ปกิณณกธรรม ตอนที่ 830


    ตอนที่ ๘๓๐

    สนทนาธรรม ที่ รัฐเกรละ ประเทศอินเดีย

    วันที่ ๒๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๘


    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ความรู้ก็สามารถที่จะทำให้ช่วยพ้นจากความเห็นผิดและความติดข้อง เพราะว่ามีความติดข้องในความเป็นตัวตนมาก จนกระทั่งไม่ว่าอะไรนิดๆ หน่อยๆ ก็จะเป็นการเกิดดับของธรรมที่ประจักษ์แล้ว แต่ความจริงแม้แต่เดี๋ยวนี้ สิ่งที่ปรากฏไม่ใช่ธาตุรู้ แล้วก็ไม่ใช่ใครเลยทั้งสิ้น ก็ยังไม่รู้ เพราะฉะนั้นไม่ว่าใครจะหลงว่าใครเป็นพระอรหันต์ ใครได้ฌาน เชื่อไหม ถ้าไม่มีการศึกษาพระธรรม ไม่มีพระธรรมเป็นที่พึ่ง ก็เชื่อเลย

    ผู้ฟัง ถ้าเราต้องนั่งรถไปในที่ๆ เราฟังอะไรก็ไม่ได้ จะมีวิธีแนะนำไหม

    ท่านอาจารย์ มีจิตไหม

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นฟังพอที่จะรู้จักจิตไหม ไม่ใช่ให้มีวิธี ความเข้าใจมีพอที่จะทำให้ขณะนั้นเข้าใจจิตไหม ฟังธรรมเข้าใจ ดับไหมความเข้าใจ และก็ไม่เข้าใจก็ต้องเกิด โลภะก็ต้องเกิด เป็นธรรมดา ต้องมีความมั่นคงในความเป็นธรรมดา แล้วก็รู้ว่าละ ละตั้งแต่ต้น คือละที่จะให้สภาพธรรมที่เป็นธรรมดา ผิดปกติไปเพราะความต้องการ บางท่าน ท่านก็บอกว่าท่านไม่ดูโทรทัศน์มาตั้งหลายเดือน ท่านคิดว่าท่านดี แล้วอย่างไร เข้าใจอะไรหรือเปล่า เพราะฉะนั้นใครหาวิธี จะหาวิธีของคนอื่นทั้งนั้น ไม่ใช่วิธีของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ทรงตรัสคำจริงให้คนนั้นได้เกิดปัญญาของตนเอง รู้ว่าธรรมขณะนี้เกิดดับ แล้วอย่างไร ไม่ใช่ต้องไปทำอะไร เข้าใจความจริงว่า กว่าจะรู้ ต้องมีปัญญาที่เกิดจากการฟัง แล้วก็สะสม แม้แต่คำพูดที่ว่า สิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่เกิดแล้วดับแล้วเป็นธรรมดา เกิดแล้วดับแล้วเป็นธรรมดา ไม่กลับมาอีกเลย คำนี้กว่าจะสะสมอยู่ในใจจนมีกำลังที่จะรู้ว่า ขณะนี้สภาพธรรมนี้เกิดแล้วดับ จึงไม่ใช่เรา เพราะว่าก่อนอื่นต้องละการที่เคยยึดมั่นในสิ่งที่ปรากฏว่า เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะไม่เคยรู้ความจริงของสักอย่างเดียว ก็รวมกันทุกครั้งเลย ทั้งจิต เจตสิก ก็เป็นเราหมด แต่จิตไม่ใช่เจตสิก เจตสิกก็ไม่ใช่จิต จิตเป็นแต่เพียงสภาพที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้สิ่งที่กำลังปรากฏเท่านั้นเอง ส่วนเจตสิกหลากหลายมาก ๕๒ ประเภท ก็เกิดกับจิตต่างวาระ ก็ทำให้จิตนั้นเป็นต่างๆ เป็นกุศลก็ได้ เมื่อสภาพธรรมฝ่ายดีเกิด ทั้งหมดคือไม่ใช่เรา

    เพราะฉะนั้นการฟังธรรม ไม่ใช่แล้วเราจะทำอย่างไร มีวิธีอะไร ผิดทันทีเพราะหาวิธีของคนอื่น แต่ต่างกับคนอื่นแน่ๆ เพราะไม่ใช่วิธี แต่เป็นปัญญาที่เห็นความลึกซึ้งว่าเป็นเรื่องละ ถ้าหาวิธีนี่ละหรือเปล่า ไม่ละ หลงเลย ต้องการเลย ตามไปเลย เพราะฉะนั้นก็จะเห็นได้ว่า พระศาสนาจะอันตรธานเมื่อไม่มีผู้ที่สามารถเข้าใจความลึกซึ้งว่าเป็นเรื่องละ ฟังเพราะว่าไม่รู้ เมื่อรู้แล้ว ถ้ามีความเป็นเราที่ต้องการที่จะให้ถึงความรู้อย่างพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็คือผิด ต้องเป็นการเข้าใจขึ้น เป็นปัญญาแต่ละขั้น และปัญญารู้จริง และสามารถที่จะรู้ได้ทุกอย่าง คุณหมอจะหาวิธีอีกไหม

    ผู้ฟัง อยู่ว่างๆ ก็คิดสิ่งที่ท่านอาจารย์พูด ก็กลายเป็นว่าผมก็ผิด เพราะว่าผมก็เลยเป็นตัวตนของตัวเองที่จะคิดถึงอย่างอื่นใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นปัญญารู้ว่าขณะนั้นเป็นตัวตน จึงละ ถ้าไม่รู้ก็ทำอยู่นั่นแหละ ด้วยความเป็นตัวตนก็ไม่ได้ละอะไรเลย เพราะฉะนั้นความเป็นผู้มีปกติ เพราะมีกิเลสมาก มีโลภะมาก ก็เป็นของธรรมดา ที่เวลานี้โลภะก็เกิด ใครจะรู้ความละเอียดว่า แค่จักขุวิญญาณดับ ๓ ขณะ จิตเกิดสืบต่อ อกุศลเกิดแล้ว เพราะฉะนั้นเป็นอกุศลที่ใครก็ไม่รู้ เป็นอาสวะ เพราะเหตุว่าระดับขั้นของอกุศลก็ต่างกันไป ถ้าเป็นอนุสัยละเอียดมาก นอนเนื่องอยู่ในจิต เพราะว่าเกิดแล้วสะสม ต้องใช้คำว่าเกิดแล้ว เพราะถ้ายังไม่เกิดจะเอาอะไรมาสะสม เพราะฉะนั้นแม้อกุศลที่เกิดแล้ว เกิดแล้วก็สะสม ถึงแม้ว่าอกุศลจิตนั้นดับแล้ว แต่ก็สะสมความที่เคยเกิดแล้ว สืบต่อในจิตขณะต่อไป เพราะฉะนั้นในขณะที่นอนหลับสนิทเหมือนกับ พระอรหันต์ โจรผู้ร้าย คนธรรมดา เศรษฐี ยาจก ไม่มีอะไรปรากฏ เป็นภวังคจิต แต่ไม่ใช่ตาย แต่ไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่ลิ้มรส ไม่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ไม่คิดนึกใดๆ เลย แล้วโลกจะปรากฏได้อย่างไร แม้แต่ความเป็นเรา เป็นตัวเราอยู่ที่ไหน ก็ไม่มีที่จะให้รู้ได้ เพราะจิตขณะนั้นไม่ได้รู้สิ่งที่ปรากฏให้เห็นทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ขณะนั้นก็มีกิเลสที่ยังไม่ได้ดับต่างกันแล้ว พระสัมมาสัมพุทธเจ้าหลับ พระอรหันต์หลับ พระโสดาบันหลับ พระสกทาคามีหลับ ปุถุชนหลับ ผู้ไม่มีกิเลสคือพระอรหันต์ ผู้ที่มีกิเลสหนาแน่นมาก ไม่เคยฟังพระธรรมเลย เป็นอันธพาลปุถุชน มืดสนิทเลย ไม่รู้เลยเกิดมาแล้วก็ตายไป แล้วระหว่างที่ยังไม่ตาย มีเห็น มีได้ยิน เป็นอะไรก็ไม่รู้ แล้วก็ยังมีความเข้าใจว่าเป็นเรา ชาติก่อนเป็นใคร คุณหมอจำได้ไหม

    ผู้ฟัง จำไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ชาติหน้าจะเป็นใคร

    ผู้ฟัง ก็ไม่ทราบ

    ท่านอาจารย์ รู้แต่เพียงเดี๋ยวนี้ ซึ่งพอจุติจิตเกิด ลืมสนิทหมดเลย เป็นคนใหม่ และจะไปเป็นคนเก่าได้อย่างไรอีก ไม่มีทางเลย เพราะฉะนั้นธรรมมีแต่ไป เกิดขึ้นและเป็นไป แล้วไม่กลับมาอีกเลย ถ้าฟังอย่างนี้ก็จะเห็นความต่างของอวิชชาความไม่รู้เกิดมาทั้งชาติไม่รู้ กับวิชชาคือปัญญา มีโอกาสที่จะได้ฟังคำจริง เข้าใจเมื่อไหร่ ไม่ใช่เรา ต้องรู้เลยทั้งหมด เพื่อไม่ใช่เรา ถ้ายังเป็นเราอยู่ ก็เป็นกิเลส ซึ่งไม่สามารถที่จะทำให้ดับกิเลสใดๆ ได้เลยทั้งสิ้น ด้วยเหตุนี้การฟังธรรมจึงเป็นผู้ตรง รู้จักบารมีที่เป็นสัจจบารมี ตรงต่อความจริงซึ่งได้ฟังแล้วว่าไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นจะไปหาวิธี ก็คือว่าผิด นี่คือความละเอียดอย่างยิ่งว่า ถ้าผู้ใดเข้าใจถูกต้องว่า ธรรมทั้งหมดเพื่อละความไม่รู้ ไม่ใช่ไปบังคับ ไม่ให้โลภะเกิด โทสะเกิด เหตุที่จะให้เกิดมี แล้วจะไม่ให้เกิดได้อย่างไร เชื้อโรคเต็มตัวหมด แล้วไม่ให้เกิดโรคสักอย่างเป็นไปได้หรือ ไม่โรคนั้นก็ต้องโรคนี้ ใช่ไหม แต่เป็นโรคของจิตใจ โรคโลภะ หรือว่าโรคโทสะ หรือว่าโรคโมหะ หรือว่าโรคมานะ หรือว่าสารพัดโรค ที่เป็นฝ่ายอกุศล แต่ไม่รู้ว่าเป็นโรค เพราะอยู่ในความมืดสนิท

    เพราะฉะนั้นการฟังธรรมจึงต้องละเอียดอย่างยิ่ง เพื่อเข้าใจ เพื่อละความไม่รู้ เพราะฉะนั้นไม่ต้องไปไกลถึงอะไรเลย เพียงแต่ว่าแต่ละ ๑ คำ เข้าใจจริงๆ อย่างมั่นคง ถ้าเข้าใจในความเป็นอนัตตา ไม่มีทางจะไปทำอะไรที่ไหนได้เลย เพราะฉะนั้นถ้าใครไปสู่สำนักปฏิบัติ เดี๋ยวนี้ไม่รู้ แล้วจะรู้อะไร ฟังแล้ว ถ้าเข้าใจจริงๆ จะไปไหน เดี๋ยวนี้เกิดแล้วเป็นอย่างนี้ แต่ไม่รู้ เมื่อไหร่ก็ตามแต่เกิดแล้วทั้งนั้น ใครทำอะไรได้ แม้แต่คิด แต่ละคนต่างคนต่างคิด คิดก็เกิดแล้ว แล้วจะไปทำให้คิดอย่างนั้นคิดอย่างนี้ได้หรือ เกิดแล้วทั้งนั้นตามเหตุตามปัจจัย เพราะฉะนั้นปัญญาก็ต้องมั่นคงเป็นสัจจญาณ เพราะฉะนั้นทรงแสดงกำกับปริยัติ ปฏิปัตติ ปฏิเวธ สัจจญาณ กิจจญาณ กตญาณ จะได้ไม่หลงว่าเราศึกษาปริยัติ แต่เข้าใจหรือ มั่นคงหรือ รู้ในความเป็นอนัตตาหรือ หรือว่ายังหลงกลของโลภะที่ต้องการอยากได้ แต่ไม่ใช่เข้าใจ ตรงกันข้ามเลย อยากได้แต่ไม่รู้ว่าเดี๋ยวนี้ไม่เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ หนทางเดียวที่จะค่อยๆ เข้าใจขึ้นด้วยความเป็นอนัตตา คือฟังแล้วก็เข้าใจในสิ่งที่ฟัง ไม่ใช่คิดเอง

    ผู้ฟัง มีคนหนึ่งเขาถามว่า เรื่องทางสายกลาง เท่าที่ผมจำได้ แล้วผมก็นั่งฟัง นึกว่าตัวเองเข้าใจ พอมาวันนี้ก็ลืมอีกแล้ว ก็อยากจะเรียนถามท่านอาจารย์ว่า ความเข้าใจที่เกิดแล้ว น่าจะอยู่กับเราตลอดไปหรือเปล่า หรือว่าเราจะต้องเข้าใจในสิ่งเดิมอยู่เรื่อยๆ

    ท่านอาจารย์ นี่ก็เป็นปัญหา ซึ่งเป็นธรรมดาที่เราเริ่มใหม่ที่ว่า ต้องเข้าใจทีละคำ พอพูดคำว่า ทางสายกลาง อยากจะรู้ทางสายกลางเลย แต่ทางคืออะไร สายกลางคืออะไร ถ้าเข้าใจจริงๆ จะไม่ลืมเลย เพราะฉะนั้นที่เคยเข้าใจบ้างแล้วยังไม่พอ เป็นเหตุให้ลืม แต่ถ้าเราเข้าใจจริงๆ ในแต่ละคำ ทีละคำไม่ลืม และแต่ละคำสอดคล้องกันหมด ถ้าเราเข้าใจคำที่หนึ่ง ทั้งหมดจริงๆ รอบรู้ในคำนั้น ไปเจอคำอื่น เป็นการที่เพิ่มเติมคำนั้นนั่นเองให้เราเข้าใจขึ้น สอดคล้องกันทั้งหมด เช่น ธรรมคือสิ่งที่มีจริง ถ้าเข้าใจอย่างนี้ เราก็รู้สิ่งที่มีจริงต้องมีลักษณะที่ปรากฏให้รู้ว่ามีจริงๆ เราพูดเรื่องเห็น ต้องเห็นมีจริงๆ พูดเรื่องคิด คิดต้องมีจริงๆ และเห็นก็ไม่ใช่คิด ค่อยๆ ไปทีละคำ เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีจริงเป็นธรรมที่ใครเปลี่ยนแปลงไม่ได้ เป็นปรมัตถธรรม ตอนนี้เราไม่สงสัยเลย ได้ยินคำว่า ปรมัตถธรรม ที่ไหน ไม่ใช่อื่นจากธรรม ต้องเป็นธรรมนั่นเอง แต่ขยายความให้รู้ว่า ไม่มีใครสามารถที่จะบังคับบัญชาได้เลยทั้งสิ้น เกิดแล้ว จะทำอย่างไร ให้เป็นอื่นได้หรือ เดี๋ยวนี้เห็นเกิดแล้ว เป็นเห็น ไม่ใช่ก่อนเห็นเราไปทำให้เห็น ไม่มีการทำได้เลย ก็เริ่มเข้าใจว่า ไม่ว่าจะใช้คำว่า ปรมัตถธรรม ก็เป็นธรรม และความลึกซึ้งอย่างยิ่งของธรรมจึงใช้คำว่า อภิธรรม เพราะฉะนั้นถ้าได้ยินคนเขาคุยกัน เขาจะศึกษาธรรม แต่เขาไม่ศึกษาอภิธรรม ถูกหรือผิด ผิดตั้งแต่ต้น คือไม่รู้ว่าธรรมคืออะไร และไม่รู้ว่าธรรมลึกซึ้ง แล้วก็จะไปศึกษาอะไร ศึกษาชื่อ กับตัวเลข กับคำ แต่ไม่เข้าใจอะไรเลย แต่ถ้าศึกษาจริงๆ คือไม่เปลี่ยนแปลงเลย มีจริงแน่นอน และพระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้สิ่งที่มีจริง สิ่งที่ไม่มีจะรู้ได้อย่างไร สิ่งที่ยังไม่เกิดก็รู้ไม่ได้ สิ่งที่หมดไปแล้วก็รู้ไม่ได้ ต้องเดี๋ยวนี้ใช่ไหม

    เพราะฉะนั้นแต่ละคำแต่ละคำ กว่าจะไปสู่คำว่าทางสายกลาง ต้องเข้าใจตั้งแต่ต้นเลยว่า ทางสายกลาง ทางไปไหน เห็นไหม แม้แต่คำว่าทาง ทางไปตั้งเยอะแยะที่เขาแสดงกัน ใช่ไหม แต่ทางนี้ไปไหนจึงเป็นสายกลาง เพราะฉะนั้นสายกลางหมายความว่าอย่างไร ทุกคำต้องละเอียดและต้องชัดเจน ถ้ารู้ว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เรา ทางไปสู่ความเห็นถูกว่า ธรรมไม่ใช่เรา ไม่ใช่ว่าพอฟังแล้วก็จะเป็นเราอยู่นั่นแหละ หาหนทางอยู่นั่นแหละ จะเป็นทางสายกลางได้อย่างไร ในเมื่อเป็นเรา นี่เป็นทางไปสู่ความเห็นถูกต้อง ตั้งแต่คำแรกว่าเป็นธรรม เพราะฉะนั้นแม้แต่คำแรกว่าเป็นธรรม ยังไม่ถึงตัวธรรมเพียงแต่ได้ฟังปริยัติ ฟังพระพุทธพจน์ คนอื่นไม่ได้กล่าวอย่างนี้ แต่ทรงแสดงว่าทุกอย่างเป็นธรรมแล้วเป็นอนัตตา รถเสียหรือว่าแอร์เสีย เครื่องปรับอากาศไม่เย็น หรืออะไรต่างๆ ทุกขณะแสดงความเป็นอนัตตา แต่เป็นเราทนได้ เห็นไหม ก็มีความเป็นเรา แต่ว่าจริงๆ แล้ว เห็นก็เป็นอนัตตา จะเห็นดีเห็นไม่ดี ร้อนหรือเย็น ไม่ใช่รสไม่ใช่อะไรเลยทั้งสิ้น เป็นเย็นหรือร้อน ซึ่งเกิดขึ้นกระทบกาย ถ้าที่กายไม่มีกายปสาท คือรูปพิเศษ ไม่ใช่อ่อนหรือแข็ง แต่มีรูปพิเศษที่อยู่ที่อ่อนหรือแข็งนั่นแหละ แต่ไม่ใช่ตัวอ่อนตัวแข็ง รูปนั้นสามารถกระทบกับสิ่งที่กระทบได้จึงเป็นปสาทรูป ที่เราใช้คำว่าปสาทรูป จักขุปสาทรูปอยู่ที่ไหน กลางตา สามารถกระทบกับสิ่งที่กำลังปรากฏ เป็นปัจจัยให้จิตเห็นเกิดขึ้น ก็คือเดี๋ยวนี้ทั้งหมด ค่อยๆ เข้าใจตัวธรรมว่า ธรรมเป็นอย่างนี้ พอถึงได้ยิน โสตปสาทรูป รูปพิเศษมองไม่เห็น แต่เป็นรูปที่ไม่ใช่อ่อน ไม่แข็ง เกิดกับอ่อนแข็ง แล้วก็สามารถกระทบได้เฉพาะเสียง กระทบอื่นไม่ได้เลย ก็เริ่มไม่ใช่เพียงจำเฉยๆ แต่เข้าใจในความเป็นธรรม

    เพราะฉะนั้นทั้งหมดที่ศึกษาคำเดียวคือ ธรรม เพื่อที่จะเข้าใจขึ้นเข้าใจขึ้น จนเป็นธรรม นี่คือทางสายกลาง ทางที่จะนำไปสู่ความเข้าใจถูกในทุกคำที่ได้ยิน แต่ว่า สายกลาง ต้องมาทีหลังก่อนใช่ไหม แต่รู้ว่าทางไปไหน เพราะว่าพูดถึงทาง ทางไปไหน ทางไปอบายภูมิก็มี ทางไปสวรรค์ก็มี ทางไปพรหมโลกก็มี จากมนุษย์ไปสู่ความเป็นเทวดา ถ้าเป็นอกุศลไม่ไปแน่ ไม่ใช่ทางไปสู่ความเป็นเทพ ใช่ไหม ทางไปสู่ความเป็นพรหมในพรหมโลก ไม่ใช่เป็นขั้นเทวดา แต่เป็นเทพขั้นพรหม หมายความว่าเหนือมนุษย์ขึ้นไป ก็เป็นเทพ ทางนั้นต้องเฉพาะเป็นทางที่ละความติดข้องในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส มีความสงบมั่นคง จนกระทั่งสามารถที่จะถึงความสงบขั้นอัปปนาแล้วไม่เสื่อม อันนั้นก็เป็นทางไปสู่ความเป็นพรหมในพรหมโลก แต่ทางสายกลางไม่ใช่ไปสู่ทางเหล่านี้ แต่ไปสู่ความเห็นถูกความเข้าใจถูกว่า เดี๋ยวนี้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส ให้เข้าใจถูกต้องว่า เป็นแต่ละหนึ่งซึ่งมีจริง ซึ่งเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย เป็นอนัตตาใครก็ไม่สามารถที่จะดลบันดาล หรือทำให้เปลี่ยนจากสิ่งนั้นเป็นสิ่งอื่นได้ สิ่งนั้นเกิดขึ้น และดับไปเป็นธรรมดา ทางไปสู่ความเห็นถูกความเข้าใจถูก เมื่อฟังแล้วเข้าใจ ฟังแล้วละความต้องการที่เป็นเราจะทำ หรือเราจะรู้ เพราะเหตุว่าไม่มีเรา แต่ต้องเป็นหน้าที่ของความเห็นถูกความเข้าใจถูก ซึ่งเริ่มจากปริยัติ การฟังและรอบรู้ เข้าใจถูกในแต่ละคำมั่นคง ตรงนี้ไม่ลืม เห็นไหม แต่ถ้าเป็นคำที่ยังไม่เข้าใจมั่นคง เราก็ลืม แต่คำไหนที่เข้าใจแล้ว มั่นคงแล้ว คำนั้นไม่ลืม และอีกอย่างหนึ่งก็คือว่า อกุศลมีมาก อวิชชาความไม่รู้แสนโกฏิกัป เกิดมาตราบใดที่ยังไม่ได้ยินธรรม ไม่รู้ แต่พอเริ่มได้ยินก็เทียบได้เลย กับที่ฟัง กี่ขณะ กี่ครั้ง กี่วัน กี่เดือน กี่ปี มากน้อยกับการที่ทั้งวันไม่ได้ฟังธรรม หรือว่าฟังน้อยแต่ว่าอกุศลก็เกิดมาก

    เพราะฉะนั้นเมื่อมีเหตุที่จะให้อะไรเกิด สิ่งนั้นก็ต้องเกิด มีเหตุให้อวิชชาเกิดพร้อมกับความติดข้อง ก็ทันทีที่เห็นก็ติดข้อง โดยที่ไม่รู้ความเร็วที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระมหากรุณา อนุเคราะห์ให้เห็นความรวดเร็วของอกุศลที่สะสมมาว่า จักขุวิญญาณ จิตเห็นเกิดแล้วดับ จิตต่อไปไม่เห็นแต่รู้อารมณ์เดียวกัน รับรู้อารมณ์ ๓ ขณะ และต่อจากนั้นอกุศลเกิดแล้ว เดี๋ยวนี้คือเป็นอย่างนั้นแต่ไม่รู้ ด้วยเหตุนี้จึงมีอีกคำหนึ่งของพระอรหันต์ ขีณาสวะ เพราะว่า อาสวะ ไม่มีใครรู้เลย เดี๋ยวนี้ก็ไม่รู้ ฟังแล้วก็ไม่รู้ใช่ไหม แต่จะรู้เฉพาะกิเลสซึ่งรู้ได้ ชอบดอกไม้ไหม ชอบก็ไม่รู้ว่าเป็นอกุศล แล้วก็ชอบมีตั้งหลายระดับ ชอบดอกไม้ในขณะที่เห็น พอไม่เห็นก็ลืมเลย แต่บางอย่างไม่ลืม ของที่ถูกใจมากๆ คิดหลายวันกลับไปซื้อ แปลว่าไม่ลืม ระดับขั้นของสภาพธรรมแต่ละอย่าง ต่างกันมากฉันใด ปัญญาก็ต้องต่างกันมากฉันนั้น ละเอียดตั้งแต่ขั้นปริยัติ ฟังเข้าใจจริงๆ ไม่ใช่ไปเรียนตัวเลข ตัวหนังสือ จิตนี้ประกอบด้วยเจตสิกเท่าไหร่ แล้วเดี๋ยวนี้จิตยังไม่รู้เลย แล้วจะไปรู้ว่าจิตนั้นประกอบด้วยเจตสิกเท่าไหร่ และก็ไปนั่งสนใจแต่สิ่งต่างๆ เหล่านั้น แล้วรู้หรือเปล่าว่าใครจะเข้าใจพระไตรปิฎกได้ทั้งหมด แล้วเราเป็นใคร และเราจะไปเสียเวลาคิดอะไร ใช่ไหม ในเมื่อสิ่งที่เป็นสาระที่จะให้รู้ว่าเดี๋ยวนี้เป็นอนัตตาทั้งหมดเลย เห็นเกิดแล้วเป็นอนัตตา ได้ยินเกิดแล้วเป็นอนัตตา คิดแต่ละคน แต่ละคำก็เป็นอนัตตา

    เพราะฉะนั้นทางสายกลาง ใครจะตอบได้ เขาก็ตอบว่ามรรคมีองค์ ๘ แล้วก็ตอบได้ว่า ๘ องค์นั้นอะไรบ้าง แต่เขาเข้าใจไหมว่า เป็นอนัตตาจริงๆ บังคับบัญชาไม่ได้ เพราะเริ่มตั้งแต่มรรคองค์ที่หนึ่ง สัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบความเห็นถูก ก็คือเข้าใจถูกตามความเป็นจริงของสิ่งที่ปรากฏ และในพระไตรปิฎกนี้ พระผู้มีพระภาคจะตรัสสิ่งที่มีจริงในชีวิต เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส คิดนึก วนเวียนอย่างนี้ เราจะไม่คิดเรื่องอื่นเลย นอกจากเรื่องที่เห็นแล้วก็คิด ได้ยินแล้วก็คิดเรื่องที่ได้ยิน ได้กลิ่นลิ้มรสก็แล้วแต่ว่าจะคิดมากคิดน้อย ทุกวันก็อยู่แค่นี้เอง แต่รู้ความจริงหรือเปล่าว่า เห็นอะไร และเห็นเป็นอะไรที่ไม่ใช่เรา และสิ่งที่ปรากฏซึ่งไม่ใช่ดอกไม้ไม่ใช่อะไรเลย แต่เป็นธาตุที่เห็นได้จริงๆ กำลังถูกเห็น กว่าปัญญาจะเข้าใจ แล้วก็รู้ว่า แม้ความเข้าใจก็ไม่ใช่เรา เกิดแล้วดับแล้ว ทุกอย่างเป็นอนัตตา แต่ไม่รู้ เพราะฉะนั้นฟังเพื่อรู้ว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ไม่ใช่เฉพาะเกิด แล้วแก่ แล้วเจ็บ แล้วตาย เป็นอนัตตา แค่นั้นใครก็รู้ใช่ไหม ทุกอย่างไม่เป็นอย่างที่เราต้องการเลย อยากได้อย่างนี้ก็ไม่ได้ ได้มาแล้วก็เสียไป บังคับบัญชาไม่ได้ ร่างกายก็ไม่ใช่ของเราจริงๆ ก็เข้าใจกันได้ แต่ความละเอียดซึ่งเป็นธรรม ไม่ใช่เรา พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และทรงแสดง

    เพราะฉะนั้นจึงเข้าใจว่าธรรมคืออะไร ก็คือสิ่งที่มีที่คนอื่นไม่รู้ แล้วก็เข้าใจผิดยึดถือว่าเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ เพราะฉะนั้นอย่างวันก่อนที่คุณหมอพัชร พูดถึงเรื่องที่โรงเรียนใช่ไหม ก็ได้ยินคำว่า อริยสัจ ๔ แต่อริยสัจ ๔ คืออะไร เรียกชื่อได้หมดเลย แต่รู้อะไรหรือเปล่า ไม่รู้เลย เพราะฉะนั้นประเพณี ซึ่งไม่ใช่เป็นประเพณีในครั้งพุทธกาลก็คือว่า ประเพณีไม่ศึกษาธรรมให้เข้าใจจริงๆ ได้แต่เรียกชื่อ แล้วก็จำชื่อ แต่ว่าไม่เข้าใจธรรม เพราะฉะนั้นแม้แต่แต่ละคำ ถ้าเราเข้าใจจริงๆ ไม่คลาดเคลื่อน ทางไปไหน ทางที่จะเข้าใจความจริงของสิ่งที่กำลังมีขณะนี้ด้วยสัมมาทิฏฐิ เห็นถูกต้องตามความเป็นจริงว่าเป็นแต่ละหนึ่ง ซึ่งเกิดและดับ ซึ่งจะนำไปสู่ทุกขอริยสัจจะ เพราะอะไรก็ตามที่เกิดแล้วไม่ดับไม่มี ก็รู้สิ่งที่ปรากฏว่าสิ่งนี้เกิดแล้วก็ดับ แต่ปัญญาสามารถจะรู้ได้ แต่ต้องจากปริยัติ และก็ละความหวังความต้องการไปสู่การที่เมื่อมีปัจจัย ปฏิปัตติจึงเกิดได้ แต่ถ้าไม่มีปัจจัย สภาพธรรมเป็นอย่างนี้ก็ไม่รู้ ไม่ถึงกาลที่จะถึงเฉพาะ ปฏิ แปลว่าเฉพาะ ปัตติ แปลว่าถึง ถึงเฉพาะลักษณะหนึ่ง คิดดู ขณะนี้ตั้งหลายอย่าง แต่ดอกไม้มีอะไรบ้าง ทางตาเห็น เป็นเพียงสิ่งที่ไม่ใช่ดอกไม้ แต่มีธาตุที่กระทบตาปรากฏให้เห็นว่ามี ไม่ใช่อะไรเลยทั้งสิ้น พอกระทบสัมผัสแข็ง ไม่ใช่ดอกไม้ เป็นอ่อนหรือแข็ง เวลากลิ่นปรากฏก็ไม่ใช่ดอกไม้ ใช่ไหม แล้วแต่กลิ่นนั้นเป็นกลิ่นอะไร ซึ่งเกิดดับ เพราะฉะนั้นความจริงก็คือว่า สิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่ปรากฏ สิ่งนั้นเกิดแล้วดับ เป็นอนัตตา

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 177
    2 มิ.ย. 2568