ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1276


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ปกิณณกธรรม ตอนที่ ๑๒๗๖

    สนทนาธรรม ที่ โรงแรมมีพรสวรรค์ จ.พิจิตร

    วันที่ ๕ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๖๑


    ท่านอาจารย์ เวลาก็มีไม่มาก แต่ว่าเรื่องที่จะสนทนาเป็นเรื่องที่ลึกซึ้ง เพราะเหตุว่าเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นเพียงเราได้ยินคำว่าธรรม เราคิดว่าเราเข้าใจ แต่ว่าตามความเป็นจริง ผู้ที่ตรัสคำนี้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ทรงบำเพ็ญพระบารมีจนกระทั่งได้ตรัสรู้ สามารถที่จะดับกิเลสได้หมดสิ้น ไม่มีใครเปรียบได้เลยในพระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ และพระมหากรุณาคุณ ทรงแสดงพระธรรม ๔๕ พรรษา เพื่อประโยชน์สำหรับคนที่ในสังสารวัฏไม่เคยเข้าใจสิ่งที่มีตั้งแต่เกิดจนตาย ไม่ว่าวันไหนเดือนไหนปีไหนก็มีสิ่งที่ปรากฏ แต่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้ความจริงที่ปรากฏทุกวัน เพราะฉะนั้นเห็นความต่างกัน พระองค์เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้สิ่งที่ธรรมดาทุกวัน เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น เพราะว่าชีวิตก็ดำรงอยู่เพียงชั่วหนึ่งขณะจิต ถ้าขาดขณะหนึ่งขณะใด ชีวิตก็ดำรงอยู่ไม่ได้ เพราะฉะนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ทรงตรัสรู้อื่น นอกจากสิ่งที่มีตั้งแต่เกิดจนตาย เพราะฉะนั้นแต่ละคำผู้ที่ได้ฟังแล้วสามารถที่จะรู้ว่าสิ่งที่ได้ฟัง ไม่เหมือนที่เคยฟังจากคนอื่นมาก่อนเลย เมื่อเป็นคำของพระองค์แต่ละคำ เช่นคำว่าธรรม ทุกคนเหมือนจะไม่สนใจ เพราะว่าได้ยินบ่อยๆ ยุติธรรมบ้าง อยุติธรรมบ้าง ธรรมบ้าง แต่ถ้าถามว่าธรรมคืออะไร คำตอบของแต่ละคนที่ไม่เคยฟังธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาก่อน ตอบไม่ถูกแน่นอน

    ไม่ทราบวันนี้เป็นการสนทนาธรรม ถ้าได้มีการแลกเปลี่ยนหรือว่าสอบถามสนทนากัน ก็จะต้องเป็นประโยชน์มาก แสดงให้รู้ว่าความคิดของเราก่อนได้ฟังพระธรรมกับที่ได้ฟังธรรมแล้วต้องแปลก ไม่เหมือนเดิม มีตั้งหลายคนที่เริ่มสนใจธรรมด้วยคำถามว่าธรรมคืออะไร น่าคิดไหม เดี๋ยวนี้มีธรรมหรือเปล่า ธรรมเป็นภาษาอะไร พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ทรงแสดงธรรมเป็นภาษาไทย แต่ทรงแสดงธรรมกับชาวมคธ ด้วยเหตุนี้จึงตรัสภาษามคธี ซึ่งทุกคำดำรงพระศาสนาไว้ จึงใช้คำว่าปาละ หรือปาลี เพราะฉะนั้นที่เราบอกว่าบาลี บาลี ก็คือคำภาษามคธีของชาวมคธ แต่ว่าไม่ว่าจะเป็นภาษาใดก็ตาม ธรรมเป็นสิ่งที่สามารถเข้าใจได้ในภาษาของตนของตน เพราะฉะนั้นเราได้ยินคำว่าธรรม เราไม่ได้คิดเลยว่าในภาษาไทยคำนี้หมายความว่าอะไร แต่ว่าถ้าเป็นภาษาของคนที่ใช้ภาษานี้อยู่ตลอด เหมือนกันเลย ธรรมคือสิ่งที่มีจริง แค่นี้ ไม่น่าที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าจะทรงบำเพ็ญพระบารมีนานมาก ประมาณไม่ได้เลย เพื่อที่จะรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ เพราะฉะนั้นคำว่าสิ่งที่มีจริงๆ ต้องมีจริง ทุกกาลสมัยไม่เปลี่ยนเลย แม้ขณะนี้ก็มี เพราะฉะนั้นถ้าถามว่าขณะนี้มีธรรมไหม จากการที่ได้ฟังคำ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริง ถ้าไม่มีความจริงจะตรัสรู้อะไร เพราะฉะนั้นสิ่งที่ทรงตรัสรู้แน่นอนต้องมี และมีจริงๆ ด้วยทุกกาลสมัย

    เพราะฉะนั้นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ล้าสมัย อย่างบางคนคิดว่าตั้ง ๒,๕๐๐ กว่าปีแล้ว สิ่งที่พระองค์ตรัสรู้และทรงแสดง ไม่ใช่ยุคนี้สมัยนี้ นั่นคือผู้ที่ไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะว่าก่อนการตรัสรู้ ขณะที่ทรงบำเพ็ญเพียรก็มีธรรม เพราะฉะนั้นทุกชาติที่ได้ทรงบำเพ็ญพระบารมีก็มีธรรม เพราะฉะนั้นเมื่อประสูติเป็นเจ้าชายสิทธัตถะก็มีธรรมที่จะรู้ความจริง เหมือนเราเกิดมาก็มีธรรมที่สามารถที่จะเข้าใจความจริงได้ เมื่อได้ไตร่ตรอง ประโยชน์ที่พระองค์ได้ทรงมอบให้พุทธบริษัทก็คือว่า ความเข้าใจ ซึ่งไม่เคยเข้าใจมาก่อนเลย จะให้อะไรใคร สมบัตินั้นก็หมดสิ้นไป ไม่ว่าจะเป็นเพชรนิลจินดา แก้วแหวนเงินทอง เสื้อผ้าอาหารไม่ได้ดำรงอยู่เลย ต้องหมดสิ้นไปแน่ แต่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสามารถจะทำให้คนที่เข้าใจแล้วไม่หมด เพราะเหตุว่าสะสมสืบต่อไปจนกระทั่งสามารถ เมื่อได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า รู้ความจริงถึงความเป็นพระโสดาบัน หรือถึงความเป็นพระอรหันต์ เพียงประโยคที่ตรัสไม่มาก แต่ว่าคนนั้นได้สะสมความเข้าใจมาแล้ว แสดงว่าความเข้าใจเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เราไปโรงเรียนก็แล้วแต่ว่า เราจะเรียนวิชาอะไรเพื่อเข้าใจ ทุกอย่างต้องเข้าใจ จะตัดเสื้อตัดไม่เป็น ได้ไหม ก็ไม่มีเสื้อ ทำอาหารก็ต้องไปเรียนเหมือนกัน อยู่ในครัวก็ต้องรู้ว่าจะทำอะไร ก็ต้องทำให้ถูกให้เป็น

    เพราะฉะนั้นวิชาทุกวิชานำมาซึ่งความรู้ แต่วิชาทั้งหมดเปรียบไม่ได้กับความรู้ที่ได้จากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทีละคำ เพราะเหตุว่าคำของพระองค์ไม่เหมือนคำของคนอื่น ต้องทีละคำ เช่นธรรมคือสิ่งที่มีจริง คำนี้ไม่เปลี่ยนแน่นอน แต่ว่าความเข้าใจของแต่ละคน สามารถจะตอบได้ไหมว่าเดี๋ยวนี้อะไรมีจริง ในห้องนี้ก็มีจริง แต่อะไรที่มีจริง จะได้เปรียบเทียบความเข้าใจของเรา กับการได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นมีจริง เพราะว่าทุกคนกำลังเห็น ได้ยินก็มีจริงๆ แต่เดี๋ยวนี้ได้ยินเมื่อสักครู่นี้อยู่ไหนหมดแล้ว ไม่กลับมาอีกเลย เพราะฉะนั้นการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้ความจริงของแต่ละหนึ่งที่ละเอียดอย่างยิ่ง เช่นเห็น ทุกคนเห็น เกิดมาก็เห็น แต่ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ว่าเห็นคืออะไร ไม่ใช่ให้เราไปนั่งปฏิบัติอะไร แต่จะเข้าใจเห็นเดี๋ยวนี้ไหม ในเมื่อเกิดมาก็เห็น จนกว่าจะจากโลกนี้ไปจึงไม่เห็น แต่ถ้าเกิดเมื่อไหร่ก็ต้องเห็นอีก เกิดเมื่อไหร่จะเป็นอะไรก็ตาม เป็นนก เป็นคน เป็นอะไรก็เห็น เพราะฉะนั้นเห็นมีจริงแน่นอน เพราะฉะนั้นในภาษาบาลี ก็ใช้คำว่าเห็นเป็นธรรม คือสิ่งที่มีจริง เพราะฉะนั้นภาษาไทยเริ่มต้นจากคำว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริง โดยประการทั้งปวงถึงที่สุด ค่อยๆ ฟัง แล้วก็ค่อยๆ ไตร่ตรอง ก่อนเห็นมีเห็นไหม กำลังเห็นอยู่เดี๋ยวนี้ แต่ไม่เคยรู้เลย คิดว่าเราเห็น แต่ว่าความจริง ก่อนเห็นมีเห็นไหม ก่อนเห็นต้องไม่มีเห็นถูกไหม แล้วก็ทำไมเห็นเกิดขึ้น ไม่มีใครเคยคิดเลย และเห็นขณะนี้ ถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงแสดง จะไม่มีใครรู้เลยว่าเห็นขณะนี้ก็เหมือนเสียงเมื่อสักครู่นี้ แค่ปรากฏแล้วเสียงหายไปไหน

    เพราะฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่างที่มี ขณะนี้ไม่มีใครรู้ ถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงแสดงว่า สิ่งหนึ่งสิ่งใดมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นมีการดับไปเป็นธรรมดา เห็นเมื่อสักครู่นี้ไม่มีในขณะที่ได้ยิน เพราะว่าได้ยิน เสียงปรากฏคนละขณะ ขณะเห็นเสียงไม่ได้ปรากฏ แต่มีสิ่งที่กำลังเห็นขณะนี้ปรากฏ เพราะฉะนั้นเวลาคิดทุกคนกำลังคิด ขณะคิดไม่เห็น แล้วก็ไม่ได้ยิน ถูกต้องไหม ทีละหนึ่งขณะซึ่งแตกย่อยละเอียดยิบ คาดไม่ถึงเลย แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงทุกอย่างที่มีจริง ตั้งแต่เกิดจนตาย โดยประการทั้งปวงถึงที่สุด ซึ่งเปลี่ยนไม่ได้ เพราะฉะนั้นนี่คือธรรม พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความจริง ให้คนที่เกิดมาแล้ว เห็นบ้างได้ยินบ้างสุขบ้างทุกข์บ้าง แต่ไม่รู้เลยว่าทำไมถึงได้เปลี่ยนไป เราคิดว่าเราเปลี่ยนไปทุกวัน แต่ความจริงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงว่าเปลี่ยนทุกขณะ ต่างกันแล้วใช่ไหม ความคิดของคนทั่วไปกับการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อวานนี้อยู่ที่ไหน หมดแล้วไม่เหลือเลย เพราะหลับขณะหลับไม่มีอะไรปรากฏเลย เป็นใครอยู่ที่ไหน ทั้งวันนั้นทำอะไร แต่พอตื่นเห็นได้ยินเหมือนเดิมเป็นเรา แล้วก็เปลี่ยนสิ่งที่เห็นจากเมื่อวานนี้เป็นวันนี้

    เพราะฉะนั้นพอถึงพรุ่งนี้ วันนี้ก็ไม่มี แต่ขณะนี้กำลังมี จนกว่าจะหลับเมื่อไหร่ วันนี้ทั้งวันก็ไม่มีแล้ว แต่ก็ต้องตื่นอีก เป็นอย่างนี้คือชีวิตก็คือตื่นแล้วก็หลับ แล้วก็ตื่นแล้วก็หลับ ตอนหลับมีทรัพย์สมบัติมากไหม มีเพื่อนฝูง มีบ้าน ชื่ออะไรก็ยังไม่รู้เลย พี่น้องก็ยังไม่รู้เลย ไม่ให้ตื่นได้ไหม ต้องคิด เพราะเหตุว่าถ้าไตร่ตรองแล้ว เป็นความเข้าใจของตนเอง ซึ่งเริ่มรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความจริง เหลือเชื่อว่าขณะนี้ทุกสิ่งทุกอย่างที่กำลังปรากฏต้องเกิด แต่เมื่อเกิดแล้วก็ดับทันที ก่อนที่จะปรากฏว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะเหตุว่าถ้าเราเพียงหลับตาและลืมตา ก็จะไม่ปรากฏว่าเป็นคน หรือเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดมากมายอย่างนี้เลย แต่ลืมตาบ่อยๆ จนกระทั่งสิ่งที่ปรากฏ ปรากฏเป็นรูปร่างสัณฐานต่างๆ ก็จำ จำมีจริงไหม ถ้ามีจริงจำเป็นธรรม เพราะฉะนั้นการฟังธรรมไม่ได้ฟังเรื่องอื่นเลย ฟังเรื่องสิ่งที่มีที่ไม่เคยรู้ และเข้าใจว่าเป็นเรา แต่ทำไมเกิดมาต่างกัน แล้วทำไมจะจากโลกนี้ไปก็ไม่มีใครกำหนดกฎเกณฑ์ได้ว่า ใครจะจากไปวันไหน สิ่งที่มีจริงอย่างนี้แหละ เพราะเหตุว่าเราจะได้ยินคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพียงบางคำ โน่นบ้างนี่บ้าง เช่นบางคนได้ยินคำว่าขันธ์ บางคนได้ยินคำว่าธาตุ บางคนได้ยินคำว่าอายตนะ แต่เด็กนักเรียนจะได้ยินคำว่าอริยสัจธรรม เด็กนักเรียน แต่ว่าไม่รู้เลย เพียงแต่ท่องจำว่าอริยสัจจะ มี ๔ ตามหนังสือที่บอก แต่ว่าอริยสัจจะคืออะไร และ ๔ คืออะไร และเดี๋ยวนี้มีไหมก็ไม่รู้

    เพราะฉะนั้นการศึกษาโดยที่ไม่ให้ความเข้าใจจริงๆ ก็ไร้ประโยชน์ เพราะเหตุว่าฟังแล้วก็ลืม แต่ถ้าเป็นความเข้าใจจริงๆ จะลืมไหม ก็ไม่ลืมใช่ไหม แต่ว่าเป็นสิ่งที่ลึกซึ้ง เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้จำทีละคำ ธรรมคือสิ่งที่มีจริง เห็นมีจริงเป็นธรรมหรือเปล่า ต้องเป็น เพราะอะไร เห็นเกิดขึ้นแล้วเห็นก็ดับไป เป็นได้ยิน ได้ยินเกิดขึ้นได้ยินแล้วก็ดับไป เป็นคิด เพราะฉะนั้นเห็นเป็นเห็น ได้ยินเป็นได้ยิน คิดเป็นคิด แต่ละหนึ่งขณะเกิดดับสืบต่อเร็วสุดที่จะประมาณได้ จนไม่มีการประจักษ์ว่า เดี๋ยวนี้ที่เข้าใจว่ายังอยู่ทั้งดอกไม้ ทั้งโต๊ะ ทุกสิ่งทุกอย่างในห้อง ความจริงเกิดดับอยู่ตลอดเวลา และใครจะคิดว่าแม้แต่ดอกไม้หรือโต๊ะหรือเก้าอี้หรือขวด หรือรูปอะไรก็ตาม แม้แต่กระดาษสักชิ้นหนึ่ง มีอากาศธาตุแทรกคั่นละเอียดยิบ แม้แต่ตัวเราตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า มีอากาศแทรกอยู่พร้อมที่จะแตกทำลายเมื่อไหร่ก็ได้ ไม่มีใครรู้เลย แขนจะขาด ขาจะขาดเมื่อไหร่เป็นได้หมด และก็ไม่มีใครรู้ล่วงหน้าด้วย แต่ทั้งหมดมีเหตุปัจจัยที่จะทำให้เกิดขึ้นเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นชาวพุทธควรที่จะได้เข้าใจว่า พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ทรงแสดงเหตุและผล เพราะเหตุว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่จะเกิดขึ้น ไม่มีใครรู้ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงว่า แม้แต่สิ่งนั้นก็ต้องมีปัจจัยที่ทำให้เกิดขึ้น อาศัยกันและกันเกิดขึ้นชั่วคราวแล้วก็ดับไป แล้วไม่กลับมาอีกเลย สิ่งที่เกิดขึ้นดับแล้วไม่กลับมาอีก

    ขณะนี้ทุกครั้งที่เห็น เป็นเห็นใหม่ ตั้งแต่เข้ามาในห้องนี้จนถึงเดี๋ยวนี้และต่อไป กำลังเห็นอย่างนี้เป็นเห็นใหม่ เพราะว่าเห็นหมด ได้ยินเกิด เพราะฉะนั้นได้ยินที่เกิดต่อจากเห็น คนละขณะกับเห็น พอได้ยินดับ เห็นเกิดอีกแล้ว ใครรู้บ้างว่าขณะนี้กำลังเป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้นเห็นใหม่หลังจากที่ได้ยินแล้ว ไม่ใช่เห็นเก่าซึ่งเกิดก่อนได้ยิน ฟังดูน่าเบื่อไหม เรื่องของตัวเองแต่ไม่เคยรู้เลย เกิดมาต่างกัน แม้แต่พี่น้องรูปร่างก็ต่างกัน ความคิดก็ต่างกัน ชื่อเสียงเกียรติยศก็ต่างกัน ลาภยศสรรเสริญเจ็บป่วยไข้ สุขทุกข์ต่างกันหมด ต้องมีเหตุ ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรมก็จะไม่รู้เลยว่าทำไมเหตุเป็นอย่างนั้น คนในบ้านเดียวกันมี ๕ คน อยู่คนละที่ใช่ไหม คิดคนละอย่าง แล้วก็ทำคนละอย่างด้วย เป็นไปตามเหตุตามปัจจัยทั้งนั้น แม้แต่ขณะเดี๋ยวนี้แต่ละคนฟังแล้วก็คิดต่างกัน เหมือนกันไม่ได้เลยตามการสะสม เพราะฉะนั้นธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียด ถ้าใครต้องการที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็โดยการที่ฟังคำของพระองค์และก็ไตร่ตรองว่าพระองค์ทรงแสดงพระธรรมถึง ๔๕ พรรษา ต้องมากกว่านี้แน่ เพียงได้ยินอย่างนี้ ก็รู้ว่าใครก็ไม่สามารถที่จะรู้ได้ว่าสิ่งต่างๆ เหล่านี้เกิดขึ้นได้อย่างไร แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความละเอียดอย่างยิ่ง ๔๕ พรรษา ทุกอย่างละเอียด แต่ว่าต้องไตร่ตรอง เริ่มจากคำธรรมดาง่ายๆ อย่างนี้ ขณะนี้เห็นเกิดแล้ว เป็นอะไร ไม่เห็นน่าถามเลยใช่ไหม เห็นกำลังเห็น เห็นเป็นอะไร เป็นเราหรือเปล่า หรือว่าเป็นสิ่งที่มีจริงๆ เพราะมีตา และก็มีสิ่งที่กระทบตาได้ ขณะนี้เห็นเกิดขึ้นเห็น แล้วดับไป หู ปสาทรูปพิเศษ ภาษาบาลีใช้คำว่าใสกระจ่าง สามารถที่จะกระทบสิ่งหนึ่งสิ่งใด เช่น ขณะนี้สำหรับหูซึ่งเป็นปสาท ปสาททั้งหมดก็คือตา จักขุปสาท รูปที่สามารถกระทบกับสิ่งที่กำลังปรากฏ สิ่งที่กำลังปรากฏกระทบหูไม่ได้ เพราะฉะนั้นสิ่งที่กำลังปรากฏ ได้ยินได้ไหม ไม่มีทางได้ยินเลย ปรากฏก็คือว่าแค่ให้เห็นแล้วก็ดับไป

    เพราะฉะนั้นแต่ละหนึ่งแต่ละหนึ่งปสาทก็เหมือนกับกระจกเงา ใครผ่านไปเห็นเพราะกระทบกับกระจก เป็นปสาทที่สามารถกระทบได้ ตา หู จมูก ลิ้น กายก็สามารถกระทบกับสิ่งที่กระทบได้ เช่นโสตปสาท ภาษาบาลีใช้คำว่าโสตะ ภาษาไทยใช้คำว่าหู ขณะนี้ต้องเกิดถ้าไม่เกิดไม่มี โต๊ะไม่มีโสตปสาท เพราะฉะนั้นธรรมเป็นธรรม ไม่ใช่ของใคร โสตปสาทก็เป็นรูปที่กระทบเสียง กระทบอย่างอื่นไม่ได้เลย ทำให้มีการได้ยินเกิดขึ้น การได้ยินไม่ใช่ทั้งเสียงและไม่ใช่ทั้งหู ทุกคนกำลังได้ยิน แต่ไม่รู้เลยว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมให้เข้าใจว่า ได้ยินก็เป็นธรรม เห็นก็เป็นธรรม ไม่ใช่ของใคร และไม่ใช่ใครด้วย เพราะฉะนั้นแต่ละคำจะนำไปสู่คำที่พระองค์ตรัสไว้ว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ได้ยินแล้วผ่านไป ใครพูดไม่สนใจเลย หรือว่าคำนี้น่าคิด เพราะเหตุว่าอนัตตาหมายความว่าไม่ใช่อัตตา มี ๒ คำ อัตตาเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด อนัตตาไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดเลย เหลือเชื่อไหม ขณะนี้มีแต่สิ่งที่เป็นหนึ่ง แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง ไม่ใช่คนไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เป็นของใครเลยทั้งสิ้น เพียงแต่มีปัจจัยเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ตั้งแต่เกิดเป็นอย่างนี้ จนถึงขณะสุดท้าย ซึ่งจากโลกนี้ไป เพราะฉะนั้นเราไม่ได้รู้จักสิ่งที่มี เข้าใจว่า เราเกิดมาแล้วเราก็ตายไป เห็นสิ่งนั้นสิ่งนี้บ้าง แต่ความจริงทั้งหมดเพราะไม่รู้ ไม่เหมือนกับการที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงว่า ธรรมเกิดเพราะเหตุปัจจัยหนึ่ง ดับไปไม่กลับมาอีกเลย เป็นประโยชน์ไหม

    ถ้าถามว่าเป็นประโยชน์ไหม ตอบว่าเป็น ยังต้องถามต่อไปว่าเป็นประโยชน์อย่างไร คือการที่จะเข้าใจธรรมได้ต้องไม่จบ หมายความว่าสามารถที่จะเข้าใจละเอียดจนกระทั่งมั่นคงขึ้น ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา สิ่งที่มีจริงบังคับบัญชาได้ไหม ไม่ให้โกรธได้ไหม ไม่ให้เบื่อได้ไหม ไม่ให้ง่วงได้ไหม เบื่อมีจริงเกิดแล้วปรากฏ ก่อนเบื่อไม่มีเบื่อ แต่พอหายเบื่อ เบื่อหมดไปไม่กลับมาอีกเลย เป็นเบื่อใหม่ เพราะฉะนั้นทุกอย่างใหม่ตลอดเวลาโดยไม่รู้เลย เพราะฉะนั้นจึงมีการเปลี่ยนแปลง ถ้าไม่มีการเกิดดับ อะไรอะไรก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นเราไม่รู้ตัวว่าเราไม่รู้อะไร แล้วก็ติดข้องในความเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ซึ่งเหมือนสิ่งนั้นยังมีอยู่ แต่ว่าความจริงทุกอย่างมีชั่วคราวที่ปรากฏ จริงไหม เดี๋ยวนี้มีบ้านไหม กำลังเห็นจะเป็นบ้านไหม ไม่ใช่ เดี๋ยวนี้มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น แล้วเวลาคิดถึงบ้าน ไม่ใช่เห็น เป็นคิดเพราะจำ ถ้าไม่จำเรื่องใดไว้ ก็ไม่คิดเรื่องนั้นเลย เพราะฉะนั้นทุกครั้งที่คิดเพราะจำ สิ่งที่เราเคยเห็นบ้างเคยได้ยินบ้าง แต่ทั้งหมดเวลาไม่คิดก็ไม่มี

    เพราะฉะนั้นแต่ละหนึ่งแต่ละหนึ่ง ปสาทก็เหมือนกับกระจกเงา ใครผ่านไปเห็นเพราะกระทบกับกระจก เป็นปสาทที่สามารถกระทบได้ ตาหูจมูกลิ้นกาย ก็สามารถกระทบกับสิ่งที่กระทบได้ เช่น โสตปสาท ภาษาบาลีใช้คำว่าโสตะ ภาษาไทยใช้คำว่าหู ขณะนี้ต้องเกิด ถ้าไม่เกิด ไม่มีโต๊ะ ไม่มีโสตปสาท นกมีไหม เพราะฉะนั้นธรรมเป็นธรรม ไม่ใช่ของใคร โสตปสาทก็เป็นรูปที่กระทบเสียง กระทบอย่างอื่นไม่ได้ ทำให้มีการได้ยินเกิดขึ้น การได้ยินไม่ใช่ทั้งเสียง และไม่ใช่ทั้งหู ทุกคนกำลังได้ยิน แต่ไม่รู้เลยว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงธรรมให้เข้าใจว่าได้ยินก็เป็นธรรม เห็นก็เป็นธรรมไม่ใช่ของใคร และไม่ใช่ใครด้วย เพราะฉะนั้นแต่ละคำจะนำไปสู่คำที่พระองค์ตรัสไว้ว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ได้ยินแล้วผ่านไป ใครพูดไม่สนใจเลยหรือว่าคำนี้น่าคิด เพราะเหตุว่าอนัตตาหมายความว่าไม่ใช่อัตตา มี ๒ คำ อัตตาเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด อนัตตาไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดเลย เหลือเชื่อไหม ขณะนี้มีแต่สิ่งที่เป็นหนึ่ง แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง ไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เป็นของใครเลยทั้งสิ้น เพียงแต่มีปัจจัยเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ตั้งแต่เกิดเป็นอย่างนี้จนถึงขณะสุดท้ายซึ่งจากโลกนี้ไป เพราะฉะนั้นเราไม่ได้รู้จักสิ่งที่มี เข้าใจว่าเราเกิดมาแล้วเราก็ตายไป เห็นสิ่งนั้นสิ่งนี้บ้าง แต่ความจริงทั้งหมดเพราะไม่รู้ ไม่เหมือนกับการที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงว่า ธรรมเกิดเพราะเหตุปัจจัยหนึ่ง ดับไปไม่กลับมาอีกเลยเป็นประโยชน์ไหม

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 188
    16 ก.ค. 2568