ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1296
ปกิณณกธรรม ตอนที่ ๑๒๙๖
สนทนาธรรม ที่ กรมยุทธบริการทหาร
วันที่ ๓๐ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๖๑
ท่านอาจารย์ เช่น ธรรมคือสิ่งที่มีจริงมี ๒ อย่าง สภาพธรรมที่มีจริงเกิดขึ้นแต่ไม่รู้อะไร เป็นรูปธรรม นี่คือภาษาไทย แต่ทั้งหมดที่พูดคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แปล กลับไปก็คือภาษามคธี ซึ่งดำรงพระศาสนาไว้ จึงใช้คำว่าบาลี หรือปาละ นี่ก็แสดงให้เห็นว่า แต่ละภาษาเมื่อกล่าวถึงคำจริงในภาษาไหน ก็คือคำจริงที่กล่าวถึงภาษานั้นให้เข้าใจได้ ชาติก่อนทุกคนที่นี่อาจจะเคยพูดภาษาบาลีคล่องแคล่วธรรมดาเหมือนภาษาไทยเลย ชาวมคธีใช่ไหม แต่พอถึงชาตินี้พูดไม่ได้สักคำ ถ้าได้ยินก็ยังไม่รู้เลยว่าหมายความว่าอะไร อิติปิโส ภควา ได้ยินด้วย พูดด้วย บ่อยด้วย แปลว่าอะไร
ผู้ฟัง แม้เพราะเหตุนี้
ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีคนบอกรู้ไหม
ผู้ฟัง ไม่รู้เลย
ท่านอาจารย์ ไม่มีทางเลย เพราะรู้ได้ในภาษาของตนของตน แต่ถ้าพูดที่เมืองโน้นในสมัยโน้นยุคโน้นก็เข้าใจทันที เหมือนที่เราพูดภาษาไทยตอนนี้ เพราะฉะนั้นธรรมเปลี่ยนไม่ได้ แต่คำที่ใช้เรียกก็แล้วแต่ภาษาไหนที่จะทำให้เข้าใจได้ เพราะฉะนั้นแต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องเริ่มต้นด้วยความเข้าใจที่สอดคล้องกันทั้งหมด ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ถ้าไม่เข้าใจอย่างนี้ เปลี่ยนคำพูดเป็นอย่างอื่น ก็คือไม่ใช่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้ไปสำนักปฏิบัติ มีไหมในครั้งพุทธกาล
ผู้ฟัง ไม่มี
ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้ก็เป็นธรรม ไม่รู้ใช่ไหม
ผู้ฟัง ใช่
ท่านอาจารย์ แล้วจะรู้เมื่อไหร่ ได้ยินเมื่อไหร่ ที่นั่นเป็นประเทศที่สมควร แต่ถ้าไม่เข้าใจ จะเป็นประเทศที่สมควรแก่การเข้าใจได้อย่างไร เพราะฉะนั้นไม่ได้เลือกสถานที่เลย ตรงไหนที่สามารถจะได้ยินได้ฟังธรรม ในรถไฟได้ไหม บนเครื่องบินได้ไหม ในห้องรับประทานอาหารได้ไหม
ผู้ฟัง ได้ทั้งนั้น
ท่านอาจารย์ ทุกหนทุกแห่ง ถ้ามีคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ฟังและไตร่ตรอง ที่นั่นก็เป็นที่ที่สามารถที่ปัญญาจะเจริญขึ้น พร้อมเมื่อไหร่ ด้วยเหตุผลจึงจะเกิดขึ้นได้ ด้วยเหตุนี้การรู้แจ้งสัจธรรม ในครัวก็ได้ ท่านผู้หนึ่งไฟกำลังไหม้หม้อแกง ท่านก็ถึงการรู้แจ้งอริยสัจธรรม อีกท่านหนึ่งล้างเท้าก็รู้แจ้งอริยสัจธรรม ไม่ต้องไปเตรียมตัวอะไรทั้งสิ้น เพราะไม่มีเรา ขัดกับคำว่าอนัตตา เพราะฉะนั้นยิ่งฟังและยิ่งเข้าใจ ก็ยิ่งมีความมั่นคงในธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ถ้าไม่ใช่อย่างนี้ ผิดทันที ด้วยความเป็นอัตตา เพราะฉะนั้นก็ต้องเพิ่มความเป็นอัตตาด้วยความไม่รู้เพิ่มขึ้น ด้วยเหตุนี้คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่เพียงแค่ฟัง แต่ต้องไตร่ตรองจนกระทั่งเป็นความเข้าใจที่มั่นคง เป็นสัจจญาณ กว่าจะถึงปฏิปัตติ ซึ่งคนไทยใช้คำว่าปฏิบัติ จนกว่าจะถึงปฏิเวธ คือการรู้ความจริงซึ่งเป็นอริยสัจธรรม ทำให้บุคคลนั้นพ้นจากความไม่รู้ ความหนาแน่นด้วยความไม่รู้ ซึ่งเป็นปุถุชนสู่การรู้ความจริง ที่ทำให้กิเลสสามารถที่จะหมดสิ้นไปตามลำดับขั้น หมดสิ้นคือดับไม่เกิดอีกเลย ไม่มีปัจจัยที่จะให้เกิดเหมือนเคยที่เป็นปุถุชนตามลำดับ เพราะฉะนั้นก็ต้องเป็นความเข้าใจของแต่ละคนใช่ไหม ไม่ใช่มีคนไปบอกว่า คนนี้รู้แค่นั้นแล้ว แต่คนที่เป็นผู้ที่ฟังธรรมสามารถที่จะรู้ได้ว่า มีความเข้าใจเพิ่มขึ้นแค่ไหน หรือว่ายังไม่พอ แค่ปรมัตถธรรม นามธรรม รูปธรรม จิต เจตสิก รูป พอไหมแค่นี้
ผู้ฟัง ไม่พอ
ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีตา ไม่มีสิ่งที่กระทบกันที่ยังไม่ดับไป จิตเห็นเกิดไม่ได้ ภาษาบาลีก็อายตนะ เราก็ได้ยินคำว่าอายตนะ เราก็ไปจำคำว่าอายตนะ แต่ไม่รู้ว่าคือความเข้าใจที่เกิดเมื่อรู้ความจริงว่า ขณะนี้ที่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้น ต้องมีสิ่งที่ประชุมกันรวมกันในที่นั้น ไม่ใช่มีแต่เพียงหนึ่ง มีจิตโดยไม่มีเจตสิกไม่ได้ มีเจตสิกโดยไม่มีจิตไม่ได้ เพราะฉะนั้นทุกอย่าง แต่ละคำก็คือ เริ่มทำให้รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และเห็นคุณของทุกคำ เพราะฉะนั้นก็กล่าวคำจริงที่ได้เข้าใจที่ถูกต้อง เพื่อที่จะให้คนอื่นได้รู้คุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วย
ผู้ฟัง ขอบพระคุณ
สนทนาธรรมที่ บ้านทันตแพทย์หญิงวิภากร พงศ์วรานนท์
วันที่ ๓๑ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๑
ผู้ฟัง ถ้าหนูเห็นดอกไม้อย่างนี้
ท่านอาจารย์ เห็นดอกไม้ ดอกไม้สีอะไร
ผู้ฟัง สีม่วง สีชมพู สีเขียวอยู่ในนั้น
ท่านอาจารย์ แล้วทำไมว่า เขียว เหลือง ม่วง เป็นดอกไม้ ไม่เรียกว่าดอกไม้ ก็มีม่วงมีเหลือง มีฟ้า เห็นไหมว่าเราเหมือนกับว่าเรารู้ แต่จริงๆ มันหนาแน่นมากด้วยความไม่รู้ จนกว่าจะค่อยๆ เข้าใจมั่นคงจริงๆ ได้ยินบ่อยๆ แต่อยู่ที่ความเข้าใจ และได้ยินแล้วเข้าใจระดับไหน เพราะฉะนั้นระดับที่เดี๋ยวนี้ เราเห็นดอกไม้มานานมาก เห็นโต๊ะเห็นเก้าอี้มาก็นานทีเดียว แล้วจะต้องมีต่อไป ถามว่าพรุ่งนี้เห็นอะไร ก็ต้องเห็นนี่แหละเหมือนเดิมอย่างนี้ แต่ความรู้เราเข้าใจเพิ่มขึ้นว่าคืออะไร
ผู้ฟัง หนูก็ยังไม่ค่อยเข้าใจดี
ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีสีต่างๆ จะมีดอกไม้ไหม
ผู้ฟัง ก็เป็นรูปลักษณ์ของดอกไม้ถึงจะไม่มีสีอะไรเลย
ท่านอาจารย์ ถูกต้อง ถ้าไม่มีสีจะมีรูปร่างใหม่
ผู้ฟัง ไม่มีสี ก็ยังเป็นรูปร่างของดอกไม้
ท่านอาจารย์ รูปร่าง ยังไม่คิดถึงดอกไม้ เมื่อสักครู่นี้ก็บอกเราเห็นดอกไม้ ถามว่าดอกไม้สีอะไรใช่ไหม ก็ตอบสีม่วงสีขาวสีชมพู แต่จริงๆ แล้วสีม่วงจะเป็นดอกไม้หรือ หรือว่าอะไรเป็นดอกไม้
ผู้ฟัง รูปลักษณ์ของมัน
ท่านอาจารย์ รูปร่างสัณฐานใช่ไหม ทำไมเราเห็นเป็นดอกไม้ ทำไมเราไม่เห็นเป็นใบไม้ ทั้งๆ ที่เห็น แล้วก็มีสีด้วย เพราะอะไร เพราะว่าสีตัดกัน ไม่ใช่สีเดียว ถ้าเห็นสีขาวเท่านั้นเอง มันเป็นอะไร ใช่ไหม ถ้าไม่มีอะไรมาตัด มาเป็นรูปร่างสัณฐานต่างๆ แต่เพราะความหลากหลายของสี ถ้ามีสองสีเริ่มเห็นรูปร่างแล้ว ยิ่งมีหลายๆ สีเพิ่มขึ้นใช่ไหม ตามสิ่งที่อยู่ตรงนั้น ยาวสั้นแค่ไหน สีก็ปรากฏยาวสั้นแค่นั้น เป็นนิมิตต่างๆ จนกระทั่งแต่ละกลีบไม่เหมือนกัน ดอกตูมกับดอกบานก็ไม่เหมือนกันใช่ไหม เพราะสีและก็สัณฐานที่ทำให้จำ ไม่ต้องเรียกอะไรเลยก็ต่างกัน เพราะฉะนั้นชีวิตประจำวันเป็นอย่างนี้คือไม่มีเรา แต่ว่ามีธรรมทั้งหมดหลากหลายมาก เกิดดับสืบต่อจนปิดบังความจริงหมด ไม่ใช่ชาติเดียวปิดบังมาตลอด แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ ตรัสรู้คือทีละหนึ่ง แต่ละหนึ่งตามความเป็นจริง กว่าจะเห็นเป็น ๒ สี ต้องเห็นทีละสีใช่ไหม ที่รู้ว่าสีหลากหลายเพราะอะไร
ผู้ฟัง ก็เพราะมองด้วยสายตา
ท่านอาจารย์ ต้องเห็นสีหนึ่ง แล้วก็เห็นอีกสีหนึ่ง จึงรู้ว่า ๒ สีนี้ไม่เหมือนกันใช่ไหม
ผู้ฟัง ใช่
ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ว่าพร้อมกันเลย ถูกต้องไหม เพราะสีไม่เหมือนกันอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นขณะที่เห็นสีหนึ่ง ใช้คำว่าหนึ่ง จะมีอีกหนึ่งไม่ได้ ถูกต้องไหม หนึ่งเป็นหนึ่ง ถ้าเห็นชมพูจะไปเห็นม่วงไม่ได้ ต้องชมพูปรากฏในขณะที่เห็น ถ้าเห็นม่วง ขณะม่วงนั้นก็ไม่มีชมพู แต่เรามารวมกันใช่ไหม ความรวดเร็วทำให้พร้อมกัน จนปรากฏเป็นรูปร่างสัณฐานต่างๆ เพราะฉะนั้นเราเห็นนิมิต ในภาษาไทยใช้คำว่านิมิต ภาษาบาลีจะออกเสียงว่านิมิตตะ สัณฐานรูปร่างที่ทำให้เกิดความจำ ถ้าไม่มีรูปร่างสัณฐาน จะจำได้อย่างไรว่าเป็นดอกไม้ เป็นกลีบดอกไม้ เป็นก้านดอกไม้ แต่เพราะความต่างใช่ไหม โดยนิมิตที่เกิดสืบต่อ เพราะฉะนั้นการเกิดดับของสภาพธรรมเร็วแค่ไหน เพราะว่าเรายังไม่ได้พูดถึงเลยว่า ธรรมที่มีจริง ทุกอย่างมีจริง แต่สิ่งที่มีจริงประมาณไม่ได้เลยว่าเท่าไหร่ เกิดแล้วดับแล้วใครจะไปนับได้ แต่ต่างกันจำแนกกันโดยเป็นประเภทได้ คือสภาพธรรมอย่างหนึ่ง เกิดจริงแต่ไม่รู้อะไร มีไหม เสียง กลิ่น รส แข็ง อ่อนไม่รู้อะไรเลย แต่ถ้ามีแต่สิ่งที่ไม่รู้อะไร โลกก็ไม่ปรากฏ อะไรก็ไม่ปรากฏ แต่เพราะมีธรรมสิ่งที่มีจริงอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นธาตุรู้ ภาวะที่รู้เกิดขึ้นและต้องรู้ เหมือนอย่างแข็งเกิดขึ้นเป็นอื่นไม่ได้นอกจากแข็ง เสียงเกิดขึ้นเป็นอื่นก็ไม่ได้นอกจากเสียง เพราะฉะนั้นธาตุนี้เกิดขึ้นรู้ เป็นอื่นไม่ได้เลย นอกจากต้องรู้ บังคับให้แข็งไม่เกิดได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ บังคับให้ได้ยินไม่เกิดได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นบังคับให้ธาตุรู้ไม่เกิดก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้นที่ว่าเป็นเรา ก็คือมีทั้งธาตุรู้และสภาพที่ไม่รู้อะไร เพราะฉะนั้นทุกอย่างเป็นธรรม สภาพที่มีเป็นธรรมแต่ไม่รู้ใช้คำว่ารูปธรรม พอได้ยินคำว่ารูปธรรม หมายความว่าเสียง กลิ่น พวกนี้ที่ไม่รู้อะไรทั้งหมด แต่นามธรรมคือสภาพที่เกิดขึ้น ไม่มีรูปร่างสัณฐานใดๆ เลยทั้งสิ้น แต่เกิดขึ้นรู้ อย่างเห็นกำลังเห็น จะบอกว่าไม่มีเห็นได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ เห็นแล้ว เห็นอะไร ก็เห็นสิ่งที่ปรากฏ ก็คือรู้ว่ามีสิ่งนี้ปรากฏ เวลาได้ยินเสียง รู้สิ่งต่างๆ ที่ไม่ใช่เสียงได้ไหม เวลาได้ยินต้องรู้เฉพาะเสียงเท่านั้น ได้ยินรู้อย่างอื่นไม่ได้เลยใช่ไหม เพราะฉะนั้นเห็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ ได้ยินสิ่งที่ปรากฏให้ได้ยินได้ เราก็เรียกสิ่งที่ปรากฏให้ได้ยินว่าเสียง เราเรียกสิ่งที่ปรากฏให้เห็นว่าสีสันวรรณะต่างๆ ภาษาบาลีจะใช้ว่าวัณโณก็ได้ นิภาก็ได้ ภาษาไทยเราก็ใช้ แต่เราก็ไม่เข้าใจว่าหมายความถึงอะไร เพราะฉะนั้นต่อไปนี้ เราก็รู้ว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่เกิดต้องมีสิ่งอื่นเกิดรวมกัน อาศัยกันและกันเกิดขึ้น จะเกิดขึ้นลอยๆ อย่างตาจะเกิดขึ้นลอยๆ ไม่ได้ แต่เราไม่รู้ว่าตาอาศัยปัจจัยอะไร ทำให้เกิดขึ้น ต้องมีธาตุรู้อีกประเภทหนึ่ง แต่ไม่ใช่ธาตุที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้ ตอนนี้เราจะใช้คำสั้นๆ ธาตุรู้ที่เป็นใหญ่เป็นประธานใช้คำว่าจิต เคยได้ยินคำนี้ไหม
ผู้ฟัง เคย
ท่านอาจารย์ มีคนถามว่าจิตคืออะไร ตอบได้ไหม แต่ก่อนนี้
ผู้ฟัง ตอบไม่ได้
ท่านอาจารย์ แต่เดี๋ยวนี้ ตอบได้ใช่ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ สภาพรู้นั่นเอง จิตอะไรก็ตามที่เกิดขึ้น แล้วรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ปรากฏ อย่างเสียงไม่ปรากฏ ถ้าจิตไม่ได้ยิน เพราะฉะนั้นที่เราใช้คำได้ยิน ก็คือธาตุที่รู้เสียง ไม่รู้อย่างอื่นเลย รู้เสียงหมายความว่าอะไร เสียงนั้นมีลักษณะอย่างไร รู้ในลักษณะของเสียงนั้น จึงรู้ความหลากหลายของเสียงใช่ไหม เสียงระฆัง เสียงนก เสียงพัดลม เสียงหลากหลายมาก เพราะฉะนั้นธาตุรู้รู้แจ้งในความเป็นหนึ่งที่หลากหลาย ธาตุนั้นเป็นจิต แต่รู้แล้วชอบบ้างไม่ชอบบ้าง สภาพธรรมที่ไม่ใช่จิต แต่เกิดพร้อมจิต เป็นเจตสิก ไม่เคยได้ยินคำนี้แน่นอน ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม
ผู้ฟัง ไม่เคย
ท่านอาจารย์ ตำรับตำราของใครก็ไม่มี นอกจากคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ทรงประจักษ์แจ้งความจริงว่า สิ่งที่ปรากฏเพียงหนึ่งเดี๋ยวนี้ทีละหนึ่ง แท้จริงมีธรรมที่อาศัยกันและกันเกิดขึ้น แต่ปรากฏได้ทีละหนึ่ง ลึกซึ้งไหม เป็นเราหรือเปล่า
ผู้ฟัง ไม่เป็น
ท่านอาจารย์ ไม่เป็น เราทำให้เกิดขึ้นได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ ไม่ได้เลย นี่คือความมั่นใจ เพราะฉะนั้นฟังธรรมเพื่อเข้าใจ ไม่ใช่ไปจำคำ นามธรรม รูปธรรม แต่ว่าเพื่อเข้าใจความเป็นธรรม ไม่ต้องรีบร้อนเลย แต่ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มั่นคงตรง เปลี่ยนไม่ได้เลย ทุกอย่างทั้งหมดมีจริงเป็นธรรม เกิดแล้วก็ดับหลากหลายมาก แต่ก็ต่างกันเป็นรูปธรรมกับนามธรรม เพราะฉะนั้นที่ว่าเป็นเราอยู่ตรงนี้เป็นอะไร
ผู้ฟัง เป็นธรรม
ท่านอาจารย์ เป็นนามธรรมกับรูปธรรม มีทั้งนามธรรมและรูปธรรม ถ้าแตะกระทบสัมผัสแข็ง ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า แข็งเป็นอะไร
ผู้ฟัง แข็งก็เป็นธรรม
ท่านอาจารย์ สภาพที่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้ เสียงเกิดแล้วก็ดับไปไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น เป็นรูปธรรม แต่สภาพรู้ต่างจากรูปธรรมทั้งหมด นั่นเป็นสภาพรู้ โกรธอย่างนี้ ต้องรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใดจึงเกิดไม่ชอบ เพราะฉะนั้นจิตเป็นธาตุที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งสิ่งนั้น แต่ความโกรธอาศัยเกิดพร้อมกับจิตนั้น ไม่ชอบสิ่งที่ปรากฏ แต่ความไม่ชอบเป็นเจตสิก สภาพธรรมที่เกิดในจิต เกิดกับจิต เกิดพร้อมจิต ดับพร้อมจิต แยกกันไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นนามธรรมมี ๒ อย่าง จิตกับเจตสิกแยกกันไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นธรรม จิตเจตสิกรูป รูปนี่รู้อะไรไหม แข็งนี่จะรู้อะไรไหม
ผู้ฟัง ไม่รู้
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นคำว่ารู้มี ๓ อย่างใช่ไหม รู้โดยวิญญาณคือธาตุที่กำลังเห็น ธาตุที่กำลังได้ยิน บอกให้ไม่เห็น ก็เห็นเกิดแล้วเป็นเห็น รู้สิ่งนั้นสิ่งที่กำลังปรากฏจะห้ามอย่างไร ไม่ให้เห็นก็ไม่ได้ เกิดเป็นเห็นก็ต้องเห็น เกิดเป็นได้ยิน ไม่ได้ยินได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ ให้ได้ยินอย่างอื่นที่ไม่ใช่เสียงได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นใช้คำว่าได้ยิน หมายความถึงมีเสียงกำลังรู้เสียง ขณะที่กำลังรู้กลิ่นมีไหม กลิ่นหอม กลิ่นอะไรตั้งเยอะแยะไป ขณะนั้นเป็นสภาพที่รู้กลิ่น ไม่ใช่สภาพที่รู้โดยอาศัยตา ไม่ใช่ต้องอาศัยหู แต่อาศัยจมูก เพราะฉะนั้นตาเป็นหนึ่ง หูเป็นหนึ่ง จมูกเป็นหนึ่ง เป็นเราหรือเปล่า ไม่มีเราเลย ไม่ว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใด ต้องเป็น ๑ ใน ๒ คือเป็นธรรมที่เป็นรูปธรรม หรือเป็นนามธรรม ค่อยๆ ละคลายความเป็นเรา ไม่ใช่ไปนั่งทำสมาธินิ่งๆ เข้าใจว่านิ่งเป็นอะไร
ผู้ฟัง มีความรู้สึกว่าตัวเอง จิตไม่นิ่ง ไม่สงบ คิดอยู่ตลอดเวลา การที่นั่งสมาธิเพื่อที่จะให้จิตใจสงบลงบ้าง
ท่านอาจารย์ นี่เป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเปล่า
ผู้ฟัง ไม่ใช่
ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ก็ทิ้งไปเลยต่อไปนี้ เพราะไม่ได้เข้าใจอะไรเลย
ผู้ฟัง ไม่ได้หรือ
ท่านอาจารย์ ก็ไม่รู้อะไร จิตก็เป็นอะไรก็ไม่รู้ จิตนิ่งเป็นอะไรก็ไม่รู้ ไม่รู้สักอย่าง แล้วจะมีความไม่รู้ไปเพื่ออะไร
ผู้ฟัง รู้จักความอดทน
ท่านอาจารย์ อดทนมีไหม
ผู้ฟัง เหมือนกับการฝึกใจว่าขณะที่
ท่านอาจารย์ เราเริ่มไขว้เขว ถ้าเราไม่ได้เข้าใจธรรมจริงๆ เราคิดหมดเลย เหมือนกับมี เหมือนกับว่าฝึก และอะไรฝึก ฝึกอะไร เห็นไหมไม่มีคำตอบ หรือจะตอบว่าอย่างไร ฝึกอะไร
ผู้ฟัง ฝึกเพื่อให้ใจสงบมาก ไม่ให้ฟุ้งซ่านจาก
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นใจคืออะไร
ผู้ฟัง ใจเป็นได้หลายอย่าง เพราะว่าสร้างจินตนาการได้เยอะแยะไปหมด
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นคิด เป็นใจด้วยหรือเปล่า
ผู้ฟัง ไม่ใช่
ท่านอาจารย์ ก็คือสับสนหมดใช่ไหม เพราะฉะนั้นถึงบอกว่าให้ทิ้งไปให้หมด อะไรที่ไม่ทำให้เราเกิดความเข้าใจ แต่ทำให้เราเกิดฟุ้งซ่าน สับสน พร่ำเพ้อ หลายคำ คือพูดคำที่ไม่รู้จักทั้งนั้น เพราะฉะนั้นจะสงบ จะนิ่ง หรือจะเข้าใจ
ผู้ฟัง เข้าใจ
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นก็ไม่ต้องสนใจนิ่งกับสงบ ใช่ไหม เพราะยังไม่รู้เลยว่าคืออะไร เพราะฉะนั้นที่สำคัญที่สุด ก็คือว่าเราไม่รู้สิ่งที่มีตั้งแต่เกิดจนตาย เราเข้าใจผิดว่ามีคนจริงๆ เป็นคนเกิดคนตาย แต่ถ้าไม่มีธรรมคือจิตเจตสิกรูป จะมีคนไหม
ผู้ฟัง ไม่มี
ท่านอาจารย์ ไม่มี จะมีนกไหม
ผู้ฟัง ไม่มี
ท่านอาจารย์ เห็นไหม คือว่าการฟังของเรา เราจะต้องรู้ว่าเมื่อเป็นความเข้าใจแล้วจึงจะไม่เปลี่ยน แต่ถ้าเราฟังเรื่อยๆ ไป ไม่เข้าใจลึกซึ้งจริงๆ พอเราคิดนิดหนึ่งไม่พอ เราก็เปลี่ยนไปได้ แต่ถ้าเป็นความเข้าใจจริงๆ เปลี่ยนไม่ได้เลย จะให้เรากลับไปไม่เข้าใจอย่างก่อนก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้นรูปธรรม เป็นนกหรือเปล่า เป็นคนหรือเปล่า
ผู้ฟัง ไม่เป็น
ท่านอาจารย์ ไม่เป็น เป็นแต่ละหนึ่งด้วย แข็งเป็นแข็ง ที่ตัวนกก็แข็ง ตัวคนก็แข็ง นกมีหู คนก็มีหู แต่หูไม่ใช่ของนก และหูก็ไม่ได้เป็นนก หูเป็นหูใช่ไหม ทุกอย่างต้องเป็นจริงแต่ละหนึ่งซึ่งไม่ใช่ของใคร
ผู้ฟัง ดังนั้นทุกอย่างที่เรามองเห็นอยู่ ทุกอย่างก็เป็นธรรมได้
ท่านอาจารย์ ถูกต้อง เป็นแล้ว ไม่ต้องเป็นได้ เป็นแล้ว ใช้คำนี้เลย ธรรมคือสิ่งที่มีจริง เพราะฉะนั้นไม่ต้องใช้คำว่าธรรม ก็เปลี่ยนสิ่งที่มีจริงๆ ให้ไม่มีไม่ได้ ธรรมเป็นอีกภาษาหนึ่งเท่านั้นเอง คือเป็นภาษามคธีที่ชาวเมืองเขาไม่พูดว่าสิ่งที่มีจริง เขาก็พูดว่าธรรม เพราะฉะนั้นธรรม ธาตุ ธา-ตุ ธอ ธง สระอา ตอเต่า สระอุ เหมือนกัน สิ่งที่มีจริงเปลี่ยนลักษณะไม่ได้ แต่ที่เราใช้คำว่าธาตุ เพราะว่าสิ่งนั้นดำรงรักษาความเป็นสิ่งนั้น ขยายคำว่ามีจริงอย่างไร มีจริงคือเสียงมีจริงๆ และเป็นธาตุอย่างไร ใครเปลี่ยนเสียงให้เป็นอื่นไม่ได้ เปลี่ยนอะไรไม่ได้เลย หวานจะไปเป็นเห็นก็ไม่ได้ แต่ละหนึ่งแต่ละหนึ่ง ก็มีจริงทั้งหมดก็เป็นธรรม ถ้าเป็นธรรมแล้วเป็นเราได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ นี่คือค่อยๆ มั่นคงในคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ตรัสว่าธรรมทั้งหลายไม่เว้นเลย ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา อัตตาคือสิ่งหนึ่งสิ่งใด เป็นดอกไม้ เป็นโต๊ะ นั่นก็สิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่อนัตตาไม่ใช่สิ่งใดสิ่งหนึ่งเลย แต่เป็นธรรมแต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง ซึ่งเกิดแล้วก็ดับ รวมกันแล้วก็ปรากฏรูปร่างต่างกัน เป็นโต๊ะ เป็นเก้าอี้เพราะสัณฐานของสิ่งที่เป็นรูปธรรม อ่อน แข็ง เย็น ร้อน เราเรียกว่าปากกา จะเป็นโต๊ะได้ไหม ปากกาแข็งไหม โต๊ะแข็งไหม แต่ยาวสั้นต่างกัน สัณฐานต่างกัน จะเรียกอย่างเดียวหรือจะเป็นอย่างเดียวกันไม่ได้ ความดีมีจริงไหม
ผู้ฟัง จริง
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นความดีมี เป็นธรรมแน่นอนเพราะมีจริงๆ สิ่งไหนก็ตามที่มีจริง ความไม่ดีเป็นธรรมหรือเปล่า
ผู้ฟัง เป็น
ท่านอาจารย์ ต้องเป็น เห็นไหม เราเริ่มเข้าใจมั่นคงแล้ว บางคนก็บอกว่าธรรมต้องเป็นแต่ฝ่ายดี คือเขาไม่ได้ละเอียดที่จะรู้ว่า ธรรมหมายความถึงอะไร แต่ถ้าธรรมหมายความถึงทุกอย่างที่มีจริงๆ เกิดขึ้นปรากฏว่ามี ไม่เรียกชื่อก็ได้ เราเห็นต้นไม้ตั้งหลายต้น เราไม่รู้จักชื่อ ใช่ไหม แต่มีจริงไหม
ผู้ฟัง มี
ท่านอาจารย์ มีจริงๆ ก็เป็นธรรม ต้นไม้นี่เป็นธรรมประเภทไหน
ผู้ฟัง รูปธรรม
ท่านอาจารย์ รูปธรรม กบเป็นอะไร
ผู้ฟัง เป็นรูปธรรม
ท่านอาจารย์ และนามธรรม ๒ อย่าง ไม่ได้มีแต่รูปธรรมใช่ไหม กบเห็น ปลาก็รูปธรรม นามธรรม ถ้าพูดถึงส่วนที่ไม่รู้คือตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าที่แข็งเป็นรูปธรรม ไม่รู้อะไรเลย แต่เห็น ได้ยิน คิดนึกเป็นนามธรรม ชอบไม่ชอบเป็นนามธรรม ที่เราเรียกว่ากบ เพราะรูปร่างสัณฐานเป็นอย่างนั้น แต่เห็นจะไม่มีรูปร่างสัณฐานใดๆ เลยทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นเห็นจะเป็นกบไม่ได้ เป็นคนไม่ได้ เห็นเป็นเห็น เป็นนามธรรม แต่เราเรียกสิ่งนั้นสิ่งนี้ต่างกันหลากหลายตามรูปธรรม นอนหลับนี่สงบไหม
ผู้ฟัง ไม่รู้ตัวแล้ว ก็คงสงบเลย
ท่านอาจารย์ เห็นไหม มีแต่ไม่รู้และก็คง แต่ควรจะรู้ไหม ดีกว่าปล่อยให้ไม่รู้กับคงจะไปเรื่อยๆ
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1261
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1262
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1263
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1264
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1265
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1266
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1267
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1268
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1269
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1270
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1271
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1272
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1273
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1274
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1275
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1276
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1277
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1278
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1279
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1280
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1281
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1282
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1283
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1284
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1285
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1286
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1287
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1288
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1289
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1290
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1291
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1292
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1293
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1294
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1295
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1296
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1297
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1298
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1299
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1300
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1301
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1302
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1303
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1304
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1305
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1306
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1307
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1308
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1309
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1310
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1311
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1312
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1313
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1314
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1315
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1316
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1317
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1318
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1319
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1320
