ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1286
ปกิณณกธรรม ตอนที่ ๑๒๘๖
สนทนาธรรม ที่ โรงแรมเชียงใหม่ฮิลล์ จ.เชียงใหม่
วันที่ ๑๘ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๖๑
อ.ธนากร มีผู้ถาม ถามว่ามีพระภิกษุบางรูปบอกว่า ไม่ใช่เรื่องของคฤหัสถ์ที่จะดูแลศาสนาหรือว่ามาเผยแพร่ ดังนั้นการที่คฤหัสถ์จะมาสอน เป็นการก้าวก่ายหน้าที่ ถูกต้องหรือไม่
อ.วิชัย จะเห็นได้ว่าพระองค์ได้ประทานพระธรรมวินัยแก่พุทธบริษัททั้ง ๔ ในส่วนของอุบาสกและอุบาสิกา ก็เป็นผู้ที่มีความเลื่อมใส เป็นผู้ที่มีการฟังธรรม ศึกษาธรรม ผู้ที่เป็นอุบาสกผู้เลิศทางด้านในการแสดงธรรมก็คือ จิตตคหบดี ความเป็นผู้เลิศทางด้านแสดงธรรมของอุบาสิกาได้แก่ นางขุชชุตตรา การประกาศหรือการแสดงคำสอน ไม่ใช่มอบให้แก่บริษัทหนึ่งบริษัทใด แต่ว่าถ้าผู้ใดมีความรู้ความเข้าใจในธรรมวินัย ควรไหมที่จะประกาศเปิดเผยให้คนอื่นรู้ เพราะว่าการประกาศคำของพระองค์เท่านั้น ที่จะยังคำสอนของพระองค์ ให้กว้างขวางยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นผู้ใดกล่าว แต่ถ้าเป็นภิกษุบริษัทหมายถึงเป็นหัวหน้าในการที่จะศึกษา แล้วก็ประพฤติตามอย่างพระองค์ และถ้าเป็นอุบาสกอุบาสิกา เมื่อเห็นคุณของภิกษุก็บำรุงท่าน แต่พระองค์ก็ไม่ได้จำกัดเลย ว่า การจะประกาศคำสอนหรือเผยแพร่คำสอน ต้องมอบหมายให้เฉพาะภิกษุบริษัท แต่ทั้ง ๔ บริษัท รวมถึงอุบาสก อุบาสิกาด้วย
ท่านอาจารย์ ในครั้งพุทธกาล ถ้าคฤหัสถ์ไม่รู้ว่าภิกษุคือใครและภิกษุจะต้องประพฤติปฏิบัติตามสิกขาบทที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้ คฤหัสถ์นั้นก็ไม่สามารถที่จะเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาเมื่อภิกษุทำสิ่งที่ไม่สมควร แต่ในครั้งพุทธกาลเมื่อมีภิกษุที่กระทำสิ่งใดไม่เหมาะควร อุบาสก อุบาสิกา คฤหัสถ์ที่เข้าใจ ถ้าไม่เข้าใจเพ่งโทษไม่ได้ เพ่งโทษคือให้รู้ว่าสิ่งนั้นเป็นโทษ ภิกษุประพฤติตามไม่ได้เพราะเหตุว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้ว่าเมื่อเป็นภิกษุ ขัดเกลากิเลสยิ่งกว่าคฤหัสถ์ โดยตั้งแต่ตื่นจนหลับ จะต้องสำนึกว่าเราไม่ใช่คฤหัสถ์
เพราะฉะนั้นผู้ที่ไม่ใช่คฤหัสถ์คือใคร คือผู้ที่อุทิศตนเพราะเห็นคุณของการที่ได้รับฟังพระธรรม ซึ่งสามารถที่จะทำให้ขัดเกลากิเลสตามอัธยาศัยที่ยิ่งกว่าคฤหัสถ์ เพราะฉะนั้นไม่มีการบังคับเลย ไม่มีการชักชวนกันให้ใครไปบวช หรือว่าต้องบวชจะได้เข้าใจธรรม ไม่มี เพราะเหตุว่าไม่ว่าจะเป็นภิกษุหรือเป็นคฤหัสถ์ ก็สามารถที่จะฟังพระธรรม และก็เข้าใจธรรมได้ด้วย และก็ทั้ง ๔ บริษัท ต้องพร้อมเพรียงกัน ศึกษาธรรมให้เข้าใจถูกต้อง เพื่อที่จะดำรงรักษาบริษัทหนึ่งบริษัทใด ที่ประพฤติผิด ให้ทำสิ่งที่ถูกต้อง ด้วยเหตุนี้ในครั้งนั้นคฤหัสถ์เพ่งโทษ ถ้าเราไม่รู้จักว่าเป็นโทษ ถ้าเราคิดว่าภิกษุรับเงินและทองได้ เราจะเพ่งโทษไหม ถ้าเราคิดอย่างนั้น แต่ภิกษุใดรับเงินและทองในครั้งพุทธกาล คฤหัสถ์เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนา เพ่งโทษให้รู้ว่าเป็นโทษ เพราะนั่นไม่ใช่บรรพชิต ไม่ใช่ภิกษุในพระธรรมวินัย ภิกษุในธรรมวินัยสละชีวิตแล้ว เพื่อที่จะศึกษา ต้องศึกษาพระธรรม ไม่อย่างนั้นบวชทำไม คฤหัสถ์ยังฟังธรรม แต่ก็รู้ว่าไม่บวช เพราะเหตุว่าไม่ได้สะสมมาที่จะขัดเกลากิเลสในเพศของบรรพชิต เพราะฉะนั้นคนที่เป็นผู้ที่นับถือพระพุทธศาสนา มีทั้งคฤหัสถ์และบรรพชิต ตามอัธยาศัย และก็ต่างก็เป็นผู้ที่เป็นเอตทัคคะในแต่ละฝ่าย ทั้งในเพศคฤหัสถ์และบรรพชิตด้วย
ด้วยเหตุนี้ถ้าจะดำรงพระศาสนาไว้ก็คือว่า เข้าใจคำสอน โดยพุทธบริษัททั้ง ๔ รู้ว่าสิ่งใดเป็นโทษ ภิกษุไม่ใช่เพียงแต่จะศึกษาธรรมเพื่อที่จะประกาศธรรมให้คฤหัสถ์ซึ่งมีเวลาน้อยกว่าได้เข้าใจถูกต้อง ยังจะต้องประพฤติขัดเกลากิเลสยิ่งกว่าคฤหัสถ์ ถ้าได้อ่านหรือได้ฟัง ได้ศึกษาวินัย จะรู้เลยว่าภิกษุคือผู้ที่สละชีวิตเพื่อที่จะศึกษาและขัดเกลากิเลส โดยเข้าใจพระธรรม และประพฤติตามสิกขาบท มิเช่นนั้นแล้วก็ไม่ใช่ศากยบุตร พระองค์ตรัสว่าไม่ใช่คนของเรา เพราะเหตุว่าไม่ได้ประพฤติตามพระองค์ แต่ว่าถ้าเป็นภิกษุแล้ว ก็คือว่าประพฤติตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยการทูลขออุปสมบท เพื่อศึกษาพระธรรมและประพฤติตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ได้ทรงบัญญัติไว้
พระพุทธเจ้าประพฤติอย่างไร ศากยบุตรต่างได้ไหม ประพฤติต่างได้ไหม โดยกาย โดยวาจา ต้องขัดเกลาถึงอย่างนั้น เพราะฉะนั้นก็แสดงให้เห็นว่า ถ้าคฤหัสถ์ไม่เข้าใจพระธรรมวินัย จะดำรงพระศาสนาได้ไหม เพราะฉะนั้นคฤหัสถ์ไม่ใช่เพียงแต่เข้าใจธรรม แต่ต้องเข้าใจวินัยด้วย มิฉะนั้นแล้วก็ไม่รู้ว่าภิกษุคือใคร และภิกษุเองก็ไม่รู้ว่าภิกษุคือใคร เพราะฉะนั้นก็มีคฤหัสถ์ที่กล่าวว่า คฤหัสถ์ก็ไม่รู้จักพระ พระก็ไม่รู้จักพระ ถ้าพระรู้จักพระ กายวาจาจะเป็นอย่างคฤหัสถ์ได้ไหม ไม่ทราบมีตัวอย่างที่คุณคำปั่นจะกล่าวถึงบ้างไหม
อ.คำปั่น ในความหมายของภิกษุ ก็ละเอียด ที่ท่านอาจารย์ได้กล่าวไปเมื่อสักครู่ก็แสดงถึงความเป็นจริงว่าเป็นผู้ที่เห็นโทษเห็นภัยของกิเลส เป็นผู้ที่มีความละอายในอกุศลยิ่งกว่าคฤหัสถ์ จึงสละชีวิตของความเป็นคฤหัสถ์ทุกประการ เพื่อที่จะศึกษาธรรม อบรมปัญญา ขัดเกลากิเลส มีความประพฤติคล้อยตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สิ่งใดก็ตามที่ไม่ได้เป็นไปเพื่อการขัดเกลากิเลส เพศบรรพชิตทำไม่ได้เลย ไม่ว่าจะเล็กน้อยเพียงใดก็ตาม เพราะว่าความผิดแม้เล็กน้อย ก็เป็นความผิด เป็นสิ่งที่มีโทษ เป็นสิ่งที่นำมาซึ่งโทษโดยส่วนเดียว ไม่เป็นประโยชน์เลย แม้แต่การพูดมุ่งหวังเพื่อหัวเราะกันเล่น เป็นการพูดหยอกล้อกัน บรรพชิตทำไม่ได้เลย เพราะว่าเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะไม่ควร นี่คือแม้จะเป็นโทษที่เบา ไม่ถึงกับขาดจากความเป็นพระภิกษุ แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงแสดงว่า นั่นเป็นความประพฤติที่ไม่เหมาะ ไม่ควร ไม่สม ไม่ใช่กิจของสมณะ เป็นสิ่งที่สมณะทำไม่ได้ อันนี้คือแม้เพียงกล่าวเพื่อที่จะหัวเราะกันเล่น ยังทำไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นสิ่งที่เป็นโทษมากกว่านี้ ยิ่งจะเห็นได้ว่าเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำอย่างยิ่ง
ท่านอาจารย์ การฟังพระธรรมต้องเข้าใจว่า ไม่เคยฟังมาก่อน เพราะเหตุว่าธรรมคือสิ่งที่มีจริง เพราะฉะนั้นต้องเป็นคนที่ตรง จริงใจ มั่นคง ที่จะเข้าใจ มิฉะนั้นการฟังแต่ละครั้งของเราก็จะเสียเวลา และเสียประโยชน์ คือฟังแล้วก็ไม่ได้เข้าใจจริงๆ แต่ประโยชน์จริงๆ อยู่ที่ขณะที่เข้าใจ แล้วก็มั่นคงแต่ละคำ เช่น วิกฤติพระพุทธศาสนาเพราะไม่เข้าใจธรรม แค่นี้ ไตร่ตรองว่าถูกไหม แล้วเมื่อเช้านี้เราก็กล่าวถึงสิ่งที่กำลังเป็นในขณะนี้ เป็นการแสดงชัดเจนว่าไม่รู้จักแม้แต่คำว่าธรรมคืออะไร เพราะฉะนั้นเมื่อไม่เข้าใจแม้แต่คำแรกที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้และทรงแสดง ก็แสดงว่า แล้วเราจะเข้าใจคำอื่นๆ ได้หรือถ้าเราไม่เข้าใจคำแรก เพราะฉะนั้นต้องเป็นผู้ที่ไตร่ตรอง แล้วก็ตรง ไม่เข้าใจแต่ละคำแต่คิดว่าเข้าใจ เพราะฉะนั้นก็หลงทาง หลงผิด นั่นก็คือทำให้คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอันตรธาน นี่คือวิกฤติ
เพราะฉะนั้นการแก้วิกฤติก็คือ ขณะนี้ทุกท่านกำลังฟังเพื่อเข้าใจ เข้าใจเมื่อไหร่นั่นแหละ จึงจะค่อยๆ แก้วิกฤติพระพุทธศาสนาได้ ไม่ใช่ว่าเราจะไปทำอย่างอื่นที่จะแก้วิกฤติ โดยที่ว่าเราไม่เข้าใจ เพราะเหตุว่าไม่เข้าใจจึงวิกฤติ ให้เงินให้ทองพระภิกษุ มีสำนักปฏิบัติ มีผ้ายันต์ มีอะไรต่างๆ เหล่านี้ แต่ทำไมไม่คิด ไตร่ตรองแต่ละหนึ่งๆ ว่าคืออะไร แล้วเราจะเข้าใจว่านั่นเป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือคำที่ทำลายคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เพราะฉะนั้นต้องเป็นผู้ตรง ประโยชน์อยู่ที่ทุกคนที่จะเข้าใจถูก เพราะว่าได้รู้จักพระธรรม ซึ่งความเข้าใจอันนี้ เวลาที่ได้ฟังพระธรรมต่อไป ไม่ว่าจะมากจะน้อยอย่างไรในชาตินี้ก็เป็นผู้ที่ตรงว่านี่คือคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ทำให้รู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ซึ่งเพียงฟังเท่านี้ไม่พอ เพราะว่าความจริงยังมีอีกมาก นี่เป็นแต่เพียงเริ่มต้นให้เป็นผู้ที่เข้าใจตรงและจริงใจว่ารู้จักธรรมหรือยัง รู้จักจริงๆ หรือเปล่า ถ้ารู้จักจริงๆ ก็คือว่าเริ่มมั่นคงว่า ทุกอย่างที่มีไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่สิ่งที่มีจริง แต่ละหนึ่ง เช่น เห็นไม่ใช่เสียง เสียงไม่ใช่ได้ยิน ได้ยินไม่ใช่คิด คิดไม่ใช่จำ เพราะฉะนั้นตั้งแต่เกิดก็มีแต่สิ่งที่มีจริงเหล่านี้เกิดขึ้น แล้วก็ดับไป ไม่เหลือเลย
เพราะฉะนั้นก็คือว่าธรรมไม่ใช่ของใคร ไม่ใช่ใคร ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร แต่ว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใด แม้แต่ความวิกฤติก็เกิดจากเหตุปัจจัย คือเพราะไม่รู้ความจริง จึงทำให้คิดเองและเมื่อคิดเองแล้ว ด้วยความไม่รู้ ก็คือต้องทำสิ่งที่ไม่ตรงและไม่ถูกต้อง เพราะฉะนั้นขณะนี้ ไม่ใช่ว่าเราไม่รู้จักวิกฤติ แต่ต้องมั่นคงว่าวิกฤติคือ ขณะนี้ไม่ได้มีการเข้าใจพระธรรมวินัยอย่างถูกต้อง เพราะฉะนั้นความเข้าใจผิด ก็ทำให้ประพฤติปฏิบัติในทางที่ไม่ใช่การส่งเสริมพระพุทธศาสนา แต่ว่าเป็นการทำลายพระพุทธศาสนา เพราะฉะนั้นถ้ามีอะไรที่ต่างคนต่างช่วยกันคิด เพื่อที่จะได้ช่วยกันแก้ไขวิกฤติ ก็ได้สนทนากัน เพื่อความเข้าใจมั่นคงขึ้น
อ.อรรณพ ต้นเหตุต้นตอจริงๆ คือการไม่รู้ ไม่เข้าใจ แม้เพียงสิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ก็คือสภาพธรรม เพราะฉะนั้นความไม่รู้เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดเลย
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นค่อยๆ สนทนากันไปเรื่อยๆ ทีละเล็กทีละน้อย โดยที่ว่าต้องเป็นความเข้าใจ เช่น ขอถามว่าเมื่อฟังเมื่อเช้านี้แล้ว วิกฤติอยู่ที่ไหน เราตอบว่าอยู่ที่ความไม่รู้ใช่ไหม แล้วความไม่รู้อยู่ที่ไหน นี่คือกว่าปัญญาจะค่อยๆ เกิดได้ เราก็ต้องเป็นผู้ที่ตรง
วิกฤติพระพุทธศาสนาเกิดเพราะความไม่รู้พระพุทธศาสนา ถูกต้องไหม ถ้ารู้ก็ไม่วิกฤติอย่างนี้ เพราะฉะนั้นรู้แล้วว่าวิกฤติเกิดจากความไม่เข้าใจพระพุทธศาสนา แล้วความไม่เข้าใจพระพุทธศาสนาอยู่ที่ไหน คือถามจนถึงที่สุด จะได้รู้ว่าวิกฤติจริงๆ นั้นอยู่ที่ไหน นี่คือปัญญา ปัญญาไม่ใช่ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะไปหยิบยื่นยกให้ใคร แต่แต่ละคำของพระองค์นั้นกล่าวให้คนฟังได้ไตร่ตรอง ได้คิด ได้พิจารณา ความเข้าใจที่ถูกต้องเกิดเมื่อไหร่ นั่นคือสมบัติ ซึ่งหาอีกไม่ได้ในชาตินี้ ซึ่งจะติดตามต่อไป ทำให้ไม่เข้าใจผิด เพราะฉะนั้นถามว่าวิกฤติพระพุทธศาสนาเกิดเพราะความไม่รู้ แล้วความไม่รู้อยู่ที่ไหน
ผู้ฟัง อยู่ที่เข้าใจผิด
ท่านอาจารย์ นั่นสิ ความเข้าใจผิดอยู่ที่ไหน
ผู้ฟัง อยู่ที่ไม่มีปัญญาที่จะเข้าใจได้
ท่านอาจารย์ ไม่มีปัญญานี่อยู่ที่ไหน
ผู้ฟัง ก็อยู่ที่คนของแต่ละคน บางคนก็เข้าใจ บางคนก็ไม่เข้าใจ
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นคนรู้ตอบได้ ใช่ไหม ขอให้คนฟังใหม่ได้คิด ได้ไตร่ตรอง ได้พิจารณาจนกระทั่งถูกต้องหรือไม่ ความไม่รู้ไม่ได้อยู่ที่ใครเลยทั้งสิ้น ไม่อยู่ที่คนอื่น อยู่ตรงความไม่รู้ที่มีอยู่กับแต่ละบุคคล เพราะฉะนั้นใครก็ตามที่กำลังไม่รู้ จะแก้วิกฤติไม่ได้ แต่เมื่อมีความเข้าใจขึ้น แต่ละหนึ่งที่เข้าใจนั่นแหละแก้วิกฤติได้ เพราะฉะนั้นเราไปคิดไกลมากถึงความเป็นเรา ที่จะแก้วิกฤติ แต่จริงๆ แล้วถ้าไม่ใช่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งทำให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง ตัวความเห็นที่ถูกต้อง ภาษาบาลีใช้คำว่าปัญญา ปัญญา ความรู้จริง ความรู้ถูกต้องนั่นแหละจะแก้วิกฤติได้ เพราะฉะนั้นตราบใดที่ยังไม่เข้าใจ แก้วิกฤติไม่ได้
ผู้ฟัง ขอบคุณ
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นอยู่ที่แต่ละคนใช่ไหม เหตุที่จะให้เกิดวิกฤติก็อยู่ที่แต่ละคน จะแก้วิกฤติก็ต้องแต่ละคน ถูกต้องไหม เพราะฉะนั้นวันนี้ ตรงนี้ เดี๋ยวนี้ คือผู้ที่จะแก้วิกฤติเมื่อเข้าใจ เพราะว่าเราจะพูดถึงวิกฤติก็มาก ก็เป็นเราไปหมด เป็นเรื่องนั้นเรื่องนี้ไม่รู้จบ แต่ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน อยู่ที่ใคร
อ.อรรณพ ในเมื่อความไม่รู้ ก็อยู่ที่จิตของแต่ละคนที่ไม่รู้ และความรู้ก็อยู่ที่จิตของแต่ละคนที่เริ่มรู้ขึ้น
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นการสนทนาก็คงจะเป็นการมีคำถามให้ตอบ ทำไมไหว้พระ ไหว้กันทุกคนใช่ไหม แล้วทำไมไหว้ เห็นไหม รู้หรือไม่รู้ ที่ไหว้ แล้วรู้อะไรจึงไหว้ เพราะฉะนั้นแต่ละคนแม้แต่จะไหว้พระ เป็นผู้ที่ตรงและจริงใจหรือเปล่า ว่าขณะนั้นรู้จักพระหรือเปล่า แล้วเวลาไหว้พระคือไหว้อะไร ชาวพุทธต้องเป็นผู้ที่มีเหตุผล มีความเข้าใจที่ถูกต้อง เราไหว้เดียรถีย์ เดียรถีย์คือผู้ที่มีความเห็นอื่นนอกจากคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราอาจจะไหว้ใครก็ได้ ที่ผู้สูงอายุกว่า ที่เป็นญาติ เป็นผู้ที่มีความรู้ หรือว่าพบปะกันก็ทักทายกันโดยการไหว้ นั่นคือการไหว้ต่างลักษณะ แต่ที่จะไหว้พระ ต้องต่างแล้วใช่ไหม ไม่เคยรู้จักเลย เดินมาตามถนน ใครเป็นใครชื่ออะไรก็ไม่รู้ แต่ทันทีที่เห็นการครองผ้ากาสาวพัสตร์ คนที่ไหว้ก็มี ไม่ไหว้ก็มี ก็แล้วแต่ว่าขณะนั้นไหว้หรือไม่ไหว้ แต่ก็ยังมีปัญหาต่อไปอีกว่า ทำไมไหว้ คนที่ไหว้ต้องตอบได้ใช่ไหม หรือตอบไม่ได้
อ.วิชัย ไหว้ในคุณความดีของพระภิกษุ
ท่านอาจารย์ รู้ได้อย่างไรว่ามีคุณความดี ถ้าเห็นที่ห้างสรรพสินค้า ซื้อกาแฟ ไหว้ไหม คุณความดีหรือเปล่า
อ.วิชัย ก็รู้ว่าความประพฤติอย่างนั้น ไม่เหมาะแก่พระภิกษุ ก็ไม่ได้ไหว้พระภิกษุที่มีความประพฤติอย่างนั้น
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นต้องเข้าใจถูกใช่ไหม ว่าพระภิกษุคือใคร ถ้าไม่เข้าใจเป็นการส่งเสริมหรือเปล่า แม้แต่ในครั้งพุทธกาลพระผู้มีพระภาคก็ให้คฤหัสถ์ไม่ไหว้ภิกษุที่ไม่ประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัย ถูกต้องไหม ก็ไม่ได้ประพฤติตามธรรมวินัย แล้วไหว้ หมายความว่าอย่างไร ไหว้คนที่ไม่ประพฤติตามพระธรรมวินัยส่งเสริมผู้ที่ไม่ประพฤติปฏิบัติพระธรรมวินัย อย่างนั้นหรือ
ภิกษุคือผู้เห็นภัยในสังสารวัฎฏ์ ๒ คำนี่หมายความว่าอย่างไร เพราะเห็นภัยในสังสารวัฎฏ์ จึงสละเพศคฤหัสถ์สู่เพศบรรพชิต เพราะสั่งสมมาที่สามารถที่จะขัดเกลากิเลสตามที่พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติ ว่าพระภิกษุจะต้องประพฤติอย่างไร ต่างกับคฤหัสถ์อย่างไร ภิกษุหุงหาอาหารไม่ได้ ตื่นเช้ามาจะชงกาแฟได้ไหม แม้แต่ชงกาแฟก็ไม่ได้ เพราะว่าไม่ใช่คฤหัสถ์อีกต่อไป
เพราะฉะนั้นเป็นผู้ที่ขัดเกลากิเลสอย่างยิ่ง โดยการศึกษาพระธรรม ถ้าไม่เข้าใจพระธรรมแล้วเป็นภิกษุได้อย่างไร เพราะเหตุว่าเพราะเข้าใจพระธรรมจึงสามารถที่จะสละอาคารบ้านเรือน ยากไหม ออกจากบ้านจะไปนอนที่ไหน จะไปพักที่ไหน จะได้อาหารอย่างไร แต่เพราะเหตุว่ามีความเข้าใจว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอยู่ได้ ภิกษุในพระธรรมวินัยทุกรูปอยู่ได้ เพราะเหตุว่ามีความเข้าใจถูกต้องว่า เมื่อเป็นผู้ที่มีศรัทธาที่จะขัดเกลากิเลส คฤหัสถ์เคารพบูชา ยกมือไหว้ในศรัทธา ในการสะสมที่สามารถขัดเกลากิเลสในเพศบรรพชิต เพราะฉะนั้นคฤหัสถ์เป็นผู้ที่ถวายสิ่งที่จำเป็นแก่การที่จะมีชีวิตอยู่เพื่อศึกษาพระธรรม มีอาหาร มีเครื่องนุ่งห่ม ปัจจุบันนี้ก็มีที่อยู่อาศัย มียารักษาโรค ถามจริงๆ ว่ามีเท่านี้พอไหม สำหรับการจะมีชีวิตอยู่ พอเพียง ใช่ไหม สำหรับผู้ที่จะขัดเกลากิเลส
เพราะฉะนั้นที่กราบไหว้พระภิกษุ เพราะเห็นคุณในการที่สะสมมาที่จะสละเพศคฤหัสถ์ แล้วก็ขัดเกลากิเลสโดยฟังพระธรรม เข้าใจพระธรรม ปัญญาที่เข้าใจพระธรรมนั่นแหละขัดเกลากิเลส เห็นคุณค่าของแต่ละสิกขาบท ที่พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติให้ภิกษุประพฤติปฏิบัติ ถ้าพระภิกษุใดไม่ประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัย ไม่ใช่ภิกษุในธรรมวินัย เพราะเหตุว่าต้องรู้ว่าภิกษุคือใคร ก่อนบวช ฟังพระธรรมหรือเปล่า เข้าใจพระธรรมหรือเปล่า รู้ไหมว่ากิเลสมีมากแค่ไหน คฤหัสถ์ที่มีกิเลส ฟังพระธรรมแล้วขัดเกลากิเลสในเพศคฤหัสถ์ รู้แจ้งอริยสัจจธรรมเป็นพระอริยบุคคล ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี วิสาขามิคารมารดา ชีวกโกมารภัต พระเจ้าพิมพิสาร ท่านเป็นอริยบุคคลในเพศคฤหัสถ์ เพราะว่าท่านฟังธรรม ขัดเกลากิเลส ตามอัธยาศัยที่สะสมมา เพราะฉะนั้นท่านเหล่านั้นเป็นสังฆรัตนะ
เพราะฉะนั้นการที่ใครจะเป็นคฤหัสถ์ ฟังธรรมขัดเกลากิเลส เป็นพระอริยบุคคล หรือใครฟังธรรมแล้วก็รู้ตัวเองว่าสามารถที่จะขัดเกลายิ่งกว่าคฤหัสถ์ เพราะเหตุว่าคฤหัสถ์นี้รู้แจ้งอริยสัจจธรรม ถึงความเป็นพระโสดาบัน เป็นพระสกทาคามี เป็นพระอนาคามี กิเลสยังไม่หมด เมื่อไหร่ที่ถึงความเป็นพระอรหันต์ ดับกิเลสไม่เหลือเลย สักเล็กน้อยนิดเดียว เมื่อนั้นจะไม่เป็นคฤหัสถ์อีกต่อไป เพราะฉะนั้นเพศบรรพชิต คือเพศของพระอรหันต์ เพราะเหตุว่าไม่ต้องถึงความเป็นพระอรหันต์ ก็เป็นคฤหัสถ์ที่เข้าใจธรรมได้ เพราะฉะนั้นไม่มีใครบังคับใครให้บวชเลย คนที่บวชมีศรัทธาจริงๆ เพราะว่าคนอื่นจะไปบังคับคนอื่นว่าไม่ให้มีกิเลสอย่างนั้น ไม่ให้มีกิเลสอย่างนี้ ให้ทำอย่างนี้ ไม่ควรทำอย่างนั้น ได้หรือ แต่ว่าผู้นั้นเห็นคุณจริงๆ ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เดียวเท่านั้น ที่จะทรงบัญญัติสิกขาบทของพระภิกษุ แม้ท่านพระสารีบุตรก็ไม่สามารถที่จะบัญญัติสิกขาบทของพระภิกษุได้ เพราะเหตุว่าพระองค์ทรงตรัสรู้ว่า เหตุอะไรแม้เพียงเล็กน้อย ก็จะนำมาซึ่งความไม่เป็นภิกษุ
อ.ธนากร มีคำถามว่า แล้วทำไมจะต้องนับถือเถรวาท ทำไมไม่นับถือพุทธวาทไปเลย เพราะว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสสัจจธรรมไว้แล้ว เราควรที่จะยึดถือเฉพาะพุทธวาทเท่านั้น แล้วก็นำไปสู่การที่พระวินัยบางข้อ ก็ไม่ได้เหมาะสมกับยุคสมัย เพราะฉะนั้นปัจจุบันนี้ พระภิกษุก็สามารถที่จะรวมตัวกัน สวดถอนพระวินัยบางข้อ อย่างนี้ จะถูกต้องตามพระธรรมวินัยหรือไม่
ท่านอาจารย์ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือเป็นพระเถระ
อ.อรรณพ เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ที่ตรัสรู้ด้วยพระองค์เองโดยชอบ ไม่มีกิเลสเหลือเลย
ท่านอาจารย์ เมื่อเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ทรงบำเพ็ญพระบารมีเพื่ออนุเคราะห์คนอื่น ให้ได้เข้าใจสิ่งที่พระองค์ได้ทรงตรัสรู้ โดยทรงแสดงพระธรรมให้คนได้ฟัง เหมือนเดี๋ยวนี้เลย ฟังแล้วไตร่ตรอง แล้วก็ค่อยๆ เข้าใจถูกต้อง อย่างมั่นคง เพราะฉะนั้นในสมัยโน้น ผู้ที่ได้ฟังพระธรรมแล้วเป็นพระอรหันต์ มั่นคงไหม ถึงการดับกิเลส เพียงแต่ว่าไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เป็นสาวก เพราะฉะนั้นเมื่อเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ทรงแสดงธรรมแล้ว มีผู้ฟังและรู้ตาม เป็นสาวกซึ่งเป็นเถระเพราะว่าผู้ที่มั่นคงในการที่จะขัดเกลากิเลสจนถึงความเป็นพระอรหันต์ เพราะฉะนั้นพระเถระเป็นพระอรหันต์หรือเปล่าในครั้งนั้น ที่จะกล่าวว่าเถรวาท
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1261
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1262
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1263
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1264
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1265
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1266
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1267
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1268
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1269
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1270
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1271
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1272
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1273
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1274
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1275
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1276
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1277
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1278
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1279
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1280
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1281
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1282
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1283
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1284
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1285
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1286
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1287
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1288
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1289
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1290
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1291
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1292
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1293
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1294
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1295
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1296
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1297
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1298
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1299
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1300
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1301
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1302
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1303
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1304
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1305
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1306
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1307
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1308
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1309
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1310
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1311
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1312
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1313
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1314
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1315
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1316
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1317
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1318
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1319
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1320
