ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1280
ปกิณณกธรรม ตอนที่ ๑๒๘๐
สนทนาธรรม ที่ โรงแรมมีพรสวรรค์ จ.พิจิตร
วันที่ ๕ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๖๑
ท่านอาจารย์ ด้วยเหตุนี้ขณะใดที่จิตเป็นอกุศล ขณะนั้นคืออกุศลศีล ถ้าขณะใดเป็นกุศลก็เป็นกุศลศีล สำหรับพระอรหันต์ไม่มีทั้งกุศลและอกุศล เพราะเหตุว่าดับอกุศลแล้วก็ดับกุศลด้วย ถ้ายังไม่ถึงความเป็นพระอรหันต์ ก็ดับอกุศลแต่ยังดับไม่หมด เพราะฉะนั้นเหตุที่ดียังเป็นเหตุให้เกิดผลได้ แต่ถ้าดับทั้งกุศลและอกุศลไม่มีเหตุที่จะให้เกิดอีกต่อไป เพราะฉะนั้นพระอรหันต์เท่านั้น ที่ศีลของท่านเป็นอัพยากตศีลหมายความว่าไม่ใช่กุศลและอกุศล ความประพฤติเป็นไปของจิต เป็นกุศลหรือเป็นอกุศล หรือเป็นอัพยากตะ แล้วแต่ประเภทของจิต แต่สำหรับคนที่ไม่ใช่พระอรหันต์ ก็ต้องเป็นอย่างหนึ่งอย่างใด เป็นกุศลศีลหรือเป็นอกุศลศีล ก็เป็นธรรมดาเป็นเรื่องของจิตที่เป็นไป แต่ใช้คำหลากหลายแสดงให้เห็นว่า จิตเกิดแล้วต้องเป็นอย่างหนึ่งอย่างใด เป็นกุศลหรือเป็นอกุศล หรือเป็นผลซึ่งใช้คำว่าวิปากะ อกุศลกรรมเป็นปัจจัยให้เกิดจิตที่เป็นอกุศลวิบากในภาษาไทย ภาษาบาลีก็เป็นอกุศลวิปากะ เห็นได้ยินเป็นผลของอกุศลก็ได้เป็นผลของกุศลก็ได้ แล้วแต่ว่าเห็นอะไร ถ้าเห็นสิ่งที่ดีก็เป็นผลของกุศล ถ้าเห็นสิ่งที่ไม่ดีก็เป็นผลของอกุศล เพราะฉะนั้นถ้ามีความเห็นผิด เรารู้ได้เลยการประพฤติใดๆ ที่ไม่ตรงตามเหตุผลเป็นสีลัพพตปรามาส ไม่ใช่แค่เห็นผิด ยังประพฤติเป็นไปตามความเห็นผิดด้วย
เพราะฉะนั้นคนที่มีความเห็นถูกต้อง สามารถรู้ได้เลยว่าอะไรเป็นสีลัพพตปรามาส ไหว้ต้นกล้วย ลบหลู่อะไรหรือเปล่า ต้นกล้วยไม่ได้มีคุณอะไรใช่ไหม เพราะฉะนั้นไหว้ต้นกล้วยเป็นความเห็นผิดหรือเปล่า เป็นสีลัพพตปรามาสหรือเปล่า ก็การกระทำใดๆ ที่เป็นไปตามความเห็นผิด ก็เป็นสีลัพพตปรามาส แม้แต่การอบรมเจริญปัญญาที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรม ที่เราใช้คำว่าอริยมรรคมีองค์ ๘ ถ้าผิดเป็นมิจฉามรรคมีองค์ ๘ เพราะฉะนั้นทรงแสดงไว้ชัดเจน ให้ไม่ประมาท กันไม่ให้มีความเห็นผิด เพราะฉะนั้นต้องศึกษาละเอียดไตร่ตรอง ขณะใดเป็นสัมมามรรค ขณะใดเป็นมิจฉามรรค นี่คือพระมหากรุณาที่ทรงแสดงไว้โดยประการทั้งปวง ให้คนได้ไม่เข้าใจผิด ไม่ประพฤติปฏิบัติผิด ต้องตรง สิ่งที่ผิดก็คือผิด และช่วยให้คนอื่นรู้ว่าผิดดีไหม ไม่อย่างนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะทรงแสดงอกุศลธรรมหรือ เวลาฟังสวดงานศพ กุสลา ธัมมา อกุสลา ธัมมา อัพยากตา ธัมมา ทรงแสดงไว้ครบถ้วน ธรรมที่เป็นกุศล ธรรมที่เป็นอกุศล ธรรมที่ไม่ใช่ทั้งกุศลไม่ใช่ทั้งอกุศล ธรรมอะไรไม่ใช่กุศลไม่ใช่อกุศล รูปเป็นกุศลได้ไหม รูปรักษาศีลได้ไหม โต๊ะ สภาพไม่รู้ จะรักษาศีลอะไรได้ไหม ไม่ได้ เพราะฉะนั้นอัพยากตธรรม ธรรมที่ไม่ใช่กุศลและอกุศล เห็นเป็นธรรมประเภทไหน คือถ้าเราไตร่ตรองคิดเอง จะไม่ลืม แต่ถ้าฟังคนอื่นเราไม่ได้คิดเอง ฟังแล้วก็ลืมได้
ด้วยเหตุนี้กำลังเห็นอย่างนี้ เป็นกุสลา ธัมมา หรืออกุสลา ธัมมา หรืออัพยากตา ธัมมา ไม่ใช่ท่องเฉยๆ แต่เข้าใจตอบได้ ธรรมที่เป็นเหตุคือกุศลและอกุศล ธรรมที่เป็นผลคืออกุศลวิบากเป็นผลของอกุศล กุศลวิบากเป็นผลของกุศล เพราะฉะนั้นมีธรรมที่เป็นเหตุ คือกุศลอกุศล มีธรรมที่เป็นผลคือกุศลวิบากอกุศลวิบาก เพราะฉะนั้นธรรมอื่นใดที่ไม่ใช่กุศลและอกุศล เป็นอัพยากตะ เพราะฉะนั้นเห็นเป็นผลของกุศลและอกุศล ไม่ใช่เป็นเหตุ เพราะฉะนั้นเห็นเป็นอัพยากตธรรม ไม่ยากเลยถ้าฟังแล้วก็เข้าใจ ไม่ต้องไปท่องด้วย ตรงตัวอยู่แล้วใช่ไหม กุศลธรรมหมายความว่าต้องเป็นเหตุที่ดี เป็นผลไม่ได้ เป็นอกุศลไม่ได้ อกุศลธรรมก็ต้องเป็นธรรมที่ไม่ดี เป็นธรรมที่ดีไม่ได้ เป็นธรรมที่เป็นผลของความไม่ดีไม่ได้
ด้วยเหตุนี้จิตจึงจำแนกเป็น ๔ ชาติ ขยายออกไปอีก พระมหากรุณา เพื่ออะไร เพื่อให้เข้าใจขึ้นเข้าใจขึ้นว่า ไม่มีเราและไม่ใช่เรา แต่เป็นธรรมทั้งหมด ยิ่งฟังเข้าใจเท่าไหร่ ก็ยิ่งเป็นปริยัติ รอบรู้ในพระพุทธพจน์ ที่รู้ว่าไม่ใช่เรา แล้วเป็นอะไรชัดเจน ไม่ใช่บอกว่าไม่ใช่เราเฉยๆ แต่ไม่ใช่เราแล้วเป็นอะไร โดยนัยไหนก็ได้ โดยนัย ๓ กุสลา ธัมมา อกุสลา ธัมมา อัพยากตา ธัมมาก็ได้ ต่อไปโดยธรรมที่ประกอบด้วยเหตุก็มี ไม่ประกอบด้วยเหตุก็มีก็ได้ มากมายใน ๔๕ พรรษา ถ้าไม่เข้าใจธรรม ไม่เห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ถ้าฟังบ่อยๆ ชาติต่อไป ได้ยินคำว่ากุศลธรรม อกุศลธรรม มิจฉาทิฏฐิ สัมมาทิฏฐิ ก็รู้ว่าคืออะไร ไม่ต้องถึงชาติหน้า ถ้าฟังต่อไปอีก ๑๐ วัน ก็มีความเข้าใจมั่นคงขึ้น จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้อย่างไร ถ้าไม่ได้เข้าใจธรรม
ผู้ฟัง การเผยแพร่คำสอนของพระอาจารย์ ท่านเผยแพร่โดยการนำเอาพระไตรปิฎกมาไล่ทีละพระสูตร แล้วก็อธิบายความหมาย นี่ถูกต้องหรือไม่
ท่านอาจารย์ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า คำใดเป็นคำจริง คำนั้นเป็นคำของพระองค์ ไม่ได้กล่าวเลยว่าใครพูด แต่ทุกคำที่จริง ถูกต้องเป็นคำของพระองค์ เพราะฉะนั้นเวลาฟัง ฟังคำ ถ้าเป็นคำที่กล่าวถึงสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ มีจริงๆ ค่อยๆ เข้าใจขึ้น รู้เลยว่านั่นเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่เป็นคำที่หยิบมายกมาอ้าง แต่ว่าคนฟังไม่ได้เข้าใจ ไม่เป็นความเข้าใจของคนฟังเลย จะรู้ได้อย่างไรว่าถูกหรือผิด แต่ถ้าเป็นความเข้าใจตัดสินได้เลย คำนั้นถูกหรือผิด เช่นธรรมเป็นสิ่งที่มีจริง ถึงแม้ว่าจะได้ยินคำนี้จากใครก็ตามแต่ ถูกต้องไหม ถ้าถูกต้องคำนั้นเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า รูปธรรมไม่ใช่ไม่มี ธรรมที่เกิดเพราะมีเหตุปัจจัย แต่ไม่รู้อะไรเป็นรูปธรรมมีจริง ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า สัมผัสกระทบตรงไหนแข็ง แข็งไม่สามารถจะรู้อะไรได้ แต่เวลาถูกกระทบแรงๆ เจ็บ เจ็บไม่ใช่แข็ง เจ็บเป็นสภาพรู้ ซึ่งขณะนั้นเป็นความรู้สึก สภาพรู้มีหลายอย่าง จำก็เป็นสภาพรู้ รู้สึกก็เป็นสภาพรู้ ชอบก็เป็นสภาพรู้ ไม่ชอบก็เป็นสภาพรู้ ถูกต้องไหม ถ้าถูกต้องคำนั้นเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นฟังแล้ว ชัดเจนว่าคำไหนมีจริงๆ และเข้าใจขึ้นถูกต้อง คำนั้นเป็นคำของพระองค์ เพราะฉะนั้นก็สามารถที่จะรู้ได้ ใครกล่าวคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กล่าวถึงสิ่งที่กำลังมี แล้วก็ค่อยๆ พิจารณาไตร่ตรอง ตรงตามความเป็นจริง นั่นคือคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แทนที่จะเลือกเป็นคนๆ หรือเป็นบุคคลใช่ไหม
ผู้ฟัง ผมฟังมาระยะหนึ่ง ก็ได้ความรู้ประมาณว่า ความจริงแล้วก็คือพระศาสดา บอกว่าขันธ์ ๕ คือรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ที่ปรากฏเป็นตัวเราอยู่ นั่นคือจริงๆ แล้วก็คือไม่ใช่เรา
ท่านอาจารย์ ขันธ์คืออะไร
ผู้ฟัง ขันธ์ ผมก็ยังไม่แน่ใจ
ท่านอาจารย์ เห็นไหม จะรู้ว่าฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเปล่า ก็ตอบเมื่อเข้าใจคำนั้น ได้ยินคำไหนอย่าหยุด ซักตลอดจนกระทั่งเป็นความแจ่มแจ้ง นั่นคือคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะทรงตรัสรู้ เพราะฉะนั้นพอได้ยินคำไหน เรายังไม่ได้พูดคำนี้เลยใช่ไหม ขันธ์ ขันธ์คืออะไร ต้องตั้งต้นว่าคืออะไร พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงโดยละเอียด โดยประการทั้งปวง เพราะฉะนั้นขันธ์มีจริงหรือเปล่า มีจริง ขันธ์เป็นธรรมหรือเปล่า เป็น เห็นเป็นขันธ์หรือเปล่า นี่คือเป็นปัญญาของผู้ฟังเอง ประโยชน์สูงสุดคือให้ไตร่ตรอง ให้เป็นความเข้าใจ เพราะฉะนั้นก็ต้องสนทนากัน ให้เป็นความเข้าใจขึ้น เห็นเดี๋ยวนี้มีจริงใช่ไหม กำลังเห็นเป็นขันธ์หรือเปล่า ทำไมว่าเป็นขันธ์ ไม่ใช่ว่าถ้าเราเห็นรูปก็คือขันธ์ ไม่ใช่ แต่คำว่าขันธ์ต้องมีจริงๆ ไม่ใช่สิ่งที่ไม่มีแล้วเราพูด แต่อะไรที่เป็นขันธ์ และขันธ์คืออะไร ถ้าไม่เข้าใจอย่างนี้ ไม่ชื่อว่าฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะเหตุว่าไม่ได้เข้าใจ แต่ถ้าฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกคำ ละเอียดขึ้นชัดเจนขึ้น มั่นคงขึ้น ไม่เปลี่ยน ได้ยินคำไหนเราบอกว่าไม่รู้ไม่ได้ เพราะทรงแสดงไว้โดยละเอียด ด้วยเหตุนี้พอจะตอบได้ไหม ขันธ์คืออะไร ขันธ์มีจริงไหม
ผู้ฟัง ถ้าความเข้าใจคือมีจริง เพราะว่าเป็นธรรมที่มีอยู่จริงใช่ไหม
ท่านอาจารย์ ขันธ์มีจริง เดี๋ยวนี้อะไรเป็นขันธ์ ถามแล้วจะตอบเป็นชื่อมาหมดเลย แต่เข้าใจหรือเปล่า หรือว่าจำชื่อ เพราะฉะนั้นก่อนอื่นขันธ์คืออะไร ขันธ์มีจริงหรือเปล่า ขันธ์มีจริงใช่ไหม
ผู้ฟัง คือผมเอง ผมเชื่อว่ามีจริง ผมรู้ในลักษณะที่ว่า ผมรู้และจำเขามา แต่รู้ด้วยไตร่ตรองตัวเราเอง ผมคงยังอยู่อีกไกล
ท่านอาจารย์ ได้ยินชื่อ จำชื่อ และก็พูดชื่อได้ ดีไหม ต้องเป็นคนตรง ดีหรือไม่ดี ไม่รู้ว่าอะไรได้แต่จำ ใช่ไหม ไม่รู้เลยว่าอะไร ได้ยิน ได้ยินแล้วก็จำได้ด้วย และก็พูดด้วย แต่ไม่รู้ว่าอะไรดีไหม
ผู้ฟัง ถ้าดีหรือไม่ดี ผมว่าอย่างน้อยก็ยังจำได้ว่า มีการบัญญัติไว้อย่างนี้
ท่านอาจารย์ เอาอย่างนี้ก็ได้ ทุกคนได้ยินคำว่าขันธ์ ทุกคนได้ยิน จำได้ใช่ไหม จำคำนี้ได้ใช่ไหม ขันธ์ พูดได้ใช่ไหม ขันธ์ เข้าใจไหมว่าขันธ์คืออะไร และแค่ได้ยินแค่จำและพูดดีไหม นี่คือความเป็นคนตรง จะดีได้อย่างไร พูดคำที่ไม่รู้จัก ไม่เข้าใจ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงโดยละเอียด สิ่งที่มีจริงเป็นธรรม ใช้คำว่าเป็นธรรมเป็นเราหรือเปล่า ไม่ใช่เรา ธรรมต้องเป็นธรรม ธรรมจะเป็นอะไรไม่ได้เลย เห็นมีจริงเป็นธรรมหรือเปล่า เห็นมีจริง กำลังเห็นเป็นธรรม เป็นเราหรือเปล่า ไม่ใช่เรา ต้องตรงใช่ไหม เห็นเกิดหรือเปล่า ถ้าไม่เกิดไม่มีเห็นใช่ไหม เพราะฉะนั้นเห็นเกิด เห็นดับหรือเปล่า ไม่มีเห็นอยู่ตลอดเวลา ก็แสดงว่าเห็นนั้นดับไป
เพราะฉะนั้นพระองค์ตรัสว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่มีความเกิดขึ้นแล้วดับไป หลากหลายมาก เป็นอดีตที่ดับไปแล้ว ที่จะเกิดและยังไม่เกิดเป็นอนาคต แต่ต้องเกิดเป็นปัจจุบัน ที่หยาบก็มี ที่ละเอียดก็มี ที่ไกลก็มี ที่ใกล้ก็มี ที่ปราณีตก็มี ที่เลวทรามก็มี ที่เป็นภายในก็มี ที่เป็นภายนอกก็มี นี่คือขันธ์ ต้องเป็นอย่างนี้ คือเป็นอดีต หรือเป็นปัจจุบัน หรือเป็นอนาคต เพราะเกิดดับ เพราะฉะนั้นแสดงให้เรามีความเข้าใจมั่นคงขึ้นว่าไม่ใช่เรา โดยทรงแสดงว่ารูปขันธ์ เมื่อสักครู่นี้เราพูดถึงรูปธรรมใช่ไหม จะใช้คำว่าขันธ์ก็ได้ เพราะว่ารูปก็เกิดดับ รูปเป็นธรรมก็ใช้คำว่ารูปธรรมได้ และรูปธรรมนั้นก็เกิดดับด้วย เพราะฉะนั้นรูปธรรมนั้น ก็เป็นรูปขันธ์ถูกต้องไหม นามธรรมคือสภาพที่รู้ ไม่ใช่รูปธรรม เกิดแล้วก็ดับ เพราะฉะนั้นนามธรรมนั่นแหละเป็นนามขันธ์ เลวก็มี ปราณีตก็มี หยาบก็มี ละเอียดก็มี เพราะฉะนั้นทรงแสดงให้ละเอียดขึ้นว่า สิ่งที่เกิดดับหลากหลาย ทรงแสดงขันธ์โดยการยึดมั่น จึงเติมคำว่าอุปาทานขันธ์ ยึดมั่นในรูป ใครบ้างไม่ยึดมั่นในรูป ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า นี่เรา ตัวเรา ยึดมั่นในรูป เพราะฉะนั้นรูปที่ใดที่เป็นที่ยึดมั่น รูปนั้นก็เป็นรูปขันธ์ ภาษาบาลีก็มีคำรวม รูปที่เป็นอุปาทานขันธ์ รูปูปาทานขันธ์ เป็นคำรวมของคำว่ารูป อุปาทานและขันธ์ พอได้ยินคำนี้ คนที่ฟังธรรม เข้าใจก็รู้เลยว่าหมายความถึงอะไร เดี๋ยวนี้ดอกไม้ ที่เราเรียกคำว่าดอกไม้ เป็นรูปขันธ์หรือนามขันธ์
ผู้ฟัง เป็นรูปขันธ์
ท่านอาจารย์ เป็นรูปขันธ์ เพราะฉะนั้นแยกใหญ่ ก็คือว่าธรรมที่เป็นรูปขันธ์ก็มี ที่เป็นนามขันธ์ก็มี ธรรมที่ไม่รู้อะไรเลย ซึ่งเป็นรูปธรรมทั้งหมด ไม่เว้นเลยเป็นรูปขันธ์ ธรรมที่เป็นนามธรรมที่เกิดดับทั้งหมด ไม่เว้นเลยเป็นนามขันธ์ แต่ว่าทรงแสดงความละเอียดว่าในบรรดาขันธ์ทั้งหมด ที่เป็นที่ตั้งของความยึดถือ รวมเป็น ๕ ขันธ์ รูปไม่ว่ารูปใดๆ ก็ตาม เป็นที่ตั้งของความยึดถือทั้งหมด เป็นรูปขันธ์ ติดข้องในรูปขันธ์ไหม จึงมีคำว่ารูปูปาทานขันธ์ รูปเป็นที่ยึดถือ สำหรับนามขันธ์ที่เป็นที่ยึดมั่นอย่างมากคือจิตและเจตสิก จำแนกออกเป็น ๔ ขันธ์ เพราะฉะนั้นขันธ์ ๕ เป็นรูป ๑ ขันธ์ เป็นนามธรรม ๔ ขันธ์ แล้วจิตและเจตสิกอะไรซึ่งเป็นที่ตั้งของความยึดมั่น ความรู้สึกสำคัญไหม ทุกอย่างยึดมั่นที่สุดคือความรู้สึก ไม่มีใครต้องการทุกข์ ต้องการสุข เพราะฉะนั้นอยากได้รูปสวยๆ เพื่อความรู้สึกที่เป็นสุขใช่ไหม อยากรับประทานอาหารอร่อย เพื่อความรู้สึกเป็นสุขใช่ไหม เพราะฉะนั้นความรู้สึกเป็นที่ยึดถืออย่างยิ่ง ถ้าเห็นแล้วไม่มีความรู้สึกก็ไม่มีความหมายอะไร เอาไปทิ้งก็ได้ เผาไฟก็ได้ ไม่มีความรู้สึกใยดีอะไรเลยทั้งสิ้น แต่เพราะเหตุว่าความรู้สึกสำคัญมาก ในบรรดานามธรรม
เพราะฉะนั้นความรู้สึกไม่ใช่จิต แต่เป็นเจตสิก ภาษาบาลีใช้คำว่า เวทนาเจตสิก หมายความถึงสภาพรู้สึก เป็นเจตสิก ภาษาบาลีใช้คำว่าเวทนา แต่ภาษาไทยเราก็บอกความรู้สึก เดี๋ยวนี้มีไหม มี เป็นขันธ์หรือเปล่า เป็นอุปาทานขันธ์หรือเปล่า เป็น นี่ก็คือเข้าใจคำที่เราได้ยินทุกคำ เมื่อกล่าวถึงสิ่งที่มีจริงๆ ให้เข้าใจขึ้น เดี๋ยวนี้ นี่อะไร บอกได้เป็นอย่างๆ เลยใช่ไหม เพราะจำใช่ไหม ถ้าไม่จำจะบอกได้ไหม ไม่ได้ เพราะฉะนั้นทั้งวัน รู้ไหมว่าจำทั้งวัน เห็นไหม สภาพจำเป็นเจตสิก ไม่ใช่เวทนาเจตสิก แต่ใช้คำว่าสัญญาเจตสิก ที่กำลังจำเดี๋ยวนี้ สภาพที่จำเป็นเราหรือเปล่า นี่คือการฟังธรรมสภาพที่จำมีจริงไหม เห็นไหม ให้ไตร่ตรอง จนกระทั่งเป็นความเข้าใจของเราเอง พอเข้าใจแล้วใครก็เปลี่ยนไม่ได้ สิ่งอื่นยังขโมยเอาไปได้ ลักเอาไปได้ แต่ความเข้าใจที่เข้าใจแล้ว ใครก็เอาไปไม่ได้ เป็นสมบัติของคนนั้น เพราะฉะนั้นความจำมีจริงๆ ไหม มี สภาพที่จำ เป็นเราหรือเปล่า นี่แหละเมื่อสักครู่นี้พูดถึงสัมมาทิฏฐิกับมิจฉาทิฏฐิ ถ้าเข้าใจว่าเป็นเราก็ผิดใช่ไหม มีปัจจัยเกิดแล้วดับ แล้วไม่กลับมาอีกเลย เราอยู่ไหน ไม่มีเราเลย และถ้าฟังบ่อยๆ หลายๆ ชาติ คำที่ได้ยินจะมั่นคงขึ้น เราติดข้องในสิ่งที่ไม่มี เพราะว่าจากไม่มี ก็มี แล้วหามีไม่ หายไปเลยไม่กลับมาอีกเลย
เพราะฉะนั้นเราติดข้องในสิ่งที่ไม่มี เพียงเกิดขึ้นมีปรากฏให้ติดข้องนิดเดียว เล็กน้อยมากแล้วก็ดับไป แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย โง่หรือฉลาด ถ้าจะใช้ภาษาบาลี ก็อวิชชาหรือปัญญา ที่ติดข้องในสิ่งที่ไม่มี และหลงติดข้องจนกว่าจะจากโลกนี้ไปเมื่อไหร่ ก็รู้เลยว่าไม่มี แต่เดี๋ยวนี้ก็ไม่มีแต่ไม่รู้ แต่ถ้ารู้จริงๆ ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ก็จะเป็นปัญญาอีกระดับหนึ่ง จากปริยัติไปสู่ปฏิปัตติ ซึ่งคนไทยใช้คำว่าปฏิบัติ แต่ปฏิบัติเป็นปัญญาไม่ใช่เรา ปัญญาก็มีกิจของปัญญา สภาพธรรมแต่ละหนึ่ง มีกิจหน้าที่แต่ละอย่างละเอียดมาก เพราะฉะนั้นพูดคำไหนต้องเข้าใจ แล้วจะนับถือใคร คนที่ให้เข้าใจหรือคนที่ไม่ได้ให้เข้าใจ เพียงแต่พูดชื่อให้จำให้พูดตาม ถ้ามีอะไรข้องใจก็เชิญ เพราะเหตุว่าเป็นโอกาสที่จะได้พบกัน ซึ่งความจริงแล้วพบเพื่อไม่พบ ถูกต้องไหม เดี๋ยวก็ไม่พบแล้ว ทุกอย่างเป็นความจริง
เพราะฉะนั้นแต่ละคำ ฟังแล้วไม่อยากจะใช้คำนี้เลย อย่าลืม เพราะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ไม่อย่างนั้นไม่รู้จักพระพุทธเจ้า ได้ยินคำว่าขันธ์ ได้ยินคำว่านามธรรม รูปธรรม ได้ยินคำว่าธรรม ได้ยินคำว่าเวทนา ได้ยินคำว่าสัญญา คนไทยใช้ผิดเสมอ อารมณ์ก็ใช้ผิด เวทนาก็คิดว่าสงสารมาก แต่ความจริงเวทนาเป็นความรู้สึก ซึ่งจำแนกได้เป็น ๕ ประเภท ความรู้สึกสุขทางกายหนึ่ง ความรู้สึกทุกข์ทางกายหนึ่ง ความรู้สึกสุขทางใจหนึ่ง ความรู้สึกทุกข์ทางใจหนึ่ง ความรู้สึกไม่สุขไม่ทุกข์ ที่ใช้คำว่าอุเบกขาเวทนา เป็นเราหรือเปล่า ความรู้สึก ไม่ใช่เราแล้วเป็นอะไรเห็นไหม ต้องถามจนกระทั่งมั่นคง จนกระทั่งไม่ลืม ไม่ใช่เราแล้วเป็นอะไร ไม่ใช่เราแล้วเป็นธรรม ไม่ใช่เราแล้วเป็นอะไร เป็นนามธรรม ไม่ใช่เราแล้วเป็นอะไร เป็นขันธ์ เป็นขันธ์อะไรก็แล้วแต่ ถ้าเป็นความรู้สึกก็เป็นเวทนาขันธ์ ถ้าไม่มีความรู้สึกไม่รู้อะไรก็เป็นรูปขันธ์
เพราะฉะนั้นขันธ์ ๕ ก็คือสิ่งที่เกิดดับ เป็นที่ตั้งของความยึดถือมี ๕ อย่างเป็นรูปธรรมหนึ่ง เป็นนามธรรม ๔ นามธรรมก็ได้แก่เจตสิกและจิต เมื่อสักครู่นี้ลำดับขันธ์ ๕ หมดแล้วใช่ไหม แต่ยังพูดถึงไม่หมด พูดถึงแค่รูปขันธ์หนึ่ง เวทนาขันธ์หนึ่ง สัญญาขันธ์หนึ่ง เดี๋ยวนี้ทั้งวันจำทั้งวัน เจตสิกเกิดกับจิตทุกขณะ จิตรู้อะไรสัญญาเจตสิกจำสิ่งนั้น แต่สัญญาเจตสิกไม่ใช่จิต เพราะจิตเพียงรู้แจ้งสิ่งที่ปรากฏ ที่เป็นอารมณ์ แต่ว่ามีเจตสิกที่เกิดกับจิตหลากหลายมาก จิตบางประเภทมีเจตสิกเกิดร่วมด้วย ๗ ประเภท บางประเภทมีมากกว่านั้น ถ้าเป็นอกุศลเจตสิกก็เพิ่ม ถ้าเป็นโสภณเจตสิกฝ่ายดีก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น จำแนกจิตให้หลากหลายเป็น ๘๙ ประเภท โดยย่อหรือว่าโดยประเภท แต่เรามีไม่ครบ เพราะอะไร ไม่ใช่พระอรหันต์ จะมีจิตของพระอรหันต์ไม่ได้ เพราะฉะนั้นมีจิตไม่ครบ เพราะว่า ๘๙ เป็นจำนวนรวมของจิตทั้งหมดในสากลจักรวาล โดยประเภทใหญ่ๆ พระอรหันต์มีจิตครบไหม พระอรหันต์เห็นไหม พระอรหันต์ได้ยินไหม พระอรหันต์มีรูปขันธ์ไหม พระอรหันต์มีนามขันธ์ไหม ทั้งหมดเป็นการที่ว่าถ้าฟังแล้วไม่ลืม ก็คิดไตร่ตรองเพิ่มความเข้าใจมั่นคงขึ้น ไม่ว่าจะเรียนวิชาอะไร ครั้งเดียวไม่พอใช่ไหม
เพราะฉะนั้นธรรมก็เช่นเดียวกัน ฟังครั้งเดียวไม่พอ ถ้าเข้าใจอีก ฟังอีกก็เข้าใจอีก และก็ฟังอีกก็เข้าใจอีก มากกว่านี้อีกมากใน ๔๕ พรรษาที่ทรงแสดง เป็นสิ่งที่ฟังแล้วเข้าใจได้ ไม่ใช่เข้าใจไม่ได้ แต่ไม่ใช่ท่อง ไม่ใช่จำ ไม่ใช่พูดชื่อ ๔๕ พรรษาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมยิ่งกว่าใครในวันหนึ่งวันหนึ่ง เช้าสายบ่ายค่ำ ก่อนเสด็จบิณฑบาต เห็นว่าใครมีอุปนิสัยที่ฟังธรรมแล้วเข้าใจ ก็เสด็จไปอนุเคราะห์
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1261
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1262
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1263
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1264
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1265
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1266
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1267
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1268
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1269
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1270
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1271
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1272
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1273
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1274
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1275
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1276
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1277
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1278
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1279
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1280
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1281
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1282
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1283
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1284
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1285
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1286
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1287
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1288
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1289
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1290
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1291
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1292
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1293
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1294
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1295
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1296
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1297
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1298
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1299
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1300
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1301
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1302
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1303
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1304
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1305
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1306
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1307
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1308
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1309
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1310
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1311
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1312
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1313
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1314
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1315
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1316
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1317
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1318
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1319
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1320
