ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1273


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ปกิณณกธรรม ตอนที่ ๑๒๗๓

    สนทนาธรรม ที่ กนกรัตน์ รีสอร์ท อัมพวา จ.สมุทรสงคราม

    วันที่ ๒ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๖๑


    ท่านอาจารย์ สิ่งที่ควรจะรู้และเข้าใจ ไม่พ้นจากสิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ แต่ก็เป็นสิ่งที่ยากมาก เพราะว่าเพียงกล่าวถึงสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ก็หมดแล้ว แต่ไม่มีใครรู้เลยว่าแท้ที่จริง สิ่งที่เราพูดว่าเดี๋ยวนี้ ก็คือหมดแล้วไม่เหลือเลย แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย เพราะฉะนั้นทุกอย่าง ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา เป็นสิ่งที่มีจริงซึ่งยากที่จะรู้ได้ เพราะฉะนั้นฟังเพื่อเข้าใจในภาษาไทย เราใช้คำว่าเข้าใจถูก ตามความเป็นจริงของสิ่งที่มี แต่ภาษาบาลีก็ใช้คำว่าปัญญา ถ้าเราไม่เข้าใจเราก็คิดว่า เราอยากมีปัญญา แต่ถามว่าปัญญารู้อะไร อยากมีปัญญาไปทำไม และปัญญานั้นรู้อะไร จะมีใครตอบไหมว่าเพื่อจะเข้าใจสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ ให้ถูกต้องตามความเป็นจริง เพราะว่าแต่ละคำ แม้แต่ฟังก็ยากที่จะเข้าใจ เดี๋ยวนี้เห็นดับแล้ว เห็นไหม ใครจะเข้าใจได้ แต่ว่าขณะที่ได้ยินก็ไม่ใช่ขณะที่เห็น เพราะฉะนั้นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเป็นคำจริงจากการที่ได้บำเพ็ญพระบารมี ที่จะรู้ความจริงอย่างนี้ได้นานมาก เพราะฉะนั้นคนฟังก็ต้องเป็นผู้ที่รู้ว่าเพื่อความเข้าใจ หรือข้อความในพระไตรปิฎกมีว่า เพื่อปัญญาเกิดขึ้น เพื่อปัญญาปรากฏ ถ้าปัญญายังไม่เกิดจะรู้ไหมว่า ปัญญาต่างกับความไม่รู้เดี๋ยวนี้ ที่กำลังไม่รู้สิ่งที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้นแต่ละคำก็เป็นเรื่องที่ฟังแล้วไตร่ตรอง แต่ละคำต้องมีความมั่นคงว่า เป็นคำที่ถูกต้องเปลี่ยนแปลงไม่ได้ เช่นขณะนี้มีจริงๆ ไม่ปฏิเสธเลยไหม แต่ไม่รู้ตามความเป็นจริง

    เพราะฉะนั้นฟังทำไม ก็ฟังเพื่อเข้าใจเพื่อรู้ความจริงของสิ่งที่มี จะไปรู้ความจริงของอะไรที่ไม่มีได้หรือ เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีแล้วไม่รู้นี่แหละ แสดงถึงความไม่รู้ว่าไม่รู้มานานมาก และสิ่งที่จะรู้ได้ก็ถูกปิดบัง ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ความจริง เป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละคำ เป็นปาฏิหาริย์เป็นเตชะเป็นเดชมีกำลัง ที่จะทำให้ความไม่รู้ซึ่งไม่รู้มานาน ค่อยๆ เป็นความรู้ความเข้าใจขึ้น เพราะฉะนั้นจึงเป็นผู้ที่ไม่ประมาทในสิ่งที่มี ว่า ยากที่สุดที่จะรู้ได้แต่รู้ได้ แต่ไม่ใช่ด้วยความไม่รู้ ด้วยความเป็นตัวตน ด้วยความอยาก แต่ด้วยการที่ได้ฟังคำซึ่งทำให้ไตร่ตรอง แล้วก็ค่อยๆ เข้าใจความจริงว่าความจริงอย่างนี้ เป็นอย่างนี้เปลี่ยนไม่ได้เลยแน่นอนที่สุด ใครจะเปลี่ยนเห็นให้เป็นอย่างอื่น กำลังได้ยินก็ไม่ใช่เห็นละ และคิดก็ไม่ใช่ทั้งเห็นทั้งได้ยิน ขณะนี้ก็เป็นสิ่งซึ่งเราก็ไม่เคย รู้ล่วงหน้ามาก่อนเลย ไม่มีใครรู้ว่าขณะต่อไปจะเป็นอะไร เพราะฉะนั้นก็เป็นผู้ที่ไม่ประมาทว่า ฟังพระธรรมไม่ใช่เพื่อลาภยศ สักการะ ชื่อเสียง หรือว่าอยากจะเป็นพระอริยบุคคล หรือใครก็ตาม แต่ฟังเพราะไม่รู้ แล้วก็ฟังเพื่อเมื่อฟังแล้วค่อยๆ รู้แล้วจะไปทำอะไรไหม จะไปเปลี่ยนแปลงชีวิตไหม นั่นคือไม่รู้สิ่งที่เกิดแล้ว ทันทีที่คิดจะทำอะไร ก็คือไม่รู้สิ่งที่ปรากฏแล้ว เพราะฉะนั้นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามากมาย ๔๕ พรรษา ตั้งแต่คำแรกจนถึงคำสุดท้ายทุกคำ เป็นไปเพื่อให้ผู้ที่ไม่เคยเข้าใจมาก่อน ได้ไตร่ตรองได้พิจารณา แล้วเป็นความรู้ของบุคคลนั้นเอง

    เพราะฉะนั้นให้อะไรใครให้ได้ไหม จะให้ยังไงล่ะ เกิดแล้วดับแล้วทั้งนั้นแหละ แต่ว่าให้คำซึ่งเกิดจากปัญญา ซึ่งเป็นผู้ที่ทรงตรัสรู้ ซึ่งไม่มีคำอื่นใดจะจริงเท่าคำนี้แต่ละคำแต่ละคำ มีประโยชน์ที่ทำให้ความไม่รู้ค่อยๆ หมดไป และความรู้ก็ค่อยๆ เพิ่มขึ้น เพราะว่าทุกคนต้องจากทุกอย่างที่มี เดี๋ยวนี้ก็กำลังเป็นอย่างนั้น แต่ไม่ปรากฏให้รู้แต่จะรู้ต่อเมื่อมีการสูญเสีย เราก็คิดว่าเราจาก แต่ว่าความจริงสูญเสียทุกขณะ ไม่มีขณะไหนที่เหลืออยู่ได้เลย แต่เพราะความไม่รู้ ซึ่งปกปิดการเกิดดับสืบต่ออย่างเร็วสุดที่จะประมาณ ก็ทำให้เหมือนกับว่ากำลังมีทุกอย่าง เพราะฉะนั้นคำแต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อพิจารณาแล้วสามารถประจักษ์แจ้งและคุณค่ามหาศาล ไม่มี ถูกไหม แล้วจึงมี เมื่อเกิดขึ้น เกิดแล้วก็หมดดับไป ไม่เหลือเลย ไม่มี เพราะฉะนั้นมีอะไร มีแต่เพียงสิ่งซึ่งมีปัจจัยเกิดขึ้นชั่วคราว แล้วก็ดับไปแล้วก็ไม่กลับมาอีก แต่สิ่งที่เกิดไม่ได้หยุดยั้งเลย เกิดตลอดมากมายเป็นโลก เป็นดวงดาว เป็นอะไรสารพัดอย่าง เป็นคน เป็นวัตถุสิ่งของ แต่ละ ๑ เกิดขึ้นละเอียดยิบ ตามเหตุตามปัจจัย แต่เมื่อรวมกันก็ปรากฏความลวง เหมือนเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง เพราะฉะนั้นสัตว์โลกจึงถูกลวง ด้วยความไม่รู้ จากไม่มี แล้วก็เกิดมี แล้วก็หมดไปก็ไม่รู้ แต่ก็ยังติดข้องพอใจเพราะหลงยึดถือว่ายังมีอยู่ เพราะฉะนั้นคุณค่าของการที่จะได้รู้ความจริง ซึ่งเปลี่ยนแปลงไม่ได้เลย ใครก็เปลี่ยนไม่ได้ความจริงเป็นอย่างนี้ ก็คือไม่มีแต่มีเมื่อเกิดขึ้นและไม่รู้ และติดข้องซึ่งทั้งหมดก็หมดแล้ว ถูกต้องไหม เมื่อกี้นี้เสียงเพลงเพราะๆ หมดแล้ว เสียงใหม่หมดอีก คิดใหม่ก็หมดอีก ไม่มีอะไรที่เหลือเลย เพราะฉะนั้นฟังไป เพราะเหตุว่าความเข้าใจที่กำลังเข้าใจนี่แหละที่กำลังสะสม จนกระทั่งเริ่มรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า แต่ละคำมาจากที่ได้ทรงตรัสรู้ เป็นคำที่นำให้เกิดปัญญาความเห็นที่ถูกต้อง ซึ่งไม่มีคำอื่นที่จะสามารถทำให้เข้าใจ สิ่งที่มีซึ่งถูกปกปิดไว้นานมาก จนกระทั่งสามารถที่จะเปิดเผยความจริงประจักษ์แจ้ง ละความไม่รู้ สามารถที่จะรู้ความจริงยิ่งขึ้น กับสิ่งที่เราเคยคุ้นเคยพอใจอย่างยิ่ง ความสนุกสนาน ความติดข้อง ทรัพย์สมบัติมากมาย ซึ่งความจริงก็คือว่าไม่เหลือเลย ไม่สามารถที่จะเหลือได้ เพราะเหตุว่าแท้ที่จริงก็กำลังดับไปทุกขณะ ก็เป็นสิ่งซึ่งวันหนึ่งแต่ละคำที่ได้ฟัง จะเป็นความจริงที่ปรากฏว่ าเป็นอย่างนั้นเปลี่ยนแปลงไม่ได้เลย

    อ.วิชัย กราบท่านอาจารย์ โดยมากเราก็เพียงแต่กล่าวว่า บุคคลที่ประสพสิ่งโน้นสิ่งนี้ที่ดีบ้างหรือไม่ดีบ้าง ก็เพราะมีกรรม ก็อยากกราบเรียนท่านอาจารย์ว่า ความละเอียดของกรรม ซึ่งเป็นเหตุให้คนได้รับผลที่ต่างกันๆ คืออย่างไร

    ท่านอาจารย์ มีคำมากมาย ๔๕ พรรษา ทุกคำลึกซึ้งประมาทไม่ได้เลย ว่าต้องเข้าใจจริงๆ มิฉะนั้นก็พูดมาทั้งวัน คนโน้นมีกรรมอย่างนี้ ทำให้เกิดอย่างนี้ โรคภัยไข้เจ็บอย่างนั้น สูญเสียทรัพย์สมบัติต่างๆ ก็ใช้คำว่ากรรม แต่ว่ารู้จักคำนี้แค่ไหน เพราะฉะนั้นแต่ละคำประมาทไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นเริ่มไตร่ตรองที่จะรู้จักความจริงว่ามีความเข้าใจคำนี้มากน้อยแค่ไหน ไม่ใช่เพียงแต่พูดแล้วเชื่อ เพราะฉะนั้นได้ยินคำว่ากรรมมีจริงไหม เห็นไหม ยังไม่รู้เลยว่าอะไร แต่ถามว่ามีจริงไหม แล้วจะตอบล่ะเห็นไหมความประมาท ในความละเอียดของแต่ละอย่าง ถ้าก่อนจะตอบว่ามีจริงไหม ก็ต้องรู้ว่ากรรมคืออะไร

    อ.วิชัย กรรมคือเจตนาความจงใจ

    ท่านอาจารย์ ก็ยังห่างไกล เพราะว่าเจตนาก็พูดกันทั้งวัน แล้วเจตนาคืออะไร เห็นไหมว่าไม่รู้ ไม่รู้หมดเลย เหมือนรู้ ฟังแล้วเหมือนเข้าใจ แต่ทำไมไม่ปรากฏสักทีอย่างที่ได้ฟัง เพราะว่าความรู้นั้นเผิน แล้วก็คิดว่าฟังก็เข้าใจเพียงเท่าระดับหนึ่ง ถ้าจะพูดถึงว่ากรรมคืออะไร ก็ตอบว่ากรรมคือเจตนา อีก ๑๐ วันถามว่ากรรมคืออะไร ก็ตอบว่ากรรมคือเจตนา อีกปีหนึ่งถามว่ากรรมคืออะไร กรรมก็คือเจตนา แล้วเมื่อไหร่จะรู้ความจริงว่ากรรมคืออะไร เพราะฉะนั้นจึงเป็นเรื่องที่ทุกคน ก็เป็นอย่างนี้แหละไม่มีใครที่จะต่างจากอย่างนี้เลย สะสมความไม่รู้มามาก สะสมกิเลสสารพัดไว้มาก ถ้าเป็นสิ่งที่มองเห็นได้ จะรกรุงรังสักแค่ไหนในจิต สลับซับซ้อน หนาแน่น เหนียวแน่นแกะไม่ออกเลย ติดกันหมดเลยใช่ไหม ก็เป็นอย่างนี้เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ แต่ว่าเมื่อเป็นนามธรรมก็เปรียบเทียบได้ว่า ความไม่รู้นี่หนาแน่น ทึบ ปิดบังสิ่งที่กำลังปรากฏ ไม่รู้ให้รู้ตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้นจะได้ยินคำว่า กรรมคือเจตนาอีกเท่าไหร่ ก็ยังจะต้องเข้าใจมากกว่านั้น ถ้าถามว่ากรรมคือเจตนา แล้วถามว่าเจตนาคืออะไร

    อ.วิชัย ถ้ากล่าวถึงเจตนาคือ ความจงใจ ความขวนขวาย ในการที่จะกระทำกรรมนั้นให้สำเร็จ หรือสิ่งนั้นให้สำเร็จลงไป

    ท่านอาจารย์ แล้วการกระทำคืออะไร

    อ.วิชัย ก็ต้องหมายถึงมีนามธรรมที่เกิด ที่จะเป็นเหตุให้มีการกระทำทางกายหรือวาจา หรือแม้แต่ความคิด ก็เป็นไปตามอำนาจของเจตนา

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นกว่าจะเข้าใจ แม้แต่นามธรรมไม่ใช่เราใช่ไหมที่กำลังพูด กำลังฟัง กำลังถาม แต่ทั้งหมดมีจริงแต่ละ ๑ แต่ละ ๑ แต่ละ ๑ ไม่ใช่ไม่มี แต่มีต่อเมื่อเกิดขึ้นถ้าไม่เกิดก็ไม่มีเลย เพื่อเราจะได้ค่อยๆ ไปสู่การละคลายความติดข้องว่า มีก็ไม่รู้ และยังยึดถือว่าเป็นเราด้วย ใช่ไหมแต่ว่าความจริงสิ่งนั้น ก็หมดแล้วไม่เหลือเลย เพราะฉะนั้นที่จะละความติดข้องได้ก็ต่อเมื่อ ไม่มี ถ้ายังมียังไงก็ต้องติดข้องอยู่ เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ เป็นสิ่งซึ่งประมาทไม่ได้เลย พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า ละความติดข้อง ง่ายไหม ตรัสด้วยพระองค์เองก็ทำสิ ตั้งหลายคนก็คิดว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส และเราก็ต้องทำ แต่ความจริงไม่ใช่อย่างนั้นเลย ต้องรู้ว่าละคืออะไร แล้วละอะไร

    เพราะฉะนั้นละเอียดอย่างยิ่ง ฟังคำไหนก็คือฟังเพื่อเข้าใจว่าพระธรรมลึกซึ้ง และก็เป็นสิ่งซึ่งถ้าไม่ฟังให้เข้าใจจริงๆ ก็ไม่มีทางที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่าแต่ละคำที่เราได้ฟัง มีความลึกซึ้งที่ทรงบำเพ็ญบารมีมา เพื่อที่จะได้รู้ความจริง เพราะฉะนั้นคนฟังต้องเห็นความลึกซึ้งอย่างยิ่ง รู้ว่าขณะนี้มีสิ่งที่กำลังปรากฏจริงๆ และมีสภาพที่กำลังเห็นด้วย เห็นไหม ถ้าพูดว่าเห็นก็เหมือนเข้าใจละ และสิ่งที่กำลังปรากฏนี้ไม่ค่อยจะชินหู เพราะว่าเราคุ้นเคยกับความเห็นว่าอะไร เห็นคน เห็นโต๊ะ เห็นห้อง เห็นดอกไม้ ง่ายเลย ไม่เห็นมีใครสงสัยเลย พอตอบอย่างนี้ก็รู้เรื่องรู้ราวกันไปหมดใช่ไหม เหมือนกับรู้เห็นอะไร แต่ความจริงถ้าถามชัดๆ เห็นอะไร ใช่ไหม ที่ตอบเมื่อกี้นี้ว่าเห็นดอกไม้เห็นโต๊ะเห็นเก้าอี้เห็นคน คิดให้ละเอียดนี่คือการที่จะเข้าใจคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าเห็นอะไร ถ้าไม่มีการได้ยินได้ฟังมาก่อน ไม่มีทางเลยที่จะตอบได้ตรงว่าเห็นสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น สิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่ไม่ปรากฏให้เห็น จะเห็นได้ไหม ไม่ได้เลย สิ่งอะไรอยู่ข้างหลังปรากฏหรือเปล่า เห็นไหมไม่เห็น จะเห็นได้ยังไง ต่อเมื่อสิ่งนั้นกระทบตาจึงปรากฏให้เห็น เพราะฉะนั้นสิ่งที่ปรากฏเดี๋ยวนี้ บอกมาแต่ละ ๑ ได้ไหมว่าอะไร รวมกันไปหมดเลยใช่ไหม ดอกไม้สีอะไร แม้ในดอกเดียวก็ยังหลายสี สีม่วงอ่อน สีม่วงแก่ก็หลากหลายแล้ว เพราะฉะนั้นความไม่รู้ความเป็นจริง มากมายมหาศาลระดับไหน เพราะฉะนั้นฟังแล้วไม่ประมาท ฟังแล้วก็คือว่าเข้าใจจริงๆ ว่าสิ่งนี้รู้ยากไหม เพราะเหตุว่าต้องละความไม่รู้ ละอะไร ความไม่รู้อะไร ไม่รู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏ เพราะฉะนั้นละความไม่รู้ในเห็นที่กำลังเห็น และละความไม่รู้ในสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น ไม่มีทางที่ใครจะฟังคำเหล่านี้เข้าใจได้เลยโดยการคิดเอง แต่ต้องฟังให้ละเอียดทีละคำทีละคำ เจตนามีจริงไหม มีจริงแน่นอน และเจตนาคืออะไร ความจงใจที่จะกระทำสิ่งหนึ่งสิ่งใด เดี๋ยวนี้มีไหม

    อ.วิชัย หมายความว่าขณะที่พูดแต่ละคำ มีเจตนาที่จะให้กล่าวแต่ละคำแต่ละคำออกมา

    ท่านอาจารย์ เห็นไหม ต้องคิดละ เราบอกเราไม่ได้ไปเจตนาทำอะไรเลย ทุกคนก็แค่นั่ง เดี๋ยวนี้กำลังฟังมีเจตนาที่จะฟังหรือเปล่า

    อ.วิชัย ต้องมี ท่านอาจารย์

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่ถามก็ไม่รู้ แล้วก็ไปพูดถึงเจตนา เท่าที่รู้กันเท่านั้นเองใช่ไหม ว่าเจตนาคือการกระทำสิ่งหนึ่งสิ่งใด ทำเหตุและผลก็ต้องเกิดขึ้น ก็อยู่กันตรงนี้แค่นี้เอง แต่จะเข้าใจมากกว่านี้ได้ไหม ถ้าเข้าใจมากกว่านี้ ไม่ได้เพราะอะไร เพราะไม่ได้ฟังคำที่แสดงความจริงยิ่งกว่านี้ เพราะว่าผู้นั้นเป็นผู้ที่ทรงตรัสรู้ความจริงยิ่งกว่านี้ เพราะฉะนั้นที่ว่าฟังธรรมมานาน หรือบางคนก็ฟังแล้วก็ลืมไป ฟังแล้วก็หยุดไป และอีกหลายๆ ปีก็มาฟังใหม่ก็แค่นี้ แต่ว่าความลึกซึ้งมากกว่านี้ ที่จะเป็นผู้ที่เห็นว่าต้องเข้าใจจริงๆ ในแต่ละคำ ที่พูดนี่ผ่านไปแล้วแต่ละคำ เผินหมดเลย เมื่อยังไม่เป็นความเข้าใจจริงๆ ของแต่ละคน เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏคืออะไร ตอนนี้จะตอบว่าเป็นดอกไม้หรือเปล่า ตอบแล้วนี่ ดอกไม้โต๊ะเก้าอี้ก็ตอบไปอย่างนี้ ถูกถามอะไรก็ตอบไปอย่างนี้ แต่จะมีความจริงที่เกิดจากการไตร่ตรองว่า จริงกว่านั้นก็คือว่าสิ่งนี้ที่ปรากฏ เป็นสิ่งที่ต้องกระทบตา ไม่เห็นมีใครสนใจที่จะเข้าใจเลย ไปซื้อดอกไม้มาจัดแจกัน ทำโน่นทำนี่ แต่ว่าไม่ได้มีใครสนใจเลย สิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้มีจริงๆ ต้องกระทบตา แข็งไหม สิ่งที่กระทบตาแข็งไหม เห็นไหม ค่อยๆ คิดว่าแท้ที่จริงแล้ว เกิดมานี่ ตอนเกิดยังไม่เห็นเลย แต่ก็ต้องเห็นละเพราะเหตุมีตา เพราะฉะนั้นเป็นเรื่องที่ใคร ก็ไม่สามารถที่จะแสดงความละเอียดอย่างยิ่งของสิ่งที่มีทุกอย่าง ตั้งแต่ขณะเกิดจนตาย แต่ละ ๑ ขณะได้นอกจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นทุกคนได้ฟังแล้ว ก็รู้ว่าเป็นสิ่งซึ่งไม่ได้ฟังมานาน ถ้าไม่ได้ยินได้ฟังแต่ละคำ จะมีอายุนานเท่าไหร่ก็ตาม แก่แล้วก็ตาม ก็ยังไม่เคยได้ยินสักคำก็ได้ ใช่ไหม เพราะฉะนั้นก็เป็นสิ่งซึ่งใหม่ ต่อการที่จะได้เข้าใจ และเป็นสิ่งซึ่งถ้าไม่เริ่มเข้าใจอย่างมั่นคงจริงๆ เลย ไม่มีวันที่จะเข้าถึงคำที่เราพูดบ่อยๆ แต่เราก็เข้าใจเพียงเล็กน้อย เช่นเจตนาคือกรรม เพราะฉะนั้นก็ฟังธรรมทีละคำ แล้วก็รู้จริงๆ ว่าความลึกซึ้งความละเอียด ถ้าไม่มีการฟังเลย สามารถที่จะรู้ความจริงได้ไหม ที่ใช้คำว่าตรัสรู้หรือว่าปริญัติ ปฏิปัติ ปฏิเวธ ก็เป็นคำที่เผินมาก ถ้าจะพูดเรื่องกรรมเร็วๆ ก็คงได้ใช่ไหม กิ่งมีเท่าไหร่ กรรมเห็นไหม มีกรรมอะไรบ้าง จำแนกก็ได้เลยหมด แต่เดี๋ยวนี้เป็นกรรมหรือเปล่า และเป็นเราหรือเปล่า และเกิดหรือเปล่าดับหรือเปล่า

    อ.อรรณพ กราบท่านอาจารย์ ยิ่งฟังก็ยังเห็นความไม่รู้ที่มากมาย อย่างท่านอาจารย์กล่าวว่าละอะไร เขาก็บอกว่าละความโลภ ความโกรธ ความหลง คำตอบแค่นี้จะเพียงพอไหม ท่านอาจารย์

    ท่านอาจารย์ คุณอรรณพตอบเองได้ ใครๆ ก็ตอบได้ถ้าเป็นคนตรง แต่ถ้าคนไม่ตรง ไม่รู้จักโลภ ไม่รู้จักโกรธ ไม่รู้จักหลง ไม่รู้จักแล้วละได้หรือ จะไปละยังไงยังไม่รู้เลยว่าอยู่ไหน เดี๋ยวนี้เห็นรึเปล่า

    อ.อรรณพ เห็น

    ท่านอาจารย์ ถ้าเห็นไม่เกิดจะเห็นไหม

    อ.อรรณพ เห็นไม่เกิดก็ไม่เห็น

    ท่านอาจารย์ แค่นี้ชัดเจน แต่กว่าจะรู้จริงๆ ซึ่งจะต้องเข้าใจให้ถูกต้องว่าความไม่รู้ และมากระดับไหน เพราะฉะนั้นการฟังไม่ใช่ไปหวังอะไรเลยทั้งสิ้น เลิกหวัง อายตนะ ธาตุ อะไรตรงนั้นประกอบด้วยเจตสิกเท่าไหร่ อะไรทั้งหมด ก็สิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้และหที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงว่า เข้าใจให้ถูกต้อง ว่าสิ่งนี้ก่อนเห็นมีเห็นไหม

    อ.อรรณพ ไม่มี

    ท่านอาจารย์ พอเห็นแล้วดับไหม

    อ.อรรณพ ดับ

    ท่านอาจารย์ รู้ไหม

    อ.อรรณพ ไม่ได้รู้อย่างนั้น ที่รวดเร็วสุดจะประมาณได้

    ท่านอาจารย์ จนกว่าจะรู้สิ ในเมื่อตอบถูก ใช่ไหม ไม่ได้ตอบเปล่าๆ แต่ว่าความรู้ขั้นตอบได้จะมีประโยชน์อะไร เพราะฉะนั้นความเป็นผู้ที่ตรง ก็คือว่าเมื่อสิ่งนี้จริง คนนั้นก็ต้องรู้ว่าความรู้ของตนเองแค่ไหน แล้วจะไปขวนขวายทำอะไรก็ผิดหมดใช่ไหม แต่คำแต่ละคำที่ฟังแล้วเข้าใจเดี๋ยวนี้ต่างหาก ที่กำลังสะสมสืบต่อปรุงแต่ง ที่เราใช้คำว่าสังขารขันธ์ คงได้ยินบ่อยๆ ขันธ์ ๕ รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ ถ้ารู้ตามนี้ ก็ยังไม่ใช่รู้อะไร เพราะยังไม่รู้ตั้งแต่ต้นว่าธรรมคืออะไร เพราะฉะนั้นก็มีขันธ์ ที่ไม่รู้ว่าเป็นธรรมด้วยซ้ำไป เพราะฉะนั้นธรรมจึงต้องละเอียดมาก คำเดียวฟังเพื่อที่จะเข้าใจจริงๆ คือรอบรู้ ท่านทรงแสดงไว้กี่คำทั้งหมดสอดคล้องกันหมด เริ่มรู้ไหมว่าเป็นสิ่งที่มีค่ายิ่งเมื่อเข้าใจ แต่จะเข้าใจไม่ใช่ง่าย แต่ว่าต้องฟังแล้วก็ไตร่ตรอง ฟังแล้วไตร่ตรอง เข้าใจจะกลับไปไม่เข้าใจอีกได้ยังไง ถ้าเป็นความเข้าใจจริงๆ ใช่ไหม เพราะฉะนั้นสิ่งนี้ต่างหากที่สะสม และก็ทำหน้าที่ของความเข้าใจ เข้าใจขึ้นอีก เข้าใจขึ้นอีก เข้าใจขึ้นอีก เข้าใจก็ไม่ใช่ใครทั้งสิ้น แต่เป็นขณะที่ฟังแล้วไตร่ตรอง สภาพธรรมที่ไม่เคยเกิด คือธรรมชนิดหนึ่งมีจริง คือความเข้าใจถูก ถ้ามีจริงเป็นสภาพรู้ด้วย แล้วก็ไม่ใช่ธาตุที่เป็นใหญ่เป็นประธาน เช่นเห็น แต่ว่าเป็นความเข้าใจในสิ่งที่เห็น เพราะฉะนั้นเห็นก็อย่าง ๑ ความเข้าใจสิ่งที่เห็นที่ปรากฏก็อีกอย่าง ๑ เพราะฉะนั้นสภาพธรรม แม้เป็นธาตุรู้ก็ยังต่างกัน อย่างนี้ แล้วเราจะเข้าใจผิดหรือว่าลืมไหม ถ้ารู้ว่าเดี๋ยวนี้มีธรรมที่เกิดขึ้นรู้ เห็น รู้อะไร ก็รู้ว่าสิ่งที่ปรากฏที่กำลังเห็นนี้เป็นอย่างนี้ ไม่ใช่ไปรู้อย่างอื่น รู้ว่าสิ่งที่กำลังถูกเห็นนี่เป็นอย่างนี้ นี่คือลักษณะของสภาพรู้หรือธาตุรู้ เพราะฉะนั้นไม่ว่าอะไรก็ตาม ความเข้าใจถูกมีจริงๆ รู้อะไรหรือเปล่า เป็นสภาพรู้หรือเปล่า ตอบได้ไม่ยากเลย แต่กว่าจะรู้จริง ว่าต้องเป็นความรู้และเป็นความเข้าใจถูก รู้ในสิ่งใดเข้าใจถูกในสิ่งนั้น เพราะฉะนั้นเป็นสภาพรู้ ที่เข้าใจถูกในสิ่งที่กำลังถูกรู้ เพราะฉะนั้นธาตุรู้นี้ ก็มี ๒ อย่างคือธาตุอย่าง ๑ เป็นใหญ่เป็นประธาน เห็นรู้ว่าอะไรกำลังปรากฏ ได้ยิน เสียงปรากฏชัดเจน ได้กลิ่น กลิ่นก็ปรากฏ ลิ้มรส รสปรากฏชัดเจน กระทบสัมผัสสิ่งใด จะร้อนแค่ไหน จะอุ่นจะเย็นยังไง สภาพที่รู้รู้แจ้งนั่นคือจิตสภาพรู้ที่เป็นใหญ่เป็นประธาน มีตาทำไม เกิดมามีหู มีจมูก มีลิ้น มีกาย ถ้าไม่สามารถกระทบกับสิ่งที่กระทบได้ และเป็นปัจจัยให้ธาตุรู้เกิดขึ้นรู้สิ่งนั้น ตาจะมีประโยชน์ไหม

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 188
    22 เม.ย. 2568