ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1292


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ปกิณณกธรรม ตอนที่ ๑๒๙๒

    สนทนาธรรม ที่ ครัวอิ่มสุข จ.ฉะเชิงเทรา

    วันที่ ๒๕ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๖๑


    ท่านอาจารย์ แต่ถ้าไม่มีนิมิตเลย ไม่มีการเกิดดับที่ปรากฏเป็นรูปร่างสัณฐาน ก็จะไม่มีชื่อ แต่มี เพราะเหตุว่าเรารู้ว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งนั้น โดยอาการนั้นๆ แล้วก็มีเสียงแต่ละเสียง ที่ใช้เรียกให้เข้าใจ เป็นที่เข้าใจกันว่าหมายความถึงสิ่งใด เพราะฉะนั้นจากไม่มีเลย ก็มีปรมัตถธรรมเกิดขึ้น เกิดดับสืบต่อจนปรากฏเป็นนิมิตต่างๆ ไม่ต้องใช้เสียง แต่ความต่างนั้นทำให้รู้ได้โดยอาการนั้นๆ ก็เป็นอรรถบัญญัติ ที่ทำให้รู้ได้ว่าต่างกัน พอเริ่มใช้เสียงที่จะให้รู้ว่า หมายความถึงสิ่งใดก็เป็นสัททบัญญัติ พูดว่าเห็น ใครไปคิดว่าได้ยินบ้าง ก็ไม่มีใช่ไหม พูดว่าจำ ใครไปคิดว่าโกรธบ้าง เพราะฉะนั้นแต่ละคำก็เป็นสัททบัญญัติ ให้รู้ว่าหมายความถึงอะไร ในแต่ละภาษา เพราะฉะนั้นก็มีสิ่งที่มีจริงไม่ต้องเรียกชื่อก็มี เป็นธรรมใช้คำว่าปรมัตถธรรม ใครเปลี่ยนลักษณะนั้นไม่ได้เลย ใครเปลี่ยนแข็งได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เกิดเป็นแข็งดับแล้ว ไม่ทันจะที่จะมีใครไปเปลี่ยนได้ เสียงเปลี่ยนได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เกิดแล้วดับแล้ว ใครจะไปเปลี่ยนได้ เพราะฉะนั้นสภาพธรรมที่มีลักษณะ ที่ไม่มีใครสามารถจะเปลี่ยนแปลงได้ ใช้คำว่าธรรม หรือจะใช้คำว่าธาตุ หรือธา-ตุก็ได้ ความหมายเดียวกัน สิ่งที่มีจริงเป็นธรรม ธรรมนั้นๆ ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นได้เลย ก็เป็นธา-ตุหรือธาตุ เพราะฉะนั้นธาตุดิน หมายความถึงสิ่งที่อ่อนหรือแข็ง ใครจะเปลี่ยนให้เป็นหวานเป็นเค็มไม่ได้ ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ธรรมทั้งหมดเป็นธาตุทั้งหมด เพราะฉะนั้นธาตุเห็นมีไหม

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ จิตเห็นมีไหม

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ ก็คือเห็นกำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ แล้วแต่เราจะเข้าใจลึกซึ้งขึ้นว่า มีจริง เปลี่ยนไม่ได้ เป็นธรรม เป็นธาตุ เพราะมีลักษณะของตนซึ่งเปลี่ยนไม่ได้ กว่าจะรู้ว่าไม่ใช่เราเลย และกำลังเกิดดับลึกซึ้งไหม

    ผู้ฟัง ลึกซึ้งมาก

    ท่านอาจารย์ เมื่อไหร่จะรู้ เพราะฉะนั้นไม่ต้องหวัง

    ผู้ฟัง อีกเป็นแสนกัป

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง ไม่ต้องหวังเลย พร้อมเมื่อไหร่รู้เมื่อนั้น พร้อมนี่คือความเข้าใจเพิ่มขึ้นละความเป็นตัวตนที่ยึดไว้มั่นคง ค่อยๆ ปรากฏตามระดับขั้นของปัญญา เพราะฉะนั้นการฟังและเข้าใจเป็นปริยัติ เข้าใจแค่นี้ไม่พอ เดี๋ยวหลงลืม เดี๋ยวอย่างนั้น เดี๋ยวอย่างนี้ ต้องถึงปริยัติรอบรู้ในพระพุทธพจน์ที่ได้ฟัง รอบรู้คือไม่เปลี่ยน เดี๋ยวนี้ถามว่ามีเราจริงๆ หรือเปล่า มีคนจริงๆ ไหม

    ผู้ฟัง ไม่มี

    ท่านอาจารย์ นั่นคือมั่นคง เพราะฉะนั้นจะเจอคำว่าจิตที่ไหน ก็ต้องรู้ว่าจิตไม่ใช่เจตสิก ได้ยินคำว่าวิญญาณ อีกคำหนึ่งของจิต ได้ยินคำว่ามโน ก็อีกคำหนึ่งของจิต เพราะฉะนั้นถ้ารู้จักธาตุรู้ ซึ่งเกิดขึ้นเป็นใหญ่เป็นประธาน ก็คือขณะนั้นเป็นปรมัตถธรรม เป็นอภิธรรม ใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ลึกซึ้งอย่างยิ่ง ปัญญาเท่านั้นที่สามารถจะค่อยๆ เข้าใจขึ้นจนกระทั่งประจักษ์แจ้ง เพราะฉะนั้นในบรรดาสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด ปัญญาประเสริฐสุดเป็นรัตนะ เป็นธรรมรัตนะ ที่สามารถที่จะทำให้รู้ความจริงได้ ถ้าเป็นผู้ที่รู้เพราะการฟัง ผู้ฟังคือสาวก สาวะกะหรือสาวกโกก็ตามแต่ ในภาษาบาลีหมายความถึงผู้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นขณะนี้เป็นสาวกหรือเปล่า ไม่ฟังหรือ

    ผู้ฟัง เริ่มเป็น

    ท่านอาจารย์ เริ่มเป็น เริ่มฟัง

    ผู้ฟัง เริ่มเข้าใจนิดหน่อย

    ท่านอาจารย์ และวันหนึ่งเมื่อรู้แจ้ง ก็รู้ว่าเพราะฟังเข้าใจใช่ไหม เพราะฉะนั้นขณะนี้ที่เข้าใจเป็นสาวกโพธิสัตว์ ไม่ใช่พระมหาสัตว์คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่พระปัจเจกโพธิสัตว์คือผู้ที่รู้เอง แต่ว่าปัญญาไม่เท่ากับพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะว่าไม่ได้แสดงธรรมอย่างพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นก็มีการรู้ความจริง ๓ ระดับ ระดับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ระดับพระปัจเจกพุทธเจ้า และระดับของสาวกเช่น ท่านพระสารีบุตร ท่านพระมหาโมคคัลลานะ ท่านทั้งหลายในพระไตรปิฎก ถึงยุคนี้สมัยนี้สมัยใดก็ตามคำสอนยังคงอยู่ และมีผู้ที่เข้าใจมีปัญญาถึงระดับที่จะรู้ความจริงได้ ก็รู้ได้โดยความเป็นอนัตตา รู้ว่าไม่มีเรา เป็นสาวกโพธิสัตว์ เพราะฉะนั้นสังฆรัตนะหมายเฉพาะผู้ที่รู้ความจริง เป็นพระอริยบุคคล เป็นคฤหัสถ์หรือว่าเป็นบรรพชิตคือภิกษุก็ได้ ภิกษุที่บวชแต่ไม่ได้เข้าใจธรรม ไม่รู้แจ้งอริยสัจธรรมไม่ใช่สังฆรัตนะ และถ้าไม่ประพฤติตามพระธรรมวินัย ก็ไม่ใช่ภิกษุในธรรมวินัย เพราะฉะนั้นต้องรู้ว่าภิกษุคือใคร ภิกษุธรรมดาที่ไม่เข้าใจธรรม เป็นสังฆรัตนะหรือเปล่า ไม่ใช่ ใครก็ตามไม่ว่าหญิงหรือชาย เป็นพระภิกษุหรือเป็นคฤหัสถ์ แต่สามารถที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรม เป็นพระอริยบุคคล เป็นสังฆรัตนะหรือเปล่า เป็นท่านอนาถบิณฑิกะเป็นสังฆรัตนะหรือเปล่า หมอชีวกโกมารภัจจ์ เป็น ตั้งแต่พระโสดาบันจนกระทั่งถึงพระอรหันต์เป็นสังฆรัตนะ

    ผู้ฟัง อย่างนี้ก็ไม่ใช่สงฆ์อย่างเดียว

    ท่านอาจารย์ สงฆ์หมายความถึงหมู่ ในภาษาบาลี

    ผู้ฟัง เพราะว่าคำว่าสังฆรัตนะ

    ท่านอาจารย์ สังฆะคือหมู่ในภาษาเดิม มดหลายๆ ตัวก็เป็นหมู่ของมด เพราะฉะนั้นสังฆะก็คือหมู่ แล้วแต่ว่าจะเป็นหมู่ของอะไร แต่หมู่ของผู้รู้แจ้งอริยสัจธรรม จะเหมือนกับหมู่ของคนไม่รู้แจ้งได้ไหม ต่างกันแล้วใช่ไหม จากปุถุชนผู้หนาแน่นด้วยกิเลส เห็นไหม นานมาแล้วด้วยแสนโกฏกัป เดี๋ยวนี้ขณะที่เข้าใจธรรม ถ้าเข้าใจคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ก็จะรู้ว่าปัญญาเกิดท่ามกลางอกุศล เพราะทันทีที่เห็นแล้วไม่รู้อกุศลเกิดแล้ว แต่กำลังฟัง ได้ยิน เข้าใจ ขณะนั้นก็เป็นปัญญาที่เกิดท่ามกลางการเห็นขณะนี้

    ผู้ฟัง จะเรียนถามว่าในฐานะที่เป็นครู เป็นบุคลากรทางการศึกษา ถ้าเราไม่ศึกษาธรรม ผลจะเกิดเป็นอะไร

    ท่านอาจารย์ ผลก็คือไม่รู้ธรรม แล้วก็พูดธรรมโดยไม่รู้ธรรม เพราะฉะนั้นก็เป็นความเข้าใจผิดหลงผิด เพราะฉะนั้นเมื่อผู้ใหญ่หรือครูไม่รู้ นักเรียนจะรู้ไหม ส่วนใหญ่ ก็มุ่งหวังอนาคตเด็กๆ ข้างหน้า เยาวชนข้างหน้า จะได้มีความเข้าใจถูกประพฤติดี แต่ถ้าไม่เข้าใจธรรมจะประพฤติดีได้อย่างไร เห็นผิดเป็นถูก เพราะฉะนั้นมีทุจริตทุกวงการ เด็กทำหรือผู้ใหญ่ทำ ทุจริตนี่ผู้ใหญ่ใช่ไหม เพราะฉะนั้นเมื่อผู้ใหญ่ไม่รู้เป็นแบบอย่าง และก็สอนเด็กด้วยความไม่รู้ เด็กก็มีความไม่รู้เป็นแบบอย่าง เพราะบางคนคิดว่านั่งสมาธินี่คือพระพุทธศาสนา ทั่วโลกบอกว่าพระพุทธศาสนาคือสำนักปฏิบัติ ผิดไหม แล้วถ้าจะปล่อยให้ผิดๆ ต่อไป ไม่รู้ต่อไป จะเป็นประโยชน์หรือจะเป็นโทษ เพราะฉะนั้นครูก็ต้องเป็นผู้ที่เข้าใจธรรม แล้วก็ให้เด็กเข้าใจให้ถูกต้องด้วย ไม่ใช่พาเด็กไปนั่งสมาธิ แล้วรู้ไหมว่าขณะนั้นสมาธิอะไร มีเด็กคนหนึ่งเขาก็บอกพ่อเขา บอกว่าเวลาที่เขานั่งสมาธิคือนั่งเฉยๆ ใครๆ ก็ชมเด็กคนนี้นั่งได้นาน แต่เขาบอกเขาไม่รู้อะไร แล้วมีประโยชน์อะไร เสียงบประมาณมากมายทำสิ่งที่ไม่รู้ และก็ไม่มีประโยชน์อะไรด้วย เพราะเหตุว่าไม่รู้ แล้วยังเข้าใจผิดหลงผิดต่อไปด้วย

    เพราะฉะนั้นเป็นหน้าที่ของผู้ใหญ่ ที่จะต้องเข้าใจก่อน ถ้าเราพูดว่าเพื่อเยาวชนข้างหน้า น่าละอายไหม เยาวชนรู้แต่เราไม่รู้ และเยาวชนจะรู้ได้อย่างไร ในเมื่อผู้ใหญ่ไม่รู้ เพราะฉะนั้นเหตุผลต้องตรง พูดทุกอย่างต้องพูดให้ชัดเจน ปัญหาทั้งหมดในโลก ไม่ใช่เฉพาะประเทศไทย หรือวงการหนึ่งวงการใดเพราะไม่รู้ และพยายามที่จะแก้ปัญหาด้วยความไม่รู้ จะสำเร็จไหม

    ผู้ฟัง ไม่สำเร็จ

    ท่านอาจารย์ แต่ถ้ามีความรู้ว่าธรรมคืออะไร ธรรมที่เป็นอกุศลเป็นโทษอย่างไร ค่อยๆ ให้เขาเข้าใจขึ้น เพราะหนทางยังอีกยาวไกลมาก กว่าจะเข้าใจสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ตามที่ได้ฟัง แม้แต่เห็นขณะนี้ก็เกิดดับ อีกยาวไกลไหมกว่าจะประจักษ์แจ้ง แต่สามารถเริ่มเข้าใจได้ไหมว่า แท้ที่จริงแม้แต่คำว่าธรรมคืออะไร สามารถให้เด็กรู้ได้ สิ่งที่มีจริงทั้งหมด แข็งมีไหม มี นั่นแหละเป็นธรรม ให้เขาชินกับความถูกต้อง แทนที่จะให้สิ่งที่ผิดไป และก็ผิดต่อไปข้างหน้าอีกยาวไกล ทุกรุ่น เพราะเหตุว่าตั้งต้นผิดและไม่มีใครที่ทำให้ถูกต้อง ก็ต้องผิดต่อไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นจะแก้ปัญหาได้ ก็ด้วยความเห็นที่ถูกต้อง คุณครูรู้ไหมว่าสมาธิคืออะไร แล้วก็ให้เด็กไปนั่งสมาธิ เด็กก็เลยหลงผิดตั้งแต่เด็กจนกระทั่งโตว่าพระพุทธศาสนาคือสมาธิ ก็เป็นอันตรายอย่างยิ่ง นี่ก็คือการทำลายพระพุทธศาสนา

    ผู้ฟัง ขอเล่าประสบการณ์ ตอนเล็กๆ ก็ถูกคือคุณครู ก่อนจะเรียนก็จะให้นั่งสมาธิก่อน ให้นั่งหลับตา เราก็นั่งหลับตา แต่ว่าในใจก็นึกว่าหลับแล้ว เมื่อไหร่นาฬิกามันจะกดกริ่งสักที

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเวลาสูญเปล่า แต่รู้ไหมว่าเพียงแค่ ๑ นาที ๒ นาที ๓ นาทีที่ได้ฟังธรรมแล้วเข้าใจ มีค่ามหาศาลแค่ไหน แทนที่จะไปนั่งเฉยๆ เป็นเวลานานแล้วก็ไม่รู้อะไร แล้วยังหลงผิดเข้าใจผิดด้วย เพราะฉะนั้นก็เป็นสิ่งที่ต้องเป็นคนที่ตรง และก็รู้จริงๆ ว่าปัญหาทั้งหมดเกิดจากความไม่รู้ จะเอาความไม่รู้ไปแก้ความไม่รู้ ไม่มีทางที่จะสำเร็จได้ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เป็นธงชาติไทยใช่ไหม ถ้ามีแต่ประเทศ ภูเขา ไม่มีคนจะเป็นชาติไหม ก็เป็นเกาะร้างเป็นอะไรไปใช่ไหม แต่ชาติต้องมีคน เพราะฉะนั้นชาติจะมั่นคงด้วยความไม่รู้ ด้วยความเข้าใจผิด ด้วยความเป็นอกุศลทุจริตทั้งหมดในทุกวงการ หรือว่าควรที่จะได้มีคำสอนที่ถูกต้อง ที่เป็นความจริง ที่พิสูจน์ได้ ไม่ต้องเอ่ยว่าศาสนาอะไร แต่พูดคำจริงทุกคำ

    เพราะฉะนั้นคนที่ได้ฟังจะเรียกชื่ออะไรก็ได้ แต่รู้ว่าผู้ที่กล่าวคำจริงนั้น ต้องเป็นผู้ที่รู้จริงๆ รู้จริงๆ ยิ่งเข้าใจยิ่งรู้ว่าบุคคลนั้นรู้ระดับไหน สมควรแก่คำซึ่งไม่มีใครที่จะเปรียบได้ เพราะฉะนั้นก็เข้าใจถูกต้องว่า นั่นคือคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ถึงจะไม่เรียก ก็คือคำสอนให้เข้าใจความจริง ซึ่งทุกชาติปฏิเสธไม่ได้เลย เห็น ใครจะปฏิเสธว่าไม่เกิดขึ้น และต้องมีปัจจัยที่จะเกิดขึ้นด้วย ก็เป็นคำจริงทุกคำ เพราะฉะนั้นต้องเห็นคุณค่าของพระพุทธศาสนาที่จะดำรงรักษาให้มั่นคง มิฉะนั้นแล้วพระศาสนาก็อันตรธาน เมื่อคนไม่เข้าใจและเข้าใจผิด ไม่ใช่ว่าจะดำรงรักษาพระพุทธศาสนา โดยให้เด็กนั่งสมาธิ ผู้ใหญ่นั่งสมาธิ มีสำนักปฏิบัติ แต่ไม่รู้เลยไม่เข้าใจอะไรเลย เพราะว่าทุกคนเพราะไม่รู้อะไร ก็ไปสำนักปฏิบัติ แต่ถ้ารู้จะไปไหม ยังไม่รู้เลยว่าปฏิบัติคืออะไร และสำนักคืออะไร แต่พอถูกชวนไป แทนที่จะถามให้เข้าใจว่าปฏิบัติคืออะไร ก็กลับไปปฏิบัติโดยไม่รู้ นี่ก็เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าคำนั้นไม่เป็นเหตุเป็นผล และไม่ใช่ความจริง เพราะฉะนั้นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พิสูจน์ได้ทุกคำ สามารถเข้าใจได้ทุกคำ

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์ได้พูดประโยคหนึ่งที่ทำให้ดิฉันรู้สึกว่า เป็นเรื่องที่สำคัญมหาศาล ที่เปลี่ยนแปลงตัวเอง คือว่าถ้าเป็นครูหรือเป็นวิทยากรสอน แล้วไม่ศึกษาให้ดี ก็จะสอนอะไรผิดๆ แล้วความที่ผิดๆ ก็จะสืบเนื่องไปยังคนอื่นๆ ต่อไป สิ่งนั้นวันนี้ก็ทำให้ดิฉันได้มาศึกษาเพื่อที่จะพูดอะไร ก็จะพยายามที่จะถามตัวเองว่า พระองค์สอนไหม ในหลักธรรมมีบ้างไหม ถึงจะประคองตัวเองมาจนถึงวันนี้ ต้องขอบพระคุณทางท่านอาจารย์ และคณะมูลนิธิเป็นอย่างสูง

    ท่านอาจารย์ ก็ขออนุโมทนาในความเป็นผู้ตรงจริงใจ และอาจหาญร่าเริง ที่จะพูดคำที่ถูกคำจริง เพราะเหตุว่าสิ่งใดถูกควรที่จะเปิดเผย ควรที่จะประกาศ จะกลัวอะไร และทุกคำเป็นคำของใคร ใครเป็นครูสูงสุด ก็ต้องเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อมีความเข้าใจถูกต้องแล้ว กตัญญูประกาศคุณของผู้ที่ทำให้เราสามารถที่จะมีความเข้าใจในสังสารวัฏ ซึ่งไม่เคยเข้าใจมาก่อน และความรู้ความเข้าใจนี้ก็จะสะสมสืบต่อไปในจิต ที่จะทำให้เป็นผู้ที่กล้าที่จะทำสิ่งที่ถูกต้อง จะกลัวอะไรในเมื่อเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ทุกคนก็เกิดมาแล้วต้องตายใช่ไหม คิดว่าทรัพย์สมบัติเงินทองสำคัญหรือ เกียรติยศชื่อเสียงสำคัญหรือ เป็นคนนี้ได้เพียงชาตินี้ชาติเดียว และถ้าเป็นในทางทุจริต เงินทองทรัพย์สมบัติ ไม่มีใครที่จะกล่าวสรรเสริญคนที่ได้มาด้วยความทุจริตเลย และประการที่สำคัญที่สุดก็คือ ความทุจริตนั้นก็จะสะสมสืบต่อไปทุกชาติ จนเป็นคนที่ทุจริต แต่ว่าถ้าเป็นคนที่สุจริตและเข้าใจพระธรรม ก็จะสะสมสืบต่อไป จนสามารถที่จะรู้ความจริงตรงตามที่ได้ฟัง แต่ต้องอาศัยความอดทนอย่างมาก เป็นบารมี

    สนทนาธรรม ที่กรมยุทธบริการทหาร

    วันที่ ๓๐ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๑

    ท่านอาจารย์ วันนี้ก็เป็นอีกวันหนึ่งที่มีค่า ทุกขณะและทุกนาที เพราะว่าสิ่งที่จะได้ยินได้ฟัง เป็นความจริงซึ่งกำลังมีอยู่ในขณะนี้ ซึ่งพระธรรมที่พระองค์ตรัสไว้ดีแล้ว สามารถที่จะทำให้แต่ละคนได้สะสมความเข้าใจ รู้จักคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มิฉะนั้นแล้วเราก็คงจะไม่สามารถกล่าวคุณของพระองค์ได้ ด้วยเหตุนี้สิ่งที่มีอยู่ในขณะนี้ มีจริงทุกกาลสมัย ในสมัยก่อนก็มีการเห็น มีการได้ยินเหมือนอย่างนี้ และคนในครั้งนั้นมีโอกาสได้เฝ้า ได้ฟังพระธรรมซึ่งกล่าวถึงสิ่งที่มีจริงๆ เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีจริงมีทุกกาลสมัย แต่มีกับความไม่รู้ไม่เข้าใจมานานแสนนาน และก็ไม่มีโอกาสที่จะได้เข้าใจความจริงเลย ถ้าไม่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นแต่ละคำ เปิดสิ่งที่ถูกปกปิดไว้นาน ไม่ให้ใครได้เข้าใจตามความเป็นจริง จนกว่าคำของพระองค์ทั้งหมด ๔๕ พรรษา จะเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้ที่ได้ยินได้ฟัง มีโอกาสเหมือนเกิดใหม่ ที่ได้รู้จักสิ่งที่มีจริงซึ่งไม่ว่าจะนานแสนนานในสังสารวัฏ ก็ไม่สามารถที่จะรู้ได้

    ด้วยเหตุนี้ประโยชน์สูงสุดของแต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือให้เข้าใจความจริงของสิ่งที่มี ซึ่งความจริงในชาตินี้เป็นความจริงทุกขณะ ตั้งแต่เกิดจนตาย แม้ขณะนี้ เพราะฉะนั้นการฟังพระธรรมก็เป็นเครื่องพิสูจน์ว่า ได้เข้าใจคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามากน้อยแค่ไหน หรือว่าเพิ่งเริ่มที่จะได้ยินได้ฟัง และก็สำหรับการที่ไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน พอได้ยินคำธรรมดาธรรมดา ก็เกิดความสงสัยว่าคืออะไร ทั้งๆ ที่กำลังมีในขณะนี้ นี่แสดงให้คนฟังได้รู้สึกตัวว่า ไม่เคยรู้คำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ซึ่งกำลังมีในขณะนี้ตามความเป็นจริง เช่น เห็น ถ้าเปิดดูในพระไตรปิฎก ไม่ว่าจะเสด็จจาริกไปที่ใด ก็มีผู้ที่ทูลถามเรื่องของสิ่งที่มีในขณะนั้น และพระองค์ก็ตรัสพูดถึงความจริงของสิ่งนั้น จนกระทั่งสามารถเข้าใจในขณะนั้นทันที แต่ว่าการที่จะเข้าใจคำที่ลึกซึ้งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส ก็ต้องคิด พระองค์ตรัสคำเดียวกับที่เราพูด แต่ว่าปัญญาห่างกันแค่ไหน

    เพราะฉะนั้นกว่าจะได้ฟัง และก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ถึงคุณค่าที่เปรียบกับสิ่งใดไม่ได้เลย เมื่อได้มีความเข้าใจถูกต้องว่าไม่รู้มาแสนนาน แล้วก็ได้ค่อยๆ เข้าใจความจริงว่าสิ่งที่มีในขณะนี้หาใช่เป็นอย่างที่คิดไม่ เพราะเหตุว่าคนที่ไม่ได้ฟังพระธรรม ก็เห็นคน เห็นสัตว์ เห็นโต๊ะ เห็นเก้าอี้ เห็นบ้าน เห็นมารดาบิดา เห็นมิตรสหาย แต่ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสคำที่ต้องไตร่ตรองว่าเห็นเกิดจึงเห็น และเห็นไม่สามารถจะเป็นอื่นได้เลย นอกจากเป็นเพียงรู้ว่าขณะนี้มีสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นอย่างนี้ ฟังอย่างนี้กว่าจะเข้าใจจริงๆ เฉพาะเห็น เพราะว่าขณะนี้มีทั้งเห็นด้วย คิดด้วย ได้ยินเสียงด้วย หลายอย่าง และก็เป็นรูปร่างสีสันต่างๆ แต่ถ้าไตร่ตรองตามความจริง ค่อยๆ พิจารณา เห็นเกิดขึ้นขณะหนึ่งมีสิ่งหนึ่งปรากฏ ถ้าเพียงหนึ่งขณะจิตนั้นไม่เกิด สิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ ก็ปรากฏไม่ได้เลย

    นี่แต่ละคำแต่ละคำ เป็นคำธรรมดาธรรมดาในภาษาของตนของตน แต่กว่าจะเข้าใจได้จริงๆ ว่าความจริงแท้ ก็คือว่าขณะนี้เอง เห็นเกิดขึ้นมีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นในขณะที่เห็น แล้วก็หมดไป แต่การหมดไปของสิ่งที่มีในขณะนี้ ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้ เพราะเหตุว่าไม่เคยเข้าใจเลยว่า ธรรมคือสิ่งที่มีจริง ซึ่งไม่มีใครรู้ จนกว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะทรงแสดงว่า ทุกอย่างที่มีจริงไม่เว้นเลยสักอย่าง เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร และเมื่อเกิดแล้วก็ดับไป เร็วสุดที่จะประมาณได้ ถ้าจะเปรียบเทียบดู สิ่งที่เกิดแล้วดับเร็วมาก ไม่ปรากฏว่าดับ แต่ก็มีสิ่งอื่นที่เกิดสืบต่อทันที ไม่มีระหว่างคั่นเลย แนบแน่นสนิท เหมือนกับสิ่งที่ดับไปแล้วไม่ได้ดับไป จึงปรากฏเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด มั่นคงไม่เคยปรากฏการเกิดดับเลย

    เพราะฉะนั้นกว่าจะเป็นผู้ที่ได้ฟังคำจริง ที่จะทำให้เกิดความเข้าใจของตนเอง จนกระทั่งสามารถที่จะรู้ได้ว่า เมื่อมีความเข้าใจแล้ว ทุกคำที่เอ่ยถึงกล่าวถึงคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เป็นความกตัญญู เป็นผู้ที่รู้คุณของคำนั้นๆ ที่สามารถที่จะทำให้ความเข้าใจ ซึ่งไม่เคยเกิดมีมาก่อนได้เกิดมีขึ้น เพราะฉะนั้นธรรมเป็นเรื่องธรรมดา แม้แต่คำว่าธรรมดา ก็มาจากคำในภาษามคธี ซึ่งเป็นภาษาที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสกับชาวมคธ ซึ่งคนไทยก็ต้องแปล มีสองคำ ธรรมกับตา ธรรมคือสิ่งที่มีจริง ตาก็คือความเป็นไปของสิ่งที่มีจริง เพราะฉะนั้นคนไทยก็ใช้คำว่าธรรมดา ไม่ใช้คำว่าธรรมตา เพราะส่วนใหญ่เราจะเปลี่ยนเป็น ดอ ไม่ใช่ ตอ แต่ว่าเราก็พูดกันทุกวัน ทุกอย่างเป็นธรรมดา แต่หาเข้าใจไหมว่าธรรมดาที่พูดคือธรรม และธรรมดาก็คือความเป็นไปของธรรม เพราะฉะนั้นเราพูดคำว่าธรรมดา โดยเราไม่รู้จักธรรม ไม่รู้ความเป็นไปของธรรม ก็คือว่ามีการเกิดและมีการดับสืบต่ออย่างรวดเร็วซึ่งไม่ปรากฏเลย ซึ่งปกปิดความจริงไว้

    ด้วยเหตุนี้เมื่อได้เข้าใจธรรม และก็เข้าใจสิ่งที่มี ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนตรงไหน สิ่งที่มีทั้งหมดนั้นเป็นธรรม แต่เราไม่เคยคิดเลยว่าจากข้างนอกห้อง เพียงก้าวเข้ามาในห้อง ธรรมก็ต่างกัน เพราะฉะนั้นถ้าธรรมที่นี่ไม่เกิด ก็จะไม่มีอะไรปรากฏ แต่เพราะที่นี่มีธรรมที่เกิดต่างกับข้างนอก เพราะฉะนั้นก็แสดงให้มีความคิดว่า มีสิ่งซึ่งต่างกันซึ่งไม่ได้ดับไปเลย แต่ความจริง แค่หลับตา ไม่มีอะไรเหลือเลยในห้องนี้

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 188
    26 ก.ค. 2568