ปกิณณกธรรม ตอนที่ 792


    ตอนที่ ๗๙๒

    สนทนาธรรม ที่ โรงแรมแคนทารีฮิลล์ จ.เชียงใหม่

    วันที่ ๒๒ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๘


    ท่านอาจารย์ คนอื่นไม่สามารถที่จะเอาคำใดๆ มาพูดความจริงของสิ่งที่กำลังมีขณะนี้ได้ นอกจากผู้นั้นได้ฟังคำจริงแล้วพิจารณา แล้วก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้นสำหรับทุกคน เช่น ขณะนี้ได้ยิน จากไม่มีได้ยิน แล้วก็เกิดได้ยิน ทุกวันไม่มีใครคิด ทำไมเป็นอย่างนี้ไม่เคยคิด ไม่เคยคิดถึงความจริงของสิ่งที่มีจริงเลย พอได้ยินแล้วก็เป็นเรื่องของสิ่งที่ได้ยินทั้งหมดเลยใช่ไหม พอเห็น ก็เป็นเรื่องของสิ่งที่ถูกเห็น ตลอดชีวิตกี่ชาติก็เป็นอย่างนี้ จนกว่าจะมีคำใหม่ซึ่งไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าสิ่งที่มีจริงๆ เกิดจึงมี แล้วก็จะเกิดได้ก็ต้องเพราะว่ามีสิ่งที่ทำให้เกิดขึ้นอาศัยกันและกันเกิดขึ้น ค่อยๆ พิจารณาว่าจริงไหม ไม่ใช่ว่าไปน้อมใจเชื่อทันที หรือว่าเชื่อทีแรกแล้วเปลี่ยนมาเป็นค่อยๆ น้อมไปที่จะเชื่อ แต่ฟังสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง เพราะว่าพูดถึงสิ่งที่มีจริงแน่ๆ เดี๋ยวนี้กำลังมีด้วย แล้วก็ฟังคำต่อไปที่ว่าสิ่งที่มีจริงเกิด ไม่มีใครไปทำให้เกิด แต่มีปัจจัยอาศัยที่จะให้เกิดขึ้นเป็นอย่างนั้น เช่น ได้ยินก็ต้องเป็นได้ยิน เห็นก็ต้องเป็นเห็น คิดก็ต้องเป็นคิด ค่อยๆ เข้าใจไป แล้วก็จะรู้ว่าคำนี้มาจากใคร

    ผู้ฟัง ซึ่งไม่ได้หมายความว่าเราจะเชื่อไปโดยไม่มีเหตุผล หรือว่าน้อมไป

    ท่านอาจารย์ อันนี้ยังไม่ถึงการเชื่อ เพียงแต่ฟังแล้วพิจารณาว่าจริงหรือเปล่า

    ผู้ฟัง หลังจากเราพิจารณาแล้ว บางสิ่งบางอย่างเราก็ตัดสินไม่ได้ว่า' ...

    ท่านอาจารย์ แต่เราจะตัดสินทั้งหมด แต่ว่าเรายังไม่ได้ฟังทั้งหมดใช่ไหม แค่แต่ละคำแต่ละคำจริงหรือเปล่า เช่น เห็นขณะนี้เกิดเป็นเห็นจริงๆ กำลังเห็นจริงไหม

    ผู้ฟัง ถ้าสิ่งง่ายๆ เรารู้ว่าจริง

    ท่านอาจารย์ ความจริงไม่ง่าย แต่ค่อยๆ ฟัง อย่างเห็นขณะนี้ เกิดแล้ว กำลังเห็นจริงไหม

    ผู้ฟัง ตรงเห็นนี่จริง แต่ที่ท่านอาจารย์บอกว่า เวลาเข้าใจมีสติ ผมไม่ทราบว่าจริงหรือไม่จริง

    ท่านอาจารย์ ยังไม่พูดถึง เพราะว่าสติเกิดไม่ได้ถ้าไม่มีความเข้าใจ

    ผู้ฟัง ในขณะที่เราฟังแล้วเราเข้าใจ ในขณะนั้นสติมีขั้นฟัง

    ท่านอาจารย์ เพราะไม่ใช่เรา และเราไม่เคยรู้เลย ในขณะที่เข้าใจจะใช้คำว่าปัญญา แต่ปัญญาเกิดตามลำพังไม่ได้ ต้องมีสิ่งที่ทำให้ปัญญาเกิด เพราะฉะนั้นเราก็ได้ฟังเพิ่มเติมขึ้นทีละเล็กทีละน้อยว่า ขณะใดก็ตามสภาพธรรมที่ดีเกิดขึ้น ไม่ใช่เราเลย แต่เป็นสภาพที่เป็นนามธรรม ซึ่งไม่ใช่จิต แต่นามธรรมเหล่านั้นเกิดกับจิต และนามธรรมฝ่ายดีซึ่งเป็นเจตสิกซึ่งเกิดกับจิตมีกี่ประเภท แล้วก็ขณะใดก็ตามที่ธรรมฝ่ายดีเกิดขึ้น ต้องมีเจตสิกที่เป็นธรรมฝ่ายดีถึง ๑๙ ประเภทเกิดในขณะนั้น แล้วก็มีสติเจตสิกด้วย แต่เราก็ยังไม่ได้กล่าวถึงว่า สติมีลักษณะอย่างไร เพียงแต่กล่าวว่ามีสภาพธรรมฝ่ายดีต้องเกิดขึ้น มิฉะนั้นจิตจะเป็นจิตที่ดีไม่ได้ เพราะว่าจิตเองไม่ใช่ดีชั่ว เป็นปัณฑระหมายความว่าจิตทุกขณะผ่องแผ้ว เพราะเหตุว่าจิตไม่ใช่เจตสิก แต่จิตที่ผ่องแผ้วเวลาที่มีเจตสิกที่ไม่ดีเกิดร่วมด้วยก็เป็นอกุศล ถูกป้ายทาเป็นมลทินแล้วด้วยอกุศลเจตสิก ถ้าเป็นธรรมฝ่ายดีจิตเองก็ผ่องแผ้ว แต่ว่าเจตสิกฝ่ายดีเกิดร่วมด้วย ทำให้จิตนั่นแหละเป็นสภาพของจิตที่เป็นฝ่ายดี นี่คือเรากำลังพูดถึงสิ่งที่มีจริง ไม่ใช่ให้เชื่อเลย แต่ให้เข้าใจว่าจริงหรือเปล่าก่อน ความเป็นผู้ตรงก็คือยอมรับว่า เรากำลังพูดถึงสิ่งที่มี ซึ่งเราไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อนเลย คำของพระพุทธเจ้าทุกคำเป็นคำใหม่ เพราะว่าคนก่อนนั้นไม่ได้ตรัสรู้ เขาจะเอาคำอะไรมาบอกว่า ความจริงเป็นอย่างนี้ แต่เวลาที่ได้ฟังคำที่ใหม่มากเลย ไม่เคยได้ยินจากใคร แต่จริงหรือเปล่า ถ้าจริง ต้องผู้รู้ใช่ไหม ต้องเป็นผู้ที่ประจักษ์แจ้งความจริงอย่างนั้นใช่ไหม จึงสามารถที่จะกล่าวความจริงของสิ่งที่มีจริงในขณะนี้ ไม่ใช่ให้เชื่อ แต่ให้ค่อยๆ พิจารณาสิ่งที่มีจริงจนกว่าจะมีความเข้าใจเพิ่มขึ้นเพิ่มขึ้น

    ผู้ฟัง ผมฟังคำบรรยายของท่านอาจารย์ ฟังมาตลอด บอกว่าสติระลึกรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงในขณะที่ปรากฏ

    ท่านอาจารย์ ถ้าเป็นดิฉัน ดิฉันก็จะถามว่าสติเป็นอย่างไร เหมือนคนที่ไม่เคยรู้อะไรเลย พอได้ยินคำไหนก็ต้องการที่จะเข้าใจจริงๆ ไม่ใช่ผ่านไปเหมือนผู้รู้แล้ว แต่พอได้ยินคำว่าสติ ดิฉันก็อยากจะทราบว่าสติคืออะไร และเป็นอย่างไรก่อน

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์ให้ผมตอบ ผมก็ตอบว่าสติคือ ๑ ในเจตสิก ๕๒ เป็นสภาพที่ระลึก ได้ถึงสภาพธรรมที่เกิดขึ้น

    ท่านอาจารย์ ยังไม่เข้าใจเพราะเหตุว่าเมื่อวานนี้ดิฉันทำอะไร ดิฉันคิดออกเป็นสติหรือเปล่า เพราะฉะนั้นเพียงฟังไม่พอ เพียงคำแปลไม่พอ ต้องรู้ว่าลักษณะของสิ่งที่มีจริงที่เรากล่าวถึงและใช้คำนี้ ลักษณะที่แท้จริงเป็นอย่างไร ไม่ใช่เพียงฟังคำนี้แล้วเราไปเข้าใจ ถ้าอย่างนั้นเราอ่านพระไตรปิฎก เราเข้าใจหมด แต่ความจริงแต่ละคำเป็นแต่ละภาษาที่กล่าวถึงสิ่งที่มีจริงจนกว่าจะเข้าใจ เพราะฉะนั้นคำว่าสติ ถ้าจะแปลว่าเป็นสภาพที่ระลึก เป็นสภาพที่รู้ เป็นสภาพที่ตามรู้ ไม่รู้เรื่องเลย ระลึกอะไร รู้อะไร ตามรู้อะไรเมื่อไหร่ ต้องเป็นผู้ที่ละเอียดที่ทุกคำเป็นคำที่ทำให้เกิดปัญญาทั้งหมด ไม่ใช่ให้คิดเอง

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์ช่วยอธิบายคำว่าสติให้ฟังด้วย

    ท่านอาจารย์ ก่อนอื่น อย่างคำถามเมื่อสักครู่นี้ เมื่อวานนี้คุณชัยยงค์ทำอะไร

    ผู้ฟัง เมื่อวานนี้ก็มาฟังธรรมที่นี่

    ท่านอาจารย์ ตอบอย่างนี้เป็นสติหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เป็นสัญญาที่จำ

    ท่านอาจารย์ เป็นสติหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่เป็นสติ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นรู้ความต่างกันใช่ไหม เมื่อสักครู่นี้ที่บอกว่าสติคืออะไร

    ผู้ฟัง ถ้าฟังที่จำมาก็คือเป็นสภาพที่ระลึก

    ท่านอาจารย์ เห็นไหม ถ้าฟังตามที่จำมาไม่ได้เข้าใจ เพราะฉะนั้นพระธรรมทั้งหมดไม่ใช่สำหรับจำ แต่ว่าสำหรับที่จะไตร่ตรองจนกระทั่งเข้าใจ นี่คือการเริ่มต้นที่ไม่เผิน เพราะจะมีความลึกซึ้งอีกมาก เพราะฉะนั้นการที่จะสนทนากันก็คือว่าพูดถึงคำไหนก็ขอให้เข้าใจคำนั้น เพราะฉะนั้นเวลานี้ที่คุณชัยยงค์บอกว่าเมื่อวานนี้ทำอะไร จำได้แน่นอน ไม่ใช่สติเพราะอะไร ถ้าเราไม่รู้แล้วเราจะพูดเรื่องสติไม่ได้เลย ต้องรู้ก่อนว่าคืออะไร แล้วเราถึงจะพูดถึงคำนั้นต่อไปอีกได้ เพื่อที่จะได้เข้าใจขึ้น

    อ.อรรณพ ผมคิดว่าคุณชัยยงค์คงทราบว่า นอกจากคำตอบว่าสติเป็นเจตสิก ๑ ใน ๕๒ ก็มีเพิ่มเติมว่า สติเป็นเจตสิกฝ่ายดี เพราะฉะนั้นสติจะเป็นอกุศลไม่ได้เลย เพียงแต่ว่าจะรู้หรือเปล่าว่า ขณะนี้เป็นกุศลหรืออกุศล อย่างที่ท่านอาจารย์ถามว่าขณะที่นึกว่าเมื่อวานนี้ไปอยู่ที่ไหนทำอะไร ขณะนั้นก็นึกได้ว่าเมื่อวานนี้ก็มานั่งอยู่ตรงนี้ ท่านอาจารย์ก็ถามว่าตอนนั้นที่นึกอย่างนั้นมีสติไหม ก็เท่ากับถามว่าตอนที่กำลังนึก นึกด้วยกุศลหรือนึกด้วยอกุศล เพราะว่าถ้าเป็นการนึกด้วยอกุศล ขณะนั้นไม่ใช่สติ แต่เป็นสภาพธรรมอื่น เป็นความจำความตรึก อย่างโจรมืออาชีพโจรกรรมไม่ลืมเลย เตรียมอุปกรณ์ทุกสิ่งทุกอย่างงัดแงะธนาคาร เสร็จแล้วก็ไม่ทิ้งร่องรอยอะไรไว้เลยอย่างนี้ รอบคอบที่สุด มีสติไหมอย่างนี้

    ผู้ฟัง ไม่มี เพราะเป็นอกุศลจิต

    อ.อรรณพ ไม่มี เพราะเป็นอกุศลจิต หลงลืมขณะทำอกุศลกรรมได้ จะเป็นสภาพที่ระลึกได้อย่างไร เพราะฉะนั้นสติจึงเป็นสภาพเจตสิกคือสิ่งที่เกิดกับจิต และเป็นสภาพที่ดีงาม ถ้าจิตนั้นมีสติเกิดขึ้น จิตขณะนั้นจะประกอบด้วยความระลึกได้ในทางที่ดี สติก็มีหลายระดับ สติที่ไม่ใช่สติปัฏฐานก็มี กับสติที่เป็นสติปัฏฐานต่างกันอย่างไร

    ท่านอาจารย์ เมื่อสักครู่นี้รู้จักคำว่าสติแล้วใช่ไหม แต่ตอนนี้ไม่ใช่สติธรรมดา สติปัฏฐาน เพราะฉะนั้นความหมายของปัฏฐานหรือปัฏฐานะ นี่คืออะไร นี่คือการศึกษาธรรมที่จะต้องเข้าใจจริงๆ ไม่เช่นนั้นก็ไม่สามารถที่จะเข้าใจความต่าง สติรู้จักแล้ว ปัฏฐานะคืออะไร

    ผู้ฟัง ถ้าความเข้าใจ ณ เวลานี้ก็คือฐานที่เป็นปัจจัยให้สติเกิด

    ท่านอาจารย์ เข้าใจแล้ว อะไรเป็นที่ตั้งที่จะให้สติเกิด

    ผู้ฟัง มีกายเวทนาจิตธรรม

    ท่านอาจารย์ เป็นชื่อหรือว่าเป็นลักษณะของสภาพธรรม

    ผู้ฟัง เป็นลักษณะของสภาพธรรม

    ท่านอาจารย์ ถ้าอย่างนั้นลักษณะของกายคืออะไร ถ้าไม่รู้ก็ไม่ใช่สติปัฎฐาน จะกล่าวว่าสติปัฏฐานไม่ได้ เพียงฟังเรื่องของธรรมแล้วเข้าใจ จึงไม่ใช่สติปัฏฐานแน่นอน เพราะเหตุว่าสติปัฏฐานต้องเป็นอีกระดับหนึ่ง ที่เกิดเพราะปัญญาที่ได้เข้าใจธรรมมั่นคง และก็โดยความเป็นอนัตตาด้วย เพราะฉะนั้นไม่มีใครไปทำให้สติปัฏฐานเกิด ไม่มีใครไปใช้สติ เพราะว่ายิ่งเข้าใจธรรมยิ่งเห็นความเป็นอนัตตาว่า ไม่มีใครสามารถที่จะทำอะไรให้เกิดขึ้นได้เลย เพราะเดี๋ยวนี้มีธรรมเกิดแล้ว ไม่มีใครทำ เห็นก็เกิดแล้ว ได้ยินก็เกิดแล้ว คิดก็เกิดแล้ว ทุกอย่างเกิดแล้ว ไม่มีใครไปทำเลย เพราะฉะนั้นใครจะไปทำสติ ใครจะไปทำสติปัฏฐานได้อย่างไร ในเมื่อธรรมทั้งหมดเป็นอนัตตา

    ผู้ฟัง ผมมั่นคงเรื่องทุกสิ่งทุกอย่างต้องเกิดจากเหตุปัจจัย

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นสติปัฏฐานก็ต้องเกิดจากเหตุปัจจัย

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ แต่ไม่รู้ว่าอะไรเป็นเหตุปัจจัยที่จะให้สติปัฏฐานเกิด

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นขั้นฟังรู้ว่าขณะนี้มีเห็น เห็นเกิดแล้วดับ ไม่มีใครไปทำ แล้วสามารถที่จะเข้าใจเห็น จนกระทั่งค่อยๆ ละคลายการที่ยึดถือว่าเราเห็นได้ไหม เพียงแค่ฟังอย่างนี้

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ขณะนี้กำลังได้ยิน เพียงแค่รู้ว่าได้ยินมีจริงๆ ได้ยินเกิดและดับ เข้าใจอย่างนี้จะละคลายการยึดถือสภาพธรรมที่ได้ยินว่าเป็นเราได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ไม่ได้ นี่คือแสดงความลึกซึ้งอย่างยิ่ง แม้ว่าจะได้ยินได้ฟังอีกนานเท่าไหร่มากเท่าไหร่ สติปัฏฐานยังไม่เกิด เพราะปัจจัยยังไม่พอที่จะให้เกิด ต่อเมื่อไหร่สติปัฏฐานเกิด เมื่อนั้นไม่สงสัยในลักษณะของสติปัฏฐานซึ่งไม่ใช่สติขั้นฟัง แต่ว่าถ้าตราบใดที่สติปัฏฐานยังไม่เกิด ก็เข้าใจว่านั่นเป็นสติปัฏฐาน ถ้ากล่าวอย่างนั้นก็คือว่าไม่รู้จักสติปัฏฐานแน่นอน เพราะไม่สามารถที่จะรู้ความต่างของสติขั้นฟังที่เกิดพร้อมกับปัญญาขั้นฟัง มิฉะนั้นแล้วจะไม่มีการตรัสรู้ของพระผู้มีพระภาคตามลำดับ ก่อนตรัสรู้ทรงเป็นปุถุชน ขณะที่เป็นพระโพธิสัตว์เสด็จไปประทับที่ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ขณะนั้นยังไม่ได้ตรัสรู้ยังเป็นปุถุชน เพราะฉะนั้นปัญญาขณะนั้นยังไม่ใช่ปัญญาที่ถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะยังไม่ได้ตรัสรู้ เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องอย่างละเอียดของธรรม ที่ต้องมีความเข้าใจจริงๆ ว่าสติปัฏฐานเกิดเองได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เราอยากให้เกิดได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เราไปทำให้เกิดได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ แล้วอะไรเป็นปัจจัยให้สติปัฏฐานเกิด

    ผู้ฟัง ก็การฟังธรรม

    ท่านอาจารย์ การเข้าใจที่เกิดจากการฟังในความเป็นอนัตตามั่นคง มั่นคงแล้วจะไม่ไปทำอะไรเลยทั้งสิ้น ถ้ามั่นคงว่าเป็นอนัตตาแล้วไปทำผิดไหม นั่นแสดงว่าไม่มั่นคง แต่เข้าใจผิดคิดว่ามั่นคง เพราะฉะนั้นความเข้าใจผิดจะมีมาก เพราะว่าประมาทในการฟังพระธรรม แล้วก็ไม่รู้เลยว่าการที่จะเป็นผู้ที่เข้าใจธรรม ไม่ใช่เพียงฟังเผินๆ แต่เพียงฟังอย่างนี้ก็รู้แล้ว ปัญญาขั้นฟังไม่สามารถที่จะละกิเลสได้เลย ฟังว่าเห็นขณะนี้เกิดดับก็ยังเป็นเรา เพราะไม่ได้ประจักษ์แจ้งสภาพธรรมที่เกิดขึ้นเห็นแล้วดับ แต่ว่าไม่ใช่อยากจะประจักษ์แจ้งก็ไปพยายามทำความเพียร เป็นไปไม่ได้เลย ถ้าไม่มีการละคลายการที่เคยยึดถือเห็น เพราะเข้าใจขึ้นเข้าใจขึ้นโดยความเป็นอนัตตาด้วย เพราะฉะนั้นจึงเข้าใจความหมายของบารมี ภาษาบาลีก็เป็นปารมี จากฝั่งของกิเลสความไม่รู้การยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเราไปสู่ฝั่งที่ดับกิเลส ต้องเป็นเรื่องที่รู้เลยว่า อกุศลทั้งหลายไม่สามารถที่จะรู้ความจริงของสภาพธรรมเลย แต่กุศลที่ไม่ประกอบด้วยปัญญาก็ไม่สามารถที่จะทำให้รู้แจ้งอริยสัจธรรมด้วย ไม่ว่าใครจะใช้คำว่าศีล สมาธิ หรือปัญญา ก็ต้องเข้าใจถูกต้องว่าระดับไหน ขั้นไหน เพราะว่าขณะที่กำลังฟังขณะนี้ เมื่อสักครู่นี้คุณชัยยงค์ก็บอกว่าเป็นกุศลใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ ก็จะได้ยินคำว่ากุศลศีลในพระไตรปิฎก เพราะว่าคำว่าศีล หรือสีล ความจริงก็หมายความถึงปกติของจิตและเจตสิก ใครไปเปลี่ยนแปลงไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นปกติของจิตเจตสิก วันนี้ตั้งแต่เช้ามาก่อนฟังธรรม เป็นอะไร เป็นกุศลหรือเป็นอกุศล ถ้าเราไม่กล่าวถึงจิตที่เป็นวิบากคือเป็นผลหรือว่ากิริยาจิต ถ้าจะกล่าวเฉพาะกุศลจิตและอกุศลจิตเพียงสองอย่าง ความเข้าใจของเราต้องค่อยๆ เพิ่มขึ้น ยังไม่ละเอียดถึงวิบากกับกิริยาก็จริง เอาแค่ ๒ อย่างที่คุ้นเคย คือกุศลจิต และอกุศลจิต ก็ต้องเป็นผู้ตรง ตั้งแต่เช้าตั้งแต่ลืมตาไปตามกิเลสทั้งหมดหรือเปล่า ไม่ว่าจะยกมือ ไม่ว่าจะกะพริบตา ไม่ว่าจะแต่งตัว ไม่ว่าจะอาบน้ำ ไม่ว่าจะรับประทานอาหาร เป็นไปตามกิเลสหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เป็น

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นกุศลเกิดหรือเปล่าขณะนั้น

    ผู้ฟัง ไม่เกิด

    ท่านอาจารย์ ไม่เกิด แต่เวลาที่ฟังธรรม เข้าใจเมื่อไหร่ ขณะนั้นเป็นเราหรือเปล่า หรือว่าเป็นธรรม สิ่งที่มีจริงๆ ไม่ใช่เรา แล้วก็ต่างกับอกุศลด้วย เพราะฉะนั้นกุศลจึงต่างกับอกุศล และกุศลก็มีหลายระดับ กุศลที่เป็นไปในทาน เป็นปกติ เป็นกุศลศีล เพราะฉะนั้นในพระไตรปิฎกจะมีข้อความว่าอกุศลศีล กุศลศีล และอัพยากตศีล เพราะฉะนั้นก่อนอื่นต้องเข้าใจแต่ละคำ กุศลเข้าใจแล้ว อกุศลก็เข้าใจแล้ว เพราะฉะนั้นอัพยากตะหมายความถึงสิ่งที่มีจริง ซึ่งเป็นธรรมที่ไม่ใช่กุศลและอกุศล ทั้งหมดเป็นอัพยากตะ ไม่พยากรณ์คือไม่ใช่กุศลและอกุศล พอที่จะค่อยๆ เข้าใจธรรมตามลำดับ เพราะฉะนั้นขณะที่เห็นแล้วก็เข้าใจว่า เห็นเกิดเพราะเหตุปัจจัยเป็นธรรมอย่างหนึ่ง ไม่ใช่สติปัฏฐาน แต่ปัญญาเกิดเข้าใจพร้อมสติที่ขณะนั้นไม่ได้ระลึกไปในเรื่องไปรับประทานอาหารอร่อยๆ ดีไหม เย็นนี้ที่ไหน นั่นคือขณะนั้นเป็นอกุศล แต่นี่กำลังฟังแล้วก็ขณะนั้นสติก็เกิด ขณะนั้นระลึกในขณะที่กำลังฟังไม่ไปไหนเลย แต่อยู่ที่คำที่ได้ฟัง

    เพราะฉะนั้นปัญญาก็สามารถที่จะเข้าใจถูกเห็นถูกในคำที่ได้ฟัง ขณะนั้นไม่ใช่เราแต่เป็นธรรม เพราะฉะนั้นทุกครั้งที่ฟังก็จะสอดคล้องกับคำว่าธรรมทั้งหลาย ธรรมทั้งหมดทุกอย่างเป็นธรรมมั่นคงขึ้น แล้วก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้นว่า สติขณะฟังไม่ใช่สติปัฏฐาน ไม่ใช่สติสัมปชัญญะ แต่เป็นสติที่เกิดพร้อมกับความเข้าใจขั้นฟัง เมื่อวานนี้ฟังอะไรแล้วกลับไปบ้านลืมหมดเลย พอออกพ้นประตูนี้ก็ลืมหมดเลย พอเห็นอะไรก็เป็นไปตามสิ่งที่ปรากฏข้างนอกหมดเลย หรือว่าบางขณะก็คิดถึงคำที่ได้ฟัง เห็นไหม บังคับให้คิดไม่ได้ แต่ถ้ามีปัจจัยแทนที่จะคิดเรื่องอื่น มีปัจจัยที่จะคิดถึงธรรมที่ได้ฟัง เพราะฉะนั้นเราคิดถึงอะไร เราเลือกไม่ได้เลย เราจะคิดถึงสิ่งที่คุ้นเคย แล้วแต่ว่าขณะนั้นจะคิดด้วยความติดข้อง หรือว่าคิดด้วยความขุ่นเคือง เคยโกรธใครนานๆ ไหม

    ผู้ฟัง เคย

    ท่านอาจารย์ แสดงให้เห็นว่า สิ่งที่ปรากฏให้เราไม่ชอบดับไปแล้ว แต่จากการที่เคยไม่ชอบสิ่งนั้นอย่างมาก ก็เป็นปัจจัยให้ไม่ลืม ๑๐ ปีมาแล้ว บางคนยังโกรธ ๒๐ ปีมาแล้วก็ยังโกรธ โกรธทำไม ไม่หายไปสักที มีประโยชน์อะไร คือเราไม่รู้เลยว่าไม่ใช่เราบังคับบัญชาไม่ได้ จะไม่ให้โกรธก็ไม่ได้ มีปัจจัยที่ความโกรธนั้นแรงมาก จนกระทั่งพอคิดก็โกรธ ๑๐ ปีมานี่มีอะไรเกิดขึ้นในประเทศไทย ในแต่ละครอบครัว ในระหว่างเพื่อนฝูง สุขทุกข์ใดๆ ลืมหมดหรือยัง หรือว่ายังจำได้ จำได้จำด้วยความขุ่นเคืองใจ หรือจำได้ด้วยการให้อภัย หรืออะไรทั้งหมด เป็นธรรมทุกขณะเลย แต่ไม่เคยทราบเลยว่าไม่ใช่เรา กว่าจะหมดความเป็นเราได้ หมดหมายความว่าไม่เกิดอีกเลย ก็คิดดู ปัญญาระดับไหนที่สามารถที่จะแทงตลอดสิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้โดยความเป็นอนัตตา ไม่ได้ต้องไปทำอะไรเลย เพราะสิ่งใดจะเกิดต้องมีปัจจัยที่จะทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น ไม่มีความรู้เลยสักนิด ไปนั่งทำอะไร จะให้รู้อะไรเป็นไปได้หรือ เพราะฉะนั้นผู้นั้นไม่เข้าใจความหมายของคำว่าธรรม เพราะถ้ารู้จักธรรมต้องเป็นอนัตตา จะเป็นอื่นไม่ได้เลยทั้งสิ้น

    เพราะฉะนั้นแม้แต่การกระทำหรือความคิดทั้งหมด ทั้งๆ ที่เป็นธรรม และเป็นอนัตตา ก็ไม่ได้รู้ตามความเป็นจริง จนกว่าจะมีปัจจัย เพราะฉะนั้นสติปัฏฐานอีกไกล อย่าเพิ่งคิดว่าใครบอกเราให้ทำสติ ให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แล้วจะเป็นได้ นั่นคือไม่ได้มีความเข้าใจอะไรเลย และก็ไม่รู้ความต่างด้วยว่าสติกับสติปัฏฐานต่างกันระดับไหน จากปริยัติกว่าจะถึงปฏิปัตติ กว่าจะถึงปฏิเวธ แทงตลอดความจริง ซึ่งจริงอย่างนี้ แต่ไม่ใช่เราที่สามารถจะไปประจักษ์ได้ ทั้งหมดตลอดทางต้องเป็นธรรม และต้องเป็นเรื่องละคลายความเป็นตัวตนความเป็นเรา จนกระทั่งสภาพธรรมสามารถจะปรากฏตามความเป็นจริง เฉพาะกับปัญญาที่ได้อบรมแล้วโดยความเป็นอนัตตา เพราะฉะนั้นก็ยังไกล เพราะฉะนั้นก่อนอื่นก็เข้าใจสิ่งที่กำลังมี แล้วไม่ต้องกังวลสติปัฏฐานจะเกิดเมื่อไหร่ เมื่อเหตุมีผลก็ต้องมี แต่ถ้าเหตุไม่มีเลยแล้วไปหวังไปทำเป็นไปได้ไหม

    ผู้ฟัง สติสัมปชัญญะกับสติปัฏฐาน สองคำนี้ต่างกันอย่างไร

    ท่านอาจารย์ ความจริงความหมายเป็นอันเดียวกัน แต่เพื่อเข้าใจชัด คำว่าปัฏฐานะแปลว่าที่ตั้งของสติ เมื่อสักครู่นี้เราใช้คำว่าสติเป็นสภาพที่ระลึกรู้ใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นขณะนี้มีเห็น ขณะที่มีเห็นมีอย่างอื่นไหม

    ผู้ฟัง ไม่มี

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นถ้าสติเกิดจะระลึกรู้อะไร

    ผู้ฟัง รู้สภาพที่เห็น

    ท่านอาจารย์ รู้สภาพที่เห็น ขณะนั้นต้องไม่มีอย่างอื่นใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ การที่จะให้สติระลึกรู้ที่เห็น เราไปทำขึ้น หรือว่าเพราะมีความเข้าใจพอที่ขณะนั้นมีการเริ่มเข้าใจเห็น เดี๋ยวนี้เองตามปกติอย่างนี้ ขณะนั้นไม่ใช่เรา แต่เป็นสติ จะไม่เรียกว่าสติก็ได้ แต่ว่าขณะนั้นการฟังจากความเข้าใจที่เข้าใจขึ้นเข้าใจขึ้น ก็จะเริ่มมีขณะที่กำลังเริ่มเข้าใจเห็น

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 177
    10 พ.ค. 2568