ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1272
ปกิณณกธรรม ตอนที่ ๑๒๗๒
สนทนาธรรม ที่ โรงแรมไดมอนด์ พลาซ่า จ.สุราษฎร์ธานี
วันที่ ๒๕ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๑
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นกรรมหนึ่งทำให้จิตขณะแรกเกิดดับ ขณะเดียวไม่พอ กรรมนั้นเองยังทำให้จิตขณะต่อไปเกิดขึ้น เป็นผลของกรรม จึงใช้คำว่า วิบากจิต โดยกรรมเดียวกันกับที่ทำให้ปฏิสนธิจิตเกิด แต่ว่าไม่ได้ทำหน้าที่ปฏิสนธิ เพราะหน้าที่ปฏิสนธิต้องเฉพาะขณะแรกที่เกิดในชาตินี้สืบต่อจากชาติก่อน เพราะฉะนั้นขณะต่อไปไม่ใช่ขณะที่สืบต่อจากชาติก่อน แต่สืบต่อจากปฏิสนธิ ถูกต้องไหม ปฏิสนธิจิตดับ เป็นปัจจัยให้ผลของกรรมเดียวกันและเกิดสืบต่อทำภวังคกิจ
เพราะฉะนั้น ปฏิสนธิจิต ภวังคจิต อารมณ์ คือ สิ่งที่จิตรู้ไม่ปรากฏ โลกไม่ปรากฏ ที่โลกปรากฏ ก็ต่อเมื่ออาศัยตา อาศัยหู อาศัยจมูก อาศัยลิ้น อาศัยกาย และอาศัยใจที่สะสมเรื่องราวมากมายกุศลและอกุศลในอดีต เป็นปัจจัยให้หลังจากเกิดแล้ว ก็มีการที่จะรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ได้ตามปัจจัย แต่ต้องค่อยๆ ฟังว่า หลังจากที่ปฏิสนธิจิตดับไปแล้ว ภวังคจิตเกิดสืบต่อ คือวิบากจิตที่เกิดจากกรรมเดียวกัน แต่ไม่ได้ทำหน้าที่ปฏิสนธิ ทำหน้าที่ภวังค์ ก็ไม่ใช่หนึ่งขณะ นานเหมือนตอนหลับสนิท กี่ขณะ หลับ
ผู้ฟัง นับไม่ถ้วน
ท่านอาจารย์ จนกว่าจิตจะอาศัยตาเกิดขึ้นเมื่อไหร่ เห็น อาศัยหูเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ได้ยิน อาศัยจมูกเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ได้กลิ่น อาศัยลิ้นเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ลิ้มรส อาศัยกายเมื่อไหร่ ก็รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส หรืออาศัยใจคิดนึกได้ โดยไม่ต้องอาศัยตา หู จมูก ลิ้น กาย แต่สำหรับปฏิสนธิจิตและภวังคจิต รู้อารมณ์ได้โดยไม่ต้องอาศัยทวารหนึ่งทวารใด ไม่อาศัยตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจคิดนึก ด้วยเหตุนี้จิตที่เป็นภวังค์และปฏิสนธิเกิดขึ้นรู้อารมณ์ที่ไม่ปรากฏ ที่ปรากฏเพราะอาศัยตา หู จมูก ลิ้น กายและใจ จึงปรากฏว่ามีเห็น มีได้ยิน มีได้กลิ่น มีลิ้มรส มีรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส มีคิดนึก แต่ถ้าไม่ได้ทำกิจต่างๆ เหล่านี้ ทำภวังคกิจ เพราะฉะนั้นที่เราหลับสนิท ก็คือจิตเกิดขึ้นยังไม่ตาย แต่ทำภวังคกิจ มาจากคำว่า ภวะกับอังคะ อังคะคือองค์ ภวะคือที่เราใช้คำว่า ภพชาติ ความมี ความเป็น ยังต้องเป็นอย่างนี้ต่อไป ดำรงความเป็นอย่างนี้ ยังไม่จากโลกนี้ไป ก็ทำภวังคกิจ จนกว่าจะคิดเมื่อไหร่ เห็นเมื่อไหร่ ได้ยินเมื่อไหร่ นั่นคือไม่ใช่ภวังค์ เพราะว่าจิตแต่ละหนึ่งขณะ เกิดขึ้นทำกิจหนึ่ง ทำสองกิจในขณะเดียวกันไม่ได้เลย
เพราะฉะนั้นจิตที่ไม่ต้องอาศัยทวารหนึ่งทวารใด ไม่ต้องอาศัยตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ คือขณะที่เกิด ปฏิสนธิ ไม่ต้องอาศัยตา หู จมูก ลิ้น กาย รู้อารมณ์ได้ ภวังค์ไม่ต้องอาศัยตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็รู้อารมณ์ได้ แต่อารมณ์ไม่ปรากฏ เป็นอารมณ์เดียวกับปฏิสนธิ อีกขณะหนึ่งก็คือจุติ จิตขณะสุดท้าย โลกนี้ไม่ได้ปรากฏกับจุติจิต เพราะเป็นผลของกรรมที่ทำให้ต้องมีอารมณ์เดียวกับปฏิสนธิและภวังค์ สิ้นสุดความเป็นบุคคลนั้น ใช่ไหม เพราะฉะนั้นปฏิสนธิก็เริ่มความเป็นบุคคลนี้ ภวังค์ก็ดำรงความเป็นบุคคลนี้ จุติก็สิ้นสุดความเป็นบุคคลนี้ ยังเกี่ยวข้องกับบุคคลนี้ แต่เป็นขณะสุดท้าย เพราะฉะนั้นขณะนั้นมีอารมณ์เดียวกัน ทั้งปฏิสนธิ ภวังค์ จุติ
ผู้ฟัง ถ้าจะกล่าวว่าภวังคจิตทำหน้าที่รักษา
ท่านอาจารย์ ดำรงภพชาติ จนกว่าจะเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส เพราะฉะนั้นเกิดมา หลังจากปฏิสนธิจิตดับ เป็นภวังค์นานเท่าไหร่ไม่มีใครรู้ แล้ววิถีจิตแรกทุกภพชาติต้องเป็นทางมโนทวาร ยังไม่เห็น ยังไม่ได้ยิน ยังไม่ได้กลิ่น ยังไม่ได้ลิ้มรส ยังไม่ได้รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส แต่คิดนึก ห้ามคิดได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ เวลาฝันคิดหรือเปล่า
ผู้ฟัง คิด
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นขณะที่เป็นภวังค์ ไม่ใช่อารมณ์ที่ปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ เพราะฝันคือจิต อาศัยภวังค์สุดท้ายดับไป ก็เกิดนึกถึงสิ่งที่สะสมมา เพราะฉะนั้นไม่ว่าภพไหนภูมิไหน หลังจากที่ปฏิสนธิจิตเกิดแล้วดับไป ภวังค์เกิดสืบต่อ จะนานเท่าไหร่ ไม่สามารถที่จะบอกได้ วิถีจิตแรก คำว่า วิถีจิต หมายความว่า จิตที่ต้องอาศัยทวาร ทวารคือทางหรือประตู เช่น ตา ถ้าไม่มีตา จิตเห็นเกิดไม่ได้ ไม่มีหู จิตได้ยินก็เกิดไม่ได้ เพราะฉะนั้นทวารเป็นรูป ๕ รูป เป็นรูปพิเศษที่สามารถกระทบกับสิ่งที่กำลังกระทบ ถ้าทางตา รูปนี้มองไม่เห็นเลย อยู่กลางตา เกิดดับ ขณะที่ยังไม่ดับ มีการกระทบกับรูปซึ่งเกิดแล้วยังไม่ดับ คิดดู จิตเห็นเกิดขึ้นเห็น แล้วดับ เพราะฉะนั้นรูปยังไม่ดับเลย แต่จิตดับก่อน ด้วยเหตุนี้รูปแต่ละรูป มีอายุเท่ากับจิตเกิดดับ ๑๗ ขณะ เพราะฉะนั้นระหว่างที่รูปยังไม่ดับ จิตที่อาศัยทวารนั้นเกิดสืบต่อ ก็รู้อารมณ์เดียวกัน แต่ไม่เห็น แต่เหมือนเห็นใช่ไหมเดี๋ยวนี้ นี่คือความน่าอัศจรรย์ของมายากล ที่ทำให้เหมือนกับว่าไม่มีอะไรนอกจากเห็น แต่ความจริงก่อนจิตเห็น ก็มีจิตที่รู้ว่ามีสิ่งที่กระทบตา แต่ยังไม่ได้ทำทัสสนกิจ ต่อเมื่อดับไปแล้ว จิตที่เกิดต่อทำทัสสนะ คือ เห็น ทำทัสสนกิจจึงเรียกว่า จักขุวิญญาณ คือ จิตที่อาศัยตา เกิดขึ้นรู้อารมณ์
ผู้ฟัง มีหนังสือบางเล่ม อธิบายกระแสของปฏิจจสมุปบาท เป็นสายเดียวกัน ๓ ภพชาติในบุคคลคนๆ เดียวกัน การอธิบายเช่นนี้ ถ้าจะพิจารณาจริงๆ ผมดูเหมือนกับเป็นอัตตา
ท่านอาจารย์ เข้าใจคำว่า ปฏิจจสมุปบาท หรือเปล่า
ผู้ฟัง เข้าใจเพียงผิวเผิน
ท่านอาจารย์ ไม่พอ เพราะฉะนั้นก็ไม่เข้าใจไปตลอด เพราะผิวเผิน ได้ยินอะไรก็เข้าใจไม่ได้ จนกว่าจะแจ่มแจ้งในแต่ละคำ ขอเชิญคุณวิชัย
อ.วิชัย ปฏิจจสมุปบาท หมายถึง การที่ธรรมเกิดขึ้นโดยการอาศัยกันเป็นไป ดังนั้น การที่ธรรมที่จะเกิด หรือว่าเป็นไปได้ต้องมีปัจจัย ต้องมีธรรมที่เป็นปัจจัยเกื้อกูล ที่จะให้ธรรมเกิดสืบต่อโดยไม่ขาดสาย อย่างเช่นขณะนี้ เป็นปฏิจจสมุปบาทหรือเปล่า เป็นแน่นอน เพราะว่าธรรมกำลังเป็นไปอยู่ พระองค์แสดงความเป็นไปของธรรม ตั้งแต่ความไม่รู้ เป็นปัจจัยที่จะให้มีการกระทำกรรม ที่เป็นกุศลกรรมบ้าง อกุศลกรรมบ้าง ที่จะเป็นเหตุให้เกิดผล คือวิญญาณ จิตที่เป็นผลของกรรมเกิดขึ้น ดังนั้นการที่ธรรมแต่ละอย่างจะเกิดต้องมีปัจจัยทั้งหมดเลย แต่การที่จะเข้าใจความเป็นไปของธรรม คือต้องเข้าใจธรรมเดี๋ยวนี้
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นถ้าเราจะเรียนแต่คำ เข้าใจไหม ไม่เข้าใจ แต่เดี๋ยวนี้มีธรรม เริ่มเข้าใจตั้งแต่ว่า สิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ ใครไปทำให้เกิด ในเมื่อไม่มีใคร มีแต่ธรรม คือ จิต เจตสิก รูป นิพพานก็คงไม่ต้องกล่าวถึงในขณะนี้ เพราะฉะนั้นธรรมที่ปรากฏว่ามี รู้ได้ในชีวิตประจำวัน ก็คือ จิต เจตสิก รูป เพราะฉะนั้นธรรมใดอาศัยกันเกิดขึ้น ก็ต้องจิต เจตสิก รูป นั่นแหละถูกต้องไหม เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้ก็มีจิต เจตสิก รูป แต่ถ้าเราไม่รู้ว่าอะไรอาศัยอะไร เราก็ไม่เข้าใจปฏิจจสมุปบาท เดี๋ยวนี้เห็นเกิดแล้วใช่ไหม กำลังเห็น เห็นเกิดแล้วใช่ไหม เห็นดับไหม รู้ไหมว่าไม่ใช่เรา ไม่รู้ เพราะฉะนั้นความไม่รู้ทั้งหมด อวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร สังขารมีหลายความหมาย ธรรมที่เกิด ต้องอาศัยการปรุงแต่ง ธรรมทั้งหมดไม่อาศัยปัจจัยปรุงแต่งเกิดได้ไหม ไม่ได้ เพราะฉะนั้นธรรมที่เกิดนั่นแหละเป็นสังขารธรรม นิพพานเป็นสังขารธรรมหรือเปล่า ไม่ใช่ เพราะฉะนั้นนิพพานเป็นวิสังขารธรรม เพราะฉะนั้นเราเริ่มเข้าใจแล้ว พอได้ยินก็จะมีความต่าง
เพราะฉะนั้นขณะนี้เห็นเกิดขึ้นไม่รู้ อวิชชา ชอบสิ่งที่ปรากฏไหม ชอบเสียง ชอบทุกอย่างที่ปรากฏ เพราะไม่รู้ความจริง ชอบจนกระทั่งถึงขั้นทำกรรม ปกติทำกรรมอะไร เห็นไหม ทำมาแล้วทั้งนั้นเลย แต่ว่าทำกรรมอะไร มีกรรม ๑ ใน ๒ อย่าง กรรมดีก็เป็นกรรมดี กรรมชั่วก็เป็นกรรมชั่ว ฟังธรรมเดี๋ยวนี้เข้าใจ เป็นกรรมหรือเปล่า เป็นกรรมอะไร กรรมดี ถ้าไม่เข้าใจก็ไม่ใช่กรรมดี ใช่ไหม เพราะฉะนั้นกรรมดีให้ผลไหม เห็นไหมว่ากรรมดีต้องให้ผลดี เพราะฉะนั้นเกิดอีกเป็นมนุษย์เป็นผลของกรรมดี หรือว่าเกิดในสวรรค์ก็ได้ แต่ยังไม่ถึงพรหมโลก เพราะเหตุว่าต้องเป็นกุศลที่สามารถระงับความยินดีในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในสัมผัสได้ และก็ต้องมีความสงบถึงระดับขั้นที่ไม่ใช่การคิดถึงแม้แต่รูปเสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ที่จะทำให้ขณะนั้นเป็นปัจจัยให้เกิดในพรหมโลกได้ เป็นอีกขั้นหนึ่ง ซึ่งปกติธรรมดาของเรา กุศลก็ทำกันแค่ทาน แค่ศีล ยังไม่ใช่ระดับที่จะทำให้ไปสู่พรหมโลกได้ แต่ว่ากรรมที่กำลังฟังธรรมเข้าใจ สามารถจะเกิดเป็นมนุษย์หรือเกิดในสวรรค์ก็ได้ และบนสวรรค์ก็มีศาลาสุธรรมา ถ้าสะสมมาแล้วที่จะสนใจที่จะเข้าใจธรรม คนที่เกิดที่นั่นก็ไปสู่ศาลาสุธรรมา เหมือนคนที่เกิดในโลกนี้ สนใจในธรรมก็มาฟังธรรม แต่คนที่ไม่สนใจก็ไปที่อื่น
ด้วยเหตุนี้สังขารคือกรรม ขณะนั้นยังไม่ได้ละความไม่รู้ซึ่งเป็นปัจจัยใช่ไหม แต่ก็มีเหตุที่จะให้กระทำดี เพราะโสภณเจตสิกอาศัยกันเกิดขึ้น ทำกรรมดี เป็นปัจจัยให้เกิดกรรม ซึ่งกรรมให้ผล อวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร สังขารเป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ เพราะฉะนั้นไม่ใช่ว่าชื่อปฏิจจสมุปบาท แต่ว่านั่งท่องใช่ไหม แต่ไม่เข้าใจ แต่ว่าเดี๋ยวนี้เองมีอวิชชา และก็มีสังขารด้วย กำลังฟังธรรม ซึ่งจะเป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ ปฏิสนธิจิต ซึ่งทำให้เกิดนามธรรมและรูปธรรม คือเจตสิกที่เกิดร่วมกันและรูปซึ่งเกิดร่วมกัน โดยสังขารคือกรรมนี่แหละเป็นปัจจัย เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่ากรรมที่ได้กระทำแล้วแต่ละหนึ่งกรรม ไม่ปะปนกันเลย เพราะฉะนั้นความวิจิตรของกรรม ฟังธรรมด้วยกัน เข้าใจแค่ไหน โสมนัสปีติแค่ไหน หรือว่าเฉยๆ หรือเข้าใจมากน้อย ล้วนเป็นสังขาร ซึ่งเป็นกรรม ทำให้เกิดผลที่ต้องหลากหลายตามกรรมด้วย
เพราะฉะนั้นการเกิดเป็นมนุษย์ กรรมนั่นแหละก็ทำให้วิจิตรต่างกัน รูปร่างหน้าตาผิวพรรณ วงศาคณาญาติ ถิ่นที่กำเนิด ทั้งหมด เพราะมีเหตุคือกรรมที่ได้กระทำแล้วเป็นปัจจัย ปฏิจจสมุปบาทก็แสนสั้น แต่ความจริงต่อไปสำคัญด้วย เพราะเหตุว่าเมื่ออวิชชาเป็นปัจจัยแก่สังขาร สังขารเป็นปัจจัยแก่วิญญาณ วิญญาณเป็นปัจจัยแก่นามรูป มีตา หู จมูก ลิ้น กาย ซึ่งเป็นรูปใช่ไหม แล้วประโยชน์อะไร ถ้าไม่มีการกระทบกับสิ่งที่ปรากฏ เห็นไหม โดยผัสสเจตสิก ขณะนี้ให้ทราบว่ามีเจตสิกหนึ่ง ซึ่งทำกิจกระทบอารมณ์ เป็นธาตุรู้ แต่ไม่ใช่จิต จิตเป็นใหญ่เป็นประธาน ทันทีที่ผัสสะกระทบ จิตรู้ทันที เกิดพร้อมกัน ดับพร้อมกัน ผัสสเจตสิกกระทบเสียง ให้จิตเห็นเกิดได้ไหม แค่นี้ก็รู้แล้ว ไม่มีใครสามารถดลบันดาลอะไรได้เลยทั้งสิ้น ทุกอย่างต้องเป็นไปตามปัจจัย เพราะฉะนั้นทั้งหมดเดี๋ยวนี้ เป็นไปตามผัสสะใช่ไหม เพราะฉะนั้นถ้าผัสสะกระทบอะไร จิตก็ต้องรู้สิ่งที่ผัสสะกระทบ
เพราะฉะนั้นอาศัยเจตสิกใด ก็เกิดขึ้นเป็นไปตามเจตสิกที่กระทบสิ่งนั้นๆ ผัสสะเคยหยุดกระทบไหม ไม่เคย เพราะผัสสะต้องเกิดกับจิตทุกประเภท ทุกขณะ แม้เดี๋ยวนี้เป็นเรา หารู้ไม่ว่าแค่เห็นนี่ก็เพราะผัสสะกระทบสิ่งที่ปรากฏทางตา จิตเห็นจึงเกิดขึ้นได้ กำลังได้ยินเดี๋ยวนี้ ผัสสะกระทบเสียง ทำให้จิตเกิดขึ้นรู้เสียง เกิดพร้อมกัน รู้สิ่งเดียวกัน เพราะฉะนั้นก็ต้องค่อยๆ เข้าใจขึ้นว่า ทุกขณะเดี๋ยวนี้ก็เป็นปฏิจจสมุปบาท
อ.วิชัย เมื่อมีวิญญาณ ก็ต้องมีนามรูป ซึ่งเกิดพร้อมเพราะวิญญาณเป็นปัจจัย และเมื่อมีนามรูป ก็จะเป็นเหตุให้มีการเกิดขึ้นของตา หู จมูก ลิ้น กาย แล้วก็ใจ ซึ่งเป็นสฬายตนะแล้ว ก็จึงเป็นปัจจัยให้เกิดผัสสะ อย่างที่ท่านอาจารย์กล่าวถึงว่า ถ้ามีอายตนะ ก็หมายความว่าที่นั่นเป็นที่ประชุมที่จะให้เกิดผัสสะในการที่จะกระทบรูป ที่มากระทบกับอายตนะนั้น แล้วก็เป็นปัจจัยให้จิตเกิดขึ้น รู้อารมณ์ในขณะนั้น
ท่านอาจารย์ คุ้นหูใช่ไหม ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ คำใหม่คือ อายตนะ เห็นไหม ก็คือคำที่เราชินหู แต่เราต้องเข้าใจก่อนว่า ตา มีสำหรับอะไร ไม่มีอะไรมากระทบ ไม่เห็น มีไหมประโยชน์ ใช่ไหม แล้วเห็นจะมีได้ไหม เพราะฉะนั้นเราศึกษาคำที่เราเข้าใจในภาษาไทย แล้วก็รู้ภาษาบาลีกำกับไปด้วย เช่น เรากล่าวถึง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ขณะนี้มีกระทบหรือยัง ผัสสะกระทบอะไร ในขณะไหน นี่คือเป็นปัญญาของเรา ถ้าคิดเมื่อไหร่ จำไว้มั่นคงเมื่อไหร่ ก็เป็นปัจจัยที่จะทำให้ระลึกได้บ่อยๆ ว่า ไม่มีเรา ตา หู จมูก ลิ้น กาย มีใจด้วย ใช่ไหม เพราะฉะนั้นเป็นปัจจัยให้เกิดอะไร ผัสสะเป็นเจตสิก ถ้ามีผัสสะ มีการกระทบแล้วอะไรเกิดขึ้น ความรู้สึก เวทนา เห็นไหม ก็ตามลำดับของปฏิจจสมุปบาท เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรมเพื่อเข้าใจ พอได้ยินคำว่าปฏิจจสมุปบาท จะรู้เพียงแค่ชื่อไหม หรือจะรู้เพียงแค่หนึ่งๆ ๆ แต่ไม่รู้ความเกี่ยวข้องว่าเนื่องกัน สืบต่อกันอย่างไร เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรมทั้งหมด เพื่อเข้าใจ เพื่อรู้ว่าไม่มีเรา และก็ทั้งหมดเป็นธรรม
ผู้ฟัง อยากจะเรียนถามถึงปรมัตถธรรม ที่ว่าจิต เจตสิก รูป นิพพาน เกี่ยวข้องอย่างไรกับอริยสัจ ๔ ที่ว่าด้วยทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค
ท่านอาจารย์ เราได้ฟังว่าจิตเกิดแล้วดับ เจตสิกเกิดแล้วดับ รูปเกิดแล้วดับ บังคับได้ไหมว่าไม่ให้เกิด ไม่ให้ดับ
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ เกิดแล้ว ไม่ให้ดับได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ เป็นทุกข์ไหม
ผู้ฟัง เป็น
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นอริยสัจที่ ๑ ไม่พ้นจากขันธ์ ๕ ทั้งหมดเลย ที่เกิดต้องดับ ไม่มีอีกแล้วไม่มีอีกเลย อยากได้ต้องการแสวงหาทุกอย่าง แต่ก็ไม่เหลือ ถ้าเป็นเราทนได้ใช่ไหม แต่ถ้าไม่ใช่เรา เกิดไปดับไป ก็ไม่ใช่เราอย่างนี้ แล้วจะเกิดไปดับไปทำไม มายุ่ง มาเกี่ยวอะไรกัน ใช่ไหม ธรรมก็เกิดแล้วก็ดับ เกิดแล้วก็ดับไป ถ้ารู้จริงอย่างนี้ ใช่ไหม สิ่งที่เกิดดับแล้วมีประโยชน์อะไร เพราะฉะนั้นความหมายของทุกข์อีกประการหนึ่งก็คือ เป็นสิ่งที่ไม่ควรยินดี มีใครยินดีในทุกข์บ้าง ไม่มีใช่ไหม เพราะฉะนั้นสิ่งที่เกิดดับ ควรเป็นที่ยินดีไหม แต่เมื่อสักครู่นี้มีผัสสะกระทบ มีธรรมที่เกิดปรากฏ ใช่ไหม เห็นได้ ความรู้สึกเกิดขึ้นแล้ว ติดข้องไหม เพราะฉะนั้นก็นำมาซึ่งสิ่งที่เป็นจริงในชีวิตประจำวัน โดยความเข้าใจ เพราะฉะนั้นพอได้ยินคำว่า ปฏิจจสมุปบาทครบองค์ ก็จะรู้ได้ว่า ก็คือเดี๋ยวนี้เอง เป็นธรรมดา ตอนนี้เห็นทุกข์หรือยัง
ผู้ฟัง เห็น
ท่านอาจารย์ แค่เข้าใจ ประโยชน์อะไรที่จะแค่เห็นแล้วดับ แล้วไม่เห็นอีกเลย ได้ยินเสียงปรากฏว่ามี แล้วก็ดับ แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย และไม่ใช่เฉพาะเห็นและได้ยิน ทุกอย่างทั้งสิ้นทั้งปวงที่เกิดขึ้น เกิดแล้วดับไป แล้วไม่กลับมาอีกเลย ไหนเรา ไหนของเรา ก็เป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ด้วยความไม่รู้ เพราะฉะนั้นรู้เสียทีดีไหม
อ.วิชัย ความหมายของอริยสัจจะ มีหลายความหมาย ความหมายอย่างหนึ่งก็คือว่า เป็นสิ่งที่จริงแท้แน่นอน ความจริงอันประเสริฐ คือไม่สามารถเปลี่ยนความจริงเหล่านี้ได้ และอีกความหมายหนึ่งก็คือ เป็นความจริงของผู้ที่เป็นอริยเจ้า เพราะท่านเห็นความจริงเหล่านี้ ดังนั้นพระองค์ประกาศอริยสัจจะ ตั้งแต่ความเกิด ก็เป็นทุกข์ ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความพลัดพรากจากสิ่งที่รัก การประจวบกับสิ่งที่ไม่เป็นที่รักก็เป็นทุกข์ แต่ว่าประมวลทั้งหมดแล้ว อุปาทานขันธ์ ๕ นี่แหละเป็นทุกข์ ตาเป็นอุปาทานขันธ์หรือเปล่า
ผู้ฟัง เป็น
อ.วิชัย เป็น นี่แหละเป็นทุกขอริยสัจจะ ตานี่ไม่ใช่ของใครเลยใช่ไหม เป็นสิ่งที่มีจริงๆ เกิดแล้ว เป็นทุกข์หรือเปล่า
ผู้ฟัง เป็น
อ.วิชัย ดังนั้นกว่าที่จะเห็นความเป็นทุกข์ คือเป็นสิ่งที่จะตั้งอยู่ ทรงอยู่เป็นอย่างนี้ตลอดไปไม่ได้ เพราะเกิดแล้วก็ดับไปอย่างรวดเร็ว
ท่านอาจารย์ แค่คิดใช่ไหมว่าเป็นทุกข์เลาๆ ยังไม่ได้ประจักษ์แจ้ง เพราะฉะนั้นจะประจักษ์ว่าเป็นทุกข์จริงๆ ต่อเมื่อสิ่งนั้นกำลังปรากฏการเกิดขึ้นและดับไป
อ.ธิดารัตน์ เพราะฉะนั้นถ้าจะรู้ทุกข์ตามความเป็นจริง ท่านก็แสดงถึงหนทางหรือข้อปฏิบัติ ที่จะทำให้ถึงการดับทุกข์ เพราะว่าอริยสัจ ๔ แสดงทุกข์คือสิ่งที่ควรรู้ คือสภาพธรรมที่เกิดดับแล้ว เหตุซึ่งนำมาซึ่งทุกข์ ก็ได้แก่ สมุทัย หรือว่าโลภะ เพราะตราบใดที่ยังมีโลภะอยู่ ย่อมเป็นปัจจัยแก่การเกิดขึ้นในชาติภพต่างๆ แล้วก็ต้องมีธรรมที่เกิดดับแน่นอน พระนิพพานมีจริง เป็นสภาพที่ดับทุกข์ทั้งหมด และแสดงถึงหนทางที่จะถึงพระนิพพาน ก็คือการดับทุกข์ทั้งหมด เพราะฉะนั้นก็คือการอบรมสติปัฏฐานเป็นเบื้องต้น สติปัฏฐานก็คือการอบรมเจริญมรรค ๕ องค์ก่อนในชีวิตประจำวัน กว่าจะไปครบ ๘ องค์ก็คือ ขณะที่มรรคจิตเกิดดับกิเลส ก็อีกยาวไกล
เพราะฉะนั้นการอบรมสติปัฏฐาน ก็คือ การรู้ลักษณะของธรรมที่เกิดดับนั่นแหละ เพราะว่าก่อนที่จะไปถึงวิปัสสนาญาณ ที่เห็นธรรมที่เกิดขึ้นแล้วดับไปอย่างชัดเจน ก็ต้องรู้ทุกข์ตามความเป็นจริง รู้ลักษณะของโลภะตามความเป็นจริง ก็คือการอบรมหนทาง หรือว่าปฏิปทาที่จะนำไปสู่การดับทุกข์ นี่คืออริยสัจทั้ง ๔
สนทนาธรรมที่ กนกรัตน์รีสอร์ท อัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม
วันที่ ๒ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๑
ผู้ฟัง เรื่องแรก ผมมองเห็นคุณแป๊วป่วย ก็เห็นถึงความไม่แน่นอนขึ้นมา เรื่องความไม่แน่นอนนี่เอง ทำให้ผมรู้สึกว่าสิ่งที่ผ่านมามันประมาทค่อนข้างมาก
ท่านอาจารย์ ก่อนอื่นไม่ลืมว่าสิ่งที่กำลังมี มีจริงๆ แต่ว่ารู้ยาก แล้วก็บางคนก็ไม่รู้ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้สิ่งที่มีแน่นอน เพราะเหตุว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตาม ที่ยังไม่เกิดขึ้น ใครจะรู้ อย่างเมื่อวันศุกร์ คุณสัมพันธ์ไม่มีโอกาสรู้เลยว่า วันจันทร์หรือวันไหน อะไรจะเกิดขึ้น ทุกอย่างรู้เมื่อเกิดแล้วใช่ไหม คือแต่ละคำเป็นสิ่งที่เราจะต้องคิด ไม่ใช่ว่าเราฟังธรรมแล้วเราก็อยากจะเป็นอย่างนั้น อยากจะเป็นอย่างนี้ อยากจะหมดกิเลส อยากจะมีปัญญา อยากจะรู้สิ่งต่างๆ ตามที่ได้ฟัง นั่นคือธรรมอย่างหนึ่ง ซึ่งมีจริงๆ อยากจริงๆ แต่อยากสักเท่าไหร่ ก็ไม่ได้เป็นไปตามอยาก เพราะว่าทุกอย่าง เหตุต้องตรงกับผล
เพราะฉะนั้นก็จะเห็นได้ว่า สิ่งที่มีที่ได้ฟังจากพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ลึกซึ้งเกินกว่าที่จะคิดเอง และเกินกว่าที่จะเข้าใจได้ง่ายๆ เราฟังมาแล้วชาตินี้ บางท่านก็ ๑๐ ปี ๒๐ ปี ๓๐ ปี ๔๐ ปี ๕๐ ปี ถึง ๖๐ ปี ก็จะรู้ได้ว่า สิ่งที่ควรจะรู้และเข้าใจไม่พ้นจากสิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1261
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1262
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1263
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1264
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1265
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1266
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1267
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1268
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1269
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1270
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1271
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1272
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1273
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1274
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1275
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1276
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1277
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1278
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1279
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1280
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1281
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1282
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1283
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1284
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1285
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1286
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1287
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1288
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1289
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1290
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1291
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1292
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1293
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1294
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1295
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1296
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1297
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1298
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1299
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1300
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1301
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1302
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1303
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1304
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1305
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1306
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1307
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1308
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1309
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1310
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1311
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1312
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1313
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1314
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1315
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1316
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1317
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1318
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1319
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1320
