ปกิณณกธรรม ตอนที่ 829
ตอนที่ ๘๒๙
สนทนาธรรม ที่ รัฐเกรละ ประเทศอินเดีย
วันที่ ๒๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๘
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ปรากฏทั้งหมดไม่ได้รู้ จึงฟังเพื่อรู้ เพื่อจะได้รู้ในขณะที่สิ่งนั้นปรากฏเห็นไหม ขั้นตอนฟังเพื่อรู้ในขณะที่สิ่งนั้นปรากฏ ถ้าสิ่งนั้นไม่ปรากฏเราเรียกชื่อเต็มเลย โลภมูลจิตมี ๘ ดวง มีทิฏฐิเกิดร่วมด้วย ๔ ดวง เกิดพร้อมกับความรู้สึกเฉยๆ ๔ ดวง รู้ไปหมดเลย แต่พอเกิดจริงๆ ไม่รู้ว่านั่นเป็นธรรม เพราะฉะนั้นจึงมีหลายขั้นตอนของการที่ความไม่รู้ที่มีมาก สะสมมาเนิ่นนานแสนโกฏิกัป ทั้งเหนียว ทั้งแน่น ทั้งหนา ทั้งลึก แล้วจะหมดไปได้ คิดดู จะเข้าใจธรรมจนถึงรู้ความจริงอย่างที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เพราะทรงพระมหากรุณาให้คนอื่นได้เข้าใจ จนถึงรู้ความจริงแต่ละคำแต่ละคำ กว่าจะรู้ความจริงได้ เพราะฉะนั้นต้องรู้ว่ากำลังฟังเรื่องสิ่งที่มี ไม่ใช่ให้เข้าใจเพียงแค่มี แต่เมื่อสิ่งนั้นปรากฏรู้ตามที่ได้ฟัง ไม่ต้องไปหาตัวอย่างที่ไหนใช่ไหม ถ้าตึงยังไม่ปรากฏ พูดถึงตึงก็มีแล้ว แต่ไม่ปรากฏ แต่กำลังตึงนั่นแหละ ลืมว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นฟังจนกว่าจะเข้าใจถูกต้องว่าไม่ใช่เรา มีเย็นร้อน มีอ่อนแข็ง มีตึงไหว มีอะไรอีก ก็เสียงก็มี แล้วเสียงเราหรือเปล่า
ผู้ฟัง ไม่ใช่
ท่านอาจารย์ เสียงคนนั้นเสียงคนนี้หรือเปล่า
ผู้ฟัง เสียงเป็นเสียง
ท่านอาจารย์ คือไม่ใช่ไปจำมาตอบ แต่จริงๆ แล้วก็เสียงเป็นอื่นไม่ได้เลย ทุกคำเป็นแต่ละหนึ่ง และเสียงหนึ่งเกิดและดับไม่กลับมาอีก ร้อนกำลังปรากฏเกิดเป็นร้อนปรากฏแล้ว ดับไปไม่กลับมาอีก นี่คือสังสารวัฏ ไม่มีเราสักอย่างเดียว แต่ว่าเป็นธรรมซึ่งเกิดลักษณะหลากหลายตามเหตุตามปัจจัย เมื่อดับแล้วไม่กลับมาอีก คำนี้ทำไมพูดบ่อยๆ เพื่อวันหนึ่งจะรู้ความจริง เพื่อละการยึดถือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะที่เราเห็นเป็นดอกไม้ เห็นเป็นโต๊ะ เห็นเป็นอะไร เพราะเหตุว่าเราแค่ฟังความจริง แต่ยังเป็นดอกไม้ ยังเป็นคน ยังเป็นเรา เพราะฉะนั้นปัญญาขั้นนี้น้อยมาก เทียบกับอวิชชาที่มากมาย แล้วกว่าจะค่อยๆ ให้สิ่งที่บังอยู่เวลานี้คือความไม่รู้ กับ ความติดข้อง ค่อยๆ จางไปหมดไป จนกระทั่งสภาพธรรมปรากฏตรงตามที่ได้ฟัง เพราะไม่ใช่ว่าฟังเรื่องไม่จริง ฟังเรื่องจริง แต่ยังไม่สามารถที่จะรู้ความจริงอย่างนั้น จึงต้องฟังต่อไป และก็เป็นผู้ที่ตรงด้วยว่าฟังแล้ว ทั้งๆ ที่กำลังเห็น เข้าใจจากการฟังว่าไม่ใช่เรา แต่ความจริงก็ยังไม่ถึงขั้นที่จะละความเป็นเรา เพราะปัญญาขั้นฟังไม่สามารถที่จะทำกิจนั้นได้ แต่มีความมั่นใจ ปัญญาต้องรู้ได้ ถ้ารู้ไม่ได้ ไม่มีคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะไม่มีการตรัสรู้ความจริง แต่เมื่อความจริงรู้ได้ ก็ความจริงเป็นอย่างนี้ แต่ที่ไม่รู้ก็คือความไม่รู้นั่นเอง จะเปลี่ยนความไม่รู้ให้เป็นความรู้ก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้นความไม่รู้ต้องค่อยๆ น้อยลง ตามความเข้าใจถูกที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้น จึงสามารถที่จะให้สภาพธรรมขณะนี้ปรากฏตามความเป็นจริงอย่างนั้นได้ เพราะฉะนั้นก็รู้ได้เลย ไม่มีใครไปพยายาม ไปทำ ไปขวนขวาย นอกจากการฟังพระธรรมแล้วความเข้าใจนั่นแหละเกิดได้ ซึ่งก่อนฟังไม่มี ใช่ไหม แต่ฟังแล้วยังเกิดได้ ถ้าฟังมากขึ้นจะเกิดได้มากขึ้นไหม จนกระทั่งสามารถที่จะรู้ความจริงได้ ตอนนี้ค่อยๆ เข้าใจ
ผู้ฟัง เข้าใจแล้ว
ท่านอาจารย์ ทีนี้ให้ทราบได้ว่าทั้งวัน ตั้งแต่เกิด มีแต่รูปแค่นี้ปรากฏ มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น มีเสียง มีกลิ่น มีรส และก็มีเย็น ร้อน อ่อน แข็ง ตึง ไหว ๗ รูปนับแล้ว ทั้งวันทุกชาติปรากฏตลอดเวลา แต่ว่ายังไม่ได้เข้าใจละเอียดขึ้น จนสามารถที่จะรู้ว่า สิ่งที่ปรากฏทางตาใช้คำสั้นๆ ว่าสี หมายถึงอะไร
ผู้ฟัง สิ่งที่ปรากฏทางตาได้เท่านั้น
ท่านอาจารย์ สิ่งเดียวที่ปรากฏการณ์ทางตาได้ เป็นคนหรือเปล่า
ผู้ฟัง ไม่เป็น
ท่านอาจารย์ เป็นดอกไม้หรือเปล่า
ผู้ฟัง ไม่เป็น
ท่านอาจารย์ เป็นโต๊ะหรือเปล่า
ผู้ฟัง ไม่เป็น
ท่านอาจารย์ แต่เป็นรูปเดียวที่สามารถกระทบตา คือจักขุปสาท แล้วสีนี้อยู่ที่ไหน
ผู้ฟัง สีก็อยู่ที่มหาภูตรูป
ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีเย็นร้อน อ่อนแข็ง ตึงไหว ไม่มี แต่มหาภูตรูปกระทบตาไม่ได้ แต่ธาตุหนึ่งซึ่งรวมอยู่ เกิดพร้อมกับมหาภูตรูป อาศัยมหาภูตรูปเท่านั้นที่กระทบตาได้ ภาษาบาลี ใช้คำว่า มหาภูตรูป รูปที่เป็นใหญ่เป็นประธาน หมายความว่าอย่างไร หมายความว่า ถ้าไม่มีดิน น้ำ ไฟ ลม ดินคืออ่อนหรือแข็ง ไฟคือเย็นหรือร้อน ลมคือตึงหรือไหว ธาตุน้ำไม่สามารถกระทบกายปสาท จึงไม่ปรากฏเพราะว่าเป็นธาตุที่เกาะกุมซึมซาบเอิบอาบ ที่ธาตุทั้ง ๔ ไม่แยกจากกัน เพราะมหาภูตรูปที่เป็นธาตุน้ำเกาะกุมซึมซาบอยู่ เพราะฉะนั้นเวลากระทบกาย ธาตุนี้จึงไม่ปรากฏ ปรากฏแต่จะเพียงเย็นหรือร้อน ๑ อ่อนหรือแข็ง ๑ ตึงหรือไหว ๑ ทั้งๆ ที่มหาภูตรูปมี ๔ ถ้าไม่มีมหาภูตรูป รูปใดๆ ก็ไม่มี เพราะฉะนั้นเสียงอยู่ที่ไหน ก็อยู่ที่มหาภูตรูป เกิดเพราะมหาภูตรูป แต่มหาภูตรูปไม่ใช่เสียง เพราะว่ามหาภูตรูปไม่ได้ปรากฏให้เห็นเลย เสียงก็มีมหาภูตรูป แต่เสียงสามารถกระทบโสตปสาท รูปพิเศษ เหมือนสิ่งที่ปรากฏทางตาก็เป็นอีกรูปหนึ่ง แต่ก็อยู่ที่มหาภูตรูปนั่นแหละ แต่ว่ากระทบจักขุปสาทได้ เพราะฉะนั้นที่ปรากฏเหมือนกับเปล่าๆ แต่ความจริงต้องมีมหาภูตรูป มิฉะนั้นรูปเหล่านี้ก็มีไม่ได้เลย กลิ่นอยู่ที่ไหน
ผู้ฟัง ที่มหาภูตรูป
ท่านอาจารย์ รสอยู่ที่ไหน
ผู้ฟัง มหาภูตรูป
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นจะมีรสเปล่าๆ ไม่มีอาหารเป็นคำๆ ได้ไหม ไม่ได้ อยู่ดีๆ ก็ให้มีเฉพาะรสลอยๆ เป็นไปไม่ได้ใช่ไหม แต่ไม่ว่าจะเป็นเนื้อ เป็นไข่ เป็นนม เป็นขนมปัง เป็นกล้วย เป็นมหาภูตรูป ต่อเมื่อไหร่กระทบลิ้น เฉพาะจิตที่อาศัยการกระทบกันของรสที่กระทบลิ้น เป็นปัจจัยให้ธาตุรู้เกิดขึ้นลิ้มรส ไม่ใช่เรา คือฟังธรรมทั้งหมด เพื่อความเข้าใจว่าไม่ใช่เรา ไม่ใช่เพื่อไปสงสัยว่า แล้วทำไมเป็นอย่างนี้ แล้วทำไมไม่เป็นอย่างนั้น ใช่ไหม แต่ว่าธรรมเป็นอย่างนี้จะให้เป็นอย่างอื่นได้หรือ เพราะฉะนั้นก็รู้ตามความเป็นจริงของธรรมนั้นๆ เพราะฉะนั้นอัพยากตธรรมมีอะไรบ้าง
ผู้ฟัง มีรูป
ท่านอาจารย์ แล้วมีอะไรอีก
ผู้ฟัง นิพพานที่เป็นปรมัตถธรรม
ท่านอาจารย์ มีอะไรอีก
ผู้ฟัง มีจิต มีเจตสิก
ท่านอาจารย์ จิตอะไร
ผู้ฟัง จิตที่ไม่ใช่กุศลแล้วก็ไม่ใช่อกุศล
ท่านอาจารย์ ถูกต้อง เพราะฉะนั้นจิตอะไร ไม่ใช่กุศล ไม่ใช่อกุศล
ผู้ฟัง เป็นวิบาก เป็นกิริยา
ท่านอาจารย์ วิบากคืออะไร
ผู้ฟัง วิบากคือผลของกรรม
ท่านอาจารย์ เป็นผลของกรรม ถ้าไม่มีกรรม วิบากจิตเกิดไม่ได้ เพราะฉะนั้นเมื่อกรรมสำเร็จแล้ว จะนานสักเท่าไหร่ก็ตาม สามารถที่จะเป็นปัจจัยให้จิตซึ่งเป็นผลของกรรมนั้นเกิดขึ้น คือต้องเห็น ขณะนี้เห็นแล้ว ต้องเห็นใช่ไหม
ผู้ฟัง ต้องเห็น
ท่านอาจารย์ เห็นแล้วไม่เห็นได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ ไม่ได้ ทำให้เห็นเกิดขึ้นได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ ไม่ได้ เพราะฉะนั้นคำว่าวิบากมาจากคำว่า วิปากะ สภาพที่สุกงอมของกรรม เพราะกรรมมีมาก หลายกรรมในสังสารวัฏนับไม่ถ้วน แต่กรรมที่ทำให้จิตเห็นเกิดขึ้นก็เป็นกรรมหนึ่ง ที่เป็นโอกาส กาลที่กรรมนั้นจะทำให้เห็นเกิดขึ้น เห็นสิ่งที่กระทบตา แล้วแต่ว่าสิ่งที่กระทบตาเป็นสิ่งที่น่าพอใจ หรือไม่น่าพอใจ ถ้าเป็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจเลย ขณะนั้นอกุศลกรรมที่ได้ทำแล้ว ๑ อกุศลกรรม ขณะที่กำลังทำ ก็ไม่รู้ว่าจะให้ผลเมื่อไหร่ กำลังเป็นผลของกรรมก็ไม่รู้ว่าผลของกรรมขณะนี้มาจากกรรมไหน เพราะฉะนั้นเราจะรู้ได้ไหมว่า กำลังเห็น เป็นผลของกรรมอะไร
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ ไม่ได้แน่นอน เพราะไม่ใช่วิสัย เพียงแต่สามารถแค่รู้ ไม่มีใครทำให้ เห็นเกิดแล้ว ผลของอกุศลกรรมแน่ๆ ที่เห็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจ ไม่ว่าจะเป็นเสียงที่ไม่น่าพอใจ กลิ่นที่ไม่น่าพอใจ รสที่ไม่น่าพอใจ กายกระทบสิ่งที่ไม่น่าพอใจ เจ็บ คัน ปวด ทุกอย่างที่ไม่น่าพอใจเกิดขึ้นเพราะกรรมหนึ่ง บอกไม่ได้เลยว่ากรรมไหนชาติไหน แต่ต้องเป็นผลของกรรมแน่ ถ้าไม่มีกรรมที่จะเป็นเหตุ ผลเกิดไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นจะป่วยไข้ได้เจ็บเมื่อไหร่ จะถูกแทง ถูกฆ่าทำอะไรก็ตามแต่ทั้งหมด ใครทำให้ ใครทำ
ผู้ฟัง กรรม
ท่านอาจารย์ ไม่มีใครสามารถทำได้เลย นอกจากกรรมของตนเองที่ได้กระทำแล้ว มั่นคงอย่างนี้ แล้วจะโกรธคนที่มาทำให้เราเจ็บไหม ถ้ารู้จริงๆ เขาน่าสงสารที่เขาทำกรรมนั้น ซึ่งเขาจะต้องได้ผล แต่ใครก็ไปเบียดเบียนใจของเรา ให้เดือดร้อนให้เป็นทุกข์ ไม่ได้เลย แต่ละ ๑ คนไม่สามารถที่จะให้คนอื่นมาทำร้ายใจของตัวเองได้ นอกจากกิเลสของตัวเอง เพราะฉะนั้นก็เป็นคนที่สามารถที่จะรู้ว่า ไม่มีคนเลย มีแต่ธรรมทั้งหมด ไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง
เพราะฉะนั้นอะไรก็ตามที่ปรากฏว่ายังอยู่ ยังเที่ยงเพราะไม่รู้ความจริงว่า แท้ที่จริงแต่ละหนึ่งที่ปรากฏ เร็วจนกระทั่งปรากฏเป็นนิมิต ภาษาบาลีก็ใช้คำว่า นิมิตตะ จนกระทั่งเป็นรูปร่างสัณฐาน ทำให้รู้ได้ว่าเป็นอะไร แต่ถ้าไม่มีนิมิต ไม่มีรูปร่างสัณฐานเพียงเกิดและดับ ไม่ปรากฏนิมิตรูปร่างใดเลย เราจะรู้ได้อย่างไรว่าอะไร แต่ที่รู้ได้เดี๋ยวนี้ เป็นคน มองเห็นรูปร่างสัณฐาน ต่างกับสัตว์ ต่างกับดอกไม้ ก็เพราะเหตุว่ารูปเกิดดับเร็ว แล้วก็ซ้ำ และก็มากจนปรากฏเป็นนิมิตตะ ให้รู้ได้ว่าเป็นอะไร เพราะฉะนั้นขณะใดที่รู้ ขณะนั้นจิตรู้ปัญญัตติ หมายความว่ารู้ได้โดยอาการของนิมิตนั้นๆ
ผู้ฟัง อีกศัพท์หนึ่ง ศัพท์เดียวกัน ฟังแล้วมีกุศลศีล อกุศลศีล แล้วก็จะมีอัพยากต ศีล
ท่านอาจารย์ มีจิตอะไรบ้างที่ไม่ใช่กุศลไม่ใช่อกุศล เวลานี้มีจิตทั้งนั้นเลย ไม่เคยขาดจิต แต่ไม่เคยรู้จักจิต นี่อย่างไรจะได้เป็นผู้ที่ฟังเพราะไม่รู้ จนค่อยๆ รู้ขึ้นเข้าใจขึ้นว่าไม่ใช่เรา เดี๋ยวนี้มีไหม
ผู้ฟัง มี จิตเห็น
ท่านอาจารย์ เป็นวิบากจิต
ผู้ฟัง เป็นวิบากจิต
ท่านอาจารย์ แล้วมีจิตอะไรอีกที่ไม่ใช่วิบาก
ผู้ฟัง กิริยาจิต
ท่านอาจารย์ กิริยาจิต เป็นจิตที่ไม่ใช่กุศล ไม่ใช่อกุศล และไม่ใช่วิบาก ที่กำลังพูดถึง เราพูดถึงการเกิดขึ้นของจิต ภาษาบาลี จะใช้คำว่า ชาติ หรือ ชา-ติ หมายความว่าจิตที่เกิดขึ้น และต้องเป็น ๑ ใน ๔ ชาติ คือเกิดขึ้นเป็นกุศล และก็จิตที่เกิดขึ้นเป็นอกุศลก็เป็นอีกชาติหนึ่ง เปลี่ยนไม่ได้เลย แล้วก็จิตที่เกิดขึ้นเป็นผลของกุศลและอกุศล เป็นเหตุไม่ได้ ถ้าไม่มีกรรมที่ได้ทำแล้ว วิบากจิตทั้งหลายเกิดไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น วิบากจิตนี่อีกชาติหนึ่ง เพราะฉะนั้นให้ทราบว่าจิตทั้งหมดไม่ว่าจิตอะไรทั้งสิ้นต้องเป็น ๑ ใน ๔ ชาติ คือเป็นกุศล หรือเป็นอกุศล หรือเป็นวิบาก ซึ่งเป็นผลของกุศลและอกุศล อีกหนึ่งชาติคือ กิริยาจิต หมายความว่าจิตที่ไม่ใช่กุศล ไม่ใช่อกุศล และไม่ใช่วิบาก ส่วนใหญ่เป็นจิตของพระอรหันต์ เพราะเหตุว่าพระอรหันต์ไม่มีกุศลไม่มีอกุศล ถ้ายังเป็นกุศลอกุศลไม่ใช่พระอรหันต์ เพราะเหตุว่ายังเป็นเหตุให้เกิดผล แต่สำหรับพระอรหันต์ เมื่อดับกิเลสแล้ว จึงไม่เป็นกุศลและอกุศลอีกต่อไป มีแต่วิบากซึ่งเป็นผลของอดีตกรรมที่ได้ทำแล้ว และกิริยาจิตซึ่งยังมีชีวิตอยู่ต่อไป ยังคิดยังจำเหมือนก่อนที่จะเป็นพระอรหันต์ แต่เมื่อไม่มีกิเลส จิตที่คิดและจำนั้น จึงเป็นกิริยาจิต เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีจิตจะมีศีลไหม
ผู้ฟัง ไม่มี
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นคำว่า ศีล สีละ หมายความถึงความเป็นปกติของจิตซึ่งใครก็เปลี่ยนไม่ได้ และจิตก็ต้องเป็น ๔ ชาติ เพราะฉะนั้นถ้าจิตใดที่ไม่ใช่กุศล ขณะนั้นธรรมดา
ผู้ฟัง เป็นอกุศล
ท่านอาจารย์ เป็นอกุศลศีล เป็นปกติของจิต แล้วถ้าขณะใดจิตเป็นกุศล เพราะฉะนั้นปกติของจิตที่เป็นกุศล ก็ทำกุศลทั้งกายทั้งวาจาทั้งใจ ขณะนั้นก็เป็นกุศลศีล สำหรับพระอรหันต์ไม่เป็นกุศลและไม่เป็นอกุศล ไม่ว่าท่านจะสงเคราะห์ช่วยเหลือ ทำกิจการงานในอารามของท่านหรืออะไรก็ตามแต่ ด้วยกิริยาจิต เพราะฉะนั้นก็เป็นอัพยากตศีล แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ไปจำชื่อ แต่มุ่งหมายที่ความเข้าใจเพราะความเข้าใจปลีกย่อยละเอียดกว่านี้มีมาก ให้รู้ว่าเดี๋ยวนี้มีจิต มีเจตสิกด้วยไหม
ผู้ฟัง มี
ท่านอาจารย์ มีรูปด้วยไหม
ผู้ฟัง มี
ท่านอาจารย์ แต่ไม่รู้ใช่ไหม
ผู้ฟัง ก็ไม่ได้ระลึก ไม่สามารถจะเจริญให้ทัน
ท่านอาจารย์ ถ้าไม่ได้ฟังก็ไม่รู้เลย เป็นเราทั้งหมด บอกคำว่าจิตก็ไม่รู้ว่า จิตคืออะไร อยู่ที่ไหนใช่ไหม ถามใครทุกคนก็ไม่รู้เลย เพราะฉะนั้นเมื่อฟังพระธรรมแล้ว เราสามารถที่จะรู้ได้ว่า ขณะนี้มีแต่สิ่งที่ปรากฏ เพราะจิตรู้ ถูกต้องไหม สิ่งที่ถูกจิตรู้คือ อารมณ์ เมื่อมีธาตุรู้ก็ต้องมีสิ่งที่ถูกรู้ เพราะฉะนั้นเมื่อจิตเกิดขึ้นรู้สิ่งใด เฉพาะสิ่งที่จิตรู้เป็นอารมณ์ของจิต เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้ ทุกคนลืมจิตหรือเปล่า มีแต่สิ่งที่ปรากฏ คือเป็นสิ่งที่จิตรู้ทั้งนั้นเลย ทั้งวันตื่นขึ้นมาก็มีสิ่งที่จิตรู้ กำลังเห็นอะไร ได้ยินอะไร ทำอะไร ก็เป็นแต่เพียงสิ่งที่จิตรู้ ลืมจิต แล้วจะรู้จักจิตได้เมื่อไหร่ ถ้าเป็นอย่างนี้ ทั้งๆ ที่มีจิต เดี๋ยวนี้ก็มีจิต แต่ก็มีแต่สิ่งที่จิตรู้ปรากฏ ลืมว่าจิตและเจตสิกเกิด ทำกิจแต่ละกิจ ไม่มีขาดหายไปเลย ถ้าขาดหายไปสักหนึ่งจิตเป็นอย่างไร ถ้าไม่มีจิตเพียงแค่ ๑ ขณะเป็นอย่างไร ก็ตาย แต่ตายแล้วก็ต้องเกิด เราก็ไม่รู้อีกใช่ไหม แต่ให้รู้ว่าชีวิตก็คือจิต เจตสิก เกิดสืบต่อไม่ขาดสาย แต่ไม่มีใครรู้เลย เงียบสนิท เป็นธาตุรู้ที่กำลังเห็นก็ปรากฏว่ามีดอกไม้ มีโต๊ะ มีเก้าอี้ เป็นธาตุรู้ ที่เกิดได้ยินเสียง ก็เป็นเรื่องนั้นเรื่องนี้ พอกลิ่นปรากฏ ก็เป็นกลิ่นทั้งๆ ที่จิตกำลังรู้กลิ่น ก็ไม่รู้ว่าขณะนั้นไม่ใช่เรา แต่มีธาตุรู้ซึ่งเกิดขึ้นรู้กลิ่น เวลาที่รับประทานอาหารอร่อย วันนี้ใครรับประทานอะไรบ้าง ไม่ได้พูดเรื่องจิต เจตสิกเลยสักคำ ขนมปัง ข้าว แกง กับ ผลไม้ พูดแต่สิ่งที่จิตรู้
เพราะฉะนั้นวันหนึ่งๆ ไม่สามารถที่จะรู้ลักษณะของจิตว่า ไม่ใช่เรา ทั้งๆ ที่จิตเกิดขึ้น แต่เพราะการฟังไม่พอ ความเข้าใจไม่พอ และธรรมทั้งหลายก็เป็นอนัตตาด้วย ไม่ใช่ให้เราเลือกไปเข้าใจจิตเดี๋ยวนี้ เป็นไปไม่ได้ แต่ฟังให้เข้าใจว่าขณะนี้มีสิ่งที่ปรากฏ โดยจิตไม่ปรากฏ มีแต่สิ่งที่จิตรู้เท่านั้นที่ปรากฏ ตลอดตั้งแต่เกิดจนตาย เพราะฉะนั้นถ้าไม่ได้ฟังธรรมเลย ก็จะไม่รู้ว่าที่ใช้คำว่า จิต มี ไม่ใช่ไม่มี แต่ไม่ใช่ของใครด้วย จะบอกว่าเป็นเราก็ไม่ได้ เพราะว่าจิตเกิดขึ้นและดับไปแล้วไม่กลับมาอีก ฟังจนกว่าปัญญาจะมีกำลังมั่นคงที่จะสละละคืนความเข้าใจว่าเป็นเรา ไม่เหลือเลย เมื่อได้ฟังบ่อยๆ จะนานเท่าไหร่ก็ไม่สำคัญ สำคัญที่ว่าความจริงเป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้นวันหนึ่งก็สามารถที่จะมีกำลังถึงขั้นที่เข้าใจได้ ไม่ใช่เข้าใจเพียงสิ่งที่ปรากฏว่า เป็นสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นได้ แต่เข้าใจจิตที่กำลังเห็น เพราะเราก็บอกว่าสภาพรู้ธาตุรู้ ได้แต่เรียกอยู่นั่นแหละ แต่ว่าธาตุรู้ก็ไม่ได้ปรากฏ สภาพรู้ก็ไม่ได้ปรากฏ เพราะว่ามีสิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ ก็ไม่รู้ว่าสิ่งนั้นเป็นอะไร ก็ยังมีความยึดมั่นในสิ่งที่เกิดดับสืบต่อเร็วจนกระทั่งปรากฏ รูปร่าง นิมิต สัณฐานต่างๆ
เพราะฉะนั้นเห็นความลึกซึ้ง ความยาก ความละเอียดว่าฟังธรรม ไม่ใช่ฟังเรื่องนิพพาน เรื่องธรรมสูงๆ มหัคคตจิต โลกุตตรจิต หรืออะไรต่างๆ แต่เดี๋ยวนี้มีสิ่งซึ่งกว่าจะรู้ได้ต้องอาศัยการที่จะรู้ว่า พระพุทธเจ้าตรัสรู้สิ่งที่มีจริงในขณะนั้น เพราะฉะนั้นขณะนี้มีสิ่งที่มีจริง แต่อวิชชารู้หมด คือรู้สิ่งนั้นด้วยความไม่เข้าใจ ด้วยความหลงว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะฉะนั้นกว่าปัญญาจะเกิดขึ้นแทนอวิชชา จนกว่าอวิชชาและการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเรา จะหมดไปได้ ไม่ต้องกังวลเลยเพราะเป็นอนัตตา ใครก็ทำไม่ได้ แต่ปัญญากำลังเข้าใจขึ้นทีละเล็กทีละน้อย น้อมไปสู่การที่จะเริ่มเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้นจึงมีปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ปฏิบัติไม่ใช่เราจะทำ แต่ปัญญาเกิดขึ้นพร้อมสติสัมปชัญญะ ถึงเฉพาะลักษณะสภาพธรรมหนึ่ง ด้วยความเข้าใจที่ถูกต้อง ความลึกซึ้งคือขณะที่สภาพธรรมหนึ่งจริงๆ ปรากฏ ขณะนั้นอย่างอื่นปรากฏไม่ได้เลย ลองนึกภาพ โลกนี้หายไปหมดทั้งโลก ไม่เหลือเลย มีเฉพาะสิ่งที่กำลังปรากฏ คือธาตุรู้ต้องมีแน่ ขาดธาตุรู้ไม่ได้เลย ถ้าไม่มีธาตุรู้ อะไรก็ปรากฏไม่ได้ ปัญญาก็รู้อะไรไม่ได้
เพราะฉะนั้นขณะนั้นที่ธาตุรู้เกิดขึ้นเป็นหนึ่ง มีสิ่งที่ถูกรู้เฉพาะสิ่งนั้นสิ่งเดียว อย่างอื่นไม่มี จึงเข้าใจได้ว่า การถึงเฉพาะ ปฏิปัตติของสภาพธรรมด้วยความเข้าใจจากปริยัติ คือฟังพระพุทธพจน์ จนรอบรู้ไม่ใช่เรา เข้าใจขึ้นเข้าใจขึ้นว่าเป็นธรรมแต่ละหนึ่ง ด้วยการไม่หวัง ไม่รอ ไม่ทำอะไร เพราะเหตุว่าถ้าเป็นเราทำ ก็คือเป็นตัวตน จะเอาความเป็นตัวตนไปละความเป็นตัวตนไม่ได้ มีแต่จะเพิ่มความเป็นตัวตนขึ้น นี่คือความลึกซึ้งอย่างยิ่ง ฟังธรรมเพื่อละ แล้วต้องรู้ด้วยว่าเพราะเข้าใจ ไม่ใช่ฟัง มีแต่ตัวหนังสือ มีแต่เรื่องนั้นเรื่องนี้ แล้วนี่เป็นอย่างไร แล้วนั่นเป็นอย่างไร นั่นคือไม่ได้เข้าใจคำเดียวแต่ละคำ จนกระทั่งรอบรู้จริงๆ ในคำนั้น เพราะฉะนั้นถ้าเป็นปัญญา ปัญญาก็เกิดรู้สิ่งที่มีตามปกติ ปัญญาไม่ผิดปกติ ไม่ใช่ว่าปัญญา อย่างนั่งๆ อยู่อย่างนี้แล้วมีอะไรเกิดดับ ไม่เป็นปกติ ไม่มีความรู้อะไรเลยทั้งสิ้น แค่ฟังนิดเดียว แล้วก็พอฟังแค่นี้เกิดดับแล้ว เป็นไปได้ไหม เป็นไปไม่ได้
ผู้ฟัง ปัญญาต้องสูงกว่านี้มาก
ท่านอาจารย์ ถูกต้อง เพราะฉะนั้นคนที่ไม่เข้าใจในพระปัญญาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่เข้าใจความลึกซึ้งของธรรมเดี๋ยวนี้ว่า ธรรมเดี๋ยวนี้ลึกซึ้งอย่างนี้ ก็เป็นผู้ที่ประมาท มีแต่ความหวัง มีแต่ความต้องการ พอฟังอะไรก็เกิดได้ แต่ไม่ใช่ปัญญา เพราะฉะนั้นคนนั้นไม่ได้รู้เลยว่า ขณะนั้นไม่รู้ความจริง มีแต่จะถามว่าแล้วขณะนั้นเป็นอะไรที่เกิดดับ ไม่เป็นอะไรเลย นอกจากเกิดแล้ว ดับแล้ว หมดแล้ว ด้วยความไม่รู้
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 781
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 782
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 783
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 784
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 785
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 786
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 787
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 788
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 789
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 790
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 791
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 792
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 793
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 794
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 795
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 796
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 797
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 798
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 799
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 800
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 801
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 802
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 803
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 804
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 805
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 806
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 807
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 808
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 809
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 810
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 811
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 812
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 813
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 814
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 815
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 816
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 817
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 818
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 819
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 820
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 821
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 822
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 823
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 824
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 825
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 826
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 827
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 828
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 829
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 830
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 831
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 832
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 833
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 834
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 835
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 836
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 837
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 838
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 839
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 840
