ปกิณณกธรรม ตอนที่ 805
ตอนที่ ๘๐๕
สนทนาธรรม ที่ กนกรัตน์ รีสอร์ท อัมพวา จ.สมุทรสงคราม
วันที่ ๑๘ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๘
ท่านอาจารย์ สะสมการได้ยินได้ฟังจนมั่นคงเป็นสัจจญาณ เพราะฉะนั้นก็ทำให้สติสัมปชัญญะทำกิจจญาณ เกิดขึ้นเข้าใจลักษณะของสภาพธรรม ที่เข้าใจจากขั้นการฟังอย่างมั่นคง เป็นการเริ่มต้น จนกว่าสามารถที่จะถึงปฏิเวธ สภาพธรรมปรากฏตรงตามที่ได้ฟังเป็นกตญาณ ได้รู้แล้วว่าความจริงเป็นอย่างนี้
เพราะฉะนั้นความจริง จริงตั้งแต่ฟัง เดี๋ยวนี้สภาพธรรมเกิดแล้วในขั้นฟัง จนกว่าจะถึงปฏิปัตติ ซึ่งเป็นกิจจญาณ จนกว่าจะถึงกตญาณ ทางนี้ตลอดสายโดยความเป็นอนัตตา บังคับไม่ได้เลย ยิ่งมั่นคงในความเป็นอนัตตา
เพราะฉะนั้นทั้งหมดที่ฟัง จะนานสักเท่าไร กี่ชาติก็ตาม เพื่อให้รู้ว่าเป็นธรรมซึ่งเป็นอนัตตา เพราะฉะนั้นจะไม่มีความเป็นอัตตาไปจงใจ ไปพยายามทำอย่างนั้นอย่างนี้ได้เลย นั่นคือหลงด้วยความไม่รู้ เข้าใจผิดในทางคือปัญญา เพราะฉะนั้นเมื่อไม่มีปัญญาจึงทำอย่างนั้น ถ้ามีปัญญาไปไหน เดี๋ยวนี้ก็มีธรรม อาศัยการฟังเข้าใจขึ้นทางเดียว เพราะว่าเป็นทางของปัญญา ไม่ใช่เป็นทางของความไม่รู้
ผู้ฟัง เขาสุขเราสุขด้วย เขาทุกข์เราทุกข์ด้วย เสมอกัน
ท่านอาจารย์ เพราะสุขเป็นสุข ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา
ผู้ฟัง สภาพธรรมที่เป็นสุข ลักษณะสภาพธรรมนั้นก็เป็นอย่างนั้น
ท่านอาจารย์ โดยสภาพธรรมนั้นเป็นอย่างนั้น
ผู้ฟัง เกิดขึ้นและก็ดับไป จะเป็นสามัญลักษณะด้วย ใช่หรือไม่
ท่านอาจารย์ โดยมากคนคิดถึงชื่อ แล้วก็จำชื่อต้องเรียกว่า สามัญลักษณะ สามัญลักษณะคืออะไร จริงๆ แล้ว คำแปลก็พูดมาตั้งแต่ต้น แต่เพียงไม่เอ่ยคำนี้เท่านั้นเอง แต่ไปติดคำนี้ แล้วก็ยังสงสัย เพราะฉะนั้น สามัญลักษณะคืออะไร
อ.คำปั่น ท่านอาจารย์ได้กล่าวอธิบายมาโดยตลอดว่า เป็นการกล่าวถึงสิ่งที่มีจริง ที่ไม่เที่ยง เมื่อเกิดแล้วก็ดับไป สิ่งที่มีจริงที่เกิดแล้วดับไปก็ไม่ใช่ตัวตน สัตว์ บุคคล ซึ่งก็ตรงกับคำที่ได้กล่าวไว้สักครู่ว่า สามัญลักษณะ หมายถึงว่า ลักษณะทั่วไปของสภาพธรรมที่มีจริง ที่เกิดเพราะเหตุปัจจัยก็คือ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์และเป็นอนัตตา
ผู้ฟัง ถ้ามีความทุกข์เกิดขึ้น ไม่ว่าจะใครก็ตาม ก็จะทุกข์เหมือนกัน ซึ่งจะไม่ต่างกันเลย หรือถ้าจะเป็นสุขก็สุขเหมือนกัน ความเข้าใจอย่างนี้จะถูกต้องหรือไม่
ท่านอาจารย์ ไม่ถูก เพราะถามว่า จะถูกต้องหรือไม่ แสดงว่าไม่เข้าใจ ถ้าเข้าใจจริงๆ ใครจะบอกว่าถูก แต่ถ้ามันไม่ถูกก็ต้องไม่ถูก ใช่หรือไม่ ไม่ใช่เพราะเขาบอกว่าถูก เลยต้องถูก ไม่ใช่ ความจริงต้องเป็นความจริง ถามคนอื่นเขาบอกว่าไม่ถูก เราก็เลยคิดว่าที่เราเข้าใจมาทั้งหมดนี้ไม่ถูก อย่างนั้นไม่ใช่ความเข้าใจ
ศึกษาธรรมต้องไม่ลืมว่า ศึกษาเพื่อจำชื่อ หรือว่าชื่อไม่สำคัญเลย เพราะว่าชื่อนั้นกล่าวถึงลักษณะของธรรมที่มีจริง เพื่อเข้าใจลักษณะที่มีจริง ภาษาไหนก็ได้ ไม่ใช่หมายความว่าเราศึกษาธรรมแล้ว เราต้องรู้ว่านี่เป็นมนสิการเจตสิก โยนิโส อโยนิโสมีแต่คำ แต่ว่าไม่ได้หมายความอย่างนั้นเลย ศึกษาในภาษาของตนๆ เมื่อเข้าใจแล้ว พอได้ยินคำอีกภาษาหนึ่ง คือภาษาบาลี เราก็รู้ว่านี่คือสิ่งที่เราเข้าใจ
ถ้าพูดว่าสิ่งที่มีจริง เรากำลังฟัง เพราะว่าเราไม่รู้ความจริงของสิ่งที่มีจริง ฟังเพื่อเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ถ้าเข้าใจอย่างนี้ เมื่อพูดถึงธรรมเราก็รู้ ต้องเป็นสิ่งที่มีจริง แต่เราไม่ได้ไปติดที่คำจะต้องไปใช้ภาษาอื่น และคิดว่าศึกษาธรรมคือศึกษาคำนั้นๆ ไม่ใช่ศึกษาคำ ศึกษาให้เข้าใจสิ่งที่มี ถ้าเข้าใจจริงๆ แล้ว ทุกคำเป็นอีกภาษาหนึ่ง คือภาษามคธีหรือภาษาบาลีได้ เช่นเห็นขณะนี้ ถ้าไม่มีตา เห็นหรือไม่ หมายความว่าต้องมีที่อาศัยที่ทำให้เห็นเกิดขึ้น คือตรงกับคำว่า ปัจจยะหรือปัจจัย
เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีสิ่งที่ปรากฏที่กระทบตา จิตเห็นจะเกิดขึ้นได้หรือไม่ ก็ไม่มีอะไรจะเห็น แต่มีสิ่งที่สามารถกระทบตาได้เฉพาะกระทบตา จะกระทบหู กระทบจมูกไม่ได้ สิ่งที่ปรากฏเดี๋ยวนี้ให้เห็น ต้องเป็นสิ่งที่กระทบได้เฉพาะรูปพิเศษ จะใช้คำวิเศษะก็ได้ แต่จะใช้คำว่า รูปที่ไม่เหมือนรูปอื่นเลย ไม่ใช่รูปแข็ง อ่อน เย็น ร้อน รสอะไรต่างๆ แต่เป็นรูปที่สามารถกระทบกับสิ่งที่กำลังปรากฏ เห็นหรือไม่ ความเข้าใจของเราในภาษาไทยต้องมาก่อน ลึกซึ้งมากขึ้น และเวลาเป็นภาษาบาลีก็คือ ลักษณะเฉพาะ วิเศษลักษณะเฉพาะของเห็น คือไม่ใช่ได้ยิน จะไปได้ยินหรือว่าได้กลิ่นไม่ได้เลย เกิดขึ้นเมื่อไรเห็นอย่างเดียวแล้วก็ดับ
เพราะฉะนั้นเป็นธาตุรู้ชนิดหนึ่ง แล้วจะเป็นเราได้อย่างไร ก็ทำให้เข้าใจคำว่า อนัตตา ในภาษาของเรา แล้วพอได้ยินคำภาษาบาลีเข้าใจเลยว่า หมายความถึงอะไร รูปพิเศษ ถ้าไม่มีรูปที่สามารถกระทบสิ่งที่ปรากฏทางตาให้เห็น ไม่มีรูปที่สามารถกระทบเสียง เสียงก็ไม่ปรากฏ ไม่มีรูปที่สามารถกระทบกลิ่น จิตได้กลิ่นไม่เกิด กลิ่นก็ไม่ปรากฏ ไม่มีรูปที่สามารถกระทบรส รสไม่ปรากฏ ไม่มีรูปที่สามารถกระทบเย็น ร้อน อ่อน แข็ง เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ก็ไม่ปรากฏ ก็คือไม่มีอะไรปรากฏเลย ก็เหมือนท่อนไม้ วันหนึ่งๆ ไม่ต่างกันเลย ฟังอย่างนี้จะเข้าใจคำว่า วิเศษลักษณะหรือไม่ หมายความว่าลักษณะเฉพาะๆ ของธรรมแต่ละอย่าง จิตเห็นก็ต้องเป็นจิตเห็น จิตได้ยินก็ต้องเป็นจิตได้ยิน โกรธก็ต้องเป็นโกรธ ความติดข้องก็ต้องเป็นความติดข้อง มานะก็เป็นมานะ ไม่ปะปนกันเลย เป็นลักษณะเฉพาะของธรรมแต่ละหนึ่ง เราก็เข้าใจว่า นั่นก็คือความหมายของวิเศษลักษณะ แต่เราไม่ต้องพูดว่าวิเศษลักษณะ ลักษณะเฉพาะแต่ละหนึ่งก็ได้ แต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดแล้วดับหมด ไม่มีอะไรซึ่งเกิดแล้วไม่ดับ
เพราะฉะนั้นนี่เป็นสามัญญทั่วไปแก่ธรรมทั้งหลาย ซึ่งเกิดขึ้นต้องดับไป ก็เข้าใจความต่างของคำว่า วิเศษลักษณะและสามัญลักษณะ สามัญญะคือทั่วไปทั้งหมดแก่สภาพธรรมที่มีปัจจัยเกิดขึ้น ถ้าไม่มีปัจจัยก็เกิดไม่ได้ ฟังแค่นี้ก็รู้ว่าพอได้ยินคำว่า สังขารธรรม ก็รู้ได้เลย สิ่งที่มีจริง เกิดตามลำพังไม่ได้ ต้องอาศัยปัจจัย อาศัยกันและกันทำให้เกิดขึ้น เห็นความเป็นอนัตตา ถ้าไม่อาศัยคำต่างๆ เหล่านี้ จะเข้าใจได้อย่างไร เคยเป็นเรามาตั้งนานแสนนาน แต่พอแยกออกเป็นแต่ละหนึ่ง ไม่มีเราเลย ทรงแสดง ๔๕ พรรษาให้เข้าใจจริงๆ จะเข้าใจได้มากน้อยแค่ไหน ก็ฟังอีกๆ เข้าใจอีก แล้วก็เข้าใจอีก ในภาษาของตนๆ ไม่ต้องไปติดคำภาษาบาลี แต่ถ้าติดคำภาษาบาลี นี่ใช่หรือไม่ นั่นใช่หรือไม่ ใช่หรือไม่ใช่จิตเห็นเดี๋ยวนี้ ใช่จิตเห็นหรือเปล่า อย่าลืม ฟังเพื่อละ ไม่ต้องไปติดในคำ
ผู้ฟัง จากข้อความใน ปัญจวัคคิยสูตร ว่าด้วยความเป็นอนัตตา
ท่านอาจารย์ เข้าใจแล้วใช่หรือไม่ คำว่า อนัตตา ทุกอย่างหมด เป็นธรรมแต่ละหนึ่ง เพราะฉะนั้นเมื่อเกิดแล้วดับแล้ว จะเป็นเราไม่ได้ หมดไปๆ ไม่เหลือเลย
ผู้ฟัง พระผู้มีพระภาคทรงแสดงให้พิจารณาขันธ์ที่เป็นส่วนอดีต
ท่านอาจารย์ เห็นหรือไม่ ถ้าไม่ศึกษาเหมือนว่า อ่านจบแล้วรู้หมดเลย แต่ละคำให้รู้ว่าขันธะคืออะไร คำแปล ขอเชิญคุณคำปั่น นี่คือการศึกษาสิ่งที่ได้ฟังโดยละเอียด โดยรอบคอบ เพื่อจะเป็นความเข้าใจที่ถูกต้อง เราไม่ใช่ข้ามไป แล้วมาสรุปทีหลัง ต้องแต่ละคำ
อ.คำปั่น ความหมายของ ขันธ์ หมายถึงสิ่งที่มีจริง ที่เกิดเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป เป็นสภาพธรรมที่ทรงไว้ซึ่งความว่างเปล่า คือว่างเปล่าจากความเป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคล
ท่านอาจารย์ ฟังแค่นี้ลึกซึ้งหรือเปล่า แต่ความจริงลึกซึ้งอย่างยิ่ง แสดงให้เห็นว่าเดี๋ยวนี้เอง สิ่งใดที่ปรากฏสิ่งนั้นต้องเกิด เกิดและดับ ไม่เหลือเลย นี่คือความหมายของว่างเปล่า ไปตามกลับมาได้หรือไม่ เมื่อวานนี้เห็นอะไรบ้าง ไม่มีเลย จิตเห็นดับแล้ว ทุกอย่างดับแล้วไม่กลับมาอีกเลย ค่อยๆ น้อมใจไป ที่จะไม่ติดในสิ่งซึ่งไม่มี เพราะว่าเคยไม่รู้ และเคยติดมามาก เพราะคิดว่ายังมีอยู่ แต่ตามความเป็นจริงคือดับ ไม่เหลือเลยสักอย่าง แปลว่าเรามีความไม่รู้การเกิดดับสืบต่อ ทำให้หลงเข้าใจว่ามี แต่สิ่งที่ว่ามี ดับแล้ว อย่างเสียง ทั้งๆ ที่ขณะนี้ ทุกคนก็รู้ว่าเสียงเกิดและเสียงดับ ก็ยังไม่ได้ละการยึดถือ เพราะยังไม่ได้ประจักษ์จริงๆ ไม่ใช่แต่เฉพาะเสียง แม้สิ่งที่กำลังปรากฏทางตาก็ดับด้วย
เพราะฉะนั้นก็ต้องมีความเข้าใจอย่างทั่วถึงจริงๆ แม้แต่คำว่า ว่างเปล่า อากาศไม่มีอะไรเลยใช่หรือไม่ ดาวปรากฏมาแล้ว มีดาวแล้วใช่หรือไม่ พระจันทร์ปรากฏมาก็มีพระจันทร์ แต่ถ้าไม่มีพระจันทร์ ไม่มีดาว ก็ว่างเปล่า เพราะฉะนั้นขณะนี้ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาเลย ก็ว่างเปล่า เมื่อเกิดมาแล้ว ชั่วขณะที่ปรากฏนิดเดียวเองจริงๆ สำหรับผู้ที่ได้ทรงตรัสรู้ และดับไป แล้วไม่กลับมาอีก ว่างเปล่าจากสิ่งที่เมื่อสักครู่มี แล้วไม่เหลืออีกเลยในสังสารวัฏฏ์ ฟังอย่างนี้เพื่ออะไร เข้าใจขึ้นๆ โดยความเป็นอนัตตา ไม่ใช่ไปนั่งทำอะไรแล้วจะไปรู้ได้ แต่เพราะมีความเข้าใจที่มั่นคงขึ้น พร้อมทั้งอาศัยพระธรรมโดยละเอียด ซึ่งไม่ขาดการฟัง เพราะอะไร ฟังแล้วลืม ลืมแล้วว่าเดี๋ยวนี้เป็นธรรม ใช่หรือไม่ เรากำลังนั่งฟัง ได้ยิน ลืมแล้วว่าเป็นธรรมซึ่งเกิดดับ ลืมตลอด เพราะมีความเข้าใจที่ยึดถือมานานแสนนานว่าเป็นเรา ก็คิดด้วยความเป็นตัวตนไปเรื่อยๆ ไม่ว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ปรากฎก็ไม่ประจักษ์การเกิดดับ ก็คิดว่าสิ่งนั้นยังมีอยู่เรื่อยๆ
เพราะฉะนั้นพระธรรมที่ทรงแสดง ถ้าไม่ไตร่ตรองความละเอียดโดยลึกซึ้ง จะไม่เข้าใจแต่ละคำ เพราะเหตุว่าตรัสกับใคร พระปัญจวัคคีย์ เป็นใคร เราเป็นใคร พระปัญจวัคคีย์อบรมปัญญาที่จะเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมมานานเท่าไร ก็ยังไม่รู้ความจริง จนกว่าถึงเวลา โดยความเป็นปัจจัย ไม่ใช่โดยการไปตระเตรียมทำอะไรเลยทั้งสิ้น เพียงแค่ฟัง ความเข้าใจที่ได้สะสมมาแล้วมาก ถึงเวลาที่จะเข้าใจ ไม่ใช่เพียงเข้าใจ ละการที่เคยติดข้องด้วยความว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง เพราะประจักษ์ความจริงของสภาพธรรม
เพราะฉะนั้นการศึกษาพระไตรปิฎก ต้องรู้ว่าบุคคลในครั้งนั้นเป็นใคร และผู้ฟังขณะนี้เป็นใคร มีความเข้าใจเสมอกับท่านเหล่านั้นหรือเปล่า ถ้าเสมอกับท่านเหล่านั้น ฟังแล้วเป็นพระโสดาบัน บางท่านก็เป็นพระอรหันต์ แต่เราเป็นใคร เพราะฉะนั้นการฟังต้องเป็นผู้ที่ตรง เข้าใจแค่ไหน แม้แต่เห็นขณะนี้ ความต่างขั้นของปริยัติ รอบรู้จนเป็นสัจจญาณว่า ไม่มีทางอื่นเลย นอกจากเดี๋ยวนี้ ถ้าจะเข้าใจก็เริ่มเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏโดยความไม่ใช่เรา ด้วยความอดทนที่จะรู้ว่าเป็นอนัตตา จะหวังก็เป็นโลภะ ถ้าหวังสำเร็จก็หวังกันไป แต่ไม่มีทางที่หวังแล้วจะสำเร็จได้ นอกจากยิ่งปิดบังการที่จะรู้ความจริง เพราะฉะนั้นการฟังธรรม พิจารณาแต่ละคำ มิฉะนั้นจะหลงตรงนี้ได้
ผู้ฟัง แสดงให้พิจารณาขันธ์ทั้งที่เป็นส่วนอดีต อนาคต ปัจจุบัน
ท่านอาจารย์ ให้พิจารณา หรือว่าความจริงเป็นอย่างนั้น เพราะอะไร สิ่งที่ดับแล้ว พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะให้พิจารณาสิ่งที่ดับแล้วหรือ ในเมื่อไม่เหลือเลย แต่ตามความเป็นจริง สิ่งที่ดับแล้วไม่กลับมาอีก ใครจะให้ไปพิจารณาสิ่งนั้นได้ หาวิธีบอกให้พิจารณาหน่อย จะทำอย่างไรกับสิ่งที่ดับแล้วไม่กลับมาอีก หรือสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น ใครให้ไปพิจารณาสิ่งที่ยังไม่เกิด มีใครให้ทำอย่างนั้น และสอนวิธีว่าจะพิจารณาสิ่งที่ยังไม่เกิดได้อย่างไร
เพราะฉะนั้นข้อความนี้ สิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้ เกิดและดับ เป็นสิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง มิฉะนั้นใครจะรู้ ว่าขณะนี้สิ่งที่กำลังปรากฏต้องเกิด เกิดแล้วต้องดับ เพราะฉะนั้นในขณะที่เกิดเป็นปัจจุบัน ใช่หรือไม่ ดับแล้วเป็นอดีต พิจารณาให้เข้าใจการเกิดดับสืบต่อ จึงสามารถที่จะรู้ว่า สิ่งที่เกิดแล้วดับ เป็นอดีตแล้วไม่เหลือแล้ว และสิ่งที่ยังไม่เกิด เมื่อจิตที่เป็นปัจจุบันเกิดเป็นปัจจุบัน และดับไปเป็นอดีตแล้ว ก็มีสิ่งซึ่งสืบต่อมาถึงแล้วโดยการสืบต่อ เพราะอนาคตทุกขณะที่ยังไม่เกิด ยังไม่มาถึง แต่ขณะนี้อะไรที่เกิดสืบต่อสิ่งที่ดับแล้ว สิ่งนั้นมาถึง เพราะเหตุว่าได้สืบต่อขณะที่ดับ
ด้วยเหตุนี้ปัญญานั้นสามารถที่จะประจักษ์การเกิดดับ เพราะรู้สิ่งที่มีขณะนี้ เพราะฉะนั้นขณะนั้นเป็น อุทยัพพยญาณ ไม่ใช่ให้ใครที่ไม่มีปัญญาเดี๋ยวนี้พิจารณาสิ่งที่ดับแล้ว หรือว่าสิ่งที่ยังไม่ได้เกิดขึ้น เป็นไปได้หรือไม่ ใครจะพิจารณาสิ่งที่ดับแล้ว ไม่เหลือที่จะให้พิจารณาเลย และสิ่งที่ยังไม่เกิด ใครจะให้พิจารณาได้ แต่เพราะเหตุว่ากำลังรู้สิ่งที่ปรากฏ กว่าจะเป็นอย่างนี้ได้ ซึ่งจะถึงวิปัสสนาญาณระดับขั้นของ อุทยัพพยญาณ จึงสามารถที่จะประจักษ์แจ้งการเกิดดับ เมื่อนั้นก็รู้ว่าอะไรเป็นอดีต เพราะเมื่อสักครู่นี้เองที่เป็นปัจจุบันดับแล้ว และอะไรเป็นอนาคต ก็คือสิ่งซึ่งเมื่อสักครู่ไม่มี แต่เมื่อสิ่งนั้นดับไปแล้วก็สืบต่อ
ผู้ฟัง สภาพธรรมที่ตามหลังปรากฏ ณ ปัจจุบันเป็นสิ่งที่ควรรู้ ดังนั้นประโยคที่ว่า ตามรู้
ท่านอาจารย์ ใครกล่าว
ผู้ฟัง เคยได้ยินมา
ท่านอาจารย์ เคยได้ยิน แล้วพิจารณาเข้าใจว่าอย่างไร
ผู้ฟัง เพราะถ้าเป็นการตามรู้ก็คือ เป็นอดีตไปแล้ว
ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาเลย แล้วจะรู้อะไร เห็นหรือไม่ ต้องคิด
ผู้ฟัง ต้องรู้สภาพธรรม
ท่านอาจารย์ คำที่ว่า ถ้าไม่มีอะไรเกิดเลย แล้วจะไปรู้อะไร
ผู้ฟัง สภาพธรรมต้องเกิดดับสืบต่อ
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นรู้อะไร
ผู้ฟัง รู้ขณะนี้ ที่กำลังปรากฏ ดังนั้นประโยคที่ว่า ตามรู้
ท่านอาจารย์ เราคิดเองหรือเราเข้าใจคำว่า ตามรู้ เห็นหรือไม่ แค่คำว่า ตามรู้คำเดียว เราคิดเอง หรือเราเข้าใจความหมายของคำว่า ตามรู้ แล้วลองพิจารณา ถ้าไม่มีอะไรปรากฏเลย จะรู้อะไร จะไปตามอะไร ไม่มีอะไรปรากฏ แค่นี้ก็ต้องพิจารณาแล้วแต่ละคำ แล้วจะบอกว่าถ้าอย่างนั้นก็ไม่ถูก คิดเองอีก คิดเองทั้งหมด เราเป็นใคร และความลึกซึ้งของพระธรรมแค่ไหน
เพราะถ้าเราเป็นคนที่ตรง ละเอียด และรู้ว่าขณะนี้สภาพธรรมเกิดดับเท่าไร ลองนับดู เพราะจิตเห็นเกิดขึ้นเห็น ดับ ก่อนดับไม่รู้หรือไม่ว่า อกุศลคือความไม่รู้เกิดแล้ว ก่อนที่จะมาเป็นดอกไม้สักดอกหนึ่ง คนสักคน อะไรจะปรากฏพร้อมกันทีเดียวได้หรือไม่ หรือเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏเกิดดับ จนปรากฏเป็นรูปร่างสัณฐาน พอที่จะจำได้ว่า นี่เป็นตา นั่นเป็นคิ้ว ตั้งกี่คน แต่ปรากฏเหมือนว่าพร้อมกันเลยเดี๋ยวนี้คนมากมาย ไม่ได้ไปเจาะจงรู้อะไรสักอย่างเดียว แต่ก็รู้ไปหมดเลย จำชื่อยังได้ ใช่หรือไม่ ยังรู้เรื่องว่าเป็นใครด้วยซ้ำ มากมายก่ายกอง นี่ก็แสดงเห็นการเกิดดับสืบต่อเร็วสุดที่จะประมาณได้ ความรู้ต้องตามลำดับหรือเปล่า เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้นมาเลย จะไปตามอะไร จะไปรู้อะไร แต่สิ่งที่มีขณะนี้เกิดแล้วใช่หรือไม่ ดับแล้วใช่หรือไม่ เกิดอีกดับอีกๆ จนปรากฏให้รู้ว่า สิ่งนี้มีแน่นอนคือเห็น แต่จะไปเห็นหนึ่งขณะ มีใครเห็นการเกิดดับอย่างนั้นบ้าง
เพราะฉะนั้น ตามรู้หมายความว่าอะไร ถ้าเห็นกำลังปรากฏให้ไปรู้อย่างอื่นหรือ ได้ยินกำลังมี ให้ไปรู้อย่างอื่นหรือ หรือแม้ขณะนี้ มีได้ยินก็ยังไม่เคยรู้ตรงได้ยิน ไม่ต้องไปคิดเรื่องตามรู้ว่าเป็นจิตขณะไหน อย่างไร เพราะความจริง ขณะนี้เห็นกับได้ยิน เหมือนพร้อมกันหรือเปล่า
ผู้ฟัง เหมือนพร้อมกัน
ท่านอาจารย์ เหมือนพร้อมกัน แต่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงว่า จิตเห็นกับจิตได้ยินห่างกันโดยมีจิตเกิดขึ้นคั่นหลายขณะ แล้วเรารู้อะไร ในระหว่างที่จิตเห็นกับจิตได้ยินห่างกัน มีอะไรที่เกิดดับรู้หรือไม่
ผู้ฟัง ไม่รู้เลย
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นตามรู้ รู้อะไรที่ปรากฏ ใช่หรือไม่ ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเกิดดับก็ยังไม่ได้ประจักษ์การเกิดดับเลย แต่ไม่ใช่ไปรู้สิ่งที่ไม่มี เพราะฉะนั้นจึงเข้าใจว่า ตามรู้ ถ้าคิดถึงคำนี้โดยที่ไม่เข้าใจอะไรเลย ตามห่างมาก เขาอยู่นั้นเรารีบตามไป ใช่หรือไม่ คนนี้กำลังเดินตามไปๆ แต่เห็นกับได้ยินเหมือนพร้อมกัน ฉันใด โดยมีจิตคั่นมากมายหลายขณะ แต่แทนที่จะเป็นความไม่รู้ในสิ่งเหล่านั้น ปัญญาก็เกิดเหมือนพร้อมกับเห็นได้หรือไม่ เหมือนได้ยินกับเห็นพร้อมกันอย่างนั้นเลย ตามอย่างนั้น ไม่ใช่ตามอย่างอื่น เพราะฉะนั้นไม่ศึกษาธรรมแล้วคิดเอง ผิด
อ.ธิดารัตน์ จาก ปัญจวัคคิยสูตรที่ ๗ ในข้อ ๑๒๙ ดูก่อนพิสูจน์ทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแหละรูปอย่างใดอย่างหนึ่ง ทั้งที่เป็นอดีต อนาคตและปัจจุบัน ในภายในหรือภายนอก หยาบหรือละเอียด เลวหรือประณีต ทั้งที่อยู่ในที่ใกล้หรือที่ไกล รูปทั้งหมดนั้น เธอทั้งหลายพึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา เราไม่เป็นนั่น นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา คือทั้งอธิบายโดยนัยนี้ ไม่ว่าจะเป็นรูป เวทนา สัญญา หรือสังขาร วิญญาณ เธอทั้งหลายพึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริง
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรมละเอียด พิจารณาแต่ละคำ เพราะนี่ก็เป็นประโยคยาวแต่ก็ลองคิดถึงว่า ปัญญาจริงๆ เป็นเราหรือเปล่า เพราะได้กล่าวไว้แล้วในที่อื่น เพราะฉะนั้นที่ตรัสไว้ว่า เธอพึงเห็นด้วยปัญญา ไม่ใช่พึ่งเห็นด้วยความเป็นตัวตนที่จะไปรู้ เพราะฉะนั้นทั้งหมดต้องฟังจริงๆ ว่าแม้ปัญญาก็ไม่ใช่ของใคร แต่มีท่านพระสารีบุตร มีท่านพระมหาโมคคัลลานะ มีแต่ละท่านที่นี่ เพราะฉะนั้นใครก็แต่ละหนึ่ง พึงเห็นชอบด้วยปัญญา ไม่ใช่ด้วยความคิดของตัวเอง แต่เมื่อปัญญาเกิด ปัญญานั้นเห็นชอบ
เพราะฉะนั้นถ้าจะฟังคำเดียว คิดว่าเป็นเราหรือเปล่า เพราะเคยสะสมความเป็นเราไว้นานมาก เพราะฉะนั้นผู้ที่อ่านพระสูตรไม่ดี เป็นมิจฉาทิฎฐิ มีความเห็นผิด ต้องละเอียดรอบคอบมากในการเข้าใจทั้ง ๓ ปิฎก ว่าละเอียดลึกซึ้ง ถ้าฟังอย่างนี้เผินๆ จะทำอย่างไร พิจารณาอดีต ปัจจุบัน อนาคตไกลใกล้อยู่ไหน หยาบละเอียดอยู่ไหน ภายในภายนอกอยู่ไหน บอกมาเสียก่อน และจะได้ไปพิจารณาได้ ไม่ใช่ไม่รู้อะไรเลย พอฟังก็หยาบละเอียด ไกลใกล้ เดี๋ยวนี้อะไรหยาบ เดี๋ยวนี้อะไรละเอียด ไม่ว่าจะเป็นรูปขันธ์ เวทนา ความรู้สึกหรือสัญญาความจำ ละเอียดอย่างไร ภายในอย่างไร ภายนอกอย่างไร ไกลใกล้อย่างไร รู้หรือเปล่า เหมือนรู้แล้วทั้งหมดเวลาฟัง แต่ต้องรู้จักตนเองตามความเป็นจริง ศึกษาธรรมโดยละเอียดจริงๆ
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 781
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 782
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 783
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 784
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 785
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 786
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 787
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 788
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 789
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 790
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 791
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 792
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 793
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 794
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 795
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 796
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 797
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 798
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 799
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 800
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 801
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 802
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 803
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 804
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 805
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 806
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 807
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 808
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 809
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 810
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 811
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 812
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 813
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 814
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 815
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 816
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 817
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 818
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 819
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 820
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 821
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 822
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 823
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 824
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 825
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 826
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 827
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 828
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 829
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 830
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 831
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 832
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 833
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 834
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 835
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 836
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 837
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 838
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 839
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 840
