ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1291


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ปกิณณกธรรม ตอนที่ ๑๒๙๑

    สนทนาธรรม ที่ ครัวอิ่มสุข จ.ฉะเชิงเทรา

    วันที่ ๒๕ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๖๑


    ท่านอาจารย์ ส่วนจิตจะเกิดได้ ก็ต้องมีเจตสิกอาศัยกันและกันเกิดขึ้นพร้อมกัน จิตที่มีเจตสิกเกิดน้อยที่สุด มี ๑๐ จิตเท่านั้น เดี๋ยวนี้ก็กำลังมีเห็น กุศลวิบาก ๑ อกุศลวิบาก ๑ ได้ยินกุศลวิบาก ๑ อกุศลวิบาก ๑ ได้กลิ่นกุศลวิบาก ๑ อกุศลวิบาก ๑ ลิ้มรสเมื่อกี้นี้เองใช่ไหม เรารับประทานอาหาร แต่ไม่ใช่จิตลิ้มรสเกิดขึ้นรู้รส จิตเห็นเกิดขึ้นเห็น จิตได้ยินเกิดขึ้นได้ยิน ไม่มีเราเลย ขณะที่จิตกำลังลิ้มรส ก็เลือกไม่ได้ก็เป็น แล้วแต่กุศลวิบากหรืออกุศลวิบากตามกรรม เพราะต้องเป็นเราที่ขณะนั้นต้องเกิดขึ้น ไม่รู้มาจากไหนกรรมไหน แต่ให้ทราบว่าเป็นผลของกรรม ทางกายก็กระทบสัมผัส นั่งเก้าอี้ก็ต้องสบายใช่ไหม มีเก้าอี้ตั้งหลายตัว เลือกละจะนั่งตัวไหนดีใช่ไหม นั้นก็คือต้องการความสบายจากสิ่งที่กระทบกาย เพราะฉะนั้นทั้งหมด เจตสิกที่เกิดกับจิตเหล่านี้ เกิดพร้อมกัน ดับพร้อมกันกับจิตที่เห็น ได้ยิน ๗ ประเภท รวมเจตนาเจตสิก จะบอกว่าไม่จงใจ เราคิดว่าเราไม่ได้ตั้งใจ แต่ว่าตามความเป็นจริงก็คือ ตั้งใจมีจริงหรือเปล่า ตั้งใจมีจริงก็ตั้งใจไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นตั้งใจก็เป็นธรรม เป็นสภาพรู้ด้วย ตั้งใจจะทำอะไรก็รู้ ขณะนั้นก็เป็นสภาพรู้ซึ่งเป็นเจตสิกประเภท ๑ ทุกครั้งที่เกิดขึ้น แต่ว่าเวลาที่เห็นขณะนี้ มีเจตนาเกิดร่วมด้วยไหม มี แต่เราไม่ได้จงใจ ไม่ใช่มีตัวตนที่จะจงใจสักอย่างเดียว แต่ทั้งหมดทุกจิตและเจตสิกและรูป เกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย ถ้าเราไม่ศึกษาธรรมโดยละเอียด ก็จะมีความคิดว่าเป็นเรา บางครั้งก็เป็นเราไม่ตั้งใจ บางครั้งก็เป็นเราที่ตั้งใจแต่ให้ทราบว่าสภาพธรรมที่จงใจ หรือตั้งใจที่ปรากฏให้เห็น ก็คือขณะที่เป็นกุศลบ้างเป็นอกุศลบ้าง แต่เวลาที่เกิดกับวิบากจิต เจตนานั้นไม่ได้มีความจงใจเหมือนกุศลและอกุศล แต่ต้องเกิดกับจิตซึ่งขณะนั้น เจตนานั้นทำกิจขวนขวายกระตุ้นเตือน สหชาตธรรมคือจิตและเจตสิกซึ่งเกิดร่วมด้วย ให้กระทำกิจการงาน เพียงแค่ ๑ ขณะจิต ใครจะรู้ไม่ใช่เรา แต่ว่ามีเจตสิกเกิดพร้อมจิต หลากหลายประเภทของเจตสิกแต่ละ ๑ แต่ละ ๑ ก็ทำหน้าที่นั้น ขณะที่เห็นรู้สึกอะไรหรือเปล่า แค่เห็นแว๊บเดียวที่เกิดขึ้นเห็นและดับ มีความรู้สึกเกิดร่วมด้วยไหม

    ผู้ฟัง มีความรู้สึกต่อเลย

    ท่านอาจารย์ ก็เป็นเวทนา

    ผู้ฟัง อย่างเห็นท่านอาจารย์อย่างนี้

    ท่านอาจารย์ แต่ไม่ใช่เห็น นั่นเห็นดับแล้ว มากหลายขณะ จนเกิดนิมิตรูปร่างสัณฐานที่หลากหลายกัน ๓ คนนั่งที่นี่ ใช่ไหม จิตรู้ทีละ ๑ ทีละ ๑ จนกว่าจะเป็น ๑ คน เพราะฉะนั้นเห็นไม่รู้อะไร แต่มีจิตที่เกิดสืบต่อและมีสภาพที่จำ เกิดกับจิตทุกขณะ เพราะฉะนั้นศึกษาธรรม จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในพระคุณของพระองค์พระปัญญาคุณ ทำไมรู้สิ่งที่คนอื่นรู้ไม่ได้ โดยละเอียดอย่างยิ่ง โดยถูกต้อง โดยประการทั้งปวง เพราะฉะนั้นก็จะไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าไม่เข้าใจธรรม แต่เมื่อใดที่เข้าใจธรรม จากการที่ได้ฟังคำที่ทำให้เข้าใจ ก็รู้ว่าผู้ที่ได้กล่าวคำนั้น ต้องเป็นผู้ที่ตรัสรู้ซึ่งคนอื่นไม่สามารถจะรู้ได้ ด้วยเหตุนี้ มีคำว่ากตัญญู ทุกคนก็พูดใช่ไหม พูดคำที่ไม่รู้จักหรือเปล่า หรือว่ารู้จักกตัญญู

    ผู้ฟัง ไม่รู้จัก

    ท่านอาจารย์ โดยทั่วไปก็เข้าใจว่ารู้คุณใช่ไหม ใครที่ทำความดี และผู้ที่รู้คุณความดีนั้น ก็เป็นผู้ที่กตัญญูรู้ว่าสิ่งนั้นดี เพราะฉะนั้นพอฟังธรรมแล้ว กตัญญูต่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเปล่า รู้คุณใช่ไหม เพราะฉะนั้นผู้ที่รู้คุณทำอะไร ประกาศคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกคำที่ได้ฟัง ขณะนี้ใครพูดคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้นั้นกตัญญู เพราะเหตุว่าได้ประกาศคุณความดี ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้คนอื่นได้รู้ด้วย เพราะฉะนั้นแต่ละคำที่เราพูด เรายังไม่เข้าใจสภาพธรรมเลย จนกว่าเริ่มฟังเริ่มเข้าใจเริ่มคุ้นเคย พอเข้าใจแล้วเราจะไม่ลืม เช่นเวลานี้ถามว่าธรรมคืออะไร ทุกคนตอบได้ ถามว่าเห็นคืออะไร ก็ตอบได้ใช่ไหม เพราะได้ฟังและเข้าใจไม่สงสัย แต่เข้าใจแค่นี้ยังไม่พอที่จะได้รู้คุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายิ่งขึ้น ถ้ารู้คุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้เลิศประเสริฐที่สุดในพระปัญญาคุณ ในพระบริสุทธิคุณ ในพระมหากรุณาคุณ จิตที่รู้คุณผ่องใสไหม

    ผู้ฟัง ผ่องใส

    ท่านอาจารย์ นั่นคือศรัทธา เป็นเจตสิกชนิดหนึ่งเกิดกับจิตที่ดีงาม เพราะฉะนั้นสภาพจิตที่ผ่องใสไม่มีอกุศลใดๆ เกิดร่วมด้วย ขณะนั้นเพราะศรัทธาเจตสิก เกิดขึ้นทำกิจของศรัทธา ทำให้สภาพของจิตผ่องใส

    ผู้ฟัง ตรงนั้นเรียกว่าสงบได้ไหม

    ท่านอาจารย์ สงบมีจริงไหม

    ผู้ฟัง สงบจากอกุศล

    ท่านอาจารย์ จริงไหม

    ผู้ฟัง มีจริง

    ท่านอาจารย์ เป็นธรรมหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เป็นธรรม

    ท่านอาจารย์ เป็นธรรมอะไร

    ผู้ฟัง เป็นธรรมเป็นเจตสิก

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่เราละ เห็นไหม ต่อไปนี้เป็นธรรม กล่าวได้เปิดเผยเลย ถ้ามีคนถามว่าธรรมอะไร ก็บอกว่าเป็นเจตสิก ค่อยๆ เข้าใจขึ้น แล้วสมาธิมีจริงไหม

    ผู้ฟัง สมาธิอย่างถ้าเป็นตัวเดือนเอง เดือนก็ไม่เข้าใจ

    ท่านอาจารย์ แต่เคยได้ยินคำนี้ไหม

    ผู้ฟัง เคยได้ยิน

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นมีจริงๆ หรือเปล่า

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ เป็นธรรมหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เป็นธรรม

    ท่านอาจารย์ เป็นธรรมอะไร

    ผู้ฟัง เป็นธรรม เป็นเจตสิก

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง เพราะฉะนั้นเจตสิก ๕๒ ก็รวมสภาพธรรมซึ่งเราเรียกว่าสมาธิ แต่ความจริงเจตสิกนี้เกิดขึ้น ตั้งมั่นในอารมณ์ ๑ เพราะฉะนั้นเจตสิกและจิตที่เกิดร่วมด้วยก็รู้อารมณ์นั้น ไม่สามารถที่จะรู้ ๒ อารมณ์ ๓ อารมณ์พร้อมๆ กันได้ เพราะเหตุว่าเอกกะ ๑ เอกกักคตาเจตสิก เจตสิกที่ตั้งมั่นในอารมณ์ ๑ เมื่อเกิดกับจิตใด จิตนั้นตั้งมั่น จิตนั้นรู้อารมณ์ที่เจตสิกนั้นตั้งมั่น ขณะนี้เห็น เอกกัคตาเจตสิกตั้งมั่นที่สิ่งที่ปรากฏ จิตรู้แจ้งลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ เจตนาทำกิจกระตุ้นเตือน ให้สภาพธรรมที่เกิดร่วมด้วยทำกิจการงาน

    ผู้ฟัง ถ้าอย่างฟังท่านอาจารย์ว่า เมื่อกี้นี้ก็คือสมาธิ ก็มีกับเราอยู่ตลอดเวลา

    ท่านอาจารย์ เกิดกับจิตทุกขณะ แต่เปลี่ยนเรื่อยๆ เดี๋ยวเห็น เดี๋ยวได้ยินใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ แต่สมาธิประจำวันที่เราใช้กัน กำลังอ่านหนังสือ อย่ามากวนเดี๋ยวจะเสียสมาธิ หมายความว่าจิตของเราจะไปคิดเรื่องอื่น ใช่ไหม คนที่เย็บผ้าปักลวดลายต่างๆ มีสมาธิไหม

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีสมาธิก็เจ็บนิ้ว เย็บอะไรเข็มพลาด หรืออะไรก็แล้วแต่ใช่ไหม นั่นก็แสดงว่าเราใช้ในชีวิตประจำวัน แต่เราไม่ได้เข้าใจจริงๆ เลยว่า สมาธิที่เกิดกับจิตทุกประเภท แต่ขณะใดก็ตามที่กำลังจดจ้อง ตั้งมั่นที่อารมณ์ ๑ นานๆ ลักษณะของสมาธิก็ปรากฏ แต่เดี๋ยวนี้ลักษณะของสมาธิไม่ปรากฏ เพราะทั้งเห็น ทั้งได้ยิน ทั้งคิดทั้งจำหมด ลักษณะของสมาธิก็ไม่ปรากฏ แต่จิตทุกขณะต้องมีสภาพธรรม ที่ตั้งมั่นในอารมณ์หนึ่ง เพราะฉะนั้นจิตและเจตสิกที่เกิดร่วมกัน ก็รู้เฉพาะอารมณ์นั้นอารมณ์เดียว จนกว่าตั้งมั่นอยู่ที่อารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งนานๆ ลักษณะที่เราเรียกว่าสมาธิก็ปรากฏ ที่เราบอกว่ากำลังทำอะไรอย่างหนึ่ง ที่ต้องใช้สมาธิ วาดรูปต้องมีสมาธิไหม

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ แสดงให้เห็นว่าขณะนั้น ลักษณะอาการของสมาธิปรากฏ แต่ไม่ใช่เราเป็นธรรมซึ่งเป็นเจตสิก

    ผู้ฟัง อย่างเช่นกำลังฟังธรรมอย่างนี้ เราก็รู้ว่าเราฟัง

    ท่านอาจารย์ ขณะนั้นก็ต้องมีสมาธิ คือเอกอัคตาเจตสิกเกิดด้วยจึงฟัง

    ผู้ฟัง อย่างนี้ก็สรุป ถ้าเกิดเรารู้เรื่องอะไร ก็คือมีสมาธิใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ ทุกขณะจิตตั้งแต่เกิดจนตาย จิตเกิดเมื่อไหร่ต้องมีเอกัคคตาเจตสิกเกิดร่วมด้วย เป็นเจตสิกประเภท ๑ ใน ๕๒ ประเภท เกิดขึ้นเมื่อไหร่ ตั้งมั่นในอารมณ์ อารมณ์คือสิ่งที่จิตรู้ สักคำที่ได้ฟังนี่ถ้าลืมไม่ได้สับสนทันที แต่พอฟังเข้าใจแต่ละคำจะไม่สับสนเลย จิตเป็นสภาพรู้ต้องมีสิ่งที่ถูกรู้ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ถูกรู้ภาษาบาลีใช้คำว่าอารัมมณะ แต่คนไทยพูดว่าอารมณ์ แต่เราก็พูดผิดอีกใช่ไหม วันนี้อารมณ์ดีใช่ไหม ตั้งแต่เช้ามาเหนื่อยไหม กว่าจะมาถึงที่นี่ทำอะไรบ้างใช่ไหม เราก็รู้กันแต่ภาษาที่เราคุ้นเคย แต่ความจริง วันไหนอารมณ์ดี เพราะจิตรู้แต่สิ่งที่ดี ทางตาเห็นดี ทางหูได้ยินดี ทางจมูกได้กลิ่นดี ทางลิ้นก็ดีรส กระทบสัมผัสก็สบายเย็นดีอบอุ่น พวกนี้ทำให้จิตใจสบาย เราก็บอกว่าอารมณ์ดี แต่ความจริงเพราะจิตรู้อารมณ์นั้น เพราะฉะนั้นอารมณ์เป็นอารมณ์ จิตเป็นจิต จิตไม่มีอารมณ์ได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ อารมณ์ปรากฏ โดยไม่มีจิตได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นมีแข็ง แต่แข็งนั้นเป็นอารมณ์ ปรากฏเฉพาะขณะที่ถูกจิตรู้ ในขณะเห็น มีแข็งไหม

    ผู้ฟัง ไม่มี

    ท่านอาจารย์ ในขณะได้ยิน มีสิ่งที่ปรากฏทางตาไหม

    ผู้ฟัง ไม่มี

    ท่านอาจารย์ เห็นไหม คำตอบนี้วันหนึ่งจะประจักษ์ชัด

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์บอกว่าแต่ละ ๑ แต่ละ ๑ ก็คืออย่างนี้ใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ และวันหนึ่ง

    ผู้ฟัง คือหูก็ส่วนหู

    ท่านอาจารย์ และวันหนึ่งจะเป็นอย่างนี้ ปรากฏให้รู้ว่าไม่มีเรามีเฉพาะ ๑ เมื่อนั้นก็ชัดเจนกว่าฟังใช่ไหม ตอนฟังเห็นเป็นอย่างหนึ่ง ได้ยินก็อย่างหนึ่ง แต่ขณะนี้ทั้งเห็นทั้งได้ยิน

    ผู้ฟัง พร้อมกันหมดเลย

    ท่านอาจารย์ ยังไม่ได้ประจักษ์ชัดเจนใช่ไหม แต่ปัญญาสามารถที่จะประจักษ์ชัดเจนเมื่อไหร่ เมื่อนั้นตรงตามที่ได้ฟังทุกคำ เพียงแค่ ๑ ปรากฏจะชัดเจนมากไหม เพราะว่าไม่ได้รวมกัน เพราะฉะนั้นปัญญาก็มีหลายขั้น ถ้าไม่มีการฟังให้เข้าใจ ๑จะปรากฏไม่ได้ ก็คิดว่าเป็น ๑ ความจริงก็หลายอย่าง

    ผู้ฟัง กราบท่านอาจารย์อีกเรื่องหนึ่ง คือเรื่องพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง คือพุทธรัตนะ พระธรรมรัตนะ พระสังฆรัตนะ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นรัตนะคืออะไร ทุกคำ ทีละคำด้วย เหมือนเรารู้เหมือนเราเข้าใจ แต่หากเข้าใจละเอียดถูกต้องจริงๆ

    ผู้ฟัง เข้าใจว่าเป็นสิ่งที่ประเสริฐ

    ท่านอาจารย์ ไม่เปลี่ยน ถูกต้องไหม อะไรประเสริฐที่สุด

    ผู้ฟัง คำสอนของพระพุทธเจ้า

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะมีคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไหม

    ผู้ฟัง ไม่มี

    ท่านอาจารย์ ด้วยเหตุนี้รัตนะที่ ๑ คือพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้า ประเสริฐอย่างไร

    ผู้ฟัง ประเสริฐมีทั้งพระมหากรุณาคุณ พระบริสุทธิคุณ และพระปัญญาธิคุณ

    ท่านอาจารย์ สามารถที่จะพิจารณาได้ เป็นความรู้ของเราในความเป็นรัตนะ เพื่อที่จะได้รู้อย่างมั่นคงจริงๆ ว่า ในบรรดาสิ่งทั้งหลายทั้งหมด ที่เกิดขึ้นในโลกแสนนานมาแล้ว สิ่งที่ประเสริฐที่สุดก็คือปัญญา แล้วถ้าเป็นปัญญาถึงขั้นของความเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ต้องประเสริฐกว่าปัญญาอื่นใดทั้งหมด เพราะเหตุว่าเมื่อทรงตรัสรู้แล้ว ยังทรงแสดงความจริง ที่ได้ทรงตรัสรู้ให้คนอื่นได้ฟัง ๔๕ พรรษานี่กี่คำ แค่คำว่าธรรมคำเดียว ถ้าพระองค์ไม่ทรงแสดงไว้ โดยประการทั้งปวง เราก็ไม่สามารถที่จะเข้าใจได้ พอเข้าใจแล้วอะไรจะประเสริฐกว่าความเข้าใจไหม

    ผู้ฟัง ไม่มี

    ท่านอาจารย์ จริงๆ เอาทรัพย์สมบัติทั้งหมดที่มี เลยมาแลกให้ความเข้าใจที่เข้าใจหมดไปเอาไหม

    ผู้ฟัง ไม่เอา

    ท่านอาจารย์ นี่คือความประเสริฐอย่างยิ่งของรัตนะ ซึ่งเป็นสิ่งที่ประเสริฐสุด คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ ทุกคำที่ตรัสเพื่อประโยชน์แก่ผู้ฟัง ไม่ได้ปรารถนาสิ่งใดเลยทั้งสิ้น ไม่ใช่ให้คนเข้ามากราบไหว้บูชาด้วยดอกไม้ของหอม แต่เพื่อให้เขาเข้าใจธรรม เพราะฉะนั้นบริสุทธิ์อย่างยิ่ง ไม่ว่าคนนั้นจะอยู่ไกลแสนไกล ถ้ารู้ว่าเขาสามารถเข้าใจได้ เสด็จดำเนินไปคิดดู เพื่อที่จะให้เขาได้เข้าใจเพราะถ้าเขาไม่ได้ฟัง ไม่มีโอกาสจะเข้าใจ เพราะฉะนั้นนี่คือพระมหากรุณาอย่างยิ่ง ด้วยพระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ ที่ว่าไม่ได้ต้องการสิ่งใดเลย นอกจากให้คนฟังได้เข้าใจด้วยพระมหากรุณา เพราะฉะนั้นประเสริฐสุดที่จะประมาณหรือเปรียบได้ หาผู้ใดเปรียบไม่ได้ จึงเป็นรัตน พระพุทธรัตนะ ไม่สงสัยใช่ไหม และธรรมคืออะไร ถ้าไม่มีการทรงแสดงธรรม พระองค์ตรัสรู้ผู้เดียวพระองค์เดียว ไม่พูดอะไรสักคำ เราสามารถที่จะเข้าใจธรรมเดี๋ยวนี้ได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นแต่ละคำที่ตรัส กล่าวถึงคำจริง พระธรรมคือคำที่แสดงทั้งหมด กล่าวถึงธรรมทั้งหมดที่มีจริงๆ ลึกซึ้งจนถึงที่สุด งามในเบื้องต้น คือเริ่มฟังเริ่มรู้ว่าธรรมไม่ใช่เรา แต่ธรรมที่ไม่ใช่เรา ยังไม่ได้ปรากฏแม้กำลังมี เพราะฉะนั้นปัญญาระดับนี้ไม่พอ ใช่ไหม จนกว่าจะมีปัญญาอีกระดับหนึ่ง ซึ่งสามารถรู้เฉพาะสิ่งที่กำลังปรากฏและมีความเข้าใจถูก จากการที่ได้ฟังมาแล้ว เพราะถ้าไม่เคยเข้าใจมาก่อนเลย กำลังเห็นเดี๋ยวนี้ไม่รู้หรอกว่าอะไร แต่จากการฟังไม่ใช่ครั้งเดียว สิ่งนี้มีจริงๆ เกิดแล้วเป็นอะไร ก็เป็นเห็นที่กำลังเห็นเดี๋ยวนี้ และกี่ชาติกี่ชาติก็เห็นอย่างนี้แหละ เพราะฉะนั้น จากการที่ได้รู้ความจริงอย่างนี้ รู้ว่าเห็นเกิดและเห็นดับ จะเป็นเราได้อย่างไร เพราะว่าสิ่งที่ดับแล้วไม่ได้กลับมาอีกเลย และทรงแสดงหนทางคือปัญญา ที่เกิดจากการฟังจนเข้าใจ ก็จะนำไปสู่ปัญญา เป็นเหตุเป็นปัจจัย ให้เกิดปัญญาอีกระดับหนึ่งพร้อมสติสัมปชัญญะ สภาพที่มีจริงๆ เดี๋ยวนี้เกิดขึ้นปรากฏประจักษ์แจ้งตรง ตามคำที่พระองค์ทรงแสดงไว้ จนสามารถที่จะรู้ความจริงได้ เพราะความเข้าใจ เพราะฉะนั้นธรรมทั้งหมดที่จะนำไปสู่การรู้แจ้งสภาพธรรมก็เป็นรัตนะ มีค่าเพราะว่าสมบัติไม่ได้ทำให้เข้าใจธรรม สุขใดใดก็ไม่สามารถที่จะทำให้เข้าใจธรรม แต่การได้ฟังและไตร่ตรอง ทำให้เกิดสิ่งที่ไม่เคยเกิดในสังสารวัฎฏ์ อยู่ในความมืดและจะอยู่ในความมืดต่อไปตลอดไปไม่ปรากฏ ถ้าไม่ได้เข้าใจคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ เพราะฉะนั้นก็เห็นคุณอย่างยิ่ง ของธรรมที่ทำให้เกิดปัญญา ความเห็นที่ถูกต้องจึงเป็นธรรมรัตนะ นำไปสู่การรู้แจ้งอริยสัจธรรม ดับกิเลสตามลำดับขั้น เพราะกิเลสนี้มีมากดับกิเลสนี่ยาก

    ผู้ฟัง ยาก

    ท่านอาจารย์ อะไรดับได้

    ผู้ฟัง ปัญญา

    ท่านอาจารย์ เท่านั้น เห็นไหมไม่ใช่เราเลย เพราะฉะนั้นถ้าฟังไม่เข้าใจจะเป็นดับกิเลสได้ ไม่มีทาง จะไปนั่งทำสมาธิ ไปสำนักปฏิบัติ เดินนอนอะไรก็ตาม แต่ไม่เข้าใจ สิ่งที่กำลังปรากฏ ไม่รู้ว่าธรรมคืออะไร เพราะฉะนั้นไม่ใช่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และเป็นการทำลายคำสอน ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วย เพราะว่ากล่าวคำที่ตรงกันข้าม คำไม่จริงทำลายคำจริง เพราะฉะนั้นผู้กตัญญูคือผู้ที่รู้คุณ แล้วกล่าวประกาศคุณ คือความถูกต้องของคำ เพื่อที่จะนำไปสู่สิ่งที่ดีงาม จนกระทั่งดับกิเลสได้ เพราะฉะนั้นจากการเข้าใจวันนี้ ทีละเล็กทีละน้อยเพิ่มขึ้น ก็จะมีปัญญาเพิ่มขึ้นตามลำดับ จากปริยัติเป็นปฏิปัติ ซึ่งคนไทยใช้คำว่าปฏิบัติ แต่ไม่รู้ว่าปฏิบัติคืออะไร ชวนกันไปปฏิบัติ ไม่รู้อะไรเลย ถูกไหม

    ผู้ฟัง ไม่ถูก

    ท่านอาจารย์ ไม่ถูกก็ต้องไม่ถูก ใช่ไหม เพราะฉะนั้นธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ปฏิบัติเดี๋ยวนี้ได้ไหม ถ้าไม่มีปัญญา คิดว่าจะปฏิบัติเดี๋ยวนี้ แต่ไม่รู้เลยว่าไม่ใช่ปฏิปัติ เพราะปฏิปัติต้องเป็นปัญญาอีกระดับหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่เพียงขั้นฟัง

    ผู้ฟัง พอฟังเข้าใจแล้วก็ปฏิปัติต่อใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่เรานะ

    ผู้ฟัง ไม่ใช่เรา

    ท่านอาจารย์ ถึงเวลาที่พวกเราไม่ต้อง

    ผู้ฟัง คือเราไม่ต้องไปยุ่ง ไม่ต้องไปสนใจเลย

    ท่านอาจารย์ แค่เข้าใจไปเรื่อยเรื่อย เพราะรู้ว่าเข้าใจคือปัญญาในภาษาบาลี เกิดขึ้นทำกิจเข้าใจถูก เข้าใจอะไรถูก เวลาที่ฟังได้ยินรู้ว่า คำไหนถูกคำไหนผิด และเวลาที่สภาพธรรมปรากฏก็รู้จริงๆ ว่าขณะนั้นไม่ใช่เรา เพราะเป็นธรรมแต่ละ ๑ ทีละ ๑ ด้วย จึงจะเป็นปฏิปัติ เริ่มเข้าใจถูกในสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ ทีละ ๑ ตอนนี้ทีละ ๑ หรือยัง

    ผู้ฟัง น่าจะรวมมากกว่า

    ท่านอาจารย์ อย่างนี้คือไม่ใช่ ใช่ไหม เพราะฉะนั้นแสดงให้เห็นว่า การฟังนี่จะทำให้คำพูดตรงตามความเป็นจริง เดี๋ยวนี้อะไรๆ ๑ ล่ะ เห็นก็มี ได้ยินก็มี คิดก็มี ปนกันหมดละ

    ผู้ฟัง ปนกันหมดเลย

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นจะรู้ความจริงแจ้งชัดได้ไหม ในเมื่อรวมกันอย่างนี้

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ แต่ถ้าแยกออกไปเป็น ๑ ๑ ใดก็ตามแต่รู้เฉพาะ ๑ นั้น ๑ นั้น ๑ นั้น ซึ่งต่างกันหลากหลาย เพิ่มความมั่นคงว่าไม่มีเรา มีแต่สิ่งที่มีลักษณะอย่างนั้น

    ผู้ฟัง ไม่มีชื่อเลย

    ท่านอาจารย์ ไม่มี

    ผู้ฟัง ส่วนใครก็ส่วนมันเลย

    ท่านอาจารย์ จะใช้คำเพื่อให้เข้าใจ แต่ถ้าไม่เรียกก็ได้ เรียกอะไรก็ได้ เป็นที่หมายรู้กันเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นจากสิ่งที่เกิดดับมีจริงๆ การเกิดก็ไม่ปรากฏ การดับก็ไม่ปรากฏ สืบต่อจนเหมือนมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดมั่นคงยั่งยืน เป็นนิมิตทำให้รู้ว่าสิ่งนั้นเป็นอะไร หลากหลายมากใช่ไหม อย่างมองมาที่โต๊ะ เห็นหมดเลย ทันทีด้วย ใช่ไหม เพราะจิตเกิดดับ จนปรากฏสิ่งที่เห็นได้ เป็นนิมิตรูปร่างต่างๆ เห็นดอกกุหลาบ กับดอกมะลิก็รู้แล้วใช่ไหมว่าไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นสิ่งใดก็ตาม ที่เป็นที่ทำให้เข้าใจในสิ่งนั้นโดยนิมิตนั้น ความเข้าใจสิ่งนั้นโดยนิมิตนั้น ก็คือบัญญัติ รู้ได้โดยประการนั้นๆ คือนิมิตนั้นๆ ทำให้เกิดความรู้ว่าไม่เหมือนกัน ยังไม่มีชื่อแต่ก็รู้ว่าไม่เหมือน ไม่เรียกอะไรเลย ก็ไม่เหมือนใช่ไหม จะเหมือนกันได้ยังไง ปรากฏอย่างไรก็ต้องปรากฏอย่างนั้น แต่เวลาที่จะกล่าวให้รู้ว่า หมายความถึงสิ่งหนึ่งสิ่งใด ก็ต้องใช้เสียง เสียงแต่ละเสียง ภาษาอะไรก็ต่างกันออกไป ภาษาอังกฤษ ภาษาฝรั่งเศส ภาษาไทย ภาษาญี่ปุ่น ภาษาลาว แต่ละเสียง ความหมายก็ต่างต่างกันไป แต่สิ่งที่ปรากฏเหมือนกันใช่ไหม เพราะนิมิตนั้นเปลี่ยนไม่ได้ เกิดจากการเกิดดับของสภาพธรรม แต่เสียงที่จะใช้เรียกก็เป็นไปตามความคุ้นเคย เพราะว่าเด็กเกิดมาพูดได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ได้ยินหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ได้ยิน

    ท่านอาจารย์ ค่อยๆ จำหรือเปล่า จนกระทั่งคุ้นใช่ไหม แต่ละเสียง จนกระทั่งสามารถพูดได้ตามเสียงที่ได้ยิน เพราะฉะนั้นพอเด็กเกิดใหม่คอยดู คำแรกจะพูดอะไร จำได้ไหม จำไม่ได้แต่พูดแล้วคำแรก แล้วแต่ว่าสะสมมาที่จะจำและจะคิดถึงอะไร และก็สามารถที่จะเปล่งเสียงออกมาได้เป็นคำนั้นด้วย นี่คือภาษาแต่ละภาษา แต่ถึงไม่มีภาษา ไม่มีเสียง สิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นนิมิต ก็รู้ได้โดยอาการนั้นๆ ว่าไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นบัญยัติ คือการที่รู้ได้ถึงความหลากหลาย แต่ละ ๑ที่ปรากฏ โดยไม่ต้องเรียกชื่อเป็นอรรถบัญญัติ หมายความว่าสิ่งนั้นปรากฏให้รู้ความหมาย โดยลักษณะที่ปรากฏว่า เป็นลักษณะต่างๆ ภายหลังเราก็เรียกว่าโต๊ะ ภายหลังมันก็เรียกว่าเก้าอี้ ภายหลังแล้วก็เรียกว่ากระเป๋า แต่ถ้าไม่มีนิมิตเลย ไม่มีการเกิดดับที่ปรากฏเป็นรูปร่างสัณฐาน ก็จะไม่มีชื่อ

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 188
    1 ก.ค. 2568