ปกิณณกธรรม ตอนที่ 816
ตอนที่ ๘๑๖
สนทนาธรรม ที่ โรงแรมสายลม หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์
วันที่ ๘ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๘
ท่านอาจารย์ โกรธก็ยับยั้งไม่ได้ มีเหตุคือยังมีความไม่รู้ ยังไม่ถึงความเป็นพระอนาคามีบุคคล คือต้องตรงต่อธรรมจริงๆ เพราะฉะนั้นก็จะรู้ได้ว่า แม้แต่ขณะนี้มีสิ่งที่กำลังปรากฏทุกอย่าง คิดบ้าง เห็นบ้าง ได้ยินบ้าง ก็ยังไม่รู้ว่าเป็นธรรม เพราะฉะนั้นการฟังธรรมก็คือว่าเข้าใจสิ่งที่กำลังฟัง ได้ยินคำว่าวิชชา ความเห็นถูกความเข้าใจถูกตรงกันข้ามกับอวิชชา แล้วก็ได้ยินคำว่าสติด้วย เมื่อได้ยินคำว่าสติ คนไทยเหมือนเข้าใจแล้วไม่ต้องพูดอะไรกันอีกแล้ว พูดถึงสติก็รู้กันไปหมดเลย แต่ความจริงผิด เพราะเหตุว่าไม่รู้ว่าสติคืออะไร แต่ว่าความจริง สติมีแน่ไม่ต้องเรียกชื่อ ก็เป็นสติ เปลี่ยนลักษณะของสติไม่ได้ แต่ธรรมหลากหลายมากทั้งฝ่ายดี และฝ่ายชั่ว ทั้งฝ่ายที่ไม่ดี ไม่ชั่ว ก็จำเป็นที่จะต้องมีคำแต่ละคำ ตามสภาพตามความเป็นจริงของธรรมในขณะนั้นๆ เพราะฉะนั้นก่อนอื่น สำหรับคนไทยที่ไม่ได้ฟังธรรมเข้าใจว่ารู้จักสติแล้วก็พูดกันบ่อยๆ เดินดีๆ ไม่มีสติเดี๋ยว หกล้ม เลิกไปได้เลย ใครพูดคำนี้แปลว่าเขาไม่ได้เข้าใจว่าสติคืออะไร ได้ยินแล้วก็คิดเอาเอง แต่ว่าตามความเป็นจริง สภาพธรรมซึ่งเป็นธาตุรู้มี ๒ อย่าง จิตเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้ง อีกคำหนึ่งคือปัณฑระ หมายความว่า แม้อกุศลจิต ตัวจิตไม่ใช่เจตสิก ก็ผ่องแผ้ว เป็นปัณฑระ แต่เศร้าหมอง แปดเปื้อนด้วยอกุศลเจตสิก ซึ่งเกิดกับจิตในขณะนั้น จึงทำให้จิตนั้นเป็นอกุศล
แต่โดยสภาพของจิตซึ่งไม่ใช่เจตสิก จิตต้องเป็นปัณฑระ นี่คือการศึกษาธรรมต้องละเอียดขึ้น ละเอียดขึ้นจนกระทั่งเข้าใจคำที่เราใช้ธรรมดาเป็นที่เข้าใจกับคำที่เราใช้ที่เจาะจงให้รู้ความละเอียดของธรรม เพราะฉะนั้นเจตสิกมีทั้งเจตสิกซึ่งปานกลาง เกิดได้กับจิตทุกประเภทเพราะอะไร เพราะจิตจะเกิดเองโดยไม่มีเจตสิกเป็นปัจจัยไม่ได้ เพราะฉะนั้นก็มีเจตสิกซึ่งเกิดได้กับจิตทุกประเภท ซึ่งแสดงไว้ว่ามีเจตสิก๗ ซึ่งเกิดกับจิตทุกขณะ ไม่ว่าจะเป็นอกุศลจิตที่ไม่ดี หรือเป็นจิตที่ดี เป็นกุศลจิต หรือว่าเป็นโลกุตตรจิตก็ต้องมีเจตสิก ๗ แล้วใครรู้
เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรมเพื่อสะสมความไม่ใช่เรา โดยความเป็นอนัตตาจริงๆ ซึ่งเป็นปกติที่จะต้องรู้ทั่ว ในสิ่งซึ่งมี และก็ไม่รู้ ขณะนี้พูดได้ถึงเจตสิกต่างๆ ก็ไม่รู้สักเจตสิกหนึ่ง แต่ว่ามีแน่นอน พูดถึงจิตก็หลากหลายมาก จิตที่เป็นผลของกรรมซึ่งใช้คำว่าวิปากะ ในภาษาบาลี คนไทยเขาบอกว่า วิบาก จิตที่เป็นผลของกรรมก็มีกรรมคือการกระทำ เจตนาที่เป็นกุศล และอกุศลซึ่งสำเร็จแล้ว นานเท่าไหร่ก็ตามแต่ ยังสามารถที่จะเป็นปัจจัยให้มีผลคือวิบากของกรรมนั้น เกิดขึ้นในชาตินี้ แม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประชวรจากกรรมในอดีต หรือว่าเวลาที่ท่านพระเทวทัตกลิ้งหินลงมา ทำให้ถูกสะเก็ดของหินที่แตก ขณะนั้นเป็นผลของกรรมที่ได้กระทำแล้ว
เพราะฉะนั้นไม่มีอะไรที่จะยิ่งใหญ่กว่ากรรม แม้ในขณะนี้ เพราะฉะนั้นขณะที่จิตที่เป็นเหตุเกิดขึ้น ถ้าเป็นสิ่งที่เป็นฝ่ายไม่ดีไม่มีสติเกิดร่วมด้วย แต่มีเจตสิก ๗ ดวง เกิดร่วมด้วย ซึ่งต้องเกิดกับจิตทุกขณะ ๗ ดวงนี้ยังไม่ต้องพูดถึงก็ได้ ขอให้ทราบว่าเดี๋ยวนี้ก็มีค่อยๆ ฟังค่อยๆ เข้าใจจนกว่าจะค่อยๆ รู้จักเจตสิกไม่ใช่โดยชื่อ แต่ว่าโดยสภาพของเจตสิกนั้นๆ เพราะฉะนั้นถ้าพูดถึงสติ คนที่ไม่ได้ศึกษาธรรมเหมือนตัวเองมีสติ แต่ความจริงสติเกิดเพราะเหตุปัจจัย จะเกิดหรือไม่เกิดบังคับบัญชาไม่ได้ ธรรมทั้งหมดต้องไม่ลืมคำแรก คือธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ต้องถึงที่สุด ถ้ามีความเป็นอัตตาเข้ามาขณะนั้นก็เพราะไม่รู้ จึงยึดถือว่าเป็นเรา ด้วยเหตุนี้ จิตก็ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา มีปัจจัยเกิดขึ้นเห็นแล้วก็ดับ เกิดขึ้นได้ยินก็ดับ เกิดขึ้นคิดแล้วก็ดับ เจตสิกที่เกิดกับจิต ก็เกิดเพราะเหตุปัจจัย
เวลาที่มีสิ่งที่ดีที่น่าพอใจความรู้สึกก็เป็นอย่างหนึ่ง เวลาสิ่งที่กำลังปรากฏไม่น่าพอใจความรู้สึกซึ่งเป็นเจตสิกไม่ใช่จิต ก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง เพราะฉะนั้นทุกขณะ ก็มีธรรมซึ่งเกิดมากตามเหตุตามปัจจัย และขณะโดยไม่รู้เลย จนกว่าจะได้ฟังแล้วก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้น เพราะฉะนั้นเจตสิกมีทั้งประเภทที่เกิดกับจิตทุกประเภท ถ้าจะใช้คำภาษาบาลีก็คือ สัพพจิตตสาธารณเจตสิก เพราะฉะนั้นก็ขอกล่าวถึงเจตสิกที่เกิดกับจิตทุกประเภท เวลานี้ก็มี แต่ไม่ใช่สติเห็นไหม สติไม่ใช่สัพพจิตตจิตตสาธารณเจตสิก แต่ว่าสติเป็นโสภณเจตสิก เจตสิกฝ่ายดีและก็มีเจตสิกฝ่ายที่ไม่ดีด้วย เพราะฉะนั้นก่อนอื่นต้องรู้จักว่าสติคืออะไร สติไม่ใช่เรา ไม่ใช่จิต แต่เป็นเจตสิก เป็นอนัตตา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาจะเที่ยวเกิดกับอกุศลจิตหรืออะไรๆ ไม่ได้เลย แต่มีปัจจัยที่จะให้อาศัยกันเกิดขึ้นคือธรรมฝ่ายดี
เพราะฉะนั้นขณะที่กำลังฟังเข้าใจ มีเจตสิกมากเกิน ๗ แล้วต้องมีจิต ที่ประกอบด้วยเจตสิกฝ่ายดีหลายประเภท เช่น ขณะที่เข้าใจมีสติเจตสิกเกิดร่วมด้วย เพราะฉะนั้นต่อไปนี้ก็คือว่าเข้าใจในเบื้องต้นว่า สติเจตสิกเป็นเจตสิกฝ่ายดีเกิดได้กับจิตที่เมื่อเจตสิกที่เกิดด้วยแล้วจิตนั้นเป็นโสภณจิต และไม่ใช่แต่เฉพาะสติเท่านั้นที่เกิด สติเกิดตามลำพังหนึ่ง เจตสิกไม่ได้เลยต้องมีเจตสิกอื่นๆ เกิดร่วมด้วย เช่น หิริ ความละอายต่ออกุศล โอตตัปปะ การเห็นภัยเห็นโทษของอกุศล เป็นต้น อโลภะ อโทสะ อโมหะ พวกนี้เป็นเจตสิกทั้งหมด เกิดพร้อมกันดับพร้อมกัน แต่ว่าสติก็ไม่ใช่อโลภะ สติก็ไม่ใช่หิริ สติก็ไม่ใช่โอตตัปปะ แต่สติเป็นสภาพที่ระลึกเป็นไปในกุศล เราใช้คำว่าระลึกในภาษาไทยนี่เหมือนเราต้องคิดไกล และยาว แต่ความจริงชั่วขณะที่เกิดขึ้นเป็นไป นั้นคือลักษณะของสติ เพราะฉะนั้นขณะใดก็ตามที่เข้าใจธรรม ขณะนั้นมีสติเจตสิกเกิดร่วมด้วย ขณะที่เว้นทุจริตไม่ใช่ใครเลย แต่ก็มีโสภณเจตสิกซึ่งมีสติเจตสิกเกิดขึ้น ระลึกเป็นไปในกุศลคือเว้นไม่กระทำ
เพราะฉะนั้นก็จะเห็นได้ว่าขณะใดก็ตาม ซึ่งเป็นจิตที่ดีงามช่วยเหลือใครก็ตามขณะนั้นก็ไม่ใช่เรา แต่เพราะสติเกิดเป็นไป ระลึกได้ที่จะเป็นกุศลประเภทนั้นในขณะนั้น เพราะฉะนั้นสติเจตสิกเกิดกับกุศลจิตทุกประเภท เข้าใจนิดหนึ่งมีสติเจตสิกเกิดร่วมด้วยหรือไม่
ผู้ฟัง มี
ท่านอาจารย์ เข้าใจมากขึ้นอีกมีสติเจตสิกเกิดร่วมด้วยไหม
ผู้ฟัง มี
ท่านอาจารย์ เข้าใจจนกระทั่งสามารถที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรมเดี๋ยวนี้ มีสติเกิดร่วมด้วยหรือไม่
ผู้ฟัง มี
ท่านอาจารย์ ธรรมฝ่ายดีเกิดได้โดยไม่มีปัญญาเจตสิกเกิดร่วมด้วย ดีธรรมดาเหมือนอย่างศีล ๕ ก่อนที่จะมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง เพราะฉะนั้นต้องเข้าใจความหมายของมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง โดยมากคนก็ไปไหว้ ไหว้แล้วก็ขอ ขอเป็นที่พึ่ง ขอให้หายเจ็บไข้ ขอให้พ้นทุกข์ ขออะไรก็ขอไปคิดว่านั่นคือที่พึ่ง แต่นั่นไม่ใช่ที่พึ่งเลยจะพึ่งพระรัตนตรัยก็เพราะเห็นคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่เมื่อทรงตรัสรู้แล้ว ทรงแสดงพระธรรม วาจาสัจจะทุกคำ ถ้าไม่มีการได้ฟังวาจาสัจจะเราไม่สามารถที่จะรู้ว่าขณะนี้เป็นจิตเป็นเจตสิกไม่ใช่เรา แต่เพราะเหตุว่าวาจาสัจจะกล่าวถึงสิ่งที่มีจริง ทำให้มีความเข้าใจถูกได้
เพราะฉะนั้นมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง เพื่อเข้าใจถูกเห็นถูก ซึ่งคนอื่นไม่สามารถจะให้ได้เลย นอกจากพระผู้มีพระภาคที่ได้ทรงตรัสรู้แล้ว ก็ได้ทรงแสดงความจริงให้คนอื่นที่มีโอกาสได้ยินได้ฟังได้เข้าใจขึ้น เพราะฉะนั้นถ้าเป็นธรรมเป็นธาตุทั้งหมดแต่ละหนึ่ง ที่กำลังเป็นธาตุขณะนี้ สืบต่อมาจากการสะสมนานแสนนานมาแล้วที่จะทำให้อยู่ในประเทศที่สมควร ที่กำลังได้ยินได้ฟังธรรม เพราะฉะนั้นในขณะนี้ ก็คือเริ่มเข้าใจไม่ใช่เรา แม้สติก็เป็นธรรมฝ่ายดี ซึ่งเกิดกับจิตที่ดีงามทุกประเภท ถ้าไม่เข้าใจอย่างนี้เป็นเราใช่ไหมที่ทำความดีเว้นทุจริตรักษาศีล ๕ พระรัตนตรัย คือพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัญญาคุณทรงแสดงพระธรรมแล้ว ๔๕ พรรษา พระบริสุทธิคุณไม่ได้หวังสิ่งหนึ่ง สิ่งใดทั้งสิ้น ไม่ได้หวังการบูชาด้วยดอกไม้ธูปเทียน แม้ว่าคนนั้นจะอยู่แสนไกล แต่ถ้าเขาได้มีโอกาสฟังวาจาสัจจะเขาสามารถที่จะเข้าใจได้ พระองค์ก็เสด็จไปด้วยพระมหากรุณา ไม่ใช่เขาต้องมารู้จักพระองค์ก่อน ไม่ใช่ว่าเขาต้องมากราบไหว้พระองค์ก่อนแล้วจึงจะทรงแสดงธรรม แต่พระมหากรุณาสำหรับสัตว์โลกที่สะสมมาที่เห็นค่า และได้ประโยชน์อย่างยิ่งจากการฟังพระธรรม เพราะฉะนั้นสำหรับเราด้วย ได้ฟังแล้วก็รู้ความต่างของคนดีกับคนชั่ว แล้วก็ประพฤติตามกำลังของความเห็นถูกต้อง ตราบใดที่ยังมีกิเลส ยังจะเป็นคนดีทั้งหมดไม่ได้ ขณะใดซึ่งอกุศลเกิดขณะนั้นไม่ดีแน่นอน ขณะใดที่กุศลจิตเกิด ขณะนั้นจะบอกว่าไม่ดีก็ไม่ได้ แต่ยังไม่พอ เพราะฉะนั้นเมื่อตัวเองได้เห็นคุณประโยชน์ของพระธรรม และก็เป็นคนดีเพราะได้เข้าใจธรรม ก็ยังดีขึ้นโดยการช่วยให้คนอื่นดีด้วย นี่คือตามรอยพระยุคลบาท ซึ่งไม่ได้เห็นแก่พระองค์ เพราะเหตุว่าหมดกิเลสแล้ว มีแต่ธรรมซึ่งปราศจากกิเลส เพราะฉะนั้นการที่เราจะมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง ต้องรู้ว่าพึ่งเพื่ออะไร พึ่งเพราะรู้ว่าเรามีกิเลส แล้วกิเลสหมดไปไม่ได้เลย ไม่ว่าใครจะเพียรพยายามอย่างไรก็ตามต้องเป็นความเข้าใจพระธรรมเท่านั้น ที่จะทำให้กิเลสซึ่งมีอยู่ค่อยๆ ละคลายจนกระทั่งสามารถที่จะดับหมดไม่เหลือเลย นี่คือความน่าอัศจรรย์อย่างยิ่งของพระธรรม เป็นผู้ที่บำเพ็ญพระบารมี ถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมนี้โดยนัยยะประการหลากหลายมาก โดยนัยยะของขันธ์โดยนัยยะของธาตุ โดยนัยยะของอายตนะทั้งหมดเป็นชื่อในภาษาบาลี
แต่ถ้าเข้าใจภาษาไทยแล้วก็เดี๋ยวนี้เองทั้งหมดนี้ และการที่จะทำให้คนที่ได้ฟังนี่สามารถเข้าใจได้จริงๆ ว่าเป็นธรรม เพราะฉะนั้นมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง ไม่ใช้ขอลาภยศ สรรเสริญสุข สักการะเครื่องบูชา แต่เพื่อเข้าใจพระธรรม เพื่อที่จะได้ประพฤติตามคำที่ได้ทรงแสดงไว้โดยมอบตนให้พระองค์เป็นพระศาสดาไม่ใช่คนอื่น เพราะว่าแต่ละคำนี่สามารถที่จะเข้าใจความจริง จนดับกิเลสคือความไม่รู้เดี๋ยวนี้ และอวิชชา และความติดข้องซึ่งเป็นโลภะ เป็นเรามานานแสนนาน ฟังแล้วก็เมื่อไหร่เราจะรู้ มาแล้ว ก็แสดงว่าการฟังพระธรรมยังไม่มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง
เพราะฉะนั้นทุกคำนี่เป็นวาจาสัจจะที่ละเอียดจริงๆ เป็นไปเพื่อละทั้งหมด ถ้าตราบใดที่เผลอไป ต้องการสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็คือว่าลืมเรื่องละ เพราะฉะนั้นถ้าฟังบ่อยเข้าใจขึ้น จนกระทั่งแทนที่จะคิดถึงเรื่องอื่น เมื่อเช้านี้ทะเลสวย อาหารก็อร่อย เรื่องอื่นทั้งนั้นเลย แต่เดี๋ยวนี้กำลังเห็น ยังไม่รู้เห็นว่าขณะนี้เห็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ เพราะฉะนั้นแต่ละคำกว่าจะเข้าไปถึงใจอย่างมั่นคง สะสมไว้ฟังไว้ เพราะเหตุว่าไม่มีใครสามารถที่จะดลบันดาลให้เมื่อสภาพธรรมได้เกิดขึ้นแล้วละ บอกให้ละนี่เป็นไปไม่ได้เลย
ความโกรธเกิดขึ้นละเสียใครทำได้ ไม่มีทางเป็นไปไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นกว่าที่เมื่อโกรธแล้ว ความเข้าใจพระธรรมตั้งแต่เริ่มฟัง จนกระทั่งสะสมการรู้ว่าไม่ใช่เรามั่นคงขึ้นมีกำลังขึ้น แค่คิดว่าไม่ใช่เรา เกิดหรือเปล่าตอนนั้นยังไม่ทันรู้จริงๆ ว่าไม่ใช่เรา เพียงแต่จะคิดว่า เป็นธรรมก็ยังไม่เกิด ขณะใดที่โกรธต่อไปเรื่อยๆ ขณะนั้นไม่มีแม้แต่จะคิดว่าเป็นธรรม เพราะฉะนั้นขั้นคิดก็ยังไม่เกิดเลย และทั้งวันทุกวันนี่ใครห้ามความคิดได้ แต่คิดเรื่องอื่นหมดเลย คิดเรื่องธรรมน้อยไหม ถ้าไม่ได้ฟัง เพราะฉะนั้นขณะที่ฟังนี่ยังคิดเรื่องอื่นเลย เห็นกำลังของอกุศลไหม บังคับบัญชาไม่ได้มีกำลังถึงอย่างนั้น
เพราะฉะนั้นกำลังของปัญญานี่คะ ต้องมากสักเท่าไรที่จะรู้ว่าคิดอย่างนั้นก็เป็นอนัตตา แม้แต่เพียงคำว่าไม่ใช่เราที่คิดก็ยังไม่เกิด มุ่งไปหาสติปัฎฐานที่จะไปดับความโกรธหรือความไม่รู้ในขณะนั้นโดยการเรียนว่า ปัญญาต้องเจริญตามลำดับ ไม่ใช่เราไปแสวงหา ไปพากเพียรไปกระทำ ซึ่งไม่มีทางสำเร็จเลย เพราะฉะนั้นการฟังธรรมเพื่อเข้าใจถูกต้องว่าเป็นเรื่องละ แต่ต้องรู้ ถ้าไม่รู้ ไม่มีทางละ ใครจะไปคิดละสักเท่าไหร่ด้วยความไม่รู้จะละ อะไรได้เพราะไม่รู้ แต่เพราะรู้ต่างหาก ค่อยๆ เข้าใจขึ้นก็ค่อยๆ เห็นว่าการละนี่ มีได้ ค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป โดยไม่มีใครสามารถที่จะรู้ว่าขณะไหนเริ่มละ เหมือนการจับด้ามมีด จับไปเถอะ ด้ามมีดยังไม่สึก แต่เมื่อด้ามมีดสึก เริ่มเห็นว่าค่อยๆ สึกไปเพราะอะไร
เพราะฉะนั้นการฟังแต่ละคำ ด้วยความเข้าใจในความไม่ใช่เรา ในความไม่ใช่เป็นสิ่ง หนึ่ง สิ่งใดที่เที่ยง จะค่อยๆ สะสมจนถึงวันไหน เวลาไหนชาติไหน พร้อมที่เมื่อสิ่งหนึ่ง สิ่งใดปรากฏความเข้าใจทั้งหมดนั่นแหละ ก็สามารถที่จะรู้ถูกต้องตามความเป็นจริงโดยความเป็นอนัตตา เพราะฉะนั้นความเป็นอนัตตามั่นคงขึ้นไม่เช่นนั้นแล้วก็ไม่สามารถที่จะรู้ความจริงได้
ผู้ฟัง ตรงนี่คือหมายความถึงว่า ผู้นั้นก็ต้องรู้เขาเองไม่ใช่หรือว่าเข้าใจหรือไม่
ท่านอาจารย์ ถูกต้อง เพราะฉะนั้นจะให้คนอื่นมาบอกว่ารู้แค่ไหนนี่หมายความว่าอย่างไร หมายความว่าไม่รู้เลย แล้วเขาบอกถูกหรือ ใครนะกล้าจะมาบอกว่าจิตของใครเป็นอะไรขณะไหนรู้ได้อย่างไร
ผู้ฟัง เราก็ไม่รู้ว่าเขาเป็นอะไร
ท่านอาจารย์ แต่ก็มีคนหลงเชื่อ พอเขาบอกก็เชื่อคำถาม เพราะฉะนั้นไม่มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง
ผู้ฟัง คือพระสงฆ์นี้ก็สำคัญจริงๆ ผมคิดว่าถ้าเผื่อเราไม่มีพระสงฆ์หรือมีผู้ที่ให้เราทราบ
ท่านอาจารย์ ทั้งหมดของพระธรรมต้องตั้งต้นว่าคือใครจะได้ไม่หลงทาง เพราะฉะนั้นพระสงฆ์คือใคร
ผู้ฟัง พระสงฆ์คือผู้ที่นำสัจจธรรมมาให้เราทราบนี่แหละมาให้เราศึกษา
ท่านอาจารย์ นำมาอย่างไร อยู่ดีๆ นำมาอย่างไร
ผู้ฟัง ก็ต้องเข้าใจในเรื่องของสิ่งต่างๆ
ท่านอาจารย์ ถ้าอย่างนั้น ไม่รู้จักพระรัตนตรัย พระรัตนตรัยคือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระพุทธรัตนะ ธรรมที่เป็นรัตนตรัยคือธรรมที่นำไปสู่การรู้แจ้งอริยสัจจธรรมคือโพธิปักขิยธรรม ธรรมที่จะสามารถถึงการประจักษ์แจ้งความจริงซึ่งตรงตามที่ได้ทรงแสดงทุกอย่าง อกุศลเป็นรัตนะหรือเปล่า แม้ว่าเป็นธรรมก็ไม่ใช่รัตนะ เพราะฉะนั้นก็จะเห็นได้ ต้องเข้าใจว่าธรรมรัตนะ ก็คือปัญญาที่สามารถรู้ว่า ธรรมนี่แหละเป็นโพธิปักขิยธรรม การฟังค่อยๆ เข้าใจขึ้นแต่ละคำ ใครก็เอาไปจากคนที่กำลังเข้าใจไม่ได้เพราะเข้าใจแล้ว ใครๆ จะเอามาใส่ให้เพิ่มเติมก็ไม่ได้ ต้องเป็นปัญญาของบุคคลนั้นเอง ซึ่งต้องมีการเริ่มเกิดขึ้นแล้วค่อยๆ เจริญขึ้นมั่นคงขึ้น จนรู้ว่านี่เป็นหนทางจึงเป็นธรรมรัตนะรู้ว่าหนทางอื่นไม่ใช่แน่นอน และสังฆรัตนะต้องเป็นพระอริยบุคคลเท่านั้นไม่ว่าในเพศใดทั้งสิ้น ไม่ว่าเป็นหญิงเป็นชาย อุบาสก อุบาสิกา สามเณรหรือว่า พระภิกษุ ที่ได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรมเท่านั้นที่เป็นสังฆรัตนะ เรียกว่าคณะสงฆ์ซึ่งเป็นหมู่สงฆ์ที่เป็นอริยะ จึงจะเป็นรัตนะได้
ผู้ฟัง ถ้าเช่นนั้นบุคคลที่กรุณานำพระธรรมมาแสดงให้เราได้เข้าใจนี่ ถ้าเผื่อท่านนำความจริงมาพูดให้เราฟังคำนั้นก็ต้องเป็นคำจริง
ท่านอาจารย์ คำของใคร
ผู้ฟัง คำของพระพุทธเจ้า
ท่านอาจารย์ ถ้าเป็นความจริงแล้วทุกคำเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ว่าใครจะกล่าวเป็นคำของพระองค์ทั้งหมดที่ได้ตรัสไว้ดีแล้ว สหายธรรมอย่างท่านพระสารีบุตรกับท่านพระมหาโมคลานะ ท่านเป็นสหายที่เป็นกัลยาณมิตร ท่านทั้งสองเคารพใคร
ผู้ฟัง เคารพพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เคารพพระธรรม
ท่านอาจารย์ ไม่ว่าใครก็ตามะ ที่พึ่งสูงสุดคือพระรัตนตรัยคนอื่นก็เป็นกัลยาณมิตรผู้ที่หวังดีจริงๆ คนที่หวังดีนี่ไม่ให้คำไม่จริง ให้คำจริงทั้งหมด จึงจะเป็นผู้ที่หวังดี และในบรรดากัลยาณมิตรทั้งหลายพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าประเสริฐสุด
ผู้ฟัง ผู้ที่ฟังพระสัทธรรมจากผู้ที่เป็นมิตร แต่บางครั้งนี่ แน่นอนเราไม่รู้จิตใจเขา บางคนก็คิดดูแล้วก็ดีนะ เขาเข้าใจเขาอะไร เขาคุยกับเราอะไรต่างๆ เหล่านี้เป็นต้น แต่ว่าบางทีเขาลำเลิกผู้ที่ให้ความรู้ของเราในเรื่องของความเป็นจริง
ท่านอาจารย์ ถ้าเข้าใจถูกต้องด้วยความเป็นธาตุ นานาธาตุหลากหลายมากไม่มีใครสักคน แต่ละหนึ่ง ที่นั่งอยู่ที่นี่ เป็นแต่ละหนึ่ง จิตที่ได้สะสมสืบต่อมาไปให้จิตคนอื่นมาสะสมด้วยก็ไม่ได้ จะเอาจิตของตัวเองไปให้คนอื่นไปสะสมให้เขาก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้นเห็นขณะนี้สืบต่อมาจากขณะก่อน ย้อนไปแสนโกฏิกัปป์ แล้วแต่ว่าในชาติหนึ่ง ชาติหนึ่ง ะ จะมีกุศลหรืออกุศลมากมายแค่ไหนที่เกิดขึ้น เพราะฉะนั้นโดยความเป็นธาตุก็คือมีทั้งธาตุเลว ธาตุปานกลาง ธาตุประณีต ไม่มีใครสักคนก็เห็นความจริงว่าเป็นธาตุ ซึ่งมีปัจจัยเกิดขึ้นก็ต้องเป็นไปตามการสะสม
ผู้ฟัง ถ้าอย่างนั้นนี่เราให้ความสนใจให้ความรักใคร หรือให้ความเป็นกัลยาณมิตรกับใครง่ายๆ ไม่ได้เลย
ท่านอาจารย์ ทำไม เพราะเหตุว่า ใครจะทำร้ายความดีที่มี ที่เราใช้คำว่าเป็นความดีของเราได้ไหม ความดีก็ต้องเป็นความดีเกิดขึ้น และดับไป
ผู้ฟัง บางทีเข้าแสร้งทำเป็นความดี เขาแสร้งทำดี
ท่านอาจารย์ นั่นเรื่องของธาตุที่ไม่ดีทำได้ทุกอย่าง
ผู้ฟัง ดีก็สะสม เราก็ต้องดีกับเขาหมด
ท่านอาจารย์ พระอรหัตตสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่สอนให้ใครมีอกุศลเลยกับใคร ไม่ว่าโดยสถานะใดๆ ทั้งสิ้น เป็นของธรรมดา ต้องฟังโดยละเอียดจริงๆ ะนี่คือพระมหากรุณาอย่างยิ่ง ใครจะชี้ว่าความโกรธเกิดจากอะไรบ้าง ความโกรธเกิดจากได้รับสิ่งที่ไม่น่าพอใจ และยังได้รับสิ่งที่ไม่น่าพอใจที่คนอื่นกระทำต่อผู้ที่เป็นที่รักด้วย เพราะฉะนั้นควรหรือที่จะโกรธ ในเมื่อความโกรธไม่ดีต้องไม่ดี ไม่ว่าโดยสถานะใดๆ ทั้งสิ้น ถ้ามอบตนแก่พระศาสดา ก็มีพระองค์เป็นที่พึ่งที่จะประพฤติตาม เพราะว่าไม่มีใครจะทรงพระมหากรุณาให้ผู้นั้นมีความสุขที่แท้จริง คือปราศจากอกุศลทั้งหมดได้ ความดีของใครคนอื่นก็ทำร้ายไม่ได้
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 781
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 782
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 783
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 784
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 785
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 786
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 787
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 788
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 789
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 790
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 791
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 792
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 793
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 794
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 795
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 796
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 797
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 798
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 799
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 800
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 801
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 802
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 803
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 804
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 805
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 806
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 807
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 808
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 809
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 810
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 811
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 812
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 813
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 814
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 815
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 816
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 817
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 818
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 819
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 820
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 821
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 822
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 823
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 824
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 825
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 826
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 827
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 828
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 829
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 830
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 831
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 832
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 833
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 834
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 835
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 836
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 837
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 838
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 839
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 840
