ปกิณณกธรรม ตอนที่ 798
ตอนที่ ๗๙๘
สนทนาธรรม ที่ บ้านคุณทักษพล และคุณจริยา เจียมวิจิตร จ.นครปฐม
วันที่ ๑๕ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๘
ผู้ฟัง ระหว่างที่เราเจ็บปวด ทางธรรมจะช่วยอะไรเราได้ไหม แล้วเราควรจะคิดอย่างไร ควรจะศึกษาธรรมต่อไปอย่างไร
ท่านอาจารย์ ก่อนอื่นต้องเข้าใจแต่ละคำด้วย ในทางธรรมจะช่วยเราได้ไหม ธรรมคืออะไรจะได้ไปช่วยใครได้ เห็นไหม คำพูดง่ายมาก แล้วก็คิดกันเร็วมากด้วย พอได้ยินคำว่าธรรม ก็คิดว่าธรรมต้องประเสริฐสุดช่วยได้ทุกอย่าง แต่ไม่ได้พิจารณาเลยว่าธรรมคืออะไร แล้วจะช่วยเราได้ไหม หรือว่าจะช่วยใครได้หรือเปล่า ทั้งหมดคือเรื่องคิดแต่ยังไม่ได้เข้าใจแต่ละคำ ซึ่งพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงลึกซึ้งอย่างยิ่ง เพราะพูดถึงสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ เพราะฉะนั้นกว่าเราจะเข้าใจได้ว่าธรรมจะช่วยเราได้หรือเปล่า แค่นี้ ประโยคนี้พูดตามๆ กันมา ประเพณีทั้งหลายคือประเพณีตามๆ กันไป ตามๆ กันมา แต่ว่าไม่ได้เข้าใจอะไรเลย เพราะฉะนั้นความคิดอย่างนี้จะมี แล้วธรรมจะช่วยเราได้อย่างไร หรือว่าแล้วธรรมจะช่วยเราได้หรือเปล่า โดยไม่รู้ว่าธรรมคืออะไร ถ้าไม่รู้ว่าธรรมคืออะไร และไปขอให้ใครช่วย ไม่มี ว่างเปล่าเป็นแต่ความคิดหาตัวธรรมก็ไม่เจอ แล้วก็ธรรมจะช่วยเราได้อย่างไร
เพราะฉะนั้นต้องรู้จักทีละคำ แล้วก็จะได้เข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริงว่า เราฟังพระธรรมเพราะเราไม่รู้ อยากจะไม่รู้ต่อไปหรือเปล่า หรือว่าคิดว่าถึงเวลาสักทีในสังสารวัฏที่นานมาแล้ว และก็ไม่รู้มาทุกชาติ ถึงเวลาหรือยังที่จะได้รู้สักทีว่าธรรมคืออะไร เพราะฉะนั้นแต่ละคำนี่ผ่านไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะไปบอกเพื่อน หรือว่าจะสำหรับตัวเอง หรือสำหรับใครก็ตาม ก็ให้เขาเข้าใจสิ่งที่เขาพูดก่อน ถ้าเขายังไม่เข้าใจสิ่งที่เขาพูด ก็วนไปวนมาอยู่ตรงนั้น โดยที่ไม่รู้ว่าธรรมคืออะไร อาจจะไปขอให้คนอื่นบอก เขาก็ไปอธิบายสรรพคุณของธรรม และคนนั้นก็คิดว่าคงจะช่วยได้ แต่ตราบใดที่ตัวเขาเองยังไม่รู้ว่าธรรมคืออะไร คำพูดของเขาคือคำพูดที่เขาไม่รู้เลย ไม่รู้จักธรรมแล้วจะขอให้ธรรมช่วย และสงสัยว่าธรรมจะช่วยได้หรือเปล่า ทั้งหมดมาจากความไม่รู้ และการไม่รู้มีมากไหม นานมาแล้วด้วย
เพราะฉะนั้นจะมากสักแค่ไหน แต่ว่าจะรู้ได้ไหม โดยวิธีไหน รู้จักว่าใครจะทำให้เราเข้าใจได้ มีผู้เดียวเท่านั้น ไม่มีใครอื่นอีกเลยในสากลจักรวาลทั้งหมด คือพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้เราเข้าใจถูก ไม่ใช่ให้เราไปหาอะไรมาช่วย เพราะฉะนั้นเริ่มสว่างขึ้นมาหรือยัง จากการที่เคยคิดว่าแล้วธรรมจะช่วยเราได้ไหม พระรัตนตรัยจะช่วยเราได้ไหม คนโน้นจะช่วยเราได้ไหม มาถึงคำที่ว่าเราไม่สามารถที่จะมีอะไรมาช่วยเราได้เลย เพราะเราไม่รู้ว่าอะไรคืออะไร แล้วจะไปเอาอะไรมาช่วย เพราะฉะนั้นตั้งต้นจากการฟังธรรมคือคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ทุกคำลึกซึ้งมากเพราะเหตุว่าขณะนี้ก็มี แต่ไม่มีใครรู้หรือใครรู้ เห็นไหม แต่ว่าธรรมเป็นอีกภาษาหนึ่ง ซึ่งเราอาจจะได้ยินได้ฟังในหลายความหมาย แต่ความหมายที่ตรงที่สุดก็คือว่าสิ่งที่มีจริงๆ เดี๋ยวนี้เริ่มจะเป็นความเข้าใจของเรา ไม่ใช่เพียงแต่ว่าไปรับฟังคำมามากมายหลายคำ แล้วแต่ละคำก็ไม่รู้เลย ทีนี้เป็นอันว่าต่อไปนี้จะฟังทีละคำ แล้วก็เป็นความเข้าใจของเราเอง ไม่ใช่ไปขอให้ใครมาช่วย แต่ตราบใดที่ไม่มีความเข้าใจอะไรก็ช่วยไม่ได้
เพราะฉะนั้นทางเดียวที่จะช่วยได้ ก็คือมีความเข้าใจถูกมีความเห็นถูกในความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ตั้งแต่เกิดจนตายและเดี๋ยวนี้ด้วย เพราะฉะนั้นก็ต้องเข้าใจโดยไม่ลืมว่าสิ่งที่มีจริงทั้งหมดเป็นธรรมไม่เว้นเลย เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้เป็นธรรมซึ่งเราไม่รู้จักเพราะทุกอย่างจริงหมด เวลานี้ได้กลิ่นหอมแน่ๆ จริงไหม เป็นธรรมหรือเปล่า เริ่มที่จะค่อยๆ เข้าใจแต่ละคำ และทีละคำอย่างมั่นคง และความเข้าใจอันนี้จะเข้าใจขึ้นเข้าใจขึ้น ไม่ใช่รวบรัดว่าเรายังมีตัวตน และเราจะทำให้ตัวตนหมดไปได้อย่างไร นั่นคือไม่รู้อะไรอีก เต็มไปด้วยความไม่รู้แล้วก็คิดด้วยความไม่รู้ เพราะฉะนั้นก็ตั้งต้นใหม่ คือเพราะไม่รู้จึงฟังพระธรรมที่กล่าวถึงสิ่งที่มีจริง ให้เราคิด ให้เราไตร่ตรอง ไม่ใช่ให้เราเชื่อตาม หรือฟังตามมากๆ หลายๆ คำ แล้วก็ไม่รู้เรื่องอะไรเลย แต่ว่าทีละหนึ่งคำ เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีจริงต่อไปนี้เราจะต้องมีความเข้าใจที่มั่นคงว่า ใครเปลี่ยนความเข้าใจไม่ได้ เพราะว่ามีสิ่งที่มีจริงๆ ซึ่งกำลังมีแล้วก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้นพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงจากการที่ทรงตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ เดี๋ยวนี้ทั้งหมดโดยประการทั้งปวง เพราะฉะนั้นต้องลึกซึ้งมากแต่ละคำ เริ่มศึกษาทีละคำ ธรรมเดี๋ยวนี้มีไหม เพราะเป็นสิ่งที่มีจริงๆ แค่นี้ อะไรบ้างเป็นธรรม ไม่ใช่ฟังคนอื่นบอก แต่สิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ทั้งหมด แต่ละหนึ่งเป็นธรรม เพราะฉะนั้นบอกมาทีละหนึ่งทีละหนึ่งได้ไหม จะได้รู้จักธรรมเสียทีหนึ่ง ไม่ใช่ได้ยินแต่ชื่อ แล้วก็แปล แต่ว่าสิ่งที่มีจริงมีจริงๆ เดี๋ยวนี้ และเริ่มเข้าใจถูกว่าสิ่งนั้นแหละที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ เพื่อให้เรารู้ตาม ไม่ใช่เพื่อให้เราไปคิดอย่างอื่น แต่เพื่อให้เรารู้ตามที่พระองค์ตรัสรู้
เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้ทีละหนึ่งที่จะเริ่มเข้าใจถูกต้อง แม้แต่ธรรมได้ยินอย่างนี้ ก็อีกนานกว่าจะเข้าใจถูก ถ้าถามว่าเดี๋ยวนี้มีธรรมไหม ตอบว่ามี อะไรที่เป็นธรรมเดี๋ยวนี้ อยากฟังไม่อยากตอบหรือว่าฟังเพื่อที่จะเข้าใจ แล้วจะได้ตอบตามความเข้าใจ จะได้รู้ว่าสิ่งที่ได้ฟังจริงไหม ถูกต้องหรือเปล่า นี่คือการสนทนาธรรม ไม่อย่างนั้นจะไม่ทราบเลยว่าคำที่ได้พูดไปแล้ว เป็นประโยชน์มากน้อยแค่ไหน เข้าใจจริงๆ แค่ไหน เพราะฉะนั้นก็คือว่าเดี๋ยวนี้ทุกคนรับรองว่ามีธรรม ขอให้บอกว่าเดี๋ยวนี้มีธรรมอะไร หรืออะไรเป็นธรรม เห็น ทุกคนตอบเหมือนกันหมดเลย ไม่ผิดเลยสักนิดเดียว แต่ไม่เคยรู้จักเห็น ทั้งๆ ที่มีเห็น นี่คือความต่างกันของผู้ที่ไม่เคยฟังธรรมเลยกับผู้ที่เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นมีจริงๆ ค่อยๆ คิดกว่าจะเป็นเห็นไม่ใช่เราอีกนานไหม เพราะว่าพูดถึงเห็นที่กำลังเห็น ไม่ใช่เห็นในหนังสือ เสียเวลาไปพูดเรื่องเห็นในหนังสือใช่ไหม ในเมื่อตัวเห็นจริงๆ กำลังเห็น เพราะฉะนั้นทุกคำที่ได้ยิน เพื่อที่จะให้เกิดความเห็นถูกความเข้าใจถูกในสิ่งที่กำลังมี
เพราะฉะนั้นกำลังพูดเรื่องเห็น ทุกคนเห็น เริ่มที่จะเข้าใจเห็นโดยความเข้าใจของตัวเองจากการไตร่ตรอง เห็นเกิดหรือเปล่า เห็นต้องเกิด ถ้าเห็นไม่เกิดจะมีเห็นไหม ตอนหลับสนิทมีเห็นไหม เพราะอะไร เพราะเห็นไม่เกิด ตอนหลับไม่มีเห็น เพราะเห็นไม่เกิด พอตื่นขึ้น ที่เรียกว่าตื่นเพราะมีเห็น ถ้าไม่มีอะไรปรากฏเลย ขณะนั้นหลับ อย่าลืมเป็นธรรมหรือเปล่า กำลังหลับก็เป็นธรรม เพราะฉะนั้นธรรมนี่หลากหลายมากไหม ไม่ว่าจะหลับจะตื่นเป็นธรรมทั้งหมด ตั้งแต่เกิดจนตายเป็นธรรมทั้งหมด กว่าจะไปบอกใครเขาว่าแล้วธรรมจะช่วยได้อย่างไร แล้วเมื่อไหร่จะหมดความเป็นตัวตน ก็ต้องเป็นความรู้ความเข้าใจของคนนั้นเอง ไม่ใช่คนอื่น ที่ค่อยๆ เข้าใจทีละคำ แล้วก็รอบรู้หมายความว่ามั่นคงไม่เปลี่ยน ต่อไปนี้พอใครถามว่าธรรมคืออะไร ใครเขาจะตอบว่าอย่างไร ก็เรื่องเขา แต่ว่าพระธรรมที่ทรงแสดง ธรรมคือสิ่งที่มีจริงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ ถ้าไม่มีจะตรัสรู้อะไรได้ แต่เพราะมีแล้วรู้ ก็ทรงแสดงหนทางที่จะทำให้คนอื่นได้รู้ตามด้วย
นี่คือพระคุณมหาศาลไหม ยิ่งใหญ่เปรียบอะไรไม่ได้เลย จากไม่รู้สักคำไม่เข้าใจอะไรเลยตั้งแต่เกิด มาเป็นการเริ่มที่จะรู้ความจริง เพราะฉะนั้นเห็นมีจริง เห็นต้องเกิด ถ้าไม่เกิดไม่มีเห็น เริ่มเข้าใจความจริงเดี๋ยวนี้ด้วย เห็นขณะนี้เกิด แต่ปัญญาไม่รู้ขณะที่เห็นเกิด แต่ผู้ที่ตรัสรู้ทรงแสดงว่าเห็นเกิดเพราะอะไร ต่างกันมากเลย ซึ่งผู้ที่รู้ความจริงกับผู้ที่ไม่รู้ความจริง กว่าจะฟังแต่ละคำให้เข้าใจได้ก็ต้องอาศัยความอดทน แล้วก็ความเพียรสัจจะความจริงใจที่จะรู้ว่า มีประโยชน์ที่สุดในชีวิต แม้แต่เพียงได้รู้ความจริงสักนิดหน่อยค่อยๆ เข้าใจไป เห็นเกิดแล้วใช่ไหม กำลังเห็น เห็นดับไหม ดับหมายความว่าไม่เหลือเลย พูดอย่างมั่นคงมากว่าเห็นดับ เห็นดับนี่ใครบอกใครรู้ ผู้ที่ทรงตรัสรู้ความจริงก็บอกตามความเป็นจริง ไม่ใช่ไปคิดเอง คำว่าดับหมายความว่าอะไร เหมือนไฟดับ จะไปหาไฟอีกที่ไหนได้ไหม ไฟที่ดับไปแล้ว ไม่ได้เลย
เพราะฉะนั้นแม้แต่เห็นเดี๋ยวนี้ เกิดเห็นแล้วดับ แล้วไม่กลับมาอีกเลย เราหรือเปล่า ไม่เหลือเลย แต่เห็นเดี๋ยวนี้ถ้าไม่รู้ก็เป็นเรา แต่ถ้ารู้เมื่อไหร่ก็เริ่มเข้าใจแล้วว่าไม่มี ไม่มีเพราะอะไร ตอนไม่เกิดก็ไม่มี แต่พอเกิดมานิดเดียวก็ไม่มีอีกแล้ว หายไปเลย แล้วจะบอกว่ามีได้อย่างไร ก็มีชั่วขณะที่ปรากฏเท่านั้นเอง กว่าจะละความเป็นตัวตนได้ ไม่ใช่ว่าไม่รู้อะไรเลย ใครบอกให้ทำอะไรก็จะทำ เพื่อที่จะคิดว่าจะสามารถรู้อย่างนั้นได้ ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลย ไม่เข้าใจแม้แต่ว่าสิ่งที่มี มีสภาพธรรมซึ่งเป็นธาตุที่เข้าใจได้ เข้าใจถูกแต่เกิดเองไม่ได้ แต่ต้องอาศัยการฟัง ฟังแล้วก็ผ่านไป ก็เกิดไม่ได้อีกเหมือนกัน ฟังแล้วก็ลืมแล้วว่าเห็นขณะนี้ก็เกิดแล้วดับ นอกจากเห็นมีอะไรอีกไหม ธรรม ได้ยินหมดหรือยัง แค่เกิดได้ยินแล้วดับเลย ไม่กลับมาอีก เห็นก็ไม่กลับมา ได้ยินก็ไม่กลับมา ไม่ว่าอะไรที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ แข็งนิดเดียวที่ปรากฏดับแล้ว ไม่กลับมาอีก เย็นที่กระทบ เกิดเย็นแล้วก็ดับ แล้วก็ไม่กลับมาอีก
นี่คือผู้ที่เริ่มเห็นพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และเริ่มรู้ความลึกซึ้งของพระธรรม ซึ่งต้องเป็นความรู้ความเข้าใจของตนเอง เพราะพระมหากรุณาที่ทรงบำเพ็ญมาเพื่อให้เราได้รู้ด้วย ไม่ใช่ตรัสรู้เพียงพระองค์เดียว แล้วก็คนอื่นในโลกนี้อีกมากมายทั้งจักรวาลไม่สามารถที่จะรู้ตามได้ เพราะฉะนั้นการฟังพระธรรม ฟังแล้วถึงจะรู้ว่าคำจริงทั้งหมดเป็นวาจาสัจจะ เป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นก็จริง เห็นเกิดก็จริง เห็นดับก็จริง แล้วไม่กลับมาอีกเลยก็จริง เพราะฉะนั้นไม่มีเราสักอย่างหนึ่ง แค่นี้ก่อน หมายความว่าฟังแล้วก็ขอให้เป็นความรู้ตัวเอง ไม่ต้องไปขอใครขอยืมใคร ใครบอก เขาบอกว่าไม่ต้องคิดเลย เขาบอกว่าคือเขาคิดอย่างไร เขาก็บอกอย่างนั้น เพราะฉะนั้นฟังแล้ว เรารู้ว่าเป็นความจริงหรือเปล่า และก็สามารถที่จะเห็นประโยชน์ที่จะฟังต่อไปอีกไหม เพราะว่าความจริงของสิ่งที่เพียงเริ่มได้ฟังมีอีกมาก ที่จะทำให้ผู้นั้นเริ่มมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง กำลังพึ่งอยู่ขณะนี้ ซึ่งก่อนได้ฟังธรรมพึ่งหรือเปล่า ตอนเช้ามาตอนที่ยังไม่ได้ฟังธรรม ยังไม่ได้ฟัง พึ่งหรือเปล่า เห็นไหม แค่นี้ก็ต้องคิด แล้วจะไม่ให้คิดเลย แล้วจะมีปัญญาได้อย่างไร อยู่ดีก็ฟังมาพูดตาม ฟังมาพูดตามว่าอย่างไร ก็ว่าอย่างนั้น นั่นไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เพราะฉะนั้นวันนี้ก่อนฟังธรรม มีธรรมหรือเปล่า มี รู้หรือเปล่าว่าเป็นธรรม ไม่รู้เดี๋ยวนี้ฟังแล้ว มีธรรมไหม รู้ไหมว่าเป็นธรรม เพราะฉะนั้นเป็นผู้ตรง เริ่มเป็นผู้ตรงบารมี ๑๐ ขาดสัจจบารมีไม่ได้เลย ผู้ตรง คือ นี่คือฟัง แต่เห็นเกิดดับอย่างไร ตั้งมากมายก็ไม่รู้ ได้ยินก็เกิดดับมากมายก็ไม่รู้ แต่รู้ได้เพราะว่าเป็นความจริง เมื่อค่อยๆ เข้าใจขึ้น ไม่ทราบพอหรือยังเท่านี้ ที่จะเข้าใจอย่างมั่นคงก่อนว่าไม่มีเรา แล้วมีอะไร ถ้าไม่มีเราแล้วมีอะไร มีแต่ธรรม เริ่มมั่นคงเห็นไหม ไม่มีเราเมื่อไหร่ เมื่อไหร่ก็ไม่มีเรา แล้วมีอะไรก็มีแต่ธรรม เพราะฉะนั้นคนที่ฟังใหม่ๆ ไม่มีเรา แล้วมีอะไร ต่างกันแล้วใช่ไหม แต่ว่าไม่มีเรามีแต่ธรรมตลอดไม่มีเปลี่ยนเลย ธรรมที่พระผู้มีพระภาคได้ทรงตรัสรู้แล้วไม่เปลี่ยน เพราะตรัสรู้ถึงที่สุดเปลี่ยนอีกไม่ได้เลย ถ้าพบว่ามีตนเองเป็นที่พึ่ง แต่มีความเป็นเราพึ่งใหญ่เลย ขยันมากๆ ไม่ต้องไปพึ่งใครใช่ไหม เขาสอนว่าต้องพึ่งตัวเองอะไรอย่างนี้ แต่ความจริงไม่ใช่เลย เพราะไม่รู้จักตัว แล้วจะมีตนเองเป็นที่พึ่งได้อย่างไร
เพราะฉะนั้นพระธรรมทั้งหมด เป็นเรื่องของความเข้าใจ เป็นเรื่องของความเห็นถูก เป็นเรื่องของปัญญาทุกคำตั้งแต่คำแรก เพราะฉะนั้นถ้าฟังอะไรแล้วไม่เข้าใจไม่ใช่ปัญญาไม่ใช่ความเห็นถูก และสิ่งที่ฟังคำนั้นเป็นคำจริงหรือเปล่า เป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเปล่า แต่ถ้าเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทั้ง ๓ ปิฎก ไม่เปลี่ยนสอดคล้องกันด้วย มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งเพื่ออะไร เห็นไหม เพื่อให้มีความเห็นถูกมีความเข้าใจถูก ไม่ใช่ความเข้าใจถูกของคนอื่นมาให้เราพึ่ง แต่เป็นความเข้าใจถูกของตนเอง ตนที่นี่หมายความว่าแต่ละหนึ่งแต่ละหนึ่ง ต้องใช้คำที่ทำให้รู้ว่าหลากหลายต่างกัน เพื่อที่จะมีตนเองเป็นที่พึ่ง คือความเห็นถูกของตนเองความเข้าใจของตนเอง เพราะฉะนั้นถ้าฟังวันนี้ และก็ยังไม่มีความเข้าใจ ไม่มีตนเองเป็นที่พึ่ง แล้วก็ไม่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งด้วย เพราะว่าถ้ามีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งเมื่อไหร่ เมื่อนั้นจะรู้จักคำว่าตน
ผู้ฟัง คือฟังธรรมมาได้ในระดับหนึ่ง ก็เข้าใจว่าธรรมไม่ใช่เรา เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ทีนี้อย่างที่พี่คนเมื่อสักครู่นี้บอกว่า เป็นโรคเบาหวาน เป็นไต ปวดฟัน
ท่านอาจารย์ คือเมื่อสักครู่นี้ได้ฟังว่ามีเพื่อนเป็นเบาหวานเป็นโรคไต อะไรเป็นธรรม เห็นไหม ต้องสอดคล้องกันหมดเลย ผ่านไปเร็วๆ ก็จะหาคำตอบ แต่ว่าไม่ได้เข้าใจ แต่นี่กำลังฟังพระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นแต่ละคำ มีเพื่อนเป็นโรคไต และก็เป็นเบาหวาน อะไรเป็นธรรม
ผู้ฟัง คิด
ท่านอาจารย์ คิด เห็นไหม เริ่มรู้จักแล้วว่า แท้ที่จริงสิ่งที่มีจริงๆ ที่จะปรากฏทางตาเห็นจริง ทางหูได้ยินจริง ทางจมูกก็ได้กลิ่นจริง ทางลิ้นก็กำลังลิ้มรสจริง ทางกายก็กระทบสัมผัสสิ่งที่เย็นร้อนอ่อนแข็งจริง แล้วใจก็คิดจริง เพราะฉะนั้นทั้งหมดกี่ภพกี่ชาติก็เท่านี้เอง ๖ ทาง เมื่อสักครู่นี้จบเรื่องไต เรื่องเบาหวาน เป็นเรื่องใหม่แล้ว คิดใหม่แล้ว ไม่เคยหยุดคิด ห้ามความคิดไม่ได้ แล้วแต่ว่าจะคิดเรื่องอะไร เพราะฉะนั้นแม้คิด ขณะที่คิดเกิดก็เป็นธรรม ถ้าคิดไม่เกิดไม่มีคิด เพราะฉะนั้นกล่าวได้เลย ทั้งหมดทุกอย่างไม่เว้นเลยเป็นธรรม คิดทั้งนั้น คิดทั้งหมด คิดบ่อยๆ คิดเรื่อยๆ ไม่คิดเรื่องนี้ก็คิดเรื่องนั้น นี่มีเก้าอี้ตรงนั้น คิดอีกแล้ว เสียงนกคิดอีกแล้ว เพราะฉะนั้นก็มีเท่านี้แหละ ตาหูจมูกลิ้นกาย เห็นได้ยินได้กลิ่นลิ้มรสรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส แล้วก็คิด แล้วก็หมด แล้วก็ไม่เหลือ แล้วก็ไม่กลับมาอีก เกิดอีกเกิดคิดอีกแล้ว หมดอีกแล้ว อะไรๆ ที่เกิดขึ้นหมดทั้งนั้น ดับทั้งนั้น ไม่เหลือเลยทั้งนั้น เริ่มมีแสงสว่างบ้างไหม ในความมืด สว่างนิดหนึ่งแล้วก็ดับไปอีกแล้ว สว่างนิดหนึ่งแล้วก็ดับไปอีกแล้ว ต้องบ่อยๆ จนกว่าจะเห็นชัดตามความเป็นจริงว่า ทุกคำตรงตามที่ได้ฟัง ตรงจริงๆ ไม่ผิดกันเลย สิ่งที่มีจริงเกิดขึ้น และดับก็ต้องจริง ไม่กลับไปอีก ก็ต้องจริง เกิดอีกสืบต่อไม่มีระหว่างคั่นเลย ก็ต้องจริง เพราะเป็นอย่างนี้ จะว่าไม่จริงได้อย่างไร
ผู้ฟัง คิดห้ามไม่ได้ก็จริง
ท่านอาจารย์ เดี๋ยวก่อน แล้วห้ามเห็น ห้ามได้หรือ
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ ห้ามอะไรได้
ผู้ฟัง ห้ามไม่ได้
ท่านอาจารย์ ไม่ได้สักอย่างเดียวเพราะ
ผู้ฟัง อนัตตา
ท่านอาจารย์ แล้วก็เป็นธรรม ถ้าไม่มีปัจจัยที่จะให้สิ่งนั้นเกิดสิ่งนั้นเกิดไม่ได้ อยากจะมีปัญญามากๆ ไหม เห็นไหม ให้เกิด ให้เกิดได้ไหม ไม่ได้ ชัดเจนว่า ทุกอย่างนอกจากธรรมแล้ว ยังมีธรรมทั้งหลาย ธรรมทั้งหมดไม่เว้นเลยเป็นอนัตตาหมายความว่า เคยเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง ปรากฏรูปร่างสัณฐานหลากหลาย เป็นโต๊ะเป็นเก้าอี้ ยังไม่เห็นดับไปสักอย่างเดียว ต้นไม้ใบหญ้าดอกไม้ก็ยังอยู่ทั้งหมด เดิมไม่รู้เลยว่าเพราะสภาพธรรมแต่ละหนึ่ง เกิดดับสืบต่อเร็วสุดที่จะประมาณได้ จนเห็นไม่ปรากฏว่าเห็นดับไปเลย เพราะฉะนั้นเห็นแต่ละหนึ่ง ที่สามารถที่จะเห็นสิ่งที่ปรากฏสืบต่อเหมือนสิ่งหนึ่งสิ่งใด เช่น จุดก้านธูปแกว่งให้เป็นวงกลม ไม่ใช่เห็นเพียงหนึ่ง อยู่เฉยๆ แต่เห็นวงกลมจากหนึ่งเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นไม่ว่าสิ่งใดกำลังปรากฏ สิ่งนั้นแหละเกิดดับนับไม่ถ้วน ไม่ว่าจะเป็นสภาพที่ปรากฏ หรือธาตุรู้ซึ่งกำลังรู้สิ่งนั้น นี่คือพระปัญญาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ฟังแล้วอยากจะรู้หรือว่าอีกนาน แต่ก็ค่อยๆ เข้าใจได้ นี่คือต้องเป็นผู้ตรง บารมีทั้ง ๑๐ ขาดไม่ได้เลย สัจจะความจริงเป็นอย่างนี้ สัจจบารมีเป็นอย่างนี้ อธิษฐานความมั่นคงเป็นอย่างนี้ คือไม่เปลี่ยน มีโอกาสได้ยินได้ฟังชาติไหนก็เข้าใจขึ้นเข้าใจขึ้น
ผู้ฟัง ขอความกรุณาท่านอาจารย์ขยายคำว่าอธิษฐาน
ท่านอาจารย์ อธิษฐานคือความมั่นคง ไม่ใช่ไปขอ
ผู้ฟัง หมายความว่าเป็นความมั่นคงที่จะเข้าใจธรรมที่ลึกซึ้ง
ท่านอาจารย์ ที่ลึกซึ้ง แม้ว่ายิ่งต่อไปจะยิ่งลึกซึ้งขึ้นลึกซึ้งขึ้นอีกมาก ก็ไม่เปลี่ยนแปลง หมายความว่ามั่นคงที่จะเข้าใจไปเรื่อยๆ
ผู้ฟัง ถ้าเช่นนั้นสิ่งที่คนทั้งหลายไปอธิษฐาน ที่เขาบอกว่าอะไร อธิษฐานขอพรอะไร อย่างนั้นไม่ใช่อธิษฐาน
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเรื่องลวงมีมากเพราะไม่รู้ แต่เรื่องรู้เป็นเรื่องที่ยาก พระโพธิสัตว์ผู้ยิ่งด้วยปัญญาบำเพ็ญพระบารมี ๔ อสงไขยแสนกัป หมายความว่ามีปัญญามาก ถ้าปัญญาปานกลาง ๘ อสงไขยแสนกัป ถ้าปัญญาอ่อนกว่าปัญญาปานกลางก็ ๑๖ อสงไขยแสนกัป ไม่ใช่วันเดือนปี และวันนี้เราฟังธรรมกี่ชั่วโมง แล้วแค่กี่คำ ๔๕ พรรษา ไม่ใช่มีแค่สองคำ ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ไม่ใช่แค่ธรรมกับอนัตตา มากกว่านั้นอีกมาก เพราะอะไร เพราะรู้ว่าแต่ละคนหนาด้วยกิเลส และความไม่รู้มานานแสนนาน ถ้าไม่มีการได้ยินได้ฟังพระธรรมเลยจากผู้ที่ได้ตรัสรู้แล้ว จะค่อยๆ เข้าใจ และมีกุศลเพิ่มขึ้นได้อย่างไร ไม่มีทางจะเป็นไปได้เลย
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 781
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 782
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 783
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 784
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 785
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 786
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 787
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 788
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 789
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 790
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 791
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 792
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 793
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 794
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 795
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 796
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 797
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 798
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 799
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 800
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 801
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 802
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 803
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 804
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 805
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 806
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 807
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 808
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 809
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 810
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 811
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 812
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 813
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 814
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 815
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 816
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 817
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 818
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 819
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 820
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 821
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 822
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 823
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 824
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 825
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 826
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 827
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 828
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 829
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 830
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 831
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 832
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 833
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 834
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 835
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 836
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 837
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 838
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 839
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 840
