ปกิณณกธรรม ตอนที่ 824
ตอนที่ ๘๒๔
สนทนาธรรม ที่ โรงแรมอาริยา ประเทศศรีลังกา
วันที่ ๑๘ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๘
ท่านอาจารย์ ชาติหนึ่งในสังสารวัฏคือชาตินี้ เพราะฉะนั้นทุกขณะ คือ ณ กาลครั้งหนึ่งในสังสารวัฏ เพราะไม่มีใครคิดว่า สิ่งที่เกิดดับแล้วไม่กลับมาอีกเลยในสังสารวัฏ มิฉะนั้นจะดับการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเราไม่ได้ แต่ลองคิดดู เกิดคนเดียว ไม่มีใครพามาด้วย อาจจะมาจากสวรรค์แสนไกล แต่กรรมมีกำลังเป็นปัจจัยเกิดที่ไหนก็ได้ เพราะฉะนั้นเวลาที่มีความเข้าใจธรรมถูกต้อง จะไม่มีสถานที่ จะไม่มีอะไรเลย แต่ว่ามีธาตุที่เกิดขึ้นแต่ละหนึ่ง ซึ่งขณะนั้นก็ไม่ใช่เรา ปรากฏความเป็นอนัตตาชัดเจน เพราะฉะนั้นการฟังธรรมเพื่อรู้ว่า ปัญญาสามารถที่จะรู้จริงๆ แต่ไม่ใช่ด้วยความอยาก แต่ด้วยบารมีที่ได้ทรงแสดงไว้ว่า กุศลทั้งหลาย เมื่อประกอบด้วยปัญญาก็จะรู้ได้ว่า ต่างกับ กุศลที่ไม่ประกอบด้วยปัญญา เช่น ศีล หลายคนก็จะบอกว่าต้องรักษาศีลก่อน แต่รู้ไหมว่าศีลคืออะไร นั่นคือศีลก่อนได้ฟังพระธรรม แต่พอได้ฟังพระธรรมแล้ว ต่างกันมากเลย รู้ว่า ศีลก่อนที่ได้ฟังพระธรรมไม่ใช่หนทางที่จะนำไปสู่การรู้แจ้งอริยสัจธรรม เพียงแค่มีความเป็นตัวตนว่าเรารักษาศีล และเราก็จะได้ผลของการรักษาศีล แต่ไม่รู้ว่าอยู่ในสังสารวัฏไป ไม่มีทางออกจากสังสารวัฏได้เลย จนกว่าจะรู้ว่าไม่มีเรา แต่เป็นธรรมทั้งหมด
เพราะฉะนั้นจึงมีศีลที่รักษากันก่อนการได้ฟังพระธรรม และศีลซึ่งละเอียดขึ้นๆ เมื่อได้ฟังพระธรรมก็รู้ว่า ขณะนั้นก็ไม่ใช่เรา นี่คือหนทางที่จะทำให้ไม่ต้องมาเห็นอีก ได้ยินอีก ซึ่งชาตินี้ก็ดูไม่ลำบากแต่ว่าไม่จบสิ้น อีกแสนนานเท่าไหร่ก็ต้องเป็นอย่างนี้ เหมือนกับที่ผ่านมาแล้วนานแสนนานก็เป็นอย่างนี้ แต่จำไม่ได้ แล้วก็ไม่รู้เป็นกาลครั้งหนึ่งจริงๆ เพราะฉะนั้นประโยชน์สูงสุดคือขอให้ได้มีโอกาสได้ฟัง และก็ได้เข้าใจธรรม
ผู้ฟัง ฟังอย่างไรถึงจะได้เข้าใจมากขึ้น เพราะว่าบางครั้งก็เข้าใจ บางครั้งก็ไม่เข้าใจ บางครั้งก็สิ่งแวดล้อม การงานต่างๆ มาทำให้จิตคิดไปทางอื่น จะมีวิธีอย่างไรบ้างที่จะฟังและเข้าใจมากขึ้นดีขึ้น เมื่อสิ่งแวดล้อมต่างๆ มาเอง โดยที่เราบังคับบัญชาไม่ได้
ท่านอาจารย์ คุณหมอตกหลุมโลภะ เห็นไหม บังคับบัญชาไม่ได้ ต้องรวมทั้งบังคับบัญชาไม่ได้ที่จะได้ฟังและได้เข้าใจ ได้ฟัง ได้ฟัง แต่ก็ยังแล้วแต่ว่าจะได้ฟังมากหรือน้อย และที่ได้ฟังจะเข้าใจมากหรือน้อยก็บังคับบัญชาไม่ได้ อยู่ที่การที่ได้ฟังแล้วแต่ละคำมั่นคงสอดคล้องกันทั้งหมด เช่น คำว่าธรรม ไม่ใช่ใครทั้งสิ้น เป็นสิ่งที่มีจริงเกิดแล้วปรากฏ แต่ไม่มีใครไปทำให้เกิด แต่มีปัจจัยที่จะทำให้เกิดก็ต้องเกิด เกิดแล้วก็ดำรงมั่นคงอยู่ต่อไปไม่ได้ เกิดแล้วก็ต้องดับไป ต้องเริ่มมั่นคงตั้งแต่คำแรกทีละคำๆ ที่ได้ฟังขึ้น เพราะเหตุว่าเกิดมา ตาไม่บอด แต่กรรมที่ได้ทำไว้ชาติไหน ก็ทำให้เป็นคนตาบอด คือไม่มีจักขุปสาทเกิดอีกต่อไปได้ใช่ไหม
เพราะฉะนั้นจะไปว่าเมื่อไหร่จะรู้มากๆ อย่างนั้นอย่างนี้ ไม่มีทางเลย เพราะเหตุว่าธรรมลึกซึ้ง ถ้าใครอยากจะรู้เร็ว ประมาทพระปัญญาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คิดว่ามีหนทางอื่น ใครก็ได้บอกแล้วเราก็จะทำ แต่พระธรรมไม่ได้ทรงแสดงอย่างนั้นเลย ธรรมเป็นธรรม อวิชชาคือโมหะ ไม่รู้ไม่เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏตามที่ได้ฟัง เพียงแค่ฟังเริ่มเข้าใจ เลือกเห็นไม่ได้ เลือกได้ยินไม่ได้ เลือกเกิดไม่ได้ เลือกคิดเป็นอย่างอื่นไม่ได้ ทุกอย่างเกิดแล้ว แต่ไม่รู้ว่าเกิดเพราะอะไร อย่างเห็นเดี๋ยวนี้ ใครจะมานั่งคิด เกิดเพราะมีรูปๆ หนึ่ง มองไม่เห็นเลย หมอตา จักษุแพทย์ก็ไม่เห็น ใครก็เห็นไม่ได้ เพราะว่าถ้าเห็น ก็เห็นเพียงสิ่งที่สามารถกระทบกับรูปนั้นคือจักขุปสาท ตัวจักขุปสาทจะไปกระทบกับจักขุปสาทไม่ได้ แต่มีรูปหนึ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น รูปเดียวในบรรดาธรรมทั้งหมด ที่สามารถเราใช้คำง่ายๆ ว่ากระทบตา แต่ตาไม่ใช่ตาขาวตาดำ รูปที่มองไม่เห็นเลย ซึ่งกรรมเป็นปัจจัยให้เกิดขึ้น ซึ่งสามารถกระทบกับสิ่งที่ปรากฏ ถ้าไม่มีสิ่งที่ปรากฏมีแต่ตา นอนหลับ ตาก็ยังคงเกิดอยู่ เพราะว่ากรรมทำให้รูปนี้เกิด จะเห็นหรือไม่เห็นขณะนี้ รูปนั้นเกิดแล้ว ดับแล้ว อยู่ตลอดเวลา ต่อเมื่อไหร่มีสิ่งที่สามารถกระทบตา คือสิ่งที่กำลังปรากฏนี้เท่านั้น ก็เป็นปัจจัยให้กรรมหนึ่งที่ได้กระทำแล้ว เป็นเวลาสมควรที่จะให้ผลเกิดขึ้น เพราะว่าสิ่งที่กระทบตา เป็นสิ่งที่น่าพอใจ หรือไม่น่าพอใจ ก็เป็นผลของกรรมหนึ่ง ที่จะทำให้จิตเห็นสิ่งนั้นเลือกไม่ได้ เพราะอะไร ดับหมดทั้งสิ่งที่ปรากฏให้เห็นและสภาพที่เห็น ใครว่ายังอยู่บ้าง เมื่อวานนี้เห็นอะไรตั้งเยอะแยะ ไหน จิตไหนเห็น ดับแล้ว สิ่งที่ปรากฏให้เห็น ไหนเราบอกว่าเมื่อวานนี้ก็ดับหมดแล้ว
เพราะฉะนั้นชาตินี้เป็นชาติก่อนของชาติหน้า ไม่ต้องไปถามใครเลย ทำกรรมอะไรมาถึงได้เป็นคนนี้ ทำกรรมอะไรถึงได้ลาภอย่างนี้ เสื่อมลาภอย่างนี้ ไม่ต้องถามใคร เพราะเหตุว่าเขาตอบไม่ได้ แต่ไปเชื่อว่าเขาตอบได้ เขารู้ได้อย่างไร เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรม ทำให้มีเหตุผลตรงตามความเป็นจริงของธรรม และคนที่จะได้สาระจากธรรม ต้องเป็นคนตรง เพราะเหตุว่าธรรมตรง เหตุเป็นเหตุ ผลเป็นผล เพราะฉะนั้นถ้าสะสมความไม่รู้มามากในแสนโกฏิกัป แล้วให้ฟังธรรมอย่างไร เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ นอกจากโลภะจะตามไปดักไว้ทั้งหมด ก่อนฟังธรรมเราติดในอะไร ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข พอฟังธรรมไม่เอา เมื่อไหร่จะเข้าใจธรรม ได้เข้าใจเยอะๆ ใช่ไหม โลภะก็ตามไปนำทุกอย่าง เพราะฉะนั้นมีข้อความว่า โลภะเป็นอาจารย์และเป็นศิษย์ พอคิดอย่างนี้ อาจารย์แนะนำแล้ว ก็แล้วแต่จะไปได้ยินได้ฟังอะไร ที่จะทำให้เกิดความติดข้องได้เร็วๆ มากขึ้น ก็ลูกศิษย์ก็ตามไป ตามความต้องการอันนั้น
เพราะฉะนั้นต้องไม่ลืมธรรมเป็นเรื่องรู้ รู้อะไร รู้สิ่งที่กำลังปรากฏ รู้อย่างไร เข้าใจถูกเห็นถูกว่าขณะที่เห็นเดี๋ยวนี้ ไม่ต้องมีอย่างอื่นเลย มีแต่เห็นกับสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น ๒ อย่างนี้ต่างกัน เห็นเป็นธาตุรู้ แค่จะเข้าถึงธาตุรู้ ก็ยากทั้งๆ ที่กำลังเห็น เห็นไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏให้เห็น นี่คือฟังคำที่สามารถเข้าใจได้ในภาษาของตนของตน แต่ถ้าเป็นภาษาบาลีก็คือจักขุวิญญาณ วิญญาณคือสภาพรู้ ธาตุรู้ ซึ่งต้องอาศัยตาคือจักขุ ถ้าไม่มีจักขุปสาท จิตที่เป็นธาตุรู้เกิดขึ้นเห็นไม่ได้เลย บังคับอะไรไม่ได้ แล้วก็ไม่ใช่เรา แล้วก็ชั่วคราว เพราะฉะนั้นฟังให้เป็นความเข้าใจ ไม่ใช่เป็นการว่าแล้วอย่างไรจะเข้าใจได้มากกว่านี้ เข้าใจแค่ไหนก็คือเข้าใจแค่นั้น
ผู้ฟัง อย่างมานี่ รู้สึกสบายว่างเปล่า พอมาอยู่บ้าน ก็นึกถึงคนไข้ นึกถึงความทุกข์ นึกถึงอะไรต่างๆ ที่รุนแรง บางคนเกือบจะเสียชีวิตไป
ท่านอาจารย์ คุณหมอทราบไหมว่า เพราะอะไร เพราะเราสะสมความติดข้องไว้มาก เพราะฉะนั้นความติดข้องก็มีปัจจัยที่จะเกิดขึ้นติดข้อง ถ้าเราเอาความติดข้องนี้ออกหมดเลย ทิ้งไปหมดเลย เราก็จะไม่ติดข้อง แต่ใครจะเอาอะไรออกจากจิต เพราะว่าความติดข้องไม่ได้อยู่ที่อื่น อยู่ที่จิตทุกขณะที่โกรธ โกรธดับไปแล้ว แต่เชื้อของความโกรธที่ได้โกรธครั้งหนึ่งเกิดขึ้น ยังติดอยู่ที่จิต ท่านใช้คำว่าฉาบทา อนุสัยกิเลส สิ่งนั้นหมดแล้วเหมือนเราดื่มกาแฟ กาแฟหมดแล้วดื่มอีกไม่ได้แล้ว แต่มองเห็นคราบกาแฟยังอยู่ที่ถ้วย เอามาดื่มได้ไหม ก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้นก็แสดงให้เห็นว่ากิเลสมีหลายระดับขั้น
เพราะฉะนั้นครั้งหนึ่งที่อกุศลจิตเกิดและดับ ไม่ได้หายไปหมดเลย เพียงแต่ว่าจิตนั้นดับจริง แต่ฐานะที่เกิดขึ้น สภาพที่ได้เกิดแล้วนั้น ติดอยู่ที่จิตเป็นอนุสัยกิเลส เมื่อเรามีมากๆ ก็เป็นปัจจัยให้เราเกิดความติดข้อง ถ้าเรามีปัญญามากๆ แทนอนุสัย มากกว่าหรืออาจจะมีมากพอ ก็เป็นปัจจัยให้เราเห็นประโยชน์ของกุศลที่จะละอกุศล เคยติดข้องในรูป เสร็จแล้วก็รูปนั้นก็ไม่มี ไม่เหลือ ต้องจากไปวันหนึ่ง ติดข้องในเสียง ในกลิ่น ในรส ในลาภ ในยศสรรเสริญ ก็ไม่เหลือเลย เพราะฉะนั้นชีวิตของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อครั้งที่เป็นพระโพธิสัตว์ ทรงแสดงไว้ให้เห็นความจริงโดยละเอียดว่า เลือกไม่ได้ กว่าจะสะสมปัญญาถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องผ่านชีวิต เป็นทั้งเศรษฐี เป็นทั้งพระราชา เป็นทั้งปุโรหิต เป็นทั้งคนยากเข็ญไร้ทรัพย์ ยิ่งกว่าใครทั้งนั้นก็ผ่านมาแล้ว เพราะฉะนั้นสิ่งที่หมดแล้วกลับมาอีกไม่ได้เลย แต่เป็นปัจจัยสะสมที่จะทำให้ต่อไปข้างหน้า เราจะเป็นใคร เป็นคนที่ดี สามารถที่จะสละสิ่งที่เป็นของเราให้เป็นประโยชน์แก่คนอื่นได้ เรื่องของกิเลสนี่ละเอียดมาก แต่ถ้าเป็นผู้มีปัญญารู้ว่าใครก็เอากิเลสออกจากเราไม่ได้เลย ต้องเป็นการเข้าใจธรรมตามความเป็นจริง พอเห็นประโยชน์อย่างนี้ ปัญญานำไปในกิจทั้งปวง ไม่ว่าจะเรื่องโลกเรื่องธรรมเป็นไปในทางกุศล ในทางที่ถูกต้อง ในทางที่เป็นประโยชน์ ในทางที่เป็นบารมี เพราะรู้ว่าไม่มีเรา มีแต่กิเลสอกุศล กับปัญญาหรือกุศล
เพราะฉะนั้นก็สะสมทางฝ่ายกุศล ถ้าเราสะสมทางฝ่ายกุศลไว้มาก เราก็ไม่มีความติดข้องว่าเป็นเราที่อยากจะมีปัญญามากๆ แต่รู้ว่าเป็นธรรม เพราะฉะนั้นก็เป็นอนัตตา ถ้าฟังมากและก็เข้าใจมาก เช่น อนัตตาเป็นสิ่งที่มีจริง แต่ไม่ใช่ใครและไม่ใช่ของใคร เห็นมีจริงเกิดแล้ว ดับแล้วเป็นของใคร ได้ยินทั้งวัน เมื่อวานนี้ก็ได้ยินแล้ว หมดแล้ว ดับแล้ว เป็นของใคร ก็ไม่เหลือเลย ก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้น เป็นเรื่องละ ไม่ใช่เป็นเรื่องได้ ละความไม่รู้และละความติดข้อง แต่ตราบใดที่เป็นปุถุชน ก็มีปุถุชน ๒ อย่างอันธพาลปุถุชน มืดบอด ไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าฟังก็ฟังเผิน เพราะว่ากราบไป หวังไป ขอไป แต่ไม่ใช่สิ่งที่จะเป็นประโยชน์อย่างแท้จริง เพราะว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ต้องการลาภ การกราบการไหว้จากใคร ของบูชาจากใคร แต่ว่าเพื่อให้คนนั้นมีความเข้าใจถูก เป็นปัญญาของตนเอง เพราะฉะนั้นคำใดที่ฟังแล้ว เป็นความเข้าใจถูกของเรา นั่นเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่คนพูดเยอะเลย บาลีก็เยอะ คำนั้นก็แยะ แต่คนฟังไม่เข้าใจอะไรเลย หมายความว่าคนนั้นก็ไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ไปชื่นชมบุคคลอื่น ซึ่งเพียงนำคำของพระพุทธเจ้ามากล่าวให้คนอื่นไม่รู้เรื่อง ก็เลยเข้าใจว่าเป็นประโยชน์ แต่ความจริงไม่รู้ว่าประโยชน์คืออะไร ประโยชน์คือความเห็นถูกของตนเอง ที่เกิดจากการฟังธรรมแล้วเข้าใจ
อ.อรรณพ สมมติเรามาที่นี่ ก็มีการสนทนา ก็มีปัจจัยให้ได้ฟังพระธรรมต่อเนื่อง แล้วก็มีปัจจัยให้เกิดกุศล มีการสนทนาธรรมกันเล็กๆ น้อยๆ ในกลุ่มบ้างหรือได้มีโอกาสได้ฟังเสียงธรรมในรถบ้าง อะไรอย่างนี้ แล้วก็ห่างไกลจากการงานที่จะเป็นเครื่องกังวล แต่จริงๆ ก็คือเป็นไปตามปัจจัย
ท่านอาจารย์ อย่างน้อยก็เห็นว่ากุศลมีกำลังที่สามารถที่จะปลีกตัวจากอกุศล แล้วก็ได้ฟังพระธรรม เพราะฉะนั้นก็จะเห็นกำลังว่า ถ้าเมื่อใดที่กุศลเกิดหมายความว่า ขณะนั้นมีกำลังพอที่จะเกิด มิฉะนั้นก็ต้องเป็นเรื่องของอกุศล เพราะฉะนั้นกุศลจะมีกำลังขึ้นอีก เมื่อกุศลเกิดบ่อยๆ เนืองๆ และเข้าใจขึ้น พอเข้าใจธรรมแล้ว ปัญญานำไปในกิจทั้งปวง
อ.อรรณพ ก็ต้องต่างกับถ้ากุศลไม่มีกำลัง ผูกพันเรื่องนั้นเรื่องนี้ไว้เยอะแยะ ก็เป็นปัจจัยให้การฟังธรรมก็กระท่อนกระแท่น ก็ต้องเป็นอย่างนั้น
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเพียงแค่กุศลเกิด อกุศลไม่เกิด ก็มีกำลังพอแต่ยังน้อย ก็ต้องอาศัยกำลังคือความเข้าใจเพิ่มขึ้นอีก และก็จะเห็นความต่างกันมากว่า อะไรก็ไม่มีค่าเท่ากับการได้เข้าใจพระธรรม
อ.อรรณพ ท่านอาจารย์ก็กล่าวถึงปัญญาว่านำไปในกิจทั้งปวง ความอัศจรรย์ของปัญญา เริ่มต้นจากแค่ไหน แล้วก็จะอัศจรรย์ไปอย่างไร
ท่านอาจารย์ เริ่มต้นจากไม่เคยรู้เลยว่า เดี๋ยวนี้เป็นธรรม จนกระทั่งถึงดับกิเลสหมดได้ถึงความเป็นพระอรหันต์ ต้องมาจากความเข้าใจ ไม่ใช่เพียงแค่ได้ฟัง เพราะฉะนั้นคำว่าธรรม ไม่ลืมว่าธรรมทั้งหลายไม่เว้นเลย เป็นอนัตตาไม่ใช่เรา เพียงเกิดขึ้นปรากฏแล้วหมดไป แต่ว่าการเกิดดับสืบต่อเร็ว จนกระทั่งเหมือนมายากล เป็นนกออกมาจากหมวก อะไรต่ออะไรก็ได้ทุกอย่าง แต่เขาก็มีการแสดงให้เห็นว่าเบื้องหลังของมายากลนั้นคืออย่างไร แต่ทีนี้ความไม่รู้ เพราะไม่ได้ฟังพระธรรม คิดเองได้ไหมที่จะรู้ ถ้าอย่างนั้นคือไม่รู้จักพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นการที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็คือเมื่อได้ฟังธรรมแล้วเข้าใจ จะเห็นความห่างไกลกันมาก จากการที่อย่างคุณอรรรณพถาม เริ่มจากการไม่รู้ว่าเป็นธรรม ไม่รู้จริงๆ เป็นเรา เป็นโต๊ะ เป็นเก้าอี้ เป็นดอกไม้ แต่ถ้าไม่มีธรรม จะไม่มีสิ่งต่างๆ เหล่านี้เลย เช่น คำว่าโลก โลกะ ในภาษาบาลี เราก็โลกนี้ โลกมนุษย์ เราเกิดในโลกนี้เราอยู่ในโลกนี้ แต่โลกในวินัยของพระอริยเจ้า ในการกำจัดกิเลสหมดแล้ว เห็นโลกตามความเป็นจริงว่า ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยสักอย่างเดียว จะมีโลกไหม ต้องไม่มีแน่นอน แต่พอมีดาวเกิดมีดาว มีต้นไม้เกิดมีต้นไม้ เพราะฉะนั้นเมื่อมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิด เมื่อนั้นแหละสิ่งนั้นแหละเป็นโลกคือสิ่งที่จากไม่มี ก็มีเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เพราะฉะนั้นการเข้าใจโลกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากับของคนอื่น นี่ต่างกัน ของเราเข้าใจนิดหนึ่ง จากไม่มีอะไรเลยก็ต้องไม่มีโลก แต่พอมีอะไรเกิดขึ้น เช่น ต้นไม้ ดอกไม้ หรือแม่น้ำ ภูเขา เราก็บอกว่าเป็นโลก แต่ยังไม่ถึงความเข้าใจว่า สิ่งที่เกิดนั่นแหละดับเร็วสุดที่จะประมาณได้
เพราะฉะนั้นความเข้าใจของเราค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ ไตร่ตรอง เพื่อละการไม่รู้ว่า ที่เรายังคงเห็นว่าเป็นคนนั้นคนนี้ ต้องเป็นอย่างนี้ เพราะเหตุว่าสภาพธรรมเกิดดับ สภาพรู้หรือธาตุรู้ที่เราใช้กันบ่อยๆ ว่าคนนั้นใจร้าย คนนั้นใจดี จิตก็คือธาตุรู้ ต้องเห็น หรือต้องได้ยินสิ่งที่กำลังปรากฏ รู้แจ้งสิ่งที่ปรากฏ ส่วนสภาพธรรมที่เกิดกับจิต ชอบ ไม่ชอบ พวกนี้ไม่ใช่จิต แต่เป็นเจตสิก เพราะฉะนั้นโลกนี้ก็คือจิต เจตสิก เมื่อมีสัตว์บุคคล และก็ยังมีธรรมอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลยทั้งสิ้น แข็งอ่อน เย็นร้อน เสียง หวาน เปรี้ยว พวกนี้ ใช้คำว่ารูปธรรม เพื่อจำแนกให้เห็นว่าธรรมนั่นเอง ไม่ใช่เรา แต่ธรรมก็หลากหลายมาก ที่เป็นธรรมที่ไม่รู้อะไรก็มี และเป็นธรรมซึ่งเกิดขึ้นต้องรู้ก็มี นี่เริ่มมีความเข้าใจโลกคือสภาพธรรมที่เกิดว่า แท้ที่จริงโลกก็คือจิต และก็เจตสิกที่เกิดพร้อมจิต และก็รูป ซึ่งไม่ใช่สภาพรู้ ความเข้าใจของเราก็มั่นคงที่ว่า ไม่มีเราแต่ว่ามีธรรม ถ้าไม่มีธรรม อะไรอะไรก็ไม่มี แต่ธรรมก็หลากหลายมาก เพราะฉะนั้นจากการที่ได้ทรงตรัสรู้ ก็จำแนกธรรมประเภทที่ต่างกัน คือสภาพธรรมอย่างหนึ่งไม่รู้อะไรเลย แต่ถ้าไม่มีธาตุรู้เกิดขึ้นรู้ หรือเห็น หรือได้ยิน สิ่งเหล่านั้นก็ปรากฏไม่ได้ เพราะฉะนั้นโต๊ะไม่มีจักขุปสาท ไม่มีตา ไม่มีเห็น ไม่รู้อะไร ใครจะตี ใครจะจับอย่างไร โต๊ะก็ไม่มีความรู้สึกใดๆ ทั้งสิ้น แต่ธาตุรู้ที่กำลังรู้แข็ง ขณะนี้ทุกคนมีแข็งปรากฏให้รู้ เพราะฉะนั้นธาตุรู้ต้องมี
เพราะฉะนั้นธาตุที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้ คือจิต แต่จิตไม่ได้โกรธ ไม่ได้ชอบ ไม่ได้จำอะไรเลยทั้งสิ้น นั่นเป็นหน้าที่ของสภาพธรรมที่เป็นนามธรรมเป็นธาตุรู้ แต่ไม่ใช่จิต แต่เกิดพร้อมจิต ดับพร้อมจิต จึงใช้คำว่า เจตสิกะ คนไทยก็บอกว่าเจตสิก เพราะฉะนั้นทั้งวันก็คือ จิต เจตสิก รูป ขณะที่เห็นก็คือจิต เจตสิก เห็นรูป ขณะที่ได้ยินก็จิต เจตสิก ได้ยินรูป แต่ละรูป ขณะที่กระทบสัมผัส ก็คือจิต เจตสิก รู้รูปทางกาย เพราะฉะนั้นโลกนี้ปรากฏเมื่อมี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ๕ ทาง ทันทีที่เห็นดับ คิดเลย ยับยั้งไม่ได้เลย ไม่รู้ว่าขณะนี้กำลังคิด ถ้าไม่คิดมีแต่เห็นใช่ไหม แต่เห็นแล้วจำ เพราะฉะนั้นทันทีที่เห็นดับไป จำทำให้รู้ว่าเห็นอะไร สิ่งที่เห็นนั่นแหละ ก็สามารถที่จะจำได้แล้วก็รู้ว่าเป็นคนนั้นคนนี้
เพราะฉะนั้นธรรมนี่เป็นเรื่องที่ละเอียดมาก ถ้าไม่มีการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีทางที่สัตว์โลกจะสามารถเข้าใจสิ่งที่มีได้ เพราะเหตุว่าไม่รู้มานานแสนนาน เพราะฉะนั้นแสนโกฏิกัปด้วยความไม่รู้ จะให้รู้ทันทีเป็นไปไม่ได้เลย แต่รู้ได้ว่าเริ่มเข้าใจขึ้น เพราะฉะนั้นเข้าใจต่างกับไม่เข้าใจ และคำในภาษาบาลีทั้งหมด ก็คือเดี๋ยวนี้ อวิชชาตรงกันข้ามกับวิชชา วิชชาคือรู้ อวิชชาคือไม่รู้ เดี๋ยวนี้มีไหม ทำไมจะไม่มี เห็นก็ไม่รู้ว่าเป็นเห็น เห็นเกิดก็ไม่รู้ ดับก็ไม่รู้ นี่คืออวิชชา เพราะฉะนั้นการที่จะเข้าใจธรรม ทั้งหมดทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็คือว่าเมื่อเข้าใจสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ เพราะสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ แค่นี้ทรงแสดงความละเอียดยิ่งโดยความเป็นขันธ์ สภาพธรรมที่เกิดดับโดยความเป็นธาตุ ธา-ตุ ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงลักษณะนั้นได้เลย โดยความเป็นอายตนะ ต้องมีสภาพธรรมประชุมรวมกัน มีแต่ตาไม่มีอะไรมากระทบ เห็นก็เกิดไม่ได้ ต้องมีทั้งตาที่เกิดและยังไม่ดับ สิ่งที่กระทบตาเกิดและกระทบและยังไม่ดับ เป็นปัจจัยให้จิตเกิดขึ้นเห็น ๑ ขณะแล้วดับ และก็จิตอื่นก็เกิดสืบต่อ เมื่อรูปยังไม่ดับ ก็ต้องรู้รูปนั้นแหละใน ๑๗ ขณะ ซึ่งขณะนี้ระหว่างเห็นกับได้ยิน รูปเกิดดับเกิน ๑๗ ขณะจิต แล้วใครจะรู้ว่าไม่มีเรา มีแต่ธรรม
เพราะฉะนั้นมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง ไม่ใช่พึ่งอย่างอื่นเลย พึ่งเพื่อให้มีความเข้าใจถูก มีความเห็นถูกอย่างที่พระผู้มีพระภาคได้ทรงตรัสรู้แล้ว พึ่งคนอื่นไม่ได้เลย เพราะเหตุว่าทุกคำที่เป็นคำจริง เป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ว่าใครจะพูด แต่ถ้าคำไหนก็ตาม ไม่ทำให้เข้าใจความจริงของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ ไม่ใช่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะว่าถ้าไม่เข้าใจสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ แล้วจะเข้าใจอะไรเมื่อไหร่ เมื่อสักครู่นี้ดับแล้ว ไม่เหลือเลย ไม่กลับมาอีก สิ่งที่ยังไม่เกิดก็ยังไม่เกิด แล้วเราจะไปรู้สิ่งที่ดับแล้วกับสิ่งที่ยังไม่เกิดได้อย่างไร เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะแสดงอายตนะ ขันธ์ ธาตุ ปฏิจจสมุปบาท อริยสัจจะคือเดี๋ยวนี้ นี่คือค่อยๆ ฟัง แล้วค่อยๆ เข้าใจว่า พระธรรมทั้งหมดที่ทรงแสดงให้เข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ และกำลังมีด้วย แล้วก็จะมีต่อๆ ไปด้วย เพราะฉะนั้นอดีต เมื่อสักครู่นี้สั้นมาก เป็นอดีตแล้ว และอนาคตก็กำลังเป็นปัจจุบันแล้ว ทันทีที่ปัจจุบันหมดเป็นอดีต อนาคตก็กำลังเกิดขึ้นแทนปัจจุบัน เพราะฉะนั้นอดีต ปัจจุบัน อนาคตก็คือเดี๋ยวนี้
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 781
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 782
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 783
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 784
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 785
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 786
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 787
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 788
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 789
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 790
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 791
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 792
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 793
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 794
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 795
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 796
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 797
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 798
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 799
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 800
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 801
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 802
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 803
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 804
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 805
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 806
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 807
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 808
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 809
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 810
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 811
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 812
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 813
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 814
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 815
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 816
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 817
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 818
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 819
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 820
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 821
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 822
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 823
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 824
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 825
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 826
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 827
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 828
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 829
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 830
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 831
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 832
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 833
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 834
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 835
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 836
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 837
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 838
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 839
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 840
