ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1271


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ปกิณณกธรรม ตอนที่ ๑๒๗๑

    สนทนาธรรม ที่ โรงแรมไดมอนด์ พลาซ่า จ.สุราษฎร์ธานี

    วันที่ ๒๕ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๑


    ท่านอาจารย์ เพราะจิตรู้ทีละหนึ่ง เพียงหนึ่งซึ่งเกิดดับสืบต่อ ทำให้ปรากฏเป็นนิมิตตะ เป็นรูปร่างสัณฐาน เพราะฉะนั้นแต่ละคำต้องฟังให้เข้าใจ นิมิต หมายความถึง สิ่งที่เกิดดับสืบต่อ จนปรากฏเป็นรูปร่างสัณฐาน เด็กเกิดมาใหม่ เห็นหรือไม่ เหมือนเราเลย ธรรมไม่เปลี่ยนเลย แต่ว่าไม่รู้ว่าเป็นอะไร กว่าเราจะรู้ก็เหมือนกัน ใช่ไหม ถ้าเราไปต่างถิ่นก็ไม่รู้ว่าเป็นอะไรทั้งนั้นเลย ไม่ว่าจะเป็นเสียงหรือจะเป็นอะไรก็ตาม เพราะฉะนั้นกว่าจะชินจนรู้ว่าสิ่งที่เห็น รูปร่างอย่างนี้แหละคืออะไร ค่อยๆ จำ ค่อยๆ จำ จนกระทั่งรู้ได้โดยอาการนั้นๆ ก็คือ ปัญญัตติ ที่ภาษาบาลีใช้คำว่า บัญญัติ บัญญัติว่าเป็นคิ้ว บัญญัติว่าเป็นหู บัญญัติว่าเป็นคน บัญญัติว่าเป็นโต๊ะ มาจากความจำ สัญญาเจตสิก ซึ่งเกิดกับจิตซ้ำๆ ๆ แล้วสิ่งที่ปรากฏเป็นนิมิต ก็ปรากฏ ที่ใครเปลี่ยนได้ แต่ละคนใช่ไหม มีนิมิตการเกิดดับของรูป ซึ่งทำให้ปรากฏเป็นสัณฐาน เป็นนิมิต และรู้ได้โดยอาการนั้น นี่คุณวิชัย นี่คุณธิดารัตน์ นั่นคุณสงบ นี่คุณธีรพันธ์ นี่โต๊ะ นั่นเก้าอี้ นั่นดอกไม้ นิมิตของสิ่งที่มีจริง ที่เกิดดับอย่างเร็ว ทำให้เกิดปัญญัตติ รู้ได้โดยอาการนั้นๆ ว่าเป็นอะไร แค่ทันทีลืมตามา หมดเลย เห็นไหม จำได้หมดเลย เพราะจิตเกิดดับสืบต่อเร็วสุดที่จะประมาณได้ แต่ถ้าเป็นคนใหม่ กว่าจะจำได้ ใช่ไหม ก็ต้องอาศัยความคุ้นเคย จึงจะรู้ว่านิมิตนั้นคืออะไร แค่เห็น จำได้ ชื่ออะไรก็ไม่รู้ จนกว่าจะได้ยินเสียง เสียงนี้ก็หลายเสียง เสียงต่างๆ บางทีก็ชื่อนี้หรือเปล่าใช่ไหม จนกว่าจะคุ้นเคยกับสิ่งนั้น ก็เป็นสัททบัญญัติ ให้รู้ได้โดยอาการนั้นๆ ว่าหมายความถึงอะไร

    เพราะฉะนั้นก่อนอื่นต้องมีปรมัตถธรรม ซึ่งเกิดดับ ทำให้ปรากฏสืบต่อเป็นนิมิต เหมือนอย่างเราแกว่งก้านธูป ๑ ดอก แต่แกว่งให้เป็นวงกลม เห็นเป็นวงกลม ไม่ได้เห็นเป็นหนึ่งที่เกิดแล้วดับเลย ฉันใด ขณะนี้ก็คือโลกที่เกิดดับสืบต่อ เหมือนมายากล เพราะฉะนั้นจิตเป็นนักเล่นกลที่ไม่มีใครเทียบได้เลย เกิดดับจนกระทั่งปรากฏสิ่งต่างๆ ลวงให้เข้าใจว่ามีจริง มีคนที่นั่งอยู่ที่นี่ มีโต๊ะ มีเก้าอี้ มีดอกไม้ เพราะฉะนั้นลองคิดดู กว่าปัญญาสามารถจะค่อยๆ รู้ความจริงว่า ไม่มีอะไรถ้าไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้น และสิ่งที่เกิดขึ้นก็บังคับบัญชาไม่ได้ด้วยว่าจะให้เกิดอะไร เมื่อวานนี้รู้ไหมว่าวันนี้จะคิดอย่างนี้ ไม่รู้เลย เพราะฉะนั้นหลังจากที่คิดอย่างนี้แล้ว ต่อไปจะคิดอะไร ก็ไม่รู้อีก จะเห็นอะไร จะคิดอะไร ไม่มีทางรู้ได้เลย ต่อเมื่อสิ่งนั้นเกิดขึ้น ดับแล้วก็ปรากฏสืบต่ออย่างเร็ว เป็นนิมิต และทำให้เกิดการรู้ได้ในนิมิตนั้น ก็เป็นอรรถบัญญัติว่า สิ่งนั้นยาวๆ อย่างนี้ อะไร ไม่ใช่ดินสอ ไม่ใช่ปากกา งู เห็นไหม เพราะนิมิตที่ต่างกัน คุ้นเคยจนรู้ในอรรถว่า แม้เป็นสิ่งที่ยาวๆ แต่ลักษณะก็ต่างกันแล้ว

    เพราะฉะนั้นอรรถบัญญัติของสิ่งที่ปรากฏ โดยไม่ต้องเรียกชื่อ ก็รู้ว่าอะไร แต่สัททบัญญัติ ก็คือว่า พอได้ยินคำ แม้ไม่เห็นก็รู้ บอกว่าคุณปริญญา รู้จักไหม เห็นไหม ไม่ต้องเห็นตัวด้วยซ้ำไป แค่ได้ยินชื่อ ก็นึกแล้ว จำได้แล้ว ปัญญัตติ รู้ได้โดยสัททบัญญัติ เพราะฉะนั้นก็ต้องเข้าใจทีละคำ ถ้าไม่มีธรรม ก็ไม่มีนิมิต เมื่อมีธรรมเกิดดับ จะไม่ให้ปรากฏเป็นนิมิตก็ไม่ได้ เมื่อเป็นนิมิตแล้ว ก็จำและรู้ได้ โดยอาการนั้นๆ เป็นอรรถบัญญัติ รู้ได้โดยอาการนั้นๆ ว่าเป็นคน เป็นสัตว์ และถ้ามีเสียงพูด รู้ได้โดยความหมายของเสียงว่าหมายความถึงอะไร เพราะฉะนั้นเข้าใจธรรมทีละคำ จนกระทั่งเข้าใจมั่นคง ได้ยินคำว่าธรรม ก็รู้ว่าอะไร ได้ยินคำว่า จิต เจตสิก รูป คืออะไร นิมิตคืออะไร บัญญัติคืออะไร เพราะฉะนั้น เดี๋ยวนี้มีจิต มีเจตสิก มีรูป มีนิมิตไหม มี มีบัญญัติไหม ถ้าไม่พูด มีอรรถบัญญัติ ใช่ไหม แต่ถ้าพูด เข้าใจตามเสียงนั้น ก็เป็นสัททบัญญัติ ถ้าสงสัยก็คือว่า ศึกษาธรรมทีละคำทีละคำ เพราะว่าจะได้พบคำว่าบัญญัติมากกว่านี้ แต่แค่นี้ก็พอสมควรที่จะรู้ว่า แม้ว่าจะกล่าวถึงละเอียดกว่านี้ ก็ไม่พ้นจากความหมายที่ได้ยินครั้งแรก เช่น ธรรม คือ สิ่งที่มีจริง สิ่งที่มีจริงที่ต่างกัน ก็คือว่า รูปธรรมไม่รู้อะไรเลย นามธรรมเป็นธาตุรู้ มองเห็นนามธรรมไหม เห็นอะไร เห็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็น รูปธรรมหนึ่ง เห็นเสียงไหม เห็นกลิ่นไหม แต่เห็นสิ่งที่ปรากฏเมื่อกระทบตา ถ้าไม่กระทบตา จิตเห็นไม่เกิด สิ่งนี้ก็ไม่ปรากฏ

    เพราะฉะนั้นแม้แต่ธรรมที่จะปรากฏได้ ก็ต้องมีธาตุรู้ ถ้าไม่มีคนสักคนเดียว โต๊ะ เก้าอี้ ทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่รู้เลยว่าอะไรอยู่ในนี้บ้าง แต่พอมีธาตุรู้เกิดขึ้น ต้องมีสิ่งที่ถูกรู้ เพราะฉะนั้นเราค่อยๆ จำคำภาษาบาลี ทีละเล็กทีละน้อยด้วยความเข้าใจ ไม่ใช่ด้วยการท่อง จิตตะหรือจิต ในภาษาไทย เป็นสภาพที่รู้ เกิดขึ้นต้องรู้ มีจิตไหนไหมเกิดขึ้นแล้วไม่รู้ มั่นใจ นอนหลับสนิทรู้อะไร มีจิตไหม มี เพราะฉะนั้นทรงแสดงว่า จิตต่างกันเป็น ๒ ประเภทใหญ่ๆ แต่ละหนึ่งแต่ละหนึ่งค่อยๆ ขยายออกไป เพื่อให้พระปัญญาที่ได้ตรัสรู้ สามารถที่จะมีคำ ที่ทำให้คนอื่นได้เข้าใจสิ่งซึ่งเขาไม่สามารถจะรู้ได้ด้วยตัวเอง เพราะฉะนั้นจิตต่างกันเป็น ๒ ประเภทใหญ่ๆ ประเภทหนึ่งเป็นจิตที่เกิดขึ้น แล้วไม่รู้อารมณ์ได้ไหม มีจิตไหนบ้างไหม ที่เกิดขึ้นแล้วไม่รู้อะไร ต้องมั่นคง จิตเป็นธาตุรู้ เกิดขึ้นต้องรู้ สิ่งที่ถูกจิตรู้ ใช้คำว่า อารมณ์ เปลี่ยนไม่ได้เลย ไม่ว่าจะหลับ จะตื่น จะตาย ถ้าเป็นจิตแล้ว ต้องรู้ เกิดขึ้นรู้ และสิ่งที่ถูกจิตรู้ ใช้คำว่าอารมณ์ จิตเห็น เห็นเสียงได้ไหม ไม่ได้ เพราะฉะนั้นเสียงไม่ใช่อารมณ์ของจิตเห็น ถูกต้องไหม จิตได้ยินเห็นไหม ไม่เห็น เพราะฉะนั้นสิ่งที่ปรากฏทางตา ไม่ใช่อารมณ์ของจิตได้ยิน อารมณ์ของจิตได้ยิน ก็คือ เสียง อารมณ์ของจิตเห็น ก็ไม่ต้องเรียกอะไรเลย กำลังปรากฏชัดเจนว่านี่แหละ แค่นี้แหละ เป็นสิ่งที่จิตเห็น เพราะว่าเพียงหลับตา ไม่เห็น สิ่งต่างๆ ที่ปรากฏก็ไม่มี

    เพราะฉะนั้นก็แสดงให้เห็นว่า ธรรม คือ สิ่งที่มีจริงทุกชาติตั้งแต่เกิดจนตาย เดี๋ยวนี้ก็มี ทุกวันก็มี แต่ไม่เคยเข้าใจเลย พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสให้ไปทำอะไร ที่ไหน แต่เข้าใจให้ถูกต้องในสิ่งที่มีแล้วไม่รู้ มานานแสนนาน และสภาพรู้นั้นก็ไม่ใช่เราด้วย เข้าใจถูก เห็นถูก เป็นรูปธรรมหรือเปล่า ไม่ใช่ เพราะรูปไม่รู้อะไรเลย ความเข้าใจถูกเป็นจิตหรือเปล่า จิตเป็นธาตุที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์ จบ เท่านั้น ไม่รัก ไม่ชัง ไม่หลง ไม่เพลิดเพลิน ทั้งสิ้น นั่นเป็นเจตสิกทั้งหมด เพราะฉะนั้นถ้าเราจะรู้ความจริงในชีวิตประจำวัน เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส คิดนึก เป็น จิต นอกจากนั้นเป็นเจตสิก ที่เราบอกว่า ขยัน ขี้เกียจ ดี ชั่ว ริษยา มานะ สำคัญตน ทั้งหมดเป็นเจตสิก เพราะฉะนั้นก็จะเห็นได้จริงๆ ว่าธรรมเป็นสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ แต่ไม่เข้าใจ แล้วไปทำอะไรก็ไม่สามารถจะเข้าใจได้เลย นอกจากคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ฟังไป แต่ละคำ ๔๕ พรรษาที่ทรงแสดงมากมาย มีใครบ้างที่รอบรู้ ๓ ปิฎก ไม่มีทางเป็นไปได้เลย ถ้าเทียบปัญญาน้อยนิดแค่ไหน ท่านพระสารีบุตรเป็นอัครสาวก ท่านพระมหาโมคคัลลานะเป็นอัครสาวก ท่านสนทนาธรรมกันหรือเปล่า สนทนาแล้วไปเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กราบทูลถามเพราะว่าต่างคนก็ต่างแสดงความคิดเห็นตามที่สะสม

    เพราะฉะนั้นจะเห็นได้จริงๆ ไม่ประมาท ไม่ใช่ว่าคิดเอง ไม่ใช่ว่าฟังคำของคนโน้นคนนี้ กล่าวอ้างคำในพระไตรปิฎก ใครจะพูดก็ตาม คำนั้นต่างหากที่แสดงความจริงสำหรับคนที่ฟังแล้วไตร่ตรอง แล้วก็เข้าใจตามนั้น ถ้าผิดจากนั้นก็คือ คิดเอง เพราะฉะนั้นธรรมคือสิ่งที่มีจริง ไม่ได้เรียกชื่อคนโน้นคนนี้เลย ใช่ไหม แต่ใช้คำว่า ธรรม คือ สิ่งที่มีจริง เพราะฉะนั้นทุกคำต้องตรง รูปธรรม สิ่งที่มีจริงที่เกิดขึ้น มี แต่ไม่รู้อะไร เสียง ไม่รู้ ก็เป็นรูปธรรม เกิดดับหรือเปล่า เกิดดับ ก็เป็นรูปขันธ์ ถูกต้องไหม สิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่เกิดแล้วดับ สิ่งนั้นเป็นขันธ์ เพราะเหตุว่าดับไปแล้วเป็นอดีต ยังไม่มาถึง แต่จะต้องเกิดแน่นอน เป็นอนาคต สิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ เกิด เพราะฉะนั้นทุกขันธ์ คือ สิ่งที่เกิดดับ เป็นอดีต อนาคต ปัจจุบัน หลากหลายมากไหม ไกล ใกล้ หยาบ ละเอียด เลว ประณีต เป็นต้น คิดดู ใครที่ไหน

    เพราะฉะนั้นยิ่งแสดงความละเอียดให้คนที่ฟังธรรมเข้าใจ จะค่อยๆ สะสมการที่จะรู้ความจริง เช่น ท่านพระสารีบุตร ท่านอนาถบิณฑิกะ ฟังพระธรรมจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจบเป็นพระโสดาบัน ทั้งนั้นเลย มาจากไหน มาจากความเข้าใจ ซึ่งก่อนนั้น แค่ได้ยินได้ฟัง ทีละคำสองคำ ทีละเล็กทีละน้อย โดยความไม่ประมาทเลย เพราะเป็นเรื่องละ ถ้าไม่รู้ เป็นเรื่องติดข้อง ถ้ารู้แล้ว ติดข้องไม่ได้เลย เพราะรู้ว่าไม่มี หมดแล้ว ติดข้องอันไหน แต่ถ้าไม่รู้ อะไรก็ตามที่เกิดมี ติดข้องทันที ถ้าไม่เห็น เห็นไม่เกิดขึ้น ไม่มีอะไรจะติดข้องทางตาใช่ไหม แต่พอมีสิ่งที่เกิด แล้วกระทบตาแล้วเห็น ติดข้องทันที จะเห็นอีก ใช่ไหม เมื่อวานนี้เห็นแล้ว ไม่พอ ใช่ไหม พรุ่งนี้ก็อยากเห็นอีก หรือใครไม่อยากเห็นอะไร เพราะฉะนั้นสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่เกิดขึ้น สิ่งนั้นเมื่อไม่มีความรู้ว่าเพียงแค่เกิดแล้วดับ เข้าใจว่ายังมีอยู่ เพราะว่าเกิดดับสืบต่อ ก็เป็นสิ่งซึ่งติดข้อง ความติดข้องมีจริงไหม เป็นธรรมหรือเปล่า เป็น เป็นธรรมอะไร เห็นไหม ต้องค่อยๆ ไล่เรียง เป็นจิต หรือเป็นเจตสิก หรือรูป ถ้าเป็นความติดข้อง รูปติดข้องไม่ได้แน่ ก็เหลือเพียงจิตและเจตสิก แต่จิตก็เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งเท่านั้นเอง แต่ความติดข้องเป็นสภาพธรรมที่ไม่ปล่อย พอใจ มีจริง ทรงบัญญัติ เพราะสิ่งนั้นมีจริง เรียกคำนั้นว่าโดยเสียง โลภเจตสิก ใครไม่มี ไม่ต้องเรียกก็มีใช่ไหม มีก็ไม่รู้ และยังหลงเข้าใจว่าเป็นเรา

    เพราะฉะนั้นธรรมเท่านั้นที่จะทำให้ค่อยๆ ละความไม่รู้ อย่าไปคิดว่าอย่างอื่นเลยทั้งสิ้น เป็นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้นบารมี ธรรมที่จะทำให้ถึงฝั่ง คือ การรู้แจ้งสิ่งที่ได้ยินได้ฟังตามความเป็นจริง ก็มี ๑๐ ประการ แต่ว่าขันติบารมี ความอดทน คิดดู อดทนที่จะทำอกุศล คนก็ยังสรรเสริญเลยใช่ไหม อดทนปลูกข้าว อดทนเย็บเสื้อ อดทนทำอาหารให้อร่อย อดทนเขียนหนังสือ ดีทั้งนั้นเลย คนอดทน ใช่ไหม แต่ว่าอดทนในทางอกุศล ถ้าเปลี่ยนความอดทนเป็นทางกุศล ยากกว่านั้นไหม อกุศลไม่ยากเลย เกิดตลอดเวลา เพราะมีปัจจัยที่จะให้เกิด แต่กุศลตรงกันข้ามกับอกุศล เกิดยากแต่เกิดได้ โดยเฉพาะในบรรดาสิ่งที่เกิดทั้งหมด ปัญญาประเสริฐสุด ไม่มีอะไรเทียบได้เลย เพราะฉะนั้นกว่าปัญญาจะเกิด ก็ไม่ง่ายใช่ไหม แต่กำลังของปัญญา สามารถจะเข้าใจสิ่งซึ่งมีแล้วไม่เข้าใจ จะไปนั่งคิดเอง จะไปสำนักปฏิบัติ จะไปฟังคำของคนอื่น ก็ไม่สามารถที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าพระองค์ตรัสถึงสิ่งที่มีจริงแต่ละคำ เพื่อให้มีความเข้าใจเพิ่มขึ้น แต่เพิ่มขึ้นระดับไหน ก็ยังมีมากกว่านั้นอีกมาก เพราะเพียงขั้นฟังเป็นขั้นปริยัติ หมายความว่า ฟังเข้าใจไม่พอ ไตร่ตรองเข้าใจเพิ่มขึ้น เป็นความรอบรู้ในแต่ละคำที่ได้ฟัง ปริยัติ ได้ยินคำว่าธรรมที่ไหน ต้องเป็นธรรม เป็นอื่นไม่ได้ ได้ยินคำว่า เห็นที่ไหน เปลี่ยนไม่ได้ เป็นอนัตตา ทุกคำ เข้าใจตลอด เหมือนคนไทยเราอ่านหนังสือใช่ไหม เราก็เริ่มจาก กอ ไก่ ตัวนี้ จำได้ รูปร่างอย่างนี้ เจอ กอ ไก่ที่ไหนรู้ไหม ก็รู้ เจอในหนังสือก็รู้ เจอที่ป้ายก็รู้ ไปต่างประเทศเห็นตัวนี้ก็รู้ ใช่ไหม ถ้าเป็นภาษาไทย

    เพราะฉะนั้นก็แสดงให้เห็นว่า ธรรมที่ได้เข้าใจแล้ว ถ้าเป็นธรรมที่ถึงการรอบรู้จริงๆ ไม่มีการเปลี่ยนเลย แต่เป็นความเข้าใจระดับปริยัติ เห็นไหม แค่นี้ไม่พอ เพราะฉะนั้นพระธรรมงามทั้งเบื้องต้น งามในท่ามกลาง รู้ชัดเจนขึ้น คือขณะนี้เป็นธรรมหมดเลย เป็นหรือยัง ยัง เพราะฉะนั้นก็ไม่ใช่ปฏิปัตติ และถ้ายังไม่ใช่ปฏิปัตติ จะถึงปฏิเวธ แทงตลอดประจักษ์แจ้งได้อย่างไร ทุกคำที่ได้ฟัง ปัญญาสามารถที่จะอบรมจนกระทั่งเป็นสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นสังฆรัตนะ คือไม่ใช่ผู้ที่เพียงบวช แต่ว่าไม่ว่าจะเป็นคฤหัสถ์หรือบรรพชิต ก็สามารถที่จะดับกิเลส คิดดู กิเลสมากแค่ไหน ปัญญาดับได้ ตามลำดับขั้น จากความเป็นพระโสดาบันบุคคล ปลอดภัยแล้ว ต้องถึงความเป็นพระอรหันต์แน่นอน จะกลับไปเห็นผิดอีกได้ไหม ไม่มีทาง แต่เห็นว่า นานไหมกว่าจะดับกิเลสที่ยังเหลือ ประมาทได้อย่างไร ความติดข้องในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในสัมผัส ถึงแม้ท่านจะเกิดอีกอย่างมากที่สุด ๗ ชาติ แต่ก็แล้วแต่ว่าจะเกิดที่ไหน แต่ละชาตินั้นมีอายุยืนยาวแค่ไหน

    อ.วิชัย จะเห็นถึงความลึกซึ้ง ยากที่จะมีผู้ใดเปรียบพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้

    ท่านอาจารย์ ท่านรู้ว่าปัญญาของท่านทั้งหมด มาจากไหน มาจากใคร เพราะฉะนั้นผู้นั้นต้องเลิศกว่ามากมายมหาศาล ใบไม้ในกำมือกี่ใบที่พระองค์มี เด็ดมา ๒-๓ ใบ เทียบกับพระปัญญาคือใบไม้ในป่า เพราะฉะนั้นที่ทรงแสดงแต่ละคำใน ๔๕ พรรษา ก็เทียบได้กับใบไม้ ๒-๓ ใบในมือเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นแค่จะรู้ว่าจิตขณะนี้เกิดดับ กับพระปัญญาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า รู้มากกว่านี้แค่ไหน แต่แค่จะรู้ว่าจิตเกิดดับเดี๋ยวนี้ ก็ยากมากแล้วใช่ไหม ต้องฟังตั้งนานเท่าไหร่ กว่าปัญญาจะค่อยๆ ละความติดข้อง เป็นเรื่องละโดยตลอด

    เพราะฉะนั้นถ้าเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ทำให้เกิดความเข้าใจที่ละความไม่รู้ เพราะฉะนั้นจะไปพูดว่า ปล่อยเสีย วางเสีย ละเสีย ไม่มีทางเป็นไปได้เลย เพราะไม่มีใครจะทำได้ นอกจากความเข้าใจต่างหาก เข้าใจเมื่อไหร่ ก็ละความไม่รู้ และความไม่เข้าใจทีละเล็กทีละน้อย เพราะฉะนั้นไม่ใช่ทุกคนจะเข้าใจคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะว่าความลึกซึ้งอย่างยิ่ง แต่คำอื่นง่ายๆ คิดว่าถูก แต่ไม่ได้เข้าใจอะไรเลย เช่น อานาปานสติ ยังไม่รู้เลยว่าคืออะไร แต่ทำ เพราะฉะนั้นก็ทำด้วยความไม่รู้ และด้วยความเป็นเรา จะดับกิเลสได้ไหม นอกจากทำให้มีความต้องการเกิดขึ้นว่าอยากทำ แล้วก็อยากได้ เพราะว่าบอกว่าทำอย่างไร ก็ทำเลย แต่ความจริง เราหรือเปล่าขณะนั้น ถ้าไม่ใช่เราแล้วเป็นอะไร นี่คือคำตอบ ต้องคิดว่าเป็นเราหรือเปล่า ถ้าเป็นเราก็ไม่ใช่ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา แต่เมื่อได้ยินคำว่าธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ความลึกซึ้งคืออนัตตา ไม่ใช่เรา แล้วธรรมนั้นเป็นอะไร จึงจะค่อยๆ เข้าใจถูกต้องเพิ่มขึ้นว่า สิ่งที่มีทั้งหมด มีจริงๆ แต่ทั้งหมดนั้นก็ไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นลมหายใจเป็นอะไร ขณะนั้นมีอะไร เป็นเราหรือเปล่า ก็ไม่รู้

    ผู้ฟัง ธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นหลักที่มีเหตุมีผล เหตุปัจจุบันที่เกิดขึ้นมา อาจจะเป็นผลจากอดีตชาติ กับเหตุใหม่ที่เกิดจากการกระทำ ความคิด เป็นกรรมใหม่ สอดแทรกกันในลักษณะอย่างไร

    ท่านอาจารย์ คำทุกคำต้องเข้าใจชัดเจน กรรมเป็นเหตุ ทำให้เกิดผล ซึ่งภาษาบาลีใช้คำว่า วิปากะ สำหรับจิตและเจตสิก เช่น ในขณะที่เกิด เลือกเกิดได้ไหม แต่จิตใช่ไหมที่เกิด แล้วไม่ใช่จิตที่เป็นเหตุด้วย คือไม่ใช่ตัวกรรม แต่กรรมหนึ่งในสังสารวัฏที่ได้กระทำแล้ว ถึงพร้อมที่จะเป็นปัจจัยให้ผลเกิดขึ้น เป็นครั้งแรกในชาตินั้น เพราะฉะนั้นขณะเกิดเป็นผลของกรรม ขณะตายเลือกได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ฆ่าตัวตาย เลือกได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เพราะว่าต้องเป็นจิตขณะสุดท้าย ซึ่งทำกิจเคลื่อนพ้นจากความเป็นบุคคลนั้น เพราะฉะนั้นจากการที่ได้ฟัง เรื่องจิต เรื่องเจตสิก ซึ่งเป็นสภาพรู้ เราก็จะต้องเข้าใจละเอียดขึ้นอีกว่า จิตเกิดแล้วมีกิจหน้าที่ เจตสิกแต่ละหนึ่งก็เกิดขึ้นกระทำกิจหน้าที่ของเจตสิกนั้นๆ เพื่อรู้จริงๆ ว่าไม่มีใครทำอะไร แต่เดี๋ยวนี้เอง ขณะนี้เอง กำลังเป็นจิตและเจตสิกซึ่งเกิดดับ ทำหน้าที่ต่างๆ เพราะฉะนั้นเริ่มรู้ว่าผลของกรรม ก็คือขณะเกิด แล้วก็ขณะตาย จิตหนึ่งขณะเกิดแล้วดับ แล้วไม่กลับมาอีกเลย เพราะฉะนั้นจิตแรกที่เกิดในชาตินี้ ใช้คำว่า ปฏิสนธิจิต หมายความว่า ปฏิ เฉพาะ สันธิ สืบต่อ จิตดวงนี้เกิดสืบต่อจากจุติจิตของชาติก่อน ทันทีที่เกิดต่อจากจุติจิตของชาติก่อน ก็คือทำหน้าที่เกิดสืบต่อ เป็นวิบาก เป็นผลของกรรม ที่ต้องเกิดขึ้นเป็นคนนี้ สืบต่อจากคนที่ดับไปแล้ว ไม่กลับมาอีกเลย เป็นแต่ละคนได้เพียงแต่ละชาติ จะกลับไปเป็นคนเก่าไม่ได้เลย

    เพราะฉะนั้นให้รู้ว่ากรรมเป็นเหตุให้เกิดปฏิสนธิจิต จุติจิต แต่ทันทีที่ปฏิสนธิจิตดับ กรรมไม่ได้ทำให้หนึ่งขณะจิตเกิด ทำให้จิตต่อๆ ไปที่เป็นผลของกรรมเกิดหลายขณะมาก เพราะฉะนั้นบางทีก็จะได้ยินคำว่ามีทุกข์เป็นกำไร มีสุขเป็นกำไร ให้ผลมากกว่าที่ทำ อย่างเกิดในนรก ฆ่าคนหนึ่งนี่จะตกนรกนานเท่าไหร่ เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องที่เป็นสภาพธรรมที่ปกปิด แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงแสดงความจริงให้รู้ เท่าที่จะรู้ได้ว่ากรรมหนึ่งทำให้เกิดเป็นคนนี้ และไม่ใช่เป็นวิบากจิตขณะเดียว ชื่อว่า วิบากจิต ต้องเป็นผลของกรรม แล้วแต่ว่าจะเป็นผลของกรรมใด เพราะฉะนั้นกรรมหนึ่งทำให้จิตขณะแรกเกิดดับ ขณะเดียวไม่พอ

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 188
    10 ก.ค. 2568