ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1294
ปกิณณกธรรม ตอนที่ ๑๒๙๔
สนทนาธรรม ที่ กรมยุทธบริการทหาร
วันที่ ๓๐ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๖๑
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นถ้ามีความรู้ขึ้น ทุกอย่างก็จะถูกต้องขึ้น เป็นไปในทางที่ดีขึ้น เพราะฉะนั้นถ้าเป็นคนที่เสียสละ เบื้องต้นเลยที่จะละความเป็นเราได้ แต่ว่าติดในความเป็นเรามากมายมหาศาล
ผู้ฟัง เสียสละในอะไร
ท่านอาจารย์ เสียสละเวลาที่ความดีเกิดขึ้น ความชั่วไม่เกิด ขณะที่เข้าใจว่ามีเราดีไหมถูกไหม รักเรามากมาย ทำชั่วเพื่อเราก็ได้ แต่ขณะที่เข้าใจขึ้นว่าไม่มีเรา แต่มีธรรมฝ่ายดีและฝ่ายไม่ดี นี่ต้องเป็นปัญญา ที่สามารถที่จะเห็นตรง ตามความเป็นจริงได้ เพราะฉะนั้นถ้ารู้อย่างนี้ ปัญญาจะทำสิ่งที่ไม่ดีได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ ไม่ได้ ถ้ามีปัญญาสิ่งต่างๆ ที่เป็นเหตุที่ดี ก็จะทำให้เกิดผลที่ดี ผลที่ดีก็คือว่าค่อยๆ ละคลายความเข้าใจผิด ที่ยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเรา เมื่อได้เข้าใจ แต่ใครจะเอาความรักเราออกได้ ถ้าไม่ได้ฟังธรรม และต้นเหตุทั้งหมดก็คืออยู่ตรงนี้แหละ ตรงที่ไม่เข้าใจความจริงว่าไม่มีเรา เพราะฉะนั้นเมื่อเข้าใจผิด คิดว่ามีเราก็รักเรา จนกระทั่งแต่ละคนที่เรามองเห็น ทุจริตทั้งหลายเกิดขึ้นเพราะความรักตนด้วยความไม่รู้ว่า สิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ได้นำประโยชน์มาให้เลย มีแต่โทษทั้งกับตนเองและคนอื่นด้วย เพราะฉะนั้นคุณของพระธรรม ความเข้าใจที่ถูกต้องมากมายมหาศาล จากความไม่รู้ และก็เข้าใจผิด ยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเรา มีการเห็นแก่ตัวประพฤติผิดต่างๆ กว่าจะค่อยๆ หมดไปได้ ก็เพราะมีความเข้าใจถูกต้อง เริ่มด้วยการรู้ว่าเป็นธรรมแต่ละหนึ่ง ไม่ใช่เรา
ผู้ฟัง พระธรรมบอกว่าให้เสียสละ เข้าใจที่จะเสียสละความเป็นเรา เพราะว่ากิเลสต่างๆ ความไม่ดีต่างๆ เริ่มจากการที่เป็นเรา แล้วก็รักในตัวเรา
ท่านอาจารย์ สละอย่างอื่นง่ายไหม
ผู้ฟัง บางอย่างก็ง่าย บางอย่างก็
ท่านอาจารย์ ที่ติดข้องน้อยก็สละได้ง่าย ถ้าติดข้องมากก็สละได้ยาก และถ้าไม่สละเลยก็ติดข้องมาก เพราะฉะนั้นที่ติดข้องที่สุดคือเรา และต่อจากนั้นก็คือของเรา ของๆ เราใช่ไหม เพราะฉะนั้นถ้าไม่สามารถจะสละอะไรได้เลยทั้งสิ้น ก็ติดทั้งของๆ เราและเรา แต่ถ้ารู้ว่าไม่มีเรา มีของๆ เราไหม
ผู้ฟัง ก็ไม่มีของๆ เรา ถ้าไม่มีเรา
ท่านอาจารย์ สิ่งนั้นเป็นประโยชน์ แทนที่เราจะเก็บไว้เฉยๆ มากมายมหาศาล ให้เป็นประโยชน์กับคนอื่นได้หรือยัง มากหรือน้อย เห็นไหมกว่าจะค่อยๆ เข้าใจความจริงว่า เก็บสิ่งที่มีประโยชน์โดยไม่ใช้ กับสามารถที่จะให้สิ่งที่เป็นประโยชน์ กับคนที่กำลังต้องการ ก็ขึ้นอยู่กับปัญญา กำลังของปัญญาว่าสามารถที่จะสละ หรือละได้แค่ไหน เพราะฉะนั้นเจ้าชายสิทธัตถะ สละสมบัติของพระมหาจักรพรรดิ คิดดู ไม่ใช่สมบัติของเศรษฐีหรือมหาเศรษฐี แต่ว่าสมบัติของพระมหาจักรพรรดิ ยิ่งใหญ่กว่าพระราชาทั้งหลาย เพราะเห็นว่าสิ่งที่มีประโยชน์ยิ่งกว่านั้น มีค่ามากกว่านั้น สามารถที่จะถึงได้ด้วยการค่อยๆ รู้ความจริง ตามที่ได้สะสมบำเพ็ญพระบารมีมาแล้ว จึงมีกำลังที่สามารถที่จะสละสิ่ง ซึ่งมีค่าน้อยกว่าความเข้าใจถูก ในสิ่งที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้นถึงเวลาที่จะสละจึงสละได้ แต่ถ้ายังไม่ถึงเวลาใครก็ไม่สละ เพราะฉะนั้นไม่ขึ้นอยู่กับใครทั้งสิ้น เพราะเป็นอนัตตา แต่อยู่กับเหตุปัจจัยว่าแต่ละหนึ่งที่เกิดมาในสังสารวัฏ จนกระทั่งปรากฏเป็นแต่ละชีวิตหลากหลายมาก ตั้งแต่เกิดจนตาย เพราะมีเหตุที่จะต้องเป็นอย่างนั้น และไม่สิ้นสุดด้วย เพราะฉะนั้นถ้าเป็นผู้ที่มีปัญญาเข้าใจว่า อะไรเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ที่จะนำสิ่งที่เป็นประโยชน์และดีมาให้ ก็อดทนและพากเพียร เพื่อที่จะให้เป็นอย่างนั้น แทนที่จะปล่อยปละละเลย แล้วก็เป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ
ผู้ฟัง ท่านอาจารย์กล่าวว่า ถ้าสละสิ่งของแม้เล็กๆ น้อยๆ ขณะนั้นถ้ามีความเข้าใจ ก็ชื่อว่าสละความเป็นเราไปด้วย
ท่านอาจารย์ เพราะไม่ได้หวังอะไร ไม่เหมือนซื้อขายใช่ไหม
ผู้ฟัง ไม่
ท่านอาจารย์ ถ้าอยากได้อะไรก็เอาเงินไปซื้อ เพราะฉะนั้นบางคนอยากได้บุญก็เอาเงินไปซื้อบุญ โดยการสละเพราะคิดว่าสละแล้วจะได้บุญ
ผู้ฟัง ใช่
ท่านอาจารย์ นั่นหรือสละ นั่นหรือปัญญา นั่นหรือละ นั่นหวังต่างหาก เพราะฉะนั้นสละไม่ใช่การซื้อขาย ไม่ใช่การหวังสิ่งตอบแทนใดๆ ทั้งสิ้น สละสิ่งที่เห็นแก่ตัวมานานแสนนาน ค่อยๆ เอาความเห็นแก่ตัวออกไป จนกว่าจะรู้ตามความเป็นจริงได้ว่าเป็นธรรมที่ไม่ใช่อะไรที่เที่ยงถาวรยั่งยืน ที่จะเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้ เพียงแต่มีปัจจัยเกิดแล้วก็ดับยับยั้งไม่ได้ด้วย บังคับบัญชาไม่ได้ด้วย เพราะฉะนั้นแต่ละคนจะไม่รู้เลยว่า ที่ทุกอย่างเกิดขึ้นเป็นไปเพราะเหตุปัจจัยจริงๆ
ผู้ฟัง แต่ขณะนี้เกิดเพราะเหตุปัจจัย
ท่านอาจารย์ เป็นคุณนิรันดร์ก็เพราะเหตุปัจจัย เป็นนายกรัฐมนตรีก็เพราะเหตุปัจจัย
ผู้ฟัง แต่บางครั้งเราก็ไม่เคยเข้าใจ หรือรู้มาก่อนเลยว่า แต่ละขณะล้วนแต่เกิดเพราะเหตุปัจจัย
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ได้ฟัง ถูกต้องไหม
ผู้ฟัง คำของพระผู้มีพระภาคถูกต้อง
ท่านอาจารย์ ควรจะรู้ยิ่งกว่านี้ไหม
ผู้ฟัง ควรจะรู้ยิ่งกว่านี้
ท่านอาจารย์ ถ้ารู้แล้วจะไม่เป็นทุกข์ เท่าที่เคยเป็นไหม
ผู้ฟัง ก็จะทุกข์น้อยลง
ท่านอาจารย์ เพราะแม้แต่ความอยากก็ไม่รู้ว่าเป็นทุกข์ แล้ววันหนึ่ง วันหนึ่ง ทุกข์เท่าไหร่ เพราะอยากเท่าไหร่
ผู้ฟัง อยากมากก็ทุกข์มาก
ท่านอาจารย์ ลองคิดดู ถ้าไม่อยาก หรือหมดความอยาก ไม่ต้องอยากอะไร เพราะรู้ว่าทุกอย่างไม่ต้องอยาก ก็ต้องเกิดตามเหตุตามปัจจัย
ผู้ฟัง หมายถึงว่าอยากน้อยลง
ท่านอาจารย์ ปัจจัยมีมากมายหลายอย่าง แม้ความเพียรก็เป็นปัจจัยหนึ่ง เพราะฉะนั้นทรงแสดงปัจจัยไว้มากที่จะให้รู้จริงๆ ว่าแต่ละหนึ่งนั่นแหละเป็นปัจจัยโดยสถานใด
ผู้ฟัง ถ้าเข้าใจว่าแต่ละขณะเป็นเหตุปัจจัย เข้าใจความจริง ไม่จำเป็นจะต้องไปอยากอะไร เพราะว่าอยากก็เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัยอยู่แล้ว
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นทำสิ่งที่ดี เพราะว่าความดีเป็นปัจจัยให้เกิดผลที่ดี นั่นคือผู้ที่เข้าใจปัจจัย ผลที่ดีมาจากอะไร
ผู้ฟัง ผลที่ดีมาจากความดี
ท่านอาจารย์ เหตุที่ดี ผลที่ไม่ดีมาจากอะไร
ผู้ฟัง มาจากเหตุที่ไม่ดี
ท่านอาจารย์ แล้วจะทำกรรมดีหรือไม่ดี
ผู้ฟัง ถ้าเข้าใจอย่างนี้ก็จะทำกรรมดี
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นที่ทำไม่ดี เพราะไม่รู้
ผู้ฟัง ไม่รู้อะไร
ท่านอาจารย์ ไม่รู้ว่าไม่ดี
ผู้ฟัง ไม่รู้ว่าไม่ดี
ท่านอาจารย์ ถ้ารู้ว่าไม่ดี ไม่ทำแน่
ผู้ฟัง ไม่รู้จริงๆ ว่ามันไม่ดีใช่ไหม
ท่านอาจารย์ ก็ไม่รู้ว่าจะให้โทษปานไหน
ผู้ฟัง จะให้โทษปานไหน
ท่านอาจารย์ แม้แต่เกิดก็เป็นผลของกรรมแล้ว เกิดเป็นนก เกิดเป็นงู เกิดเป็นหนอน เกิดเป็นคน เกิดในนรก เกิดเป็นเทวดา เกิดเป็นมนุษย์หลากหลาย ต้องตามเหตุที่ได้กระทำแล้ว
ผู้ฟัง ถ้าเรารู้โทษจริงๆ ของกรรมที่ไม่ดี เราจะไม่ทำกรรมที่ไม่ดีเลย
ท่านอาจารย์ เพราะไม่มีเรา นั่นคือปัญญา ความเห็นที่ถูกต้อง เพราะฉะนั้นต่อให้ได้ยินว่า อย่าทำชั่ว หมู่บ้านศีล ๕ เป็นไปได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นก็ต้องรู้เหตุจริงๆ แทนที่จะเป็นหมู่บ้านศีล ๕ หมู่บ้านฟังธรรมให้เข้าใจ ถูกต้องกว่าไหม
ผู้ฟัง ถูกต้องกว่า
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นทั้งหมดขึ้นกับความเข้าใจถูกความเห็นถูก ถ้าสามารถจะเป็นไปได้ ก็ต้องมีตั้งแต่ในครั้งพุทธกาลใช่ไหม หมู่บ้านศีล ๕ แต่นี่ไม่มีเลยแล้วก็จะไม่มีด้วย เป็นไปไม่ได้เลย
ผู้ฟัง การที่เราฟังธรรมจะต้องมีเหตุประกอบอย่างอื่นไหม ที่ว่าจะต้องมีศรัทธาในการฟัง แล้วก็ศรัทธาในการฟังความจริง ถ้าเกิดเราไม่ศรัทธา เราก็อาจจะไปฟังคนอื่น ที่เขาพูดอะไรที่ไม่ตรง ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า
ท่านอาจารย์ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรม ๔๕ พรรษา ครบถ้วนทุกอย่างถึงที่สุด เพราะฉะนั้นแค่ได้ยินว่า เห็นเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ถ้าไม่มีตาก็ไม่เห็น ค่อยๆ นำความเข้าใจมาทีละเล็กทีละน้อยว่าไม่ใช่แต่เฉพาะเห็น อย่างอื่นก็ต้องอาศัยเหตุปัจจัยเหมือนกัน เช่นได้ยินก็ต้องอาศัยเสียงกระทบหู เป็นปัจจัยให้มีการได้ยินเสียงนั้นเกิดขึ้น แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง ไม่ใช่อย่างเดียวกัน แต่ต้องขณะนั้นมีอยู่ จึงเป็นปัจจัยได้ เพราะฉะนั้นการฟังธรรมแค่นี้ไม่พอ ต้องรู้ด้วยว่าทรงแสดงธรรมหลากหลาย ไม่พ้นจากชีวิตประจำวันทั้งหมดเลย ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น นั่นคือสิ่งที่พระองค์ได้ทรงตรัสรู้ และทรงแสดงความจริงไว้ละเอียดอย่างยิ่ง เพราะฉะนั้นเราได้ฟังเพียงนิดหน่อยไม่มากเลย ยังไม่พอที่จะรู้ว่า การที่จะเข้าใจความจริง จนกระทั่งสามารถที่จะดับกิเลสหรือว่าละการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเรา หรือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ซึ่งภาษาบาลีใช้คำว่าอัตตา และสักกายทิฏฐิ ความเห็นผิดว่าเป็นเรา ก็ต้องอาศัยกาลเวลาที่นานมาก เพราะเหตุว่าไม่รู้มาตั้งนาน แล้วจะให้เพียงได้ยินไม่กี่คำ แล้วก็จะหมดความไม่รู้ก็เป็นไปไม่ได้ นอกจากรู้ว่ายังไม่รู้อีกมาก ได้ยินคำไหนก็ค่อยๆ เข้าใจเพิ่มขึ้นอีกทีละเล็กทีละน้อย แม้ความเข้าใจนั้นก็เป็นขั้นระดับการฟัง และการไตร่ตรอง ยังไม่ถึงขั้นประจักษ์แจ้ง เพราะฉะนั้นการที่จะรู้ความจริงก็ต้องค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไปตามลำดับขั้น
ผู้ฟัง แล้วเราจะต้องมีศรัทธาด้วยใช่ไหม
ท่านอาจารย์ เป็นธรรมหรือเปล่า ที่คิด
ผู้ฟัง เป็น
ท่านอาจารย์ คิดอย่างนี้เพราะอะไร
ผู้ฟัง เพราะว่าผมเห็นบางคนก็ศรัทธาในเรื่องผิด
ท่านอาจารย์ ถ้าอย่างนั้นต้องตอบว่า ศรัทธาคืออะไรก่อน การฟังธรรมต้องเริ่มต้นว่าคืออะไร เราได้ยินศรัทธามากมาย สัทธินทรีย์ก็มีใช่ไหม หลายๆ อย่างหลายๆ คำ แต่ว่าคืออะไรก่อน เพราะเหตุว่าถ้ายังไม่รู้ว่าคืออะไร ก็หลงพูดในสิ่งที่เราไม่รู้จักเยอะแยะมากมาย เพราะฉะนั้นทุกครั้งที่ได้ยินคำอะไร ก่อนอื่นต้องตั้งต้นว่าคืออะไร ละเอียดขึ้น ละเอียดขึ้น ละเอียดขึ้น ถ้าไหว้จอมปลวก เป็นศรัทธาหรือเปล่า
ผู้ฟัง ถ้าเมื่อก่อนที่ไม่ได้ฟังธรรม ผมก็เข้าใจว่าเป็นศรัทธา
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเพียงพูดคำว่าศรัทธา แต่เข้าใจศรัทธาแค่ไหน
ผู้ฟัง อย่างเช่นฟังธรรม ถ้าเกิดธรรมที่เขาสอนให้เราเกิดความโลภ ความอยาก ความหลง ก็ไม่เรียกว่าศรัทธา
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นไม่ใช่เราเป็นคนตัดสิน แต่ความเข้าใจธรรมละเอียดขึ้น จะทำให้ค่อยๆ รู้จักสิ่งที่เรากำลังพูดถึง แม้ขณะนี้ก็มี แต่ไม่ได้ปรากฏ เพียงแต่เหมือนกับอยู่ในห้องมืด แล้วก็ได้ยินว่าในห้องนั้นมีอะไรบ้าง คลำไป กว่าจะถูก ใช่ไหม ถ้าไม่มีการอธิบายให้เข้าใจว่าคืออะไร เราจะหาสิ่งที่อยู่ในความมืดพบไหม
ผู้ฟัง ก็ต้องฟัง
ท่านอาจารย์ ไม่พ้นจากการฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และรู้ด้วยว่าคำไหนเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และคำไหนไม่ใช่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องเป็นผู้ที่ตรง แล้วทีละคำ แล้วก็ไตร่ตรอง จนกระทั่งสามารถที่จะค่อยๆ รู้ว่า อะไรจริงอะไรไม่จริง
ผู้ฟัง พูดถึงว่า มีเราที่แสนสุข กับแสนสุขที่ไม่มีเรา ตรงนี้เข้าใจยากมาก เพราะว่าโดยปกติชีวิตทุกคนเกิดมา ก็เหมือนกับแสวงหาความสุข แต่ดูเหมือนท่านอาจารย์จะให้พวกเราเข้าใจว่า สุขที่แท้จริงก็คือไม่มีเรา
ท่านอาจารย์ เราสุข สุขนานไหม
ผู้ฟัง ก็ไม่นาน
ท่านอาจารย์ แล้วหลังจากนั้นเป็นอะไร
ผู้ฟัง ก็ชีวิตจริงๆ ก็สุขทุกข์สลับกันไป
ท่านอาจารย์ ก็ต้องเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยใช่ไหม
ผู้ฟัง ใช่
ท่านอาจารย์ สุขไหมที่จะต้องเป็นอย่างนี้
ผู้ฟัง ถ้าไตร่ตรองความจริงก็ไม่น่าสุข เพราะว่ามันก็วนเวียนอยู่อย่างนี้
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นก็เริ่มคิดแล้วใช่ไหม สุขไหมที่เป็นอย่างนี้ หรือว่าถ้าไม่มีการติดข้อง และรู้ความจริงว่าไม่มีเรา สุขกว่าที่ไม่ต้องติดข้อง เพราะว่าทุกคนเป็นสุขเมื่อติดข้องในความสุขนั้น แต่ความสุขนั้นก็ชั่วคราว มีความสุขของใครที่ยั่งยืนบ้าง ทุกคนก็คงจะเคยมีความสุขมาแล้ว มากมายหลายอย่าง อยากจะมีความสุขอย่างนั้นอีกไหม
ผู้ฟัง อยาก
ท่านอาจารย์ อยาก แล้วจะมีความสุขอย่างนั้นเลย เป็นอันเดียวกันนั้นเลย
ผู้ฟัง ไม่ได้ เพราะไม่กลับมาอีก
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นก็แสดงว่า แม้แต่ที่ว่าชอบสุขนั้นอย่างมากใช่ไหม ก็ไม่มีทางที่จะกลับมาเป็นสุขอย่างนั้นอีกได้เลย แล้วก็จะเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ หวังและติดข้องและต้องการ ในสิ่งที่ชั่วคราวแสนสั้น แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย เพราะไม่มีอีกเลยในสังสารวัฏ ขณะใดก็ตามที่ปรากฏเกิดขึ้นแล้วดับไป ใช้คำว่าดับไปคือไม่กลับมาอีก จะเป็นอย่างนั้นอีกไม่ได้เลยในสังสารวัฏ แต่ละชาติของพระโพธิสัตว์ พระมหาสัตว์ หลากหลายมาก ไม่มีการที่จะกลับไปเป็นอย่างนั้นอีกได้เลย เพราะฉะนั้นต้องการอะไร แค่ชั่วคราวให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นแล้วก็หมดไป แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย แสวงหาทุกอย่างเพื่อขณะนั้น แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย แล้วก็ไม่มีทางที่จะย้อนกลับไปเป็นอย่างนั้นอีกเลย
ผู้ฟัง ในความยึดมั่นถือมั่น หรือว่าติดข้องในความเป็นเรา หรือจำว่ายังมีเราเหนียวแน่น ก็จะมากจริงๆ แล้วพอมาตั้งต้นฟังว่าไม่มีเรา ดูเหมือนก็จะเป็นอะไรที่สวนกระแสแล้ว เข้าใจยาก
ท่านอาจารย์ แต่อะไรจริง
ผู้ฟัง ไม่มีเราจริง
ท่านอาจารย์ แล้วเราจะอยากรู้สิ่งที่ไม่จริง อยากจะเป็นสิ่งที่ไม่จริงหรือ
ผู้ฟัง แต่ความจำมั่นคงว่ามีเรา ก็มากจริงๆ
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นกว่าจะได้รู้ความจริง นานหรือเร็ว
ผู้ฟัง ก็ต้องนาน
ท่านอาจารย์ นานเท่าไหร่
ผู้ฟัง ก็ไม่สามารถนับได้
ท่านอาจารย์ แต่เมื่อเหตุมีผลก็ต้องมีใช่ไหม
ผู้ฟัง ใช่
ท่านอาจารย์ ถ้าเหตุมีมาก ก็สามารถที่จะละความที่เคยเป็นเราได้มาก
ผู้ฟัง เพราะฉะนั้นในการฟังเข้าใจก็คือ เริ่มเจริญเหตุ ที่จะเข้าใจว่าเป็นธรรมที่ไม่ใช่เรา
ท่านอาจารย์ แม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอง ก็ไม่สามารถที่จะให้ใครพ้นจากความไม่รู้ได้ แต่พระองค์ทรงแสดงความจริง ให้คนนั้นไตร่ตรอง จนกระทั่งเกิดความเห็นถูกต้อง ค่อยๆ เข้าใจถูกต้องขึ้น
ผู้ฟัง ผู้ใดก็ตามเพลิดเพลินแล้วในรูปเสียงกลิ่นรสสัมผัส ชื่อว่าเพลิดเพลินในสิ่งที่ล่วงไปแล้ว ผมก็เลยสงสัยว่า ก็สิ่งนั้นกำลังมีอยู่ แล้วก็กำลังเพลิดเพลิน ทำไมถึงไปเพลิดเพลินในสิ่งที่ล่วงไปแล้ว ดับไปแล้ว
ท่านอาจารย์ เพลิดเพลินในคำเมื่อสักครู่นี้ไหม
ผู้ฟัง ก็เพลิดเพลิน
ท่านอาจารย์ เพลิดเพลินใช่ไหม ก็หมดไปแล้วอย่างไร ก็เพลิดเพลินในสิ่งที่ล่วงไปแล้ว
ผู้ฟัง จุดประสงค์จะแสดงตรงนี้ ให้เราเข้าใจอย่างไรว่าเพลิดเพลินในสิ่งที่ล่วงไปแล้ว
ท่านอาจารย์ ให้เข้าใจว่าไม่มีอะไรที่เกิดแล้วไม่ดับ แม้แต่สิ่งที่กำลังเป็นที่พอใจเพลิดเพลิน ก็ดับแล้วโดยไม่รู้เลย
ผู้ฟัง เพลิดเพลินนั้นดับแล้ว
ท่านอาจารย์ แน่นอน
ผู้ฟัง ล่วงไปแล้ว
ท่านอาจารย์ คำพูดเมื่อสักครู่นี้ก็หมดแล้ว เห็นเมื่อสักครู่นี้ก็หมดแล้ว คิดเมื่อสักครู่นี้ก็หมดแล้ว ก็ยังเพลิดเพลินด้วยความเป็นเรา
ผู้ฟัง ถ้าเข้าใจและมีปัญญา ก็จะไม่เพลิดเพลินในสิ่งที่ดับไปแล้ว
ท่านอาจารย์ จะเพลิดเพลินในสิ่งที่ไม่มีหรือ ที่เพลิดเพลินเพราะคิดว่ายังมีอยู่
ผู้ฟัง เพราะคิดว่ายังมีอยู่
ท่านอาจารย์ แต่ถ้ารู้ว่าไม่มี แค่คำนี้ฟังอีกนานเท่าไหร่ กี่พันปี แสนปียังไม่ถึงกัปเลย ฟังแล้วก็ไตร่ตรองก่อนว่าถูกไหม
ผู้ฟัง ถูก
ท่านอาจารย์ นั่นก็คือปัญญานิดหนึ่งไม่พอ จะพอต่อเมื่อประจักษ์จริงๆ ว่าสิ่งนี้เกิดแล้วดับ เป็นปัญญาระดับนั้นคิดดู กว่าจะถึงการที่จะค่อยๆ ละคลายกิเลส จนถึงความเป็นพระอริยบุคคลเป็นสังฆรัตนะ ไม่ใช่สิ่งที่ไม่มีในโลก มี แต่ต้องจากเหตุที่สมควรแก่ผล ฟังแค่นี้จะไปสำนักปฏิบัติ จะไปรู้แจ้งอริยสัจธรรมเป็นไปได้อย่างไร เพราะว่าต้องประจักษ์แจ้งในคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ ตามลำดับขั้นตั้งแต่เริ่มฟัง พิจารณาไตร่ตรองถูกไหม และไม่ใช่แค่สิ่งเดียว ทั้งหมดที่มีในชีวิต ไม่ว่าพูดถึงอะไรก็รู้ว่าเป็นธรรมอย่างหนึ่ง พูดถึงความขุ่นใจก็เป็นธรรมอย่างหนึ่ง พูดถึงความโกรธก็เป็นธรรมอย่างหนึ่ง พูดถึงเห็นก็เป็นธรรมอย่างหนึ่ง จนกระทั่งทุกอย่างเป็นธรรม ไม่มีความสงสัยเลย มั่นคงเป็นสัจจญาณ ยังไม่ถึงกิจจญาณ ซึ่งเป็นปฏิปัตติ แล้วจะไปถึงกตญาณ ซึ่งประจักษ์แจ้งได้อย่างไร เพราะฉะนั้นยิ่งฟังยิ่งเข้าใจ ยิ่งเห็นความลึกซึ้งของธรรม ซึ่งเมื่อได้ยิน จะรู้ว่าไม่เคยใส่ใจสนใจเลย เห็นก็เห็นไปทั้งวัน คิดก็คิดไปทั้งวัน สนุกสนานก็สนุกสนานไปทั้งวัน หารู้ไม่ว่าความจริง หามีอะไรไม่ นอกจากสิ่งที่มีปัจจัยเกิดแล้วดับ แล้วไม่กลับมาอีกเลยในสังสารวัฏ
ผู้ฟัง เราจะละความเพลิดเพลินไม่ได้ ถ้าเราไม่ได้ฟังคำสอน แล้วก็จะเพลิดเพลินต่อไป
ท่านอาจารย์ มีเราหรือเปล่า
ผู้ฟัง ไม่มีเรา
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นต้องมั่นคง ธรรมแต่ละหนึ่ง เป็นธรรมแต่ละหนึ่ง ยังไม่ถึงสัจจญาณถ้าไม่มั่นคง
ผู้ฟัง ผมว่าความเพลิดเพลิน ความติดข้อง
ท่านอาจารย์ ก็เป็นธรรมไม่ใช่เรา ไม่ว่าอะไรทั้งหมดเลย เป็นธรรมแต่ละหนึ่ง เมื่อเกิดขึ้นจึงมี
ผู้ฟัง ก็ยังไม่ห้ามไม่ได้ ที่จะไม่ให้ติดข้อง ไม่ให้เพลิดเพลิน
ท่านอาจารย์ จะห้ามอะไร
ผู้ฟัง ที่จะติดข้องที่จะเพลิดเพลิน
ท่านอาจารย์ ห้ามเห็น
ผู้ฟัง ห้ามไม่ได้
ท่านอาจารย์ ห้ามได้ยิน
ผู้ฟัง ก็ไม่ได้
ท่านอาจารย์ ห้ามติดข้อง
ผู้ฟัง ก็ไม่ได้อีก
ท่านอาจารย์ แล้วพูดทำไม
ผู้ฟัง แต่ว่าพระสูตรตรัสบอกว่า เธอไม่ควรเพลิดเพลิน ในสิ่งที่ดับไปแล้ว ล่วงไปแล้ว
ท่านอาจารย์ แล้วควรไหม
ผู้ฟัง ไม่ควร
ท่านอาจารย์ ก็ตรง
ผู้ฟัง ไม่ควรแต่ว่าทำไม่ได้
ท่านอาจารย์ แน่นอน
ผู้ฟัง แล้วอย่างไร
ท่านอาจารย์ ก็พระองค์ก็ไม่ตรัสว่าทำได้ แต่ให้เข้าใจถูกต้อง ความเข้าใจถูกเกิดเมื่อไหร่ ละความเข้าใจผิดเมื่อนั้น ถ้าตราบใดที่ยังไม่เข้าใจถูก ขณะนั้นก็ยังคงมีความเข้าใจผิด
ผู้ฟัง ถ้ายังไม่มีความเข้าใจ ก็จะไม่สามารถที่จะไปละความเพลิดเพลิน ความติดข้องได้
ท่านอาจารย์ เพราะความเข้าใจต่างหากที่ละ ไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นเมื่อไม่มีความเข้าใจ แล้วมีเรา จะไปละอะไรได้
ผู้ฟัง ถ้าเช่นนั้นตลอดชีวิต ตั้งแต่เกิดมาทุกวันนี้แม้แต่ขณะต่อไป ผมไม่เคยหยุดแสวงหาความติดข้อง ความเพลิดเพลินเลย แล้วก็หมดไป แล้วก็ต้องแสวงหาใหม่ ไม่เคยสิ้นสุดเลย
ท่านอาจารย์ เพราะอะไร ลองตอบ
ผู้ฟัง ผมคิดว่ามันเป็นความสุข ทำให้เรามีความสุข
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นจึงมีเราที่มีความสุข เพราะอะไร
ผู้ฟัง เพราะ
ท่านอาจารย์ อย่าลืม มีเรา ที่เพลิดเพลินเพราะอะไร
ผู้ฟัง เพราะไม่รู้ความจริง
ท่านอาจารย์ เพราะไม่รู้ เท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นคำตอบก็คือ จะหมดไปได้ ต่อเมื่อรู้
ผู้ฟัง ไม่รู้อะไรถึงต้องเพลิดเพลิน
ท่านอาจารย์ ก็ไม่รู้ว่าไม่ใช่เรา สิ่งนั้นเพียงเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เราอยู่ไหน เพลิดเพลินเกิดขึ้น แล้วก็ดับไป เราอยู่ไหน เห็นเกิดขึ้นและดับไป เราอยู่ไหน ก็ไม่มีเรา มีแต่ธรรม
ผู้ฟัง เมื่อไม่มีเราก็จึงไม่เพลิดเพลิน
ท่านอาจารย์ เพลิดเพลินมีไหม
ผู้ฟัง เพลิดเพลินมี
ท่านอาจารย์ เพลิดเพลินเป็นเราหรือเปล่า
ผู้ฟัง ไม่ใช่
ท่านอาจารย์ เพลิดเพลินเกิดหรือเปล่า
ผู้ฟัง เกิด
ท่านอาจารย์ เพลิดเพลินมีปัจจัยให้เกิดหรือเปล่า
ผู้ฟัง มี
ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีปัจจัย เพลิดเพลินเกิดได้ไหม
ผู้ฟัง ก็ไม่ได้
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเพลิดเพลินดีไหม เกิดแล้วดับดีไหม
ผู้ฟัง ถ้าเกิดแล้วดับ ไม่ดี
ท่านอาจารย์ เกิดมาลวงให้ติดข้อง ดีไหม
ผู้ฟัง ก็ไม่ดีอีก
ท่านอาจารย์ แล้วก็ไม่เหลือ นอกจากความติดข้องที่เพิ่มขึ้น
ผู้ฟัง มันก็จะเป็นอย่างนี้ไปจนถึงตายเลย
ท่านอาจารย์ สิ่งที่คุณนิรันดร์ติดข้องมา มากมายใช่ไหมในชาตินี้
ผู้ฟัง มาก ทุกอย่างเปลี่ยนไปหมด
ท่านอาจารย์ และชาติก่อน มากไหม
ผู้ฟัง ก็มากอีก
ท่านอาจารย์ ยังติดข้องอยู่ไหม
ผู้ฟัง ยังติดข้องอยู่
ท่านอาจารย์ ติดข้องอยู่ได้อย่างไรชาติก่อน ติดข้องอะไร ลองบอก
ผู้ฟัง ไม่ทราบเลย ไม่รู้ว่าติดอะไร
ท่านอาจารย์ เห็นไหม ไม่รู้ว่าติดข้องอะไร แต่ความติดข้องยังอยู่ แต่สิ่งที่ติดข้องไม่เหลือ แต่ความติดข้องยังอยู่ ที่จะติดข้องต่อไปอีก
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1261
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1262
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1263
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1264
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1265
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1266
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1267
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1268
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1269
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1270
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1271
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1272
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1273
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1274
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1275
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1276
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1277
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1278
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1279
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1280
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1281
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1282
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1283
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1284
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1285
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1286
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1287
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1288
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1289
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1290
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1291
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1292
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1293
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1294
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1295
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1296
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1297
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1298
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1299
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1300
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1301
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1302
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1303
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1304
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1305
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1306
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1307
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1308
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1309
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1310
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1311
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1312
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1313
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1314
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1315
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1316
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1317
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1318
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1319
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1320
