบัติทำไม เพื่ออะไร ในเมื่อไม่รู้จักธรรม เห็นไหม แม้การตั้งต้นดูเหมือนธรรมดา แล้วทุกคนก็สนใจ ทุกคนก็พอใจ แต่ว่าเข้าใจหรือเปล่าว่าธรรมคืออะไร ถ้าไม่เข้าใจก็พอใจในความไม่รู้ และก็ไม่รู้ว่าปฏิบัติไปทำไม และปฏิบัติแล้วรู้อะไร ไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแน่นอน เพราะฉะนั้นพระธรรมที่พระองค์ได้ตรัสไว้ดีแล้ว ก็จะทำให้มีความเข้าใจที่ถูกต้องในสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ เพราะฉะนั้นหลายคนอาจจะไม่คิดเลยว่าธรรมคือเดี๋ยวนี้เอง ทุกอย่างที่มีจริงเป็นธรรม เข้าใจว่าธรรมต้องเป็นปฏิจจสมุปบาท ต้องเป็นอริยสัจธรรม ๔ ต้องเป็นอินทรีย์ ต้องเป็นขันธ์ ๕ แต่ว่าเป็นชื่อหมด รู้ไหมว่าคืออะไร เพราะฉะนั้นธรรมคือสิ่งที่มีจริง มีจริงไม่ใช่แต่เฉพาะในครั้งพุทธกาล ในอดีตกาลนานแสนนานเมื่อครั้งเป็นพระโพธิสัตว์ และก่อนนั้นอีกจนกระทั่งถึงการตรัสรู้ แม้ปรินิพพานไปแล้ว ธรรมก็ยังมีเป็นธรรม เพราะเหตุว่าธรรมคือสิ่งที่มีจริง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้สิ่งที่มีจริงตามความเป็นจริง สัมมา สัมพุทธะไม่ใช่รู้อย่างอื่น แต่รู้ความจริงของสิ่งที่มีจริง เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้เป็นสิ่งที่มีจริง ถ้าไม่ได้ฟังคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้เลยว่าขณะนี้มีจริง ถ้าไม่เข้าใจอย่างนี้ แล้วปฏิบัติธรรม วิกฤติไหม
อ.วิชัย ก็เป็นความวิกฤติ เพราะว่าเริ่มต้นด้วยความไม่เข้าใจ ดังนั้นความละเอียดของการที่กล่าวว่าเป็นปฏิบัติธรรม ก็ไม่ใช่เพียงฟังแล้วก็เข้าใจตามๆ กันมา ก็จะมีความลึกซึ้งของคำว่าปฏิบัติธรรม ซึ่งถ้าย้อนไปก็จะมีคำว่าปริยัติก่อนปฏิปัตติ แสดงว่าความรอบรู้คือปริยัติที่จะนำไปสู่ หรือว่าเป็นเหตุที่จะให้ปฏิปัตติธรรมเกิดขึ้นอย่างไร
ท่านอาจารย์ เรียนหนังสือต้องเรียนตั้งแต่คำแรกใช่ไหม
อ.วิชัย ก็ต้องค่อยๆ ศึกษาในแต่ละคำ
ท่านอาจารย์ ถ้าที่นี่ไม่มีใครรู้จัก กอ ไก่ เลย จะสามารถไปเรียนวิชาการอะไรได้ไหม ก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่าง ต้องรู้ว่าไม่รู้ จนกว่าจะได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นความไม่รู้ แม้ความไม่รู้ ยังไม่รู้เลยว่าไม่รู้อะไร จริงๆ แล้วก็คือว่า ต้องเข้าใจให้ถูกต้องว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้สิ่งที่มีจริงทุกกาลสมัย แม้แต่ขณะนี้สิ่งใดก็ตามที่มีจริง พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความจริงของสิ่งนั้นโดยละเอียดอย่างยิ่ง เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรม ไม่ประมาทคืออะไร ศึกษาทีละคำ แม้แต่คำว่าธรรม จนกว่าจะรอบรู้ในคำนั้น ซึ่งใช้คำว่าปริยัติ คุ้นหูทุกคำ ตามวัดก็มีตึกอาคารปริยัติ แต่ว่าคืออะไร ไม่มีใครคิดที่จะสนใจที่จะเข้าใจความจริงที่ละเอียดอย่างยิ่ง ผ่านไปก็เรียกชื่อ
เพราะฉะนั้นเราคุ้นหูกับคำต่างๆ มากมาย แต่ถ้าถามว่าคืออะไร ก็ตอบไม่ได้ ถ้าไม่ได้ศึกษาให้เข้าใจจริงๆ แต่ละคำ เพราะฉะนั้นคำว่าธรรม คือสิ่งที่มีจริงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เมื่อทรงแสดงความจริงของสิ่งที่มีจริง คำของพระองค์ทั้งหมดเป็นพระธรรมนำไปสู่การรู้ความจริงตามที่พระองค์ได้ทรงตรัสรู้ และทรงแสดงให้คนอื่นสามารถเข้าใจและรู้ตามได้ เพราะฉะนั้นก็ต้องเป็นผู้ที่ตรง เพียงคำว่าธรรมคำเดียว ยังไม่ต้องไปถึงปฏิปัตติธรรม ที่เราบอกว่าปฏิบัติธรรม แต่ว่าปฏิบัติคืออะไร ถ้าไม่รู้จักธรรม จะรู้จักปฏิบัติไหม ก็ไม่รู้จัก เพราะฉะนั้นแต่ละคำมีความสำคัญอย่างยิ่งว่า ต้องมั่นคงในแต่ละคำ เพราะคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเปลี่ยนไม่ได้เลย แค่ธรรมคำเดียวใครรอบรู้บ้าง หมายความว่าเข้าใจคำว่าธรรมคือสิ่งที่มีจริง โดยเดี๋ยวนี้อะไรมีจริง เห็นไหม ยังคิดไม่ออก สำหรับคนที่ไม่เคยฟังเลย เดี๋ยวนี้อะไรในจริง มองซ้ายมองขวาอะไรมีจริง หาเจอหรือยัง เห็นมีจริงไหม ได้ยินมีจริงไหม ถ้าเห็นไม่เกิดจะมีเห็นไหม
อ.วิชัย ถ้าเห็นไม่เกิดก็ไม่มีเห็น
ท่านอาจารย์ ถ้าได้ยินไม่เกิดจะมีได้ยินไหม
อ.วิชัย ก็ไม่มีได้ยิน
ท่านอาจารย์ ฟังอย่างนี้ดูเหมือนว่าเกี่ยวอะไรกับวิกฤติ แต่ทุกอย่างการทุจริตทั้งหมด ความไม่รู้ทั้งหมดมาจากเห็นใช่ไหม มาจากได้ยิน แล้วก็มีความติดข้องมีความต้องการ ไม่รู้เลยว่าแต่ละหนึ่ง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริง เพื่อให้ละความไม่รู้ และละกิเลสซึ่งเกิดขึ้นเพราะความไม่รู้ทั้งหมดได้ ทีละเล็กทีละน้อย เพราะเหตุว่าสิ่งที่ไม่ดีงามจะนำผลที่ดีงามมาให้ไม่ได้เลย แต่ผลที่ดีมาจากเหตุที่ดี เพราะฉะนั้นทุกคนหวังแต่ผลที่ดี บนบานศาลกล่าวขอโน่นขอนี่ แค่กราบนิดเดียวหรือว่าปล่อยนกไม่กี่ตัว ก็ขอให้พ้นภัยต่างๆ ไม่เข้าใจในความเป็นเหตุเป็นผลเลย เพราะฉะนั้นนี่ก็คือวิกฤติทีละเล็กทีละน้อย จนกระทั่งวิกฤติใหญ่คือทุจริตในทุกวงการ และความไม่รู้พระธรรมมีทุกวงการ จนกระทั่งมีการตั้งสำนักปฏิบัติ
อ.วิชัย ท่านอาจารย์กล่าวถึงวิกฤติที่เกี่ยวกับการประพฤติทุจริตต่างๆ และเมื่อสักครู่ท่านอาจารย์กล่าวว่าการไม่เข้าใจเห็น การไม่เข้าใจได้ยิน นี้แหละจะนำไปสู่ความวิกฤติคือทุจริต ดูเหมือนเป็นสิ่งที่เข้าใจยาก
ท่านอาจารย์ เพียงแค่เห็นแล้วไม่รู้ความจริง ก็กล่าวว่าเห็นสิ่งที่น่าพอใจ เห็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจ เห็นสิ่งที่น่าพอใจติดข้องไหม อยากได้ไหม เพียงพอหรือเปล่า ไม่มีวันพอ ถ้าไม่มีวันพอจากการกระทำ เพื่อที่จะได้สิ่งนั้นมาในทางสุจริต ก็เป็นการกระทำที่จะได้สิ่งนั้นมาในทางทุจริต เพราะเห็นใช่ไหม เพราะได้ยิน เพราะตา เพราะหู เพราะจมูก เพราะลิ้น เพราะกาย และใจก็จดจำทุกอย่างที่ปรากฏปรุงแต่งเป็นความคิดต่างๆ จึงมีคนที่หลากหลายมากทั้งคนดีและคนชั่ว
อ.คำปั่น ที่ท่านอาจารย์ได้กล่าวในช่วงต้นว่า แต่ละคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงนี่แหละ ที่จะค่อยๆ แก้วิกฤติของแต่ละบุคคล เพราะว่าวิกฤติก็คือความเสื่อมความเสียหาย อะไรที่จะเป็นความเสื่อมความเสียหาย ก็คือความชั่ว ความไม่ดีทั้งหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือมาจากความไม่รู้ความจริง หรือว่าอวิชชาที่จะนำมาสู่ความชั่ว นำมาสู่ความประพฤติที่ผิดที่เป็นทุจริตประการต่างๆ ก็มาจากความไม่รู้ แล้วความไม่รู้ฝังรากลงลึกมาได้อย่างไร ก็เพราะว่ามาจากการที่ไม่มีโอกาสได้ศึกษา ไม่มีโอกาสได้ฟังพระธรรม ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง แต่ว่าขณะนี้ก็ได้เริ่มต้นแล้วใช่ไหม ในการที่จะค่อยๆ สะสมความเข้าใจ ที่จะค่อยๆ ขัดเกลาความไม่รู้ไปทีละเล็กทีละน้อย
ท่านอาจารย์ บางคนสงสัย ฟังแล้วไม่เห็นจะวิกฤติ เพราะไม่รู้จริงๆ ว่าวิกฤติคือเพราะไม่รู้ จึงวิกฤติ
ผู้ฟัง เรียนสนทนาถามวินัยหนึ่งข้อ การที่เราคิดว่านิมนต์พระมาแล้ว แล้วก็นำเงินใส่ซองให้พระ เราคิดว่าเป็นบุญ เราควรจะเข้าใจได้อย่างไรว่าอันนั้นไม่ใช่บุญ
ท่านอาจารย์ ถ้าไม่พูดถึงพระธรรมวินัย ก็ไม่มีใครรู้ว่า อะไรเป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ได้ทรงแสดง และทรงบัญญัติไว้ แต่เมื่อได้ฟังก็รู้ว่าพระภิกษุในพระธรรมวินัยก็ต่างกับคฤหัสถ์ เพราะเหตุว่าเมื่อฟังธรรมแล้วเป็นคำจริง ไม่ว่าใครทั้งสิ้น ฟังแล้วพิจารณาไตร่ตรองเข้าใจคำจริงนั้นได้ เพราะฉะนั้นผู้ที่ฟังธรรมในครั้งโน้น ก็มีอัธยาศัยต่างๆ กัน ผู้ที่ฟังแล้วก็อบรมเจริญปัญญาฟังพระธรรมต่อไป ขัดเกลากิเลสต่อไปในเพศคฤหัสถ์ รู้แจ้งอริยสัจธรรมเป็นพระโสดาบัน เป็นพระสกทาคามี เป็นพระอนาคามี เป็นพระอรหันต์เมื่อไหร่จึงเป็นคฤหัสถ์ต่อไปไม่ได้ ด้วยเหตุนี้เพศบรรพชิตหรือพระภิกษุ เป็นเพศของพระอรหันต์ เพราะเหตุว่าคนที่ฟังธรรมก็สามารถที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรมได้ แต่ทำไมบวช เพราะเหตุว่าอัธยาศัยที่สะสมมาเป็นคนตรงที่รู้จักตัวเองว่า สามารถที่จะดำเนินตามรอยพระบาท ขัดเกลากิเลสตามเพศบรรพชิตได้ เพราะฉะนั้นท่านผู้นั้นจึงขออุปสมบท ทำให้ตนเองเปลี่ยนสภาพจากคฤหัสถ์ผู้ครองเรือนมีกิจธุระมากมาย มีความสนุกสนานบันเทิงต่างๆ ไปสู่ผู้ที่ขัดเกลากิเลสอย่างยิ่ง โดยการที่ว่าผู้ที่ไม่เข้าใจธรรม ไม่มีทางจะขัดเกลากิเลสได้เลย
ด้วยเหตุนี้ธุระของพระภิกษุจึงมีสองอย่าง ใช้คำว่าคันถธุระหมายความถึงการศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ แล้วก็วิปัสสนาธุระ เพราะเหตุว่าเมื่อมีความเข้าใจถูกต้องแล้ว ความเข้าใจนั้นจะนำไปสู่ปัญญาอีกขั้นหนึ่ง ซึ่งสามารถที่จะประจักษ์แจ้งลักษณะของสภาพธรรมเดี๋ยวนี้ ตรงตามที่ได้เข้าใจ เพราะฉะนั้นคฤหัสถ์กราบไหว้พระภิกษุในการสะสมที่ท่านสามารถสละเพศคฤหัสถ์สู่เพศบรรพชิต ซึ่งต้องเข้าใจพระธรรมวินัย และประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัย ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงบัญญัติแล้ว ถ้าไม่เข้าใจพระธรรม ไม่เห็นคุณของพระวินัย ประพฤติปฏิบัติตามไม่ได้ ไม่ได้ผล เพราะว่าบวชทำไม บวชเพื่อขัดเกลากิเลส แต่บวชแล้วไม่เข้าใจธรรม ไม่ได้ขัดเกลากิเลส ประพฤติผิดพระวินัย เพราะฉะนั้นก็ไม่ใช่ภิกษุในพระธรรมวินัย
ด้วยเหตุนี้พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติสิกขาบท เมื่อภิกษุรูปหนึ่งรูปใดกระทำสิ่งที่ไม่สมควร ซึ่งเป็นการกระทำอย่างคฤหัสถ์ และเป็นการกระทำที่ไม่ขัดเกลากิเลส พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระมหากรุณา ไม่ใช่เพียงแต่ทรงแสดงพระธรรมเท่านั้น แต่ยังกล่าวถึงความเป็นไปทางกายทางวาจา ของผู้ที่จะขัดเกลากิเลสในเพศบรรพชิต ซึ่งจะต้องขัดเกลากิเลสตั้งแต่ลืมตาจนหลับตา เพราะเหตุว่าได้อุทิศชีวิตทั้งชีวิตสละความเป็นคฤหัสถ์ ไม่มีวงศาคณาญาติ ไม่มีทรัพย์สมบัติ ไม่มีกิจธุระที่ชาวบ้านทำกัน สู่เพศที่สงบจากชีวิตคฤหัสถ์ ต้องเข้าใจด้วยว่า สงบจากชีวิตคฤหัสถ์ ถ้าไม่เข้าใจอย่างนี้เป็นเบื้องต้น จะทำลายพระธรรมและพระวินัย
เพราะฉะนั้นเพราะไม่รู้ว่าภิกษุสละละอาคารบ้านเรือน จะยินดีในเงินทองได้อย่างไร ในเมื่อสละแล้ว สละหมายความว่าไม่เกี่ยวข้องไม่ยินดี มีชีวิตอย่างผู้ที่ไร้บ้าน แต่ว่าได้ฟังคำสอนซึ่งสามารถที่จะขัดเกลากิเลส ซึ่งสามารถที่จะรักษาพระวินัยได้ เพราะเห็นคุณของพระวินัย ซึ่งเป็นการขัดเกลากิเลส ด้วยเหตุนี้เงินทองสมควรแก่คฤหัสถ์ แต่ไม่สมควรแก่ภิกษุ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงทรงบัญญัติสิกขาบท ขอเชิญคุณคำปั่น สิกขาบทข้อนี้
อ.คำปั่น ก็เป็นสิ่งที่จะต้องศึกษาให้เข้าใจ เพราะว่าเป็นสิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงบัญญัติด้วยพระองค์เอง อย่างเช่นสิกขาบทที่ว่าด้วยการรับเงินรับทองของพระภิกษุ ภิกษุใดรับเองก็ดี ให้ผู้อื่นรับก็ดี ซึ่งทองและเงิน หรือยินดีทองและเงิน ที่ผู้อื่นเก็บไว้ให้เพื่อตน เป็นอาบัติก็คือเป็นโทษ
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1261
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1262
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1263
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1264
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1265
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1266
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1267
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1268
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1269
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1270
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1271
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1272
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1273
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1274
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1275
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1276
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1277
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1278
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1279
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1280
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1281
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1282
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1283
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1284
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1285
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1286
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1287
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1288
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1289
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1290
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1291
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1292
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1293
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1294
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1295
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1296
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1297
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1298
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1299
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1300
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1301
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1302
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1303
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1304
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1305
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1306
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1307
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1308
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1309
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1310
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1311
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1312
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1313
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1314
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1315
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1316
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1317
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1318
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1319
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1320
